ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Silent Shout

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter : IV

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 62


    Chapter IV

             

              ผมตื่นขึ้นอีกครั้งตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ กลายเป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องตื่นมาพร้อมกับอาการเวียนหัว แต่ไม่ว่าจะเวียนหัวอย่างไรผมก็ไม่ลืมแผนที่คิดเอาไว้ ผมล้วงมือเข้าไปใต้หมอน กำเศษกระปุกยาไว้ในมือก่อนโซเซเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าและแอบเหน็บซ่อนเจ้าพลาสติกนั่นไว้ตรงกางเกง พอกลับออกมาก็เห็นมีอาหารเมนูเดิมวางไว้หน้าประตูลูกกรงพร้อมกับร่างผอมของคนที่นำมาให้ ผมหรี่ตามองเธอ วันนี้เธอแต่งตัวแตกต่างจากปกติ เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าหลวมโพรกเหมือนขโมยมันมา กับกางเกงขาสั้นและถุงน่องสีดำ รองเท้าผ้าใบสีน้ำเงิน ไม่มีฮู้ดมาบดบังใบหน้าของเธอเหมือนก่อน ผ้าก๊อซที่เคยปิดแก้มไว้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เหลือแค่เพียงรอยแผลเล็กน้อยและรอยช้ำที่ดวงตาเท่านั้น

              

              น่าตลกดี ผมคิดว่าที่เธอเปลี่ยนชุดมันเป็นเพราะโดนผมทักหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างยายนี่จะละอายแก่ใจเป็นเหมือนกัน แม้ว่าสีหน้าเธอในตอนนี้จะไม่แสดงความรู้สึกนั้นเลยก็ตาม

              

              “สวัสดี” เธอเอ่ย

              

              ผมนั่งลงแกะพลาสติกที่ห่อจานสปาเกตตี้แล้วตอบ “ชุดเธอดูดีนี่”

              

              “ขอบใจ”

              

              ผมม้วนเส้นสปาเกตตี้เข้าปาก กะว่าวันนี้จะกินให้เยอะกว่าเมื่อวานเพราะผมต้องใช้กำลัง ผมกินไปเรื่อย ๆ โดยไม่พูดอะไร ส่วนเธอเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ผมเหลือบตามองเธอขณะยกขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วจึงเห็นว่าเธอเองก็มองผมอยู่ ผมปิดฝาขวด วางไว้ที่เดิมแล้วพูด

              

              “นี่...คือว่าฉัน...อยากจะเปลี่ยนกางเกงน่ะ” ผมลุกขึ้นยืน “แต่ฉันทำไม่ได้เพราะเจ้านี่” ผมดึงขากางเกงขึ้นให้เธอเห็นโซ่ “ฉันใส่กางเกงนี่มาสองวัน รวมถึง...เอ่อ....” ผมชี้นิ้วที่กางเกงเพื่อสื่อให้เธอรู้ว่านอกจากกางเกงวอมแล้วยังมีกางเกงชั้นในอีกด้วย “ฉันไม่อยากทนกับมันนานกว่านี้ เพราะงั้นได้โปรดเถอะ” ฉันไม่ได้สกปรกเหมือนเธอยายบ้า

              

              “อ้อ” เธอทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นก็ยื่นขาออกมา” เธอหยิบพวงกุญแจที่มีอยู่ประมาณสี่ห้าดอกออกมาจากกระเป๋ากางเกง

              

              ผิดคาดไปเล็กน้อย...แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าผมถูกปล่อยจากโซ่บ้านี่แล้วผมก็คงไม่ยื่นออกไปให้เธอล่ามไว้อีกแน่ ผมทำตามที่เธอบอก เธอไขกุญแจที่คล้องโซ่ออกให้ผม ความสบายใจแล่นปรี่ขึ้นมาทันที

              

              “ขอบใจ” ผมพูดพลางเดินโซเซไปยังตู้เสื้อผ้า ผมยังมึนงงอยู่เล็กน้อยแต่ก็พยายามแสดงละครผสมเข้าไปอีกขั้นเพื่อทำให้เธอเชื่อว่าผมร่างกายไม่ค่อยดี ผมหยิบกางเกงวอมและชั้นในจากตู้มาอย่างละตัวเดินเข้าห้องน้ำ ผมเปลี่ยนกางเกงตามที่บอกเธอจริง ๆ ผมเองก็ไม่อยากวิ่งหนีไปด้วยสภาพแบบนี้หรอกน่า ผมยังกำเศษกระปุกยาไว้ในมือ จากนั้น...ผมก็เริ่มทำตามแผนสองด้วยการปัดขวดครีมอาบน้ำกับยาสระผมให้ร่วงลงบนพื้นและแน่ใจว่ามันเสียงดังพอที่จะทำให้เธอได้ยินพลางล้มตัวลงนอน จัดฉากให้ดูเหมือนคนเป็นลม ผมหลับตาพลางสมองก็คิดไปด้วยว่า เธอมีทางเลือกสองอย่าง นั่นคือ ปล่อยผมทิ้งไว้ตรงนี้กับจำเป็นต้องเข้ามาดูผม

              

                   แกร๊ก

                

              ให้มันได้อย่างนี้สิ! ผมได้ยินเสียงไขประตูจึงรีบจัดท่าให้สมจริงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยตัวเองให้กลายเป็นคนหมดสติ เสียงฝีเท้าเดินย่ำมาใกล้ ดูเหมือนเธอจะย่อตัวลงก่อนใช้นิ้วแตะที่ลำคอผม ในจังหวะนี้เองผมจึงฉุดข้อมือเธอจนล้มลงและปักเศษพลาสติกลงบนสีข้างของเธอทันที โชคดีที่เสื้อที่เธอสวมอยู่นั้นไม่ได้หนาเหมือนอย่างเสื้อกันหนาวที่เธอใส่เป็นประจำ เพราะไม่อย่างนั้น จุดที่ผมเล็งจะกลายเป็นลำคอของเธอแทน

              

              ผมนั่งคร่อมเธอ แทงเศษพลาสติกเข้าที่ไหล่เธออีกครั้ง เลือดสีแดงไหลซึมตามเนื้อผ้า เธอส่งเสียงร้องอึ่กอั่กพลางปัดป้องการจู่โจมของผม แน่นอนล่ะว่าในจุดนี้เธอสู้ผมไม่ได้ แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ลืมว่าแม่นี่ถึกทนแค่ไหน ก่อนที่เธอจะจับผมมา เธอถูกผมต่อยกลับอย่างไม่ปรานีขนาดนั้นแต่ก็ยังดูเหมือนไม่ได้สาหัสอะไร ดังนั้นคราวนี้ผมจะไม่พลาดแน่ ผมต้องทำให้เธอสลบแล้วค่อยขังเธอเอาไว้เพื่อจะได้แน่ใจว่าเธอจะวิ่งตามผมออกมาไม่ได้ ผมจิกผมเธอขึ้นมาแล้วจับโขกกับอ่างล้างหน้าสองครั้ง พอเห็นว่ามีเลือดเปื้อนตรงขอบอ่างผมจึงเหวี่ยงเธอลงไปในอ่างอาบน้ำก่อนจะพาตัวเองวิ่งออกจากห้องนั้นแล้วกดล็อคกุญแจทันที ผมถอยห่างมาสองสามก้าว รอดูผลลัพธ์และก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอไม่ได้ตามออกมาจากห้องน้ำ ผมเดาเอาว่าถ้าหากเธอไม่สลบก็อาจจะตายไปแล้ว หัวใจผมเต้นรัวเมื่อคิดว่าเป็นอย่างหลัง แต่สุดท้ายผมก็ไม่มัวยืนอยู่ตรงนั้นให้เสียเวลา ผมลงมาที่ชั้นสองซึ่งปิดไฟมืดทึบ ผมไม่มีเวลามาสังเกตอะไรมากนัก รู้แค่ว่ามันก็ดูเหมือนบ้านคนปกติทั่วไป ประตูอยู่ไม่ไกลจากบันได เพียงแค่ไม่กี่ก้าวผมก็ออกมายืนอยู่กลางถนนนอกบ้าน มีรถยนต์รุ่นเก่าจอดอยู่หน้าบ้าน ผมลองเปิดประตูรถดูแต่มันกลับถูกล็อคเอาไว้

