ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Silent Shout

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter : III

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 62


    Chapter III

     

              เธอเดินออกไป และปิดเฉพาะประตูลูกกรงจึงทำให้ผมมองเห็นด้านนอก ผมลุกเดินไปเกาะลูกกรง เห็นเธอเดินลงบันไดไปแล้วผมจึงคลำแม่กุญแจที่ล็อคอยู่แล้วก็รู้ว่าคลำไปอย่างไรมันก็คงไม่เปิดให้ผมจึงสอดส่องสายตามองดูภายนอก ผมเห็นประตูห้องของห้องอื่น ๆ อยู่สามห้อง ไม่มีสิ่งของตกแต่งใด ๆ พื้นไม้สีน้ำตาลเข้มดูดีแต่ก็สกปรกเพราะคราบสีขาวจากฝุ่น ดูท่าจะเป็นบ้านที่หลังใหญ่ใช้ได้แต่ที่ผมสงสัยคือ นี่มันบ้านใครกัน?

              ผมเดินกลับมานั่งที่เดิม ใช้มือกวาดรูปโพลารอยด์ที่กระจัดกระจายรอบตัวให้มากองเบื้องหน้าแล้วหยิบขึ้นมาดู แต่ละรูปล้วนถูกแอบถ่ายทั้งสิ้น ทั้งรูปตอนทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ตอนทำงานที่ร้านอาหาร ตอนไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต และให้ตายเถอะ...แม้แต่ตอนที่มีเซ็กส์กับสาวเม็กซิกันที่ผมจำชื่อไม่ได้เมื่ออาทิตย์ก่อนก็ยังมี ผมควรจะชมเธอดