คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter : IV
Chapter IV
ผมตื่นขึ้นอีกครั้งตอนสี่ทุ่มกว่า
ๆ กลายเป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องตื่นมาพร้อมกับอาการเวียนหัว
แต่ไม่ว่าจะเวียนหัวอย่างไรผมก็ไม่ลืมแผนที่คิดเอาไว้ ผมล้วงมือเข้าไปใต้หมอน
กำเศษกระปุกยาไว้ในมือก่อนโซเซเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าและแอบเหน็บซ่อนเจ้าพลาสติกนั่นไว้ตรงกางเกง
พอกลับออกมาก็เห็นมีอาหารเมนูเดิมวางไว้หน้าประตูลูกกรงพร้อมกับร่างผอมของคนที่นำมาให้
ผมหรี่ตามองเธอ วันนี้เธอแต่งตัวแตกต่างจากปกติ
เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าหลวมโพรกเหมือนขโมยมันมา กับกางเกงขาสั้นและถุงน่องสีดำ
รองเท้าผ้าใบสีน้ำเงิน ไม่มีฮู้ดมาบดบังใบหน้าของเธอเหมือนก่อน
ผ้าก๊อซที่เคยปิดแก้มไว้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เหลือแค่เพียงรอยแผลเล็กน้อยและรอยช้ำที่ดวงตาเท่านั้น
น่าตลกดี
ผมคิดว่าที่เธอเปลี่ยนชุดมันเป็นเพราะโดนผมทักหรือเปล่า
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างยายนี่จะละอายแก่ใจเป็นเหมือนกัน
แม้ว่าสีหน้าเธอในตอนนี้จะไม่แสดงความรู้สึกนั้นเลยก็ตาม
“สวัสดี”
เธอเอ่ย
ผมนั่งลงแกะพลาสติกที่ห่อจานสปาเกตตี้แล้วตอบ
“ชุดเธอดูดีนี่”
“ขอบใจ”
ผมม้วนเส้นสปาเกตตี้เข้าปาก
กะว่าวันนี้จะกินให้เยอะกว่าเมื่อวานเพราะผมต้องใช้กำลัง ผมกินไปเรื่อย ๆ
โดยไม่พูดอะไร ส่วนเธอเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
ผมเหลือบตามองเธอขณะยกขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วจึงเห็นว่าเธอเองก็มองผมอยู่ ผมปิดฝาขวด
วางไว้ที่เดิมแล้วพูด
“นี่...คือว่าฉัน...อยากจะเปลี่ยนกางเกงน่ะ”
ผมลุกขึ้นยืน “แต่ฉันทำไม่ได้เพราะเจ้านี่” ผมดึงขากางเกงขึ้นให้เธอเห็นโซ่
“ฉันใส่กางเกงนี่มาสองวัน รวมถึง...เอ่อ....”
ผมชี้นิ้วที่กางเกงเพื่อสื่อให้เธอรู้ว่านอกจากกางเกงวอมแล้วยังมีกางเกงชั้นในอีกด้วย
“ฉันไม่อยากทนกับมันนานกว่านี้ เพราะงั้นได้โปรดเถอะ” ฉันไม่ได้สกปรกเหมือนเธอยายบ้า
“อ้อ”
เธอทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นก็ยื่นขาออกมา”
เธอหยิบพวงกุญแจที่มีอยู่ประมาณสี่ห้าดอกออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ผิดคาดไปเล็กน้อย...แต่ก็ไม่เป็นไร
ถ้าผมถูกปล่อยจากโซ่บ้านี่แล้วผมก็คงไม่ยื่นออกไปให้เธอล่ามไว้อีกแน่
ผมทำตามที่เธอบอก เธอไขกุญแจที่คล้องโซ่ออกให้ผม ความสบายใจแล่นปรี่ขึ้นมาทันที
“ขอบใจ”
ผมพูดพลางเดินโซเซไปยังตู้เสื้อผ้า ผมยังมึนงงอยู่เล็กน้อยแต่ก็พยายามแสดงละครผสมเข้าไปอีกขั้นเพื่อทำให้เธอเชื่อว่าผมร่างกายไม่ค่อยดี
ผมหยิบกางเกงวอมและชั้นในจากตู้มาอย่างละตัวเดินเข้าห้องน้ำ
ผมเปลี่ยนกางเกงตามที่บอกเธอจริง ๆ ผมเองก็ไม่อยากวิ่งหนีไปด้วยสภาพแบบนี้หรอกน่า
ผมยังกำเศษกระปุกยาไว้ในมือ จากนั้น...ผมก็เริ่มทำตามแผนสองด้วยการปัดขวดครีมอาบน้ำกับยาสระผมให้ร่วงลงบนพื้นและแน่ใจว่ามันเสียงดังพอที่จะทำให้เธอได้ยินพลางล้มตัวลงนอน
จัดฉากให้ดูเหมือนคนเป็นลม ผมหลับตาพลางสมองก็คิดไปด้วยว่า เธอมีทางเลือกสองอย่าง
นั่นคือ ปล่อยผมทิ้งไว้ตรงนี้กับจำเป็นต้องเข้ามาดูผม
แกร๊ก
ให้มันได้อย่างนี้สิ! ผมได้ยินเสียงไขประตูจึงรีบจัดท่าให้สมจริงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยตัวเองให้กลายเป็นคนหมดสติ
เสียงฝีเท้าเดินย่ำมาใกล้ ดูเหมือนเธอจะย่อตัวลงก่อนใช้นิ้วแตะที่ลำคอผม
ในจังหวะนี้เองผมจึงฉุดข้อมือเธอจนล้มลงและปักเศษพลาสติกลงบนสีข้างของเธอทันที
โชคดีที่เสื้อที่เธอสวมอยู่นั้นไม่ได้หนาเหมือนอย่างเสื้อกันหนาวที่เธอใส่เป็นประจำ
เพราะไม่อย่างนั้น จุดที่ผมเล็งจะกลายเป็นลำคอของเธอแทน
ผมนั่งคร่อมเธอ
แทงเศษพลาสติกเข้าที่ไหล่เธออีกครั้ง เลือดสีแดงไหลซึมตามเนื้อผ้า
เธอส่งเสียงร้องอึ่กอั่กพลางปัดป้องการจู่โจมของผม
แน่นอนล่ะว่าในจุดนี้เธอสู้ผมไม่ได้ แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ลืมว่าแม่นี่ถึกทนแค่ไหน
ก่อนที่เธอจะจับผมมา เธอถูกผมต่อยกลับอย่างไม่ปรานีขนาดนั้นแต่ก็ยังดูเหมือนไม่ได้สาหัสอะไร
ดังนั้นคราวนี้ผมจะไม่พลาดแน่ ผมต้องทำให้เธอสลบแล้วค่อยขังเธอเอาไว้เพื่อจะได้แน่ใจว่าเธอจะวิ่งตามผมออกมาไม่ได้
ผมจิกผมเธอขึ้นมาแล้วจับโขกกับอ่างล้างหน้าสองครั้ง
พอเห็นว่ามีเลือดเปื้อนตรงขอบอ่างผมจึงเหวี่ยงเธอลงไปในอ่างอาบน้ำก่อนจะพาตัวเองวิ่งออกจากห้องนั้นแล้วกดล็อคกุญแจทันที
ผมถอยห่างมาสองสามก้าว รอดูผลลัพธ์และก็พบเพียงความว่างเปล่า
เธอไม่ได้ตามออกมาจากห้องน้ำ ผมเดาเอาว่าถ้าหากเธอไม่สลบก็อาจจะตายไปแล้ว หัวใจผมเต้นรัวเมื่อคิดว่าเป็นอย่างหลัง
แต่สุดท้ายผมก็ไม่มัวยืนอยู่ตรงนั้นให้เสียเวลา ผมลงมาที่ชั้นสองซึ่งปิดไฟมืดทึบ
ผมไม่มีเวลามาสังเกตอะไรมากนัก รู้แค่ว่ามันก็ดูเหมือนบ้านคนปกติทั่วไป
ประตูอยู่ไม่ไกลจากบันได เพียงแค่ไม่กี่ก้าวผมก็ออกมายืนอยู่กลางถนนนอกบ้าน
มีรถยนต์รุ่นเก่าจอดอยู่หน้าบ้าน ผมลองเปิดประตูรถดูแต่มันกลับถูกล็อคเอาไว้
ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความมืด
มีเสาไฟฟ้าข้างทางก็จริงแต่แสงไฟก็ดูริบหรี่นัก หมอกหนาทึบบดบังทางข้างหน้า
ไม่สิ...ผมคิดว่ามันบดบังทุกทางที่ผมคิดว่าจะเป็นทางหนี ราวกับว่ามันกำลังล้อมรอบผมเอาไว้
ผมตรงไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อน
คิดเสี่ยงดวงเอาว่าอาจจะมีคนอาศัยอยู่แต่ก็เป็นไปตามความคิดแง่ลบ
เพราะบ้านหลังนี้คือบ้านร้างจริง ๆ
ให้ตายสิ!
ผมออกจากตัวบ้าน
เงยหน้ามองไปยังหน้าต่างของห้องที่ผมเคยถูกขังไว้แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนเผลอเซถอยหลังเมื่อพบว่า
เปเปอร์ แมคเคน กำลังยืนมองผมจากบนนั้นด้วยใบหน้าอาบเลือด
ผมยืนนิ่งไปชั่วขณะเพราะความตกใจ
พอตั้งสติได้จึงชูนิ้วกลางใส่เธอพลางตะโกนเสียงดัง “ไปตายซะ!”
แล้ววิ่งตรงไปตามทางเบื้องหน้าฝ่าหมอกหนาด้วยเท้าเปล่า
ตลอดทางที่ผมวิ่งผ่านมีบ้านตั้งห่างกันไม่มากนัก
และบ้านแต่ละหลังล้วนเป็นบ้านร้าง หมู่แมกไม้ต่าง ๆ ปกคลุมสองข้างทาง
ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนขัดขวางเส้นทาง แค่ความมืดก็ทำให้มองเห็นลำบากอยู่แล้ว
ยังต้องมาแหวกกิ่งไม้ที่บังทางซะทึบไปหมด ผมก้าวผ่านหมู่กิ่งไม้มาเรื่อย ๆ
พลันในใจก็รู้สึกว่าอากาศมันเย็นลงแปลก ๆ
อีกทั้งที่เท้าก็ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป ผมไม่ได้ยืนอยู่บนถนน
แต่กลับเป็นพื้นดินชื้นแฉะ
และพอมองโดยรอบอีกทีก็ดูเหมือนที่นี่จะกลายเป็นป่าไปแล้ว ผมคงมาผิดทาง
อีกฝั่งตรงข้ามของถนนคงจะเป็นทางออกจริง ๆ ของหมู่บ้านนี้ ผมหันหลังกลับทางเดิม
แต่แล้ว พอเดินไปได้สักพักผมกลับไม่เจอถนนเส้นเดิมที่วิ่งมาเสียที
นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งวนอยู่ในป่าที่หาทางออกไม่เจอ
อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ หัวใจก็เต้นรัวอย่างน่าประหลาด และทันใดนั้น
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู
“เฮ้”
สิ้นเสียง
บางอย่างซึ่งแหลมคมก็ปักเข้าที่เอวแล้วถูกดึงกลับ “อึ่ก!!!”
ผมร้องก่อนจะล้มลง สิ่งที่ผมเห็นคือคนที่ผมไม่อยากเชื่อว่าเธอจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้
เธอควรจะอยู่ในบ้านไม่ใช่หรือ? สมองไม่ทันได้ประมวลผล ทันทีที่ผมล้มลง
เธอก็ตามมาคร่อมแล้วจ้วงแทงที่แขนซึ่งผมยกขึ้นมากำบังตามสัญชาตญาณ ผมร้องลั่น
เธอดึงมีดออกแล้วปาดเข้าตรงลำคอด้านข้าง พอผมยกมือขึ้นบังอีกครั้งเธอก็ปัดออกด้วยมีด
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วโดยการกระทำของเธอ
และคราวนี้เธอดูคลั่งมากกว่าคราวที่ผ่านมา
ผมดิ้นพรวดพราด
พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นแต่เธอก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนแล้วปักมีดลงที่ขา “อ๊ากกก!!!”
ผมร้องเสียงหลง น้ำตาซึมที่เบ้าเพราะความเจ็บปวด “อย่า! อย่า!” ผมอ้อนวอนพลางขยับกายถอยหนีเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ ขณะเดียวกัน
ผมก็มองเห็นความตายคืบคลานมาเช่นกัน “ขอร้องล่ะ! อย่าฆ่าฉัน!”
เธอเหยียบขาผมข้างที่ถูกแทงแล้วดึงมีดออกอย่างไม่สนใจเสียงร้องของผม
เธอยืนมองผมนิ่ง ความมืดทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเธอ
“นายหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
เธอพูดก่อนจะเตะเข้าที่ใบหน้าผมอย่างแรง
และผมมั่นใจว่ามันแรงพอที่จะทำให้สติของผมดับลง
“แกหนีไปไหนไม่ได้หรอกไอ้อ้วน”
ผมผลักไอ้อ้วนที่ว่าจนเซถลาไปกระแทกกำแพง หมอนี่ตกอยู่ในวงล้อม ‘แก๊งค์ของผม’
งานหลักของเขาขณะอยู่ที่โรงเรียนก็คือเป็นทาสรับใช้และไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้อง
ถ้าหากว่าเขาปากโป้งหรือทำให้พวกผมต้องเดือดร้อนเมื่อไรนั่นหมายถึงเขาต้องตลกนรกและจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแน่
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หมอนี่ดันไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง เขาบังอาจท้าทายผมด้วยการแอบหลบซ่อนตัวเอง
พยายามจะหนีออกจากอำนาจ แต่หมูอย่างไรก็ยังเป็นแค่หมู
ต่อให้พยายามหนีแค่ไหนก็ไม่รอดพ้นอยู่ดี และงานนี้เขาต้องชดใช้
เขายืนก้มหน้างุด ทำเหมือนว่าการพยายามหดตัวจะช่วยให้ไขมันมันสลายจนตัวเล็กลงได้อย่างนั้นล่ะ
“ไอ้เวรนี่มันโคตรกล้าเลยว่ะ จัดการมันสักหน่อยเป็นไง?” เพื่อนผมคนหนึ่งพูด ในมือเขาถือบุหรี่
ผมเห็นด้วยกับเขา ในเมื่อไอ้หมูสกปรกนี่มันอยากลองดี ผมก็ควรจะสั่งสอนให้มันได้หลากจำ และพอคิดได้แบบนั้น คนที่พูดก็จี้บุหรี่เข้าที่แขนอวบขาวของหมอนี่ทันที
“โอ๊ย!” เจ้าหมูตอนร้องครวญเหมือนหมูโดนเชือด พวกผมหัวเราะกันอย่างชอบใจ คนถือบุหรี่จี้ที่แขนเขาอีกครั้งกับตรงเสื้อจนเป็นรู ส่วนผมก็ตบเข้าที่บ้องหูเขาไปทีหนึ่งแล้วดึงคอเสื้อยกสูงขึ้นแล้วขู่
“จำไว้ไอ้หมูตอน ถ้าแกไม่อยากโดนแบบนี้อีกก็อย่ามาลองดีกับพวกฉัน” ผมจับตัวเขาเหวี่ยงออกจากวงล้อม เพื่อนอีกคนจึงถ่มน้ำลายใส่ก่อนที่ไอ้หมูจะรีบวิ่งหนีไป ผมมองร่างอ้วนเตี้ยที่วิ่งต้วมเตี้ยมอย่างน่าตลกด้วยความพึงพอใจ
ถ้างานหลักของหมอนี่คือการเป็นทาส งานหลักของผมก็คือการเล่นงานและกลั่นแกล้งพวกกระจอกน่าสมเพชนั่นล่ะ
Night 6
ผมลืมตาช้า
ๆ พอได้สติก็ต้องประสบกับความเจ็บปวดทันที ผมร้องครางเบา ๆ
ข้อมือทั้งสองข้างถูกล็อคไว้กับขาเตียงด้วยกุญแจมือ
แผลที่มือถูกพันด้วยผ้าพันแผลแต่ก็ยังมีเลือดซึมออกมาให้เห็นรวมทั้งที่ขาด้วยเช่นกัน
ผมไม่กล้าขยับตัวแรงเพราะมันจะกระทบต่อบาดแผลที่เอวด้วย นอกจากจะเจ็บตามร่างกายแล้ว
ที่ใบหน้าก็ช้ำระบมไม่แพ้กัน
แสงแดดอ่อน
ๆ ส่องเข้ามาในห้อง ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตู้เสื้อผ้า
เห็นเปเปอร์กำลังยืนทำอะไรสักอย่างตรงนั้น เธอกลับมาใส่ชุดตัวเดิม ผมได้ยินเสียงเธอพำพึมในลำคอเป็นเสียงนับเลข
พอนับได้ถึงสิบแปดเธอก็หันมา ร่างกายผมสั่นสะท้านทันทีที่เธอเดินเข้ามาใกล้
ใบหน้าเธอมีรอยช้ำเล็กน้อย และติดผ้าก๊อซที่หน้าผากข้างซ้าย
เธอย่อตัวข้างหน้าผมแล้วพูด สีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึก
“นายกินยาคลายเครียดไปสองเม็ด
ฉันทำให้นายเครียดงั้นหรือ?”
ฉันคงสบายใจมากมั้งยายบ้า...ผมอยากจะตอบไปแบบนี้แต่เหตุการณ์เมื่อคืนช่วยย้ำเตือนไม่ให้ผมพูดอะไรที่อาจจะเป็นการกวนประสาทเธอ
สิ่งที่ผมตอบกลับจึงมีแค่ความเงียบกับอาการตื่นตระหนกที่น่าจะเห็นได้ชัด
เธอยื่นมือมาจับหน้าผม ผมผงะเล็กน้อยพลางหันหนี
“นายคงจะเครียดมากสินะ”
นิ้วเธอข้างหนึ่งโดนรอยช้ำบนหน้าผม เธอบีบเบา ๆ ราวกับจงใจ
ผมจึงสะบัดหน้าหนีอย่างแรง
“อย่าแตะตัวฉัน...”
ผมบอกเธอ มั่นใจว่าน้ำเสียงดูวิงวอนมากที่สุดแล้ว มันคงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
เพราะในที่สุดเธอก็ยอมละมือออกไป เธอยืนขึ้นแล้วตอบ
“ฉันอยากจะช่วยนายบ้างนะ
แต่ถ้านายไม่ยอมพูดฉันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง”
เธอหันหลังทำท่าจะออกไปแต่ผมที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้นจึงรีบรั้งเอาไว้ทันที
“เธอจะช่วยฉันยังไง?”
ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเหมือนเธอพยายามฆ่าผมด้วยซ้ำ
“เธอทำกับฉันแบบนี้แล้วบอกว่าจะช่วยฉันงั้นหรือ? ทั้งที่เธอเป็นคนทำฉันเนี่ยนะ?”
มันฟังดูน่าตลกแต่ก็เป็นตลกที่แฝงความร้ายกาจอย่างน่ากลัว
“ฉันสามารถช่วยนายได้
ฉันบอกไปแล้วนี่” เธอหันมาตอบ “เพียงแค่นายเอ่ยปากขอ
แต่เมื่อคืนนี้นายทำตัวดื้อรั้นกับฉัน
ดังนั้น...ฉันจึงจำเป็นต้องทำให้นายเห็นว่านายไม่ควรทำแบบนั้นอีก นี่คือการตักเตือน”
“เธอเป็น
‘อะไร’
กันแน่?” ในที่สุดผมก็ถามคำถามนั้น
สิ่งที่ผมคาใจมาตั้งแต่แรกและไม่คิดว่าในตอนนี้ผมจะยิ่งสงสัยในตัวเธอมากเข้าไปอีก
ที่จริงผมเคยถามคำถามทำนองนี้กับเธอไปแล้วแต่ตอนนั้นเธอไม่ตอบผม ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เธอยืนนิ่ง จ้องมองผมด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อคืนนี้เธอออกมาได้ยังไง
ไหนจะตอนนี้ที่เธอยังดูแข็งแรงทั้งที่เธอควรจะสลบไปด้วยซ้ำ
บอกฉันทีเถอะ...เธอเป็นตัวอะไรกันแน่? เธอเป็นผีหรือว่าปีศาจ...”
“นายจะคิดแบบนั้นก็ได้นะ”
เธอตอบ “เพราะถ้านายคิดว่าฉันเป็นอะไรแบบนั้นจริง ๆ
มันก็อาจจะช่วยให้นายไม่ทำอะไรบ้า ๆ อย่างเมื่อคืน”
“เธอล้อเล่น...”
“ส่วนเรื่องที่ฉันออกมาได้...”
เธอพูดแทรกไม่สนใจคำพูดของผมพลางหยิบพวงกุญแจขึ้นมาชูให้ดู “ฉันมีกุญแจไง
นายนี่มันไม่ค่อยจะรอบคอบเหมือนเคยเลยนะ”
ผมตกอยู่ในอาการนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เธอพูดถูก ผมลืมไปสนิทว่าเธอมีกุญแจ
ผมน่าจะเอามันมาด้วยแต่ผมกลับนึกถึงแต่เรื่องหนีจนทำอะไรไม่รอบคอบ
ให้ตายเถอะ...ผมมันโง่จริง ๆ
“นายยังไม่ตอบฉันเลย
สรุปว่านายเครียดอะไรหรือเปล่า?” เธอวกมาคำถามเดิม
“เธอคิดว่าฉันอารมณ์ดีนักหรือไง?”
ผมตอบอย่างอดประชดประชันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็พูดแก้ทีหลัง “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่
ฉันไม่อยากโดนขังอยู่ในนี้ เธอปล่อยฉันไปได้ไหมล่ะ?”
“ถ้าให้ปล่อยไปคงไม่ได้
แต่ฉันจะหาวิธีให้นายหายเครียดแล้วกัน อืม...นายอยากออกไปข้างนอกใช่ไหม?”
“ออกไป?”
ผมไม่ค่อยเข้าใจคำถาม
“ฉันพานายออกไปเดินเล่นได้
เผื่อว่ามันจะทำให้นายหายเครียด ตอนนี้น่ะ สนใจหรือเปล่า หรือว่านายอยากจะนอนพัก”
“ไม่...ไม่...ฉันจะไป”
แค่เดินเล่นผมก็ไม่ปฏิเสธ บางทีผมอาจจะหาทางหนีทีไล่ไปด้วยก็ได้
เธอไขกุญแจมือให้ผมแล้วสั่ง
“หันหลังไป” ผมยืนขึ้นเมื่อเป็นอิสระจากการถูกตรึง น่าแปลกใจนิดหน่อยที่เธอดูไม่กลัวว่าจะต้องสู้กับผมอีกเลย
ส่วนตัวผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าทำอย่างเมื่อคืนอีกครั้งผลลัพธ์มันจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า
เธอดูเหมือนกำลังท้าทาย เหมือนกำลังหลอกล่อให้ผมเหยียบกับดัก ผมคิดสองจิตสองใจราวกับตัวเองตกอยู่ในกระดานหมากรุกที่ต้องอ่านใจคู่ต่อสู้และต้องตัดสินใจในการเดินหมาก
...และแล้ว
ผมในตอนนี้ก็ยอมเป็นตัวหมากที่ถูกกิน ผมหันหน้าไปทางเตียงแต่โดยดี
เธอจับข้อมือผมไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือก่อนจะเดินนำไป “ตามมาสิ”
ผมเดินตามเธอลงมาชั้นสอง
พอลงบันไดมาก็จะเจอกับประตูหน้าบ้าน แต่นั่นไม่ใช่ทางที่เธอจะพาไป เธอนำผมเข้ามาลึกในตัวบ้าน
ผมเดินผ่านระหว่างบันไดกับห้องนั่งเล่นมาจนถึงห้องครัว ตรงนี้มีประตูอีกบานหนึ่ง ตรงข้างประตูมีตะขอซึ่งแขวนปลอกคอและโซ่จูงเอาไว้
ตอนแรกผมคิดว่าเธออาจจะเคยเลี้ยงสุนัข แต่พอเธอหยิบมันเท่านั้นล่ะ
ผมก็เปลี่ยนความคิดทันที ไม่เอาน่า...อย่าบอกนะว่าจะใช้มันกับผม
เธอตอบคำถามในใจนั้นโดยการคล้องปลอกคอที่คอผม
ให้ตายเถอะ...เห็นฉันเป็นหมาหรือยังไง?
เธอกระตุกโซ่เบา
ๆ เพื่อให้ผมเดินตามออกมาข้างนอกซึ่งเป็นสนามหญ้าโล่ง ๆ ไกลออกไปหน่อยเป็นป่ารกเต็มไปด้วยหมู่แมกไม้
เธอจูงผมตรงเข้าไปในนั้น
“เธอจะพาฉันไปไหน?”
ผมชักเริ่มไม่แน่ใจในชะตากรรมของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วง
ฉันจะพาไปเจอพวกเขา เสร็จแล้วเราจะกลับมาที่บ้าน” เธอตอบโดยไม่หันมา
พวกเขางั้นหรือ?
พวกไหนกัน? ระหว่างที่เดินตามแรงจูงผมก็คิดไปด้วยว่าเธอหมายถึงใคร
ไม่นานสมองก็ค้นหาได้ว่าอาจจะเป็นพวกเพื่อนที่เธอเคยพูดถึง
ผมรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง เธอทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาที่กำลังจะนำไปอวดเพื่อน
เราเดินลัดเลาะเข้ามาในป่าลึกพอสมควร ผมขยับข้อมือไปมาเผื่อว่ากุญแจมือจะหลุดแต่ลืมไปว่าผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
ผมได้แต่เดินตามแรงจูงของเธอ ยิ่งเราเข้ามาลึกมากเท่าใด
บรรยากาศก็ดูครึ้มลงมากเท่านั้น แสงแดดยามเช้าหุบหายเหลือไว้เพียงเมฆสีเทาอึมครึม เสียงฝูงนกกระพือปีกบินจากด้านบนเหมือนฉากในหนังผี
“ฉันไม่อยากไปแล้ว”
ผมพูด
ต่อให้เธอบอกว่าเราจะกลับไปที่บ้านแน่นอนแต่ผมชักไม่ไว้ใจสถานที่แห่งนี้เข้าเสียแล้ว
ผมอาจจะได้กลับไปโดยไม่มีลมหายใจก็ได้
“กลัวรึ?”
เธอหันมาถาม สีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม
“ใช่...ใช่..”
ผมพยักหน้า ยอมรับแต่โดยดีเพราะหวังว่าเธออาจจะเห็นใจ
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก...ที่ผ่านมานายก็ไม่ใช่คนขี้กลัวอะไรนี่”
เธอหันหลังเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ
แหงสิ...ถ้าเธอดูเหมือนคนปกติสักหน่อยและผมไม่ได้อยู่ในสภาพถูกพันธนาการผมก็คงไม่รู้สึกกลัวแบบนี้หรอก
“ฉันไม่ฆ่านายแน่นอน...”
เธอยืนยันอีกครั้ง “...ไม่ใช่ตอนนี้”
ผมกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่ใช่ตอนนี้? แปลว่าเธอคิดจะฆ่าผมใช่ไหม?
เธอกระตุกโซ่แรงขึ้นเพราะผมเดินช้าลง
ผมเซไปข้างหน้าตามแรงดึงของเธอ เราเดินมาอีกหน่อย เธอก็หยุดยืนตรงหน้าต้นไม้ใหญ่
และพอผมเงยหน้ามองขึ้นไปเพียงเท่านั้น....ผมก็ต้องผงะถอยจนล้มหงายหลังด้วยความตกใจและตื่นกลัวกับภาพอันน่าสยดสยอง
ศพผู้ชายประมาณห้าหกศพถูกผูกคอด้วยเชือกห้อยไว้บนต้นไม้ราวกับเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง
ผมถอยห่างออกไปด้านหลังแต่คนตรงหน้าก็กระชากโซ่ดึงผมกลับมา
“ไม่!” ผมถูกลากไปบนพื้นดินชื้น ๆ
พยายามขืนตัวแต่น่าประหลาดที่ผมกลับสู้แรงเธอไม่ได้ ผมไอโขลกเพราะแรงดึงที่คอ
เธอลากผมเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่เรื่อย ๆ จนเท้าของศพอยู่เหนือแค่ศีรษะผม
“พวกเขาคงรอคอยนายอยู่”
“ย....อย่า!
ปล่อยฉันไป! ปล่อยฉัน! ได้โปรด!” ผมร้องตะโกนพลางดิ้นพรวดพราด เปเปอร์จับใบหน้าผมเงยขึ้นเพื่อให้มองเห็นแต่ละศพที่เน่าเฟะจนแทบมองหน้าไม่ออก
กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้ง ทุกศพล้วนเต็มไปด้วยแมลงวันเกาะตามใบหน้าและร่างกาย
ผมหลับตาแน่น รู้สึกคลื่นเหียนท้องไส้ปั่นป่วน
“ลืมตาแล้วดูนั่นสิ”
เธอกระซิบ
“ไม่!”
“ไม่อยากเจอเพื่อนแล้วหรือ?”
เธอถาม คำว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงกระตุกหัวใจผมให้หล่นวูบ
ไม่ต้องสงสัยว่าเธอหมายถึงใคร
ไม่นะ...ไม่...นี่มันคือฝันร้าย
บอกทีเถอะว่านี่มันแค่ฝันร้าย ผมหายใจแรง ร่างกายสั่นสะท้าน
ทั้งที่รู้ว่าถ้าลืมตาขึ้นผมจะต้องพบผลลัพธ์อย่างไร
แต่ต่อให้หลับตาผมก็ไม่อาจลบภาพอันน่ากลัวออกไปได้ มันยังคงฉายชัดอยู่ในหัวสมอง
ผมค่อย
ๆ ลืมตาขึ้นราวกับถูกอำนาจบางอย่างบีบบังคับ เปเปอร์จับหน้าผมหันไปตรงกิ่งไม้ทางขวาที่อยู่สูงขึ้นไป
ผมเห็นร่างของไทเลอร์ห้อยอยู่ตรงนั้น...ในสภาพที่กลางสมองของเขาแยกเป็นสองซีก...
“อุบ...อ่อก...”
ผมขย้อนของเหลวออกจากปาก โดยที่มีอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยมารวมกัน
ใบหน้าเหยเกเพราะแรงอาเจียนและพอมือเย็นของเปเปอร์ลูบที่หลังผมก็สะดุ้งสุดตัว
ผมถอยห่างจากเธอ พยายามไม่มองศพที่ห้อยบนต้นไม้
“ใจเย็น
ๆ แมทธิว” เธอยกมือขึ้นเป็นเชิงสื่อว่าเธอไม่มีพิษมีภัยพลางก้าวเข้ามาเชื่องช้าเหมือนย่อง
เธอดูใจเย็นแตกต่างกับผมที่กำลังจะสติแตก “ทุกอย่างโอเค”
“อย่าฆ่าฉันเลย...โด้โปรด....”
ผมขอร้องเธอ จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไร “อย่าฆ่าฉัน....”
สีหน้าของเปเปอร์อ่อนลง
นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายชัดถึงความพึงพอใจ เธอล้วงมือใส่ในกระเป๋าเสื้อ
“อย่ากังวลไป
เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับนายแน่ถ้าหากว่านายไม่ทำตัวดื้อดึง”
“ไม่...ฉันสัญญา...ฉันจะทำตามที่เธอบอก...ฉันจะเชื่อฟังเธอ...”
ผมให้คำมั่น ขอบตาร้อนผ่าว
“ดี”
เธอแตะที่ข้างแก้มผม ริมฝีปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ”
เธอดึงโซ่เล็กน้อย จูงผมกลับไปทางเดิม
แต่แล้ว...เมื่อเราเดินกันไปได้สักพัก
เปเปอร์ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมาพูดขึ้น พูดในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะถูกเธอจับได้ “นายแสดงได้เก่งมากเลยนะ
ฉันชอบ”
TBC.........................................
ความคิดเห็น