              

              ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความมืด มีเสาไฟฟ้าข้างทางก็จริงแต่แสงไฟก็ดูริบหรี่นัก หมอกหนาทึบบดบังทางข้างหน้า ไม่สิ...ผมคิดว่ามันบดบังทุกทางที่ผมคิดว่าจะเป็นทางหนี ราวกับว่ามันกำลังล้อมรอบผมเอาไว้ ผมตรงไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อน คิดเสี่ยงดวงเอาว่าอาจจะมีคนอาศัยอยู่แต่ก็เป็นไปตามความคิดแง่ลบ เพราะบ้านหลังนี้คือบ้านร้างจริง ๆ

              

                   ให้ตายสิ!

                

              ผมออกจากตัวบ้าน เงยหน้ามองไปยังหน้าต่างของห้องที่ผมเคยถูกขังไว้แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนเผลอเซถอยหลังเมื่อพบว่า เปเปอร์ แมคเคน กำลังยืนมองผมจากบนนั้นด้วยใบหน้าอาบเลือด ผมยืนนิ่งไปชั่วขณะเพราะความตกใจ พอตั้งสติได้จึงชูนิ้วกลางใส่เธอพลางตะโกนเสียงดัง “ไปตายซะ!” แล้ววิ่งตรงไปตามทางเบื้องหน้าฝ่าหมอกหนาด้วยเท้าเปล่า

              

              ตลอดทางที่ผมวิ่งผ่านมีบ้านตั้งห่างกันไม่มากนัก และบ้านแต่ละหลังล้วนเป็นบ้านร้าง หมู่แมกไม้ต่าง ๆ ปกคลุมสองข้างทาง ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนขัดขวางเส้นทาง แค่ความมืดก็ทำให้มองเห็นลำบากอยู่แล้ว ยังต้องมาแหวกกิ่งไม้ที่บังทางซะทึบไปหมด ผมก้าวผ่านหมู่กิ่งไม้มาเรื่อย ๆ พลันในใจก็รู้สึกว่าอากาศมันเย็นลงแปลก ๆ อีกทั้งที่เท้าก็ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป ผมไม่ได้ยืนอยู่บนถนน แต่กลับเป็นพื้นดินชื้นแฉะ และพอมองโดยรอบอีกทีก็ดูเหมือนที่นี่จะกลายเป็นป่าไปแล้ว ผมคงมาผิดทาง อีกฝั่งตรงข้ามของถนนคงจะเป็นทางออกจริง ๆ ของหมู่บ้านนี้ ผมหันหลังกลับทางเดิม แต่แล้ว พอเดินไปได้สักพักผมกลับไม่เจอถนนเส้นเดิมที่วิ่งมาเสียที

              

              นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งวนอยู่ในป่าที่หาทางออกไม่เจอ อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ หัวใจก็เต้นรัวอย่างน่าประหลาด และทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู

              

              “เฮ้”

              

              สิ้นเสียง บางอย่างซึ่งแหลมคมก็ปักเข้าที่เอวแล้วถูกดึงกลับ “อึ่ก!!!” ผมร้องก่อนจะล้มลง สิ่งที่ผมเห็นคือคนที่ผมไม่อยากเชื่อว่าเธอจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เธอควรจะอยู่ในบ้านไม่ใช่หรือ? สมองไม่ทันได้ประมวลผล ทันทีที่ผมล้มลง เธอก็ตามมาคร่อมแล้วจ้วงแทงที่แขนซึ่งผมยกขึ้นมากำบังตามสัญชาตญาณ ผมร้องลั่น เธอดึงมีดออกแล้วปาดเข้าตรงลำคอด้านข้าง พอผมยกมือขึ้นบังอีกครั้งเธอก็ปัดออกด้วยมีด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วโดยการกระทำของเธอ และคราวนี้เธอดูคลั่งมากกว่าคราวที่ผ่านมา

              

              ผมดิ้นพรวดพราด พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นแต่เธอก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนแล้วปักมีดลงที่ขา “อ๊ากกก!!!” ผมร้องเสียงหลง น้ำตาซึมที่เบ้าเพราะความเจ็บปวด “อย่า! อย่า!” ผมอ้อนวอนพลางขยับกายถอยหนีเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ ขณะเดียวกัน ผมก็มองเห็นความตายคืบคลานมาเช่นกัน “ขอร้องล่ะ! อย่าฆ่าฉัน!

              

              เธอเหยียบขาผมข้างที่ถูกแทงแล้วดึงมีดออกอย่างไม่สนใจเสียงร้องของผม เธอยืนมองผมนิ่ง ความมืดทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเธอ

              

              “นายหนีไปไหนไม่ได้หรอก” เธอพูดก่อนจะเตะเข้าที่ใบหน้าผมอย่างแรง และผมมั่นใจว่ามันแรงพอที่จะทำให้สติของผมดับลง

     

              “แกหนีไปไหนไม่ได้หรอกไอ้อ้วน” ผมผลักไอ้อ้วนที่ว่าจนเซถลาไปกระแทกกำแพง หมอนี่ตกอยู่ในวงล้อม แก๊งค์ของผม งานหลักของเขาขณะอยู่ที่โรงเรียนก็คือเป็นทาสรับใช้และไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้อง ถ้าหากว่าเขาปากโป้งหรือทำให้พวกผมต้องเดือดร้อนเมื่อไรนั่นหมายถึงเขาต้องตลกนรกและจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแน่ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หมอนี่ดันไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง เขาบังอาจท้าทายผมด้วยการแอบหลบซ่อนตัวเอง พยายามจะหนีออกจากอำนาจ แต่หมูอย่างไรก็ยังเป็นแค่หมู ต่อให้พยายามหนีแค่ไหนก็ไม่รอดพ้นอยู่ดี และงานนี้เขาต้องชดใช้

                

                   เขายืนก้มหน้างุด ทำเหมือนว่าการพยายามหดตัวจะช่วยให้ไขมันมันสลายจนตัวเล็กลงได้อย่างนั้นล่ะ

                

                   ไอ้เวรนี่มันโคตรกล้าเลยว่ะ จัดการมันสักหน่อยเป็นไง?” เพื่อนผมคนหนึ่งพูด ในมือเขาถือบุหรี่

                

                   ผมเห็นด้วยกับเขา ในเมื่อไอ้หมูสกปรกนี่มันอยากลองดี ผมก็ควรจะสั่งสอนให้มันได้หลากจำ และพอคิดได้แบบนั้น คนที่พูดก็จี้บุหรี่เข้าที่แขนอวบขาวของหมอนี่ทันที

                

                   “โอ๊ย!” เจ้าหมูตอนร้องครวญเหมือนหมูโดนเชือด พวกผมหัวเราะกันอย่างชอบใจ คนถือบุหรี่จี้ที่แขนเขาอีกครั้งกับตรงเสื้อจนเป็นรู ส่วนผมก็ตบเข้าที่บ้องหูเขาไปทีหนึ่งแล้วดึงคอเสื้อยกสูงขึ้นแล้วขู่

                

                   “จำไว้ไอ้หมูตอน ถ้าแกไม่อยากโดนแบบนี้อีกก็อย่ามาลองดีกับพวกฉัน” ผมจับตัวเขาเหวี่ยงออกจากวงล้อม เพื่อนอีกคนจึงถ่มน้ำลายใส่ก่อนที่ไอ้หมูจะรีบวิ่งหนีไป ผมมองร่างอ้วนเตี้ยที่วิ่งต้วมเตี้ยมอย่างน่าตลกด้วยความพึงพอใจ

                

                   ถ้างานหลักของหมอนี่คือการเป็นทาส งานหลักของผมก็คือการเล่นงานและกลั่นแกล้งพวกกระจอกน่าสมเพชนั่นล่ะ

     

    Night 6

             

