ตอนที่ 7 : Chapter 6 --- ❝ หมดอายุ ❞
Chapter 6
::
❝ หมดอายุ ❞
✂ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐
สิ่งของเมื่อถึงเวลาก็หมดอายุ ผลัดเปลี่ยนเวียนไปตามวาระ
หากมีความทรงจำที่อยู่ได้นาน อาจใกล้เคียงกับคำว่าตลอดไป
ปิญชาน์เริ่มเชื่อคำพูดที่ว่าคนรวยมักจะมีนิสัยประหลาดก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพราะเจ้าหนี้เขามาขอไปกินข้าวด้วยหลายมื้อแล้ว
สนิทกันก็ไม่ใช่ คุยถูกคอก็ไม่รู้สึก ปกติก็กินเฉยๆ คุยกันน้อยเลยด้วยซ้ำ
“งวดแรกครับ”
ปิญชาน์ส่งแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยอย่างละใบให้เอเชียเมื่อถึงวันสิ้นเดือน บอกว่าจะผ่อนก็ผ่อนจริงๆ ไม่โกหก
“เดี๋ยวเดือนต่อๆ ไปผมให้เดือนละพันจนครบนะครับ”
“อืม” เอเชียรับมาพับเก็บใส่กระเป๋า ใจจริงไม่ได้อยากได้เงินจากอีกฝ่ายเลย แต่พูดไปก็คงโดนโกรธอีก
“วันนี้ไปไหน”
“ผมเหรอ”
“อืม”
“วันนี้เจ๊ปิดร้านไปต่างจังหวัดกับครอบครัว ผมก็ว่างอะ ยังไม่ได้คิด”
“ไปกินข้าวที่ไหน”
“กินกับผมบ่อยๆ ไม่เบื่อหรือไง” กลับไปกินห้างเหมือนปกติไม่ดีกว่าเหรอ “อาหารที่คุณกินปกติน่าจะอร่อยกว่ามั้ง”
“เฉยๆ”
“ตามใจ คุณอยากกินไรอะ”
“ยอมให้เลี้ยงหรือยังล่ะ”
“ไม่อะ” พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่รู้จักจำเลยหรือไงวะ “เลือกร้านข้างทาง”
“แบบนี้ได้ไหม มื้อนี้ผมเลี้ยง มื้อหน้าคุณเลี้ยง” เอเชียเสนอ เป็นวิธีที่โทนี่แนะนำมาเมื่อวันก่อนหลังจากไปปรึกษา ถึงจะดูเล่นๆ แต่ก็ให้คำแนะนำได้ดีเหมือนกัน
“จะขาดทุนเพื่อ”
เหมือนเอาแบงค์พันมาแลกแบงค์ร้อย
“ก็ตามกำลัง ไม่ได้ว่าขาดทุน”
“ไม่เอาอะ”
“ก็ผลัดกันแล้วไง”
“แบบนั้นได้เหรอ”
“ได้ดิ” เอเชียถอนหายใจ “อย่าคิดมากได้ไหม ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย”
“…”
อย่ามาทำเสียงเหมือนขอร้องแบบนี้ได้ปะ
“คุณไม่มีใครไปกินด้วยหรือไง เพื่อนก็เยอะแยะ”
“ไม่มี”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นไปไหนแล้วอะ” เขาหมายถึงคนที่เจอในร้านตอนนั้น
“ก็ยังอยู่”
“ไปชวนเขาดิ”
“...”
นั่น อย่ามาเปิดการ์ดใบ้
“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหมครับ”
อย่ามาทำหน้าแบบนี้นะ “ผมไม่ชอบให้คนเลี้ยงครับ”
“ผลัดกัน ครั้งหน้าคุณค่อยเลี้ยงผมคืน”
“…”
“ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย...”
ทั้งคู่เงียบสนิท มองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่ปิญชาน์จะเป็นฝ่ายถอนหายใจ “จะไปร้านไหนอะ”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนจะตกลงไปก็ใจชื้นขึ้นมา ตอนแรกจะหลุดปากพูดชื่อร้านที่คิดไว้ แต่ก็ชะงักก่อน
คิดอีกทีถ้าเลือกแพงมากๆ ต้องโดนปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิดแน่ แล้วอาจจะไม่มีโอกาสแก้ตัวพูดชื่อร้านใหม่อีก
“อ่า...”
“หือ?”
เอเชียกำลังคิดหนัก เขาไม่รู้ว่าเรทราคาเท่าไหร่คนตรงหน้าถึงจะสบายใจ “เลือกไม่ได้”
“คุณอยากกินอะไรอะ”
“อยากกินกุ้งแม่น้ำไหม”
“…” ปิญชาน์ถอนหายใจอีกครั้ง ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ “ยิ่งพูดผมยิ่งไม่โอเคอะ ไม่ต้องเลี้ยงได้ไหม ไปกินอะไรที่ช่วยกันออกได้เหอะ ถึงจะสลับกันเลี้ยง ผมก็รู้แก่ใจอยู่ดีอะว่ามันไม่เท่าเทียม”
“แล้วจะทำยังไง”
“ถ้าอยากกินของดีๆ คุณก็ค่อยไปกินกับคนที่อยู่ระดับเดียวกันไม่ดีกว่าเหรอ”
“…”
“ส่วนถ้าอยากกินของข้างทางง่ายๆ ตามสั่งจานเดียวราคาเป็นมิตร ค่อยมาชวนผม”
“อยากพาไปกิน”
ก็รู้หรอก แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดปะวะ “มันไม่มีเหตุผลให้เลี้ยงอะ วันพิเศษอะไรก็ไม่ใช่ แล้วเราเพิ่งรู้จักกันเอง สาเหตุที่ได้มารู้จักก็เพราะใช้หนี้อีก”
“ถ้าวันพิเศษได้เหรอ”
“มันก็เป็นเหตุผลได้อะ แต่เพิ่งบอกไปไงว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“วันเกิดผมก็ยังมาไม่ถึง”
นี่ได้ฟังที่เขาพูดบ้างหรือเปล่าวะ
“คุณเกิดวันไหน”
“…แปดสิงหา”
“เพิ่งผ่านมาเองนี่”
“แล้วยังไง”
“ผมเลี้ยงย้อนหลัง”
ปิญชาน์เกาท้ายทอยตัวเอง ไม่รู้ควรเกลียดหรือขอบคุณดี แต่ช่างมันเถอะ
เพราะดูอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดไปเลยจริงๆ
ปิญชาน์รับเล่มเมนูมาจากพนักงาน แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกไม่สบายใจ ร้านอาหารแบบนี้ไม่ใช่ที่ของเขาจริงๆ นั่นแหละ
“คุณจะกินอะไร”
คนที่นั่งมองหน้าปกเมนูเงียบๆ มาตั้งแต่เข้าร้านเงยหน้าสบตากับคนถาม “คุณสั่งเลย”
“อยากให้คุณสั่ง”
ก็คิดว่าร้านที่เลือกมากลางที่สุดแล้วนะ เขาเคยกินแหลมเจริญอยู่ไม่กี่ครั้ง
กุ้งแม่น้ำที่นี่ก็สดดี ราคาไม่แพงเกินไป คิดว่าน่าจะโอเคแต่เหมือนคนตรงหน้าก็ยังอึดอัดอยู่ดี
คนเด็กกว่าเปิดดูเมนู แต่ยิ่งเปลี่ยนหน้าคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น เนี่ยนะราคากลางๆ ที่บอก
แม่งไม่เห็นกลางเลย ราคาจานนึงเขากินข้าวได้ตั้งหลายมื้อ ขนาดร้านที่ไปกินวันพิเศษกับพี่เชนทร์ยังไม่ถึงครึ่งของร้านนี้เลย
“คุณสั่งเถอะ ถ้าให้ผมเลือก วันนี้คงไม่ได้กิน” ทำใจสั่งไม่ได้เลยสักอย่าง
“อ่า...” เอเชียเปิดเมนูไปมาอยู่ไม่นาน ก็หันคุยกับพนักงานเสิร์ฟ “วันนี้มีกุ้งแม่น้ำเผาตัวละกี่ขีดครับ”
“วันนี้มีสามกับสี่ค่ะ”
“งั้นเอาสี่ขีดสี่ตัว”
เด็กหัวไวได้ยินแบบนั้นแล้วก็ก้มมองเมนูที่เห็นผ่านตาเมื่อครู่ทันที
‘กุ้งแม่น้ำเผา ขีดละ195บาท’
ขีดละ 195
ตัวละ 4 ขีด
4ตัว…
ปิญชาน์สะดุ้งโหยง “เดี๋ยวคุณ”
“หืม”
“สั่งทำไมตั้งสี่ตัว”
“ก็กินไง อ้อ เอาปลากระพงทอดราดน้ำปลา แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว แล้วก็ปูเนื้อผัดผงกะหรี่ด้วย”
เอเชียตอบกลับหน้าตาเฉย แล้วยังหันไปสั่งอาหารต่อรัวๆ โดยไม่สนใจคนที่ทำตาโตอยู่ตรงข้าม
“ข้าวสองจาน แค่นี้ครับ”
“ค่ะ รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
“คุณเอาน้ำอะไร มะพร้าวไหม”
“ขอน้ำเปล่าครับ” ปิญชาน์ตอบกลับ น้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
“งั้นเอาน้ำเปล่ามาครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ”
พนักงานสาวที่กำลังก้มเก็บเมนูชะงักเมื่อปิญชาน์เอ่ยปากรั้งไว้ “คะ”
“แกงส้มขอไม่เผ็ดนะครับ”
“รับทราบค่ะ
“คุณกินเผ็ดไม่ใช่เหรอ” คนโตกว่าเอ่ยปากถามเมื่อหญิงสาวเดินจากไปแล้ว
“ก็คุณกินไม่ได้นี่”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“เป็นสิ คุณกินเผ็ดไม่ได้ แต่ผมกินได้ทั้งเผ็ดและไม่เผ็ด ก็ต้องสั่งที่กินได้สองคน”
“งั้นคุณก็ไม่ได้กินแบบที่ชอบ”
“ก็เอามาลองก่อน ถ้าเผ็ดไม่พอขอพริกเขาเพิ่มมาปรุงแยกเองก็ได้”
อ่า...เพิ่งรู้นะว่าทำแบบนั้นได้ด้วย
‘เอเชียไม่ชอบต้มยำเหรอคะ อร่อยนะ’
‘ผมไม่กินเผ็ด’ เขาคิดว่าเคยบอกไปแล้ว
‘อ้าวเหรอคะ งั้นคราวหน้าสั่งมาสองหม้อเลยเนอะ เผ็ดกับไม่เผ็ด’
บทสนทนากับบีนาดังซ้อนทับขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เอเชียเม้มปากเล็กน้อย เขารู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอก
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่น” ปิญชาน์ตีหน้าขึงขังเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “คุณสั่งอาหารมากินกี่คนเนี่ย”
“คุณกับผม”
“กินแค่สองคนสั่งมาทำไมเยอะแยะ มันจะหมดได้ยังไง”
“ไม่หมดก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“เพราะคุณคิดแบบนี้นี่ไง”
“แค่อยากให้กินหลายๆ อย่าง”
มาพูดแบบนี้อีกแล้ว เป็นความหวังดีที่ไม่อยากรับเลย แต่จะให้ปฏิเสธก็จะใจร้ายเกินไป
คิดแล้วก็หมั่นไส้ อายุก็มากกว่าแท้ๆ แต่ดันเหมือนเด็กที่ทำตัวไม่ดีแล้วมาพูดว่าผมรักแม่นะตอนท้ายอย่างนั้นแหละ
“ทำไมคุณหน้าบึ้ง”
ก็ดูราคาที่จ่ายค่ามื้ออาหารเมื่อกี้สิ มันเกือบจะจ่ายค่าเช่าบ้านเขาได้แล้วนะ
“คุณกินแพงแบบนี้ทุกมื้อเลยเหรอ”
“ผมจำไม่ได้หรอก”
เวลาสั่งอะไร เขาไม่ดูราคามันเลยด้วยซ้ำ
“ผมไม่สบายใจเลย”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ผมจ่ายได้”
“ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีนั่นแหละ ยิ่งคุณจ่ายผมก็ยิ่งไม่สบายใจ” ปิญชาน์ถอนหายใจ “ไว้ครั้งหน้าผมเลี้ยงข้าวคุณนะ”
เอเชียมองคนที่ยกมือเกาศีรษะตัวเองเงียบๆ เขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน
อีกอย่างวันนี้ปิญชาน์ก็กินทุกอย่างจนเกลี้ยง น่าดีใจออกไม่ใช่เหรอ ปกติคนอื่นกินไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
“กินไอศกรีมไหม”
“ผมเอาอะไรเข้าปากอีกไม่ไหวแล้ว” ไม่รู้หรือไงว่าเมื่อกี้พยายามแค่ไหนถึงจะกินหมด
“ก็บอกคุณแล้วว่าให้หยุดกิน”
“คุณควรสั่งให้พอดีกับที่จะกิน มากกว่าสั่งเท่าที่อยากสั่งนะครับ”
“แล้วถ้าอยากกินหลายอย่างจะทำยังไง”
“บางครั้งคนเราก็ต้องเลือกครับ”
“เลือกแล้วไงถึงสั่ง”
“ผมไม่เถียงกับคุณแล้ว”
ปิญชาน์พูดแบบนั้นเพื่อตัดบทสนทนา ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
อีกฝ่ายจะใช้เงินเยอะแค่ไหนก็ไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาต้องมาวุ่นวาย
นี่คงเป็นครั้งเดียวนั่นแหละที่จะมากินข้าวในที่แบบนี้ด้วยเงินคนอื่น
“ผมขอโทษ”
คนเด็กกว่าชะงัก “ครับ?”
“ผมขอโทษ”
“คุณขอโทษผมเรื่องอะไร”
“ที่คุณพูดก็ถูก” เอเชียว่า เขาคิดตามแล้วก็เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด แต่แค่เคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้ กับแค่อาหารเขาจะกินอะไรก็ได้ เพราะเขาสามารถกินทุกอย่างที่อยากกินได้เท่าที่ต้องการอยู่แล้ว
“ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมอะ ผมก็วุ่นวายกับคุณไปเองแหละ แต่คือเพราะผมมากินด้วยไง แล้วเงินที่คุณจ่ายไปเมื่อกี้ผมต้องทำงานเป็นเดือนเลยกว่าจะได้มา พอรู้ว่าตัวเองเป็นคนใช้ด้วย มันก็เศร้านิดนึง”
เอเชียเงียบไป เขาไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าเดี๋ยวนี้เงินหนึ่งพันมีค่ากับคนอื่นแค่ไหน ใช้อะไรได้บ้างสำหรับแต่ละคน
เพราะถ้าถามเขาแล้ว หนึ่งใบมันหมดเร็วกว่ากะพริบตาเสียอีก
“ผมเข้าใจแล้ว”
“แค่เข้าใจผมก็พอ แต่ไม่ต้องเป็นแบบผมก็ได้ คนเราต่างกัน”
“ขอบคุณ”
ขอโทษและขอบคุณได้ง่ายๆ อย่างไม่ลังเลเลย ความจริงคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ส่วนมากแล้วจะพูดคำนี้ยาก
เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ต้องคิดถี่ถ้วนกว่าจะเอ่ยออกมาได้แต่ละคำ
เพราะแบบนี้ละมั้ง เขาถึงรู้สึกว่าคุยกับอีกฝ่ายได้
อย่างน้อยก็ไม่อึดอัดเท่าเดิมแล้ว
อาจจะ...
ความจริงเขาแทบจะไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเลย แต่เขาก็ยังคิดทบทวนอยู่ทั้งคืน
‘จริงจังกับความสัมพันธ์สักที’
‘หาใครสักคนที่ไม่ต้องใช้เงิน ใช้แค่ใจ แล้ววางมันไว้กับใจเขา’
คิดเกี่ยวกับคำพูดพวกนี้
ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหน้าใครปรากฎขึ้นหลังดวงตายามที่มีคนเอ่ยปากถึงความสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าคู่นอน
ซึ่งเขาพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ผูกมัด ไม่มีพันธะ ไม่ต้องมีภาระทางความรู้สึก
ตราบใดที่พึงพอใจในสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันย่อมลงเอยด้วยดี เขาคิดว่าเป็นจุดยืนที่ลงตัวที่สุดสำหรับองค์ประกอบในตัวเขา
หมายถึงทั้งฐานะและความรู้สึก
เขาแตกสลายเกินกว่านี้ไม่ได้
เจ็บปวดเกินกว่าที่เคยไม่ได้...ไม่ได้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังค้นพบ ต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่เติบโตช้าๆ ในทะเลทรายกว้างใหญ่ที่ไร้สิ่งมีชีวิต
พลังงานที่ดึงดูดเขาให้เข้าไปใกล้
ใกล้จนบางครั้งใจมันเต้นแรง ราวกับจะร้องเตือนให้รู้ถึงภัยอันตราย
ไม่เป็นไร
ระยะห่างเท่านี้เขายังไม่เป็นไร
ได้แต่ปลอบตัวเองซ้ำๆ ทุกครั้งที่ก้มลงมองเท้า
โล่งอกเมื่อพบว่าปลายเท้านั้นยังไม่เลยเส้นสีแดงที่ขีดเอาไว้ในใจ ไม่มีใครเข้ามาได้
เช่นเดียวกับที่เขาไม่คิดจะก้าวข้ามออกไป...
“นาทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ”
หลังจากเงียบไปนาน หญิงสาวก็เอ่ยปากออกมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตากลมโตมองมาที่เขาอย่างตัดพ้อ
“เปล่าครับ นาไมได้ทำอะไรผิด”
“แล้วทำไม...”
“…”
“ถึงต้องเลิกคุยกับนา”
“ขอโทษครับ”
“เอเชียมีคนอื่นแล้วเหรอคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก “เปล่าครับ”
“แล้วทำไมถึงต้องเลิกคุยกันล่ะคะ”
“ผมไม่พูดน่าจะดีกว่าครับ”
“…”
บีนาเม้มปาก เธอไม่กล้าบอกให้อีกฝ่ายพูดตรงๆ เพราะกลัวว่าจะรับไม่ไหวเสียเอง
เอเชียไม่ใช่คนอ้อมค้อม พอๆ กับที่ไม่ใช่คนโลเล เขาชัดเจนในรูปแบบของตัวเองเสมอ
แม้ว่าสำหรับบางคนจะไม่เรียกมันว่าความชัดเจนก็ตาม
“นาถามได้ไหมคะ”
“ครับ”
“ตอนอยู่กับนา เอเชียมีความสุขบ้างไหม”
เอเชียพยักหน้า “มีครับ”
“ไม่ได้รักนาเลยเหรอคะ”
“ไม่ได้รักครับ”
“...”
“นาเองก็ไม่ได้รักผม”
“ทำไมเอเชียถึงคิดแบบนั้น” เสียงนั้นฟังดูน้อยใจจนน่าสงสาร
เอเชียกลอกตาซ้ายขวาไปมาอย่างใช้ความคิด เขาถอนหายใจเอื้อมมือไปจับจานอาหารเลื่อนไปใกล้บีนา
“คะ?”
เอเชียแตะจานปลาหมึกนึ่งมะนาว “ผมแพ้ปลาหมึก” แล้วผละไปที่หมูกระเทียมพริกไท “ผมไม่กินกระเทียม” ก่อนจะจบลงที่ต้มยำซีฟู้ด “แล้วก็กินเผ็ดไม่ได้ครับ”
“…”
บีนานิ่งเงียบ รู้สึกมือชาหนึบตอนที่สบตากับคนตรงหน้า เธอไม่รู้จะพูดยังไงดี เพราะรู้แก่ใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“นาไม่ได้รักผมหรอกครับ”
ถึงตอนนี้แล้วเธอเถียงไม่ออก
และละอายใจเหลือเกิน
[มีคนใหม่?]
เอเชียส่ายหน้า ทำไมถึงต้องเกิดคำถามนี้เป็นข้อแรกเมื่อรู้ว่าเขาเลิกคุยกับใครสักคน “เปล่า”
[ถามจริง]
“อืม แค่ไม่อยากคุยกับเธอแล้ว”
[เออดี แล้วก็ยังไม่ต้องรีบหาคนใหม่เลย]
“ไม่เคยหาสักหน่อย”
[หมายถึงไม่ต้องรับใครเข้ามาด้วย]
“อ่าฮะ”
กุมภาถอนหายใจ เขารู้ดีว่าเอเชียไม่เชื่อคำพูดเขาหรอก ต่อให้บ่นให้ตายยังไงเจ้าตัวก็ยึดความคิดตัวเองเป็นหลักอยู่ดี
[นี่มึงอยู่ไหน]
“มหา‘ลัย”
[จะแวะคอนโดกูไหม]
“ยังไม่แน่ใจ”
เขาตอบกลับ สายตาเหลือบไปเห็นปิญชาน์เดินตรงไปทางคณะศิลปกรรมพอดี
“แค่นี้ก่อนนะ”
เอเชียวางสายแล้วก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาคนตรงนั้น “ปิญชาน์”
เจ้าของชื่อชะงักเท้าเอี้ยวตัวกลับมา “อ้าวคุณ”
“มาทำอะไร”
“ธุระครับ คุณมีไรเปล่า”
“ไปกินข้าวกัน” เขาเอ่ยปาก
“ผมมีงานครับ ไม่ว่างไปด้วย”
“เสร็จกี่โมง”
“ไม่ว่างเลยครับ จบจากนี่ก็ต้องไปทำงานร้านข้าวต้ม”
“อยากกินบัวลอย”
“วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ ครับ”
“แวะตอนไปทำงานร้านข้าวต้ม”
“ไม่ทันหรอกครับ บอกเจ๊ไว้ว่าจะเข้าเร็วหน่อยพอดีอีกกะนึงมีคนลา”
“ผมอยากไปกินบัวลอยร้านนั้นอีก”
“ก็ไปกินเองสิครับ เคยพาไปแล้ว ร้านก็รู้จัก”
เอเชียขมวดคิ้ว จะให้เข้าไปร้านนั้นคนเดียวมันไม่กล้า “…”
“ไปละนะครับ เดี๋ยวอาจารย์รอ”
“เท่าไหร่”
“ครับ?”
“ค่าจ้างอะเท่าไหร่”
“หมายความว่าไง”
“จะจ่ายแทนแล้ววันนี้ไม่ ต้องทำงาน”
ปิญชาน์คิ้วกระตุก เริ่มอีกแล้วไอ้คำพูดไม่เข้าหูเนี่ย “มันทำได้ที่ไหนล่ะ”
“ทำไมไม่ได้ จะเอาเท่าไหร่ ไอ้หนี้นั่นก็ยกเลิกไปเลย เงินแค่นั้นเอง”
ฟังถึงตรงนี้คนเป็นหนี้ก็ฉุนกึก อย่ามาดูถูกความพยายามคนอื่นนะเว้ย
รู้หรือเปล่าว่าเขาต้องทำงานขนาดไหน กว่าจะหาเงินมาผ่อนคืนได้ครบน่ะ
“เก็บเงินคุณไว้เหอะ”
“ก็ทำเพื่อเงินไม่ใช่เหรอ จะให้แทนนี่ไง”
“จะพูดอีกทีนะ ต่อให้คุณเอาเงินมากองตรงนี้ผมก็ไม่เอา” ปิญชาน์พูดเสียงแข็ง เขามองอีกฝ่ายตาขวางก่อนจะหันหลังเดินขึ้นบันไดไป โดยมีสายตาไม่เข้าใจของเอเชียมองตาม
เขาทำผิดตรงไหน ก็ในเมื่อทำงานเพราะอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ นี่ก็เอาเงินมาให้ไง แล้วไม่ต้องทำก็จบ มันจะมีอะไร
ทำไมต้องทำอะไรให้ยากด้วย
to be continued...
มาแล้วค่ะะะะ มาช้านิดนึง พอดีเดย์เพิ่งกลับมาถึงไทย เพราะรีบมากๆ เลยลงได้แค่ในเล้า
ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องรอกันนะคะะ ;-;;
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกเอเชียสกมกทหานหกทดาหสหสมกสหสกมกสแสหยสแมแนหสหวกวกยหใหมแมแสหสหาแไตพนยะยดยดาดา
เอเชียมาเป็นผั-ชั้นเถอะค่ะ !
แต่เอเชียเป็นผู้ชายที่ไม่ถือตัวเลยอะ พูดขอบคุณ ขอโทษได้แบบง่ายๆเลย น่ารักจัง
แต่เข้าใจ//ตบบ่า
ก็ใช้เงินมาทั้งชีวิต ไม่รู้จักวิธีอื่น ก็ไม่ผิดอะไร....