              ผมลืมตาช้า ๆ พอได้สติก็ต้องประสบกับความเจ็บปวดทันที ผมร้องครางเบา ๆ ข้อมือทั้งสองข้างถูกล็อคไว้กับขาเตียงด้วยกุญแจมือ แผลที่มือถูกพันด้วยผ้าพันแผลแต่ก็ยังมีเลือดซึมออกมาให้เห็นรวมทั้งที่ขาด้วยเช่นกัน ผมไม่กล้าขยับตัวแรงเพราะมันจะกระทบต่อบาดแผลที่เอวด้วย นอกจากจะเจ็บตามร่างกายแล้ว ที่ใบหน้าก็ช้ำระบมไม่แพ้กัน

              แสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามาในห้อง ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตู้เสื้อผ้า เห็นเปเปอร์กำลังยืนทำอะไรสักอย่างตรงนั้น เธอกลับมาใส่ชุดตัวเดิม ผมได้ยินเสียงเธอพำพึมในลำคอเป็นเสียงนับเลข พอนับได้ถึงสิบแปดเธอก็หันมา ร่างกายผมสั่นสะท้านทันทีที่เธอเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าเธอมีรอยช้ำเล็กน้อย และติดผ้าก๊อซที่หน้าผากข้างซ้าย เธอย่อตัวข้างหน้าผมแล้วพูด สีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึก

              

              “นายกินยาคลายเครียดไปสองเม็ด ฉันทำให้นายเครียดงั้นหรือ?”

              

              ฉันคงสบายใจมากมั้งยายบ้า...ผมอยากจะตอบไปแบบนี้แต่เหตุการณ์เมื่อคืนช่วยย้ำเตือนไม่ให้ผมพูดอะไรที่อาจจะเป็นการกวนประสาทเธอ สิ่งที่ผมตอบกลับจึงมีแค่ความเงียบกับอาการตื่นตระหนกที่น่าจะเห็นได้ชัด เธอยื่นมือมาจับหน้าผม ผมผงะเล็กน้อยพลางหันหนี

              

              “นายคงจะเครียดมากสินะ” นิ้วเธอข้างหนึ่งโดนรอยช้ำบนหน้าผม เธอบีบเบา ๆ ราวกับจงใจ ผมจึงสะบัดหน้าหนีอย่างแรง

              

              “อย่าแตะตัวฉัน...” ผมบอกเธอ มั่นใจว่าน้ำเสียงดูวิงวอนมากที่สุดแล้ว มันคงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะในที่สุดเธอก็ยอมละมือออกไป เธอยืนขึ้นแล้วตอบ

              

              “ฉันอยากจะช่วยนายบ้างนะ แต่ถ้านายไม่ยอมพูดฉันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง” เธอหันหลังทำท่าจะออกไปแต่ผมที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้นจึงรีบรั้งเอาไว้ทันที

              

              “เธอจะช่วยฉันยังไง?” ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเหมือนเธอพยายามฆ่าผมด้วยซ้ำ “เธอทำกับฉันแบบนี้แล้วบอกว่าจะช่วยฉันงั้นหรือ? ทั้งที่เธอเป็นคนทำฉันเนี่ยนะ?” มันฟังดูน่าตลกแต่ก็เป็นตลกที่แฝงความร้ายกาจอย่างน่ากลัว

              

              “ฉันสามารถช่วยนายได้ ฉันบอกไปแล้วนี่” เธอหันมาตอบ “เพียงแค่นายเอ่ยปากขอ แต่เมื่อคืนนี้นายทำตัวดื้อรั้นกับฉัน ดังนั้น...ฉันจึงจำเป็นต้องทำให้นายเห็นว่านายไม่ควรทำแบบนั้นอีก นี่คือการตักเตือน”

              

              “เธอเป็น อะไรกันแน่?” ในที่สุดผมก็ถามคำถามนั้น สิ่งที่ผมคาใจมาตั้งแต่แรกและไม่คิดว่าในตอนนี้ผมจะยิ่งสงสัยในตัวเธอมากเข้าไปอีก ที่จริงผมเคยถามคำถามทำนองนี้กับเธอไปแล้วแต่ตอนนั้นเธอไม่ตอบผม ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอยืนนิ่ง จ้องมองผมด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อคืนนี้เธอออกมาได้ยังไง ไหนจะตอนนี้ที่เธอยังดูแข็งแรงทั้งที่เธอควรจะสลบไปด้วยซ้ำ บอกฉันทีเถอะ...เธอเป็นตัวอะไรกันแน่? เธอเป็นผีหรือว่าปีศาจ...” 

              

              “นายจะคิดแบบนั้นก็ได้นะ” เธอตอบ “เพราะถ้านายคิดว่าฉันเป็นอะไรแบบนั้นจริง ๆ มันก็อาจจะช่วยให้นายไม่ทำอะไรบ้า ๆ อย่างเมื่อคืน”

              

              “เธอล้อเล่น...”

              

              “ส่วนเรื่องที่ฉันออกมาได้...” เธอพูดแทรกไม่สนใจคำพูดของผมพลางหยิบพวงกุญแจขึ้นมาชูให้ดู “ฉันมีกุญแจไง นายนี่มันไม่ค่อยจะรอบคอบเหมือนเคยเลยนะ”

              

              ผมตกอยู่ในอาการนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอพูดถูก ผมลืมไปสนิทว่าเธอมีกุญแจ ผมน่าจะเอามันมาด้วยแต่ผมกลับนึกถึงแต่เรื่องหนีจนทำอะไรไม่รอบคอบ ให้ตายเถอะ...ผมมันโง่จริง ๆ

              

              “นายยังไม่ตอบฉันเลย สรุปว่านายเครียดอะไรหรือเปล่า?” เธอวกมาคำถามเดิม

              

              “เธอคิดว่าฉันอารมณ์ดีนักหรือไง?” ผมตอบอย่างอดประชดประชันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็พูดแก้ทีหลัง “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากโดนขังอยู่ในนี้ เธอปล่อยฉันไปได้ไหมล่ะ?”

              

              “ถ้าให้ปล่อยไปคงไม่ได้ แต่ฉันจะหาวิธีให้นายหายเครียดแล้วกัน อืม...นายอยากออกไปข้างนอกใช่ไหม?”

              

              “ออกไป?” ผมไม่ค่อยเข้าใจคำถาม

              

              “ฉันพานายออกไปเดินเล่นได้ เผื่อว่ามันจะทำให้นายหายเครียด ตอนนี้น่ะ สนใจหรือเปล่า หรือว่านายอยากจะนอนพัก”

              

              “ไม่...ไม่...ฉันจะไป” แค่เดินเล่นผมก็ไม่ปฏิเสธ บางทีผมอาจจะหาทางหนีทีไล่ไปด้วยก็ได้

              

              เธอไขกุญแจมือให้ผมแล้วสั่ง “หันหลังไป” ผมยืนขึ้นเมื่อเป็นอิสระจากการถูกตรึง น่าแปลกใจนิดหน่อยที่เธอดูไม่กลัวว่าจะต้องสู้กับผมอีกเลย ส่วนตัวผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าทำอย่างเมื่อคืนอีกครั้งผลลัพธ์มันจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า เธอดูเหมือนกำลังท้าทาย เหมือนกำลังหลอกล่อให้ผมเหยียบกับดัก ผมคิดสองจิตสองใจราวกับตัวเองตกอยู่ในกระดานหมากรุกที่ต้องอ่านใจคู่ต่อสู้และต้องตัดสินใจในการเดินหมาก

              

              ...และแล้ว ผมในตอนนี้ก็ยอมเป็นตัวหมากที่ถูกกิน ผมหันหน้าไปทางเตียงแต่โดยดี เธอจับข้อมือผมไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือก่อนจะเดินนำไป “ตามมาสิ”

     

              

              ผมเดินตามเธอลงมาชั้นสอง พอลงบันไดมาก็จะเจอกับประตูหน้าบ้าน แต่นั่นไม่ใช่ทางที่เธอจะพาไป เธอนำผมเข้ามาลึกในตัวบ้าน ผมเดินผ่านระหว่างบันไดกับห้องนั่งเล่นมาจนถึงห้องครัว ตรงนี้มีประตูอีกบานหนึ่ง ตรงข้างประตูมีตะขอซึ่งแขวนปลอกคอและโซ่จูงเอาไว้ ตอนแรกผมคิดว่าเธออาจจะเคยเลี้ยงสุนัข แต่พอเธอหยิบมันเท่านั้นล่ะ ผมก็เปลี่ยนความคิดทันที ไม่เอาน่า...อย่าบอกนะว่าจะใช้มันกับผม เธอตอบคำถามในใจนั้นโดยการคล้องปลอกคอที่คอผม ให้ตายเถอะ...เห็นฉันเป็นหมาหรือยังไง?

              เธอกระตุกโซ่เบา ๆ เพื่อให้ผมเดินตามออกมาข้างนอกซึ่งเป็นสนามหญ้าโล่ง ๆ  ไกลออกไปหน่อยเป็นป่ารกเต็มไปด้วยหมู่แมกไม้ เธอจูงผมตรงเข้าไปในนั้น

              

              “เธอจะพาฉันไปไหน?” ผมชักเริ่มไม่แน่ใจในชะตากรรมของตัวเอง

              

              “ไม่ต้องห่วง ฉันจะพาไปเจอพวกเขา เสร็จแล้วเราจะกลับมาที่บ้าน” เธอตอบโดยไม่หันมา

              

              พวกเขางั้นหรือ? พวกไหนกัน? ระหว่างที่เดินตามแรงจูงผมก็คิดไปด้วยว่าเธอหมายถึงใคร ไม่นานสมองก็ค้นหาได้ว่าอาจจะเป็นพวกเพื่อนที่เธอเคยพูดถึง ผมรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง เธอทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาที่กำลังจะนำไปอวดเพื่อน เราเดินลัดเลาะเข้ามาในป่าลึกพอสมควร ผมขยับข้อมือไปมาเผื่อว่ากุญแจมือจะหลุดแต่ลืมไปว่าผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ผมได้แต่เดินตามแรงจูงของเธอ ยิ่งเราเข้ามาลึกมากเท่าใด บรรยากาศก็ดูครึ้มลงมากเท่านั้น แสงแดดยามเช้าหุบหายเหลือไว้เพียงเมฆสีเทาอึมครึม เสียงฝูงนกกระพือปีกบินจากด้านบนเหมือนฉากในหนังผี

              

              “ฉันไม่อยากไปแล้ว” ผมพูด ต่อให้เธอบอกว่าเราจะกลับไปที่บ้านแน่นอนแต่ผมชักไม่ไว้ใจสถานที่แห่งนี้เข้าเสียแล้ว ผมอาจจะได้กลับไปโดยไม่มีลมหายใจก็ได้

              

              “กลัวรึ?” เธอหันมาถาม สีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม

              

              “ใช่...ใช่..” ผมพยักหน้า ยอมรับแต่โดยดีเพราะหวังว่าเธออาจจะเห็นใจ

              

              “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก...ที่ผ่านมานายก็ไม่ใช่คนขี้กลัวอะไรนี่” เธอหันหลังเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ

              

              แหงสิ...ถ้าเธอดูเหมือนคนปกติสักหน่อยและผมไม่ได้อยู่ในสภาพถูกพันธนาการผมก็คงไม่รู้สึกกลัวแบบนี้หรอก

              

              “ฉันไม่ฆ่านายแน่นอน...” เธอยืนยันอีกครั้ง “...ไม่ใช่ตอนนี้”

              

              ผมกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่ใช่ตอนนี้? แปลว่าเธอคิดจะฆ่าผมใช่ไหม?

              เธอกระตุกโซ่แรงขึ้นเพราะผมเดินช้าลง ผมเซไปข้างหน้าตามแรงดึงของเธอ เราเดินมาอีกหน่อย เธอก็หยุดยืนตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ และพอผมเงยหน้ามองขึ้นไปเพียงเท่านั้น....ผมก็ต้องผงะถอยจนล้มหงายหลังด้วยความตกใจและตื่นกลัวกับภาพอันน่าสยดสยอง

              

              ศพผู้ชายประมาณห้าหกศพถูกผูกคอด้วยเชือกห้อยไว้บนต้นไม้ราวกับเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ผมถอยห่างออกไปด้านหลังแต่คนตรงหน้าก็กระชากโซ่ดึงผมกลับมา

              

              “ไม่!” ผมถูกลากไปบนพื้นดินชื้น ๆ พยายามขืนตัวแต่น่าประหลาดที่ผมกลับสู้แรงเธอไม่ได้ ผมไอโขลกเพราะแรงดึงที่คอ เธอลากผมเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่เรื่อย ๆ จนเท้าของศพอยู่เหนือแค่ศีรษะผม

              

              “พวกเขาคงรอคอยนายอยู่”

              

              “ย....อย่า! ปล่อยฉันไป! ปล่อยฉัน! ได้โปรด!” ผมร้องตะโกนพลางดิ้นพรวดพราด เปเปอร์จับใบหน้าผมเงยขึ้นเพื่อให้มองเห็นแต่ละศพที่เน่าเฟะจนแทบมองหน้าไม่ออก กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้ง ทุกศพล้วนเต็มไปด้วยแมลงวันเกาะตามใบหน้าและร่างกาย ผมหลับตาแน่น รู้สึกคลื่นเหียนท้องไส้ปั่นป่วน

              

              “ลืมตาแล้วดูนั่นสิ” เธอกระซิบ

              

              “ไม่!

              

              “ไม่อยากเจอเพื่อนแล้วหรือ?” เธอถาม คำว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงกระตุกหัวใจผมให้หล่นวูบ ไม่ต้องสงสัยว่าเธอหมายถึงใคร

              

              ไม่นะ...ไม่...นี่มันคือฝันร้าย บอกทีเถอะว่านี่มันแค่ฝันร้าย ผมหายใจแรง ร่างกายสั่นสะท้าน ทั้งที่รู้ว่าถ้าลืมตาขึ้นผมจะต้องพบผลลัพธ์อย่างไร แต่ต่อให้หลับตาผมก็ไม่อาจลบภาพอันน่ากลัวออกไปได้ มันยังคงฉายชัดอยู่ในหัวสมอง

              

              ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นราวกับถูกอำนาจบางอย่างบีบบังคับ เปเปอร์จับหน้าผมหันไปตรงกิ่งไม้ทางขวาที่อยู่สูงขึ้นไป ผมเห็นร่างของไทเลอร์ห้อยอยู่ตรงนั้น...ในสภาพที่กลางสมองของเขาแยกเป็นสองซีก...

              

              “อุบ...อ่อก...” ผมขย้อนของเหลวออกจากปาก โดยที่มีอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยมารวมกัน ใบหน้าเหยเกเพราะแรงอาเจียนและพอมือเย็นของเปเปอร์ลูบที่หลังผมก็สะดุ้งสุดตัว ผมถอยห่างจากเธอ พยายามไม่มองศพที่ห้อยบนต้นไม้

              

              “ใจเย็น ๆ แมทธิว” เธอยกมือขึ้นเป็นเชิงสื่อว่าเธอไม่มีพิษมีภัยพลางก้าวเข้ามาเชื่องช้าเหมือนย่อง เธอดูใจเย็นแตกต่างกับผมที่กำลังจะสติแตก “ทุกอย่างโอเค”

              

              “อย่าฆ่าฉันเลย...โด้โปรด....” ผมขอร้องเธอ จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไร “อย่าฆ่าฉัน....”

              

              สีหน้าของเปเปอร์อ่อนลง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายชัดถึงความพึงพอใจ เธอล้วงมือใส่ในกระเป๋าเสื้อ

              

              “อย่ากังวลไป เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับนายแน่ถ้าหากว่านายไม่ทำตัวดื้อดึง”

              

              “ไม่...ฉันสัญญา...ฉันจะทำตามที่เธอบอก...ฉันจะเชื่อฟังเธอ...” ผมให้คำมั่น ขอบตาร้อนผ่าว

              

              “ดี” เธอแตะที่ข้างแก้มผม ริมฝีปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ” เธอดึงโซ่เล็กน้อย จูงผมกลับไปทางเดิม

              

              แต่แล้ว...เมื่อเราเดินกันไปได้สักพัก เปเปอร์ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมาพูดขึ้น พูดในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะถูกเธอจับได้ “นายแสดงได้เก่งมากเลยนะ ฉันชอบ”




    TBC.........................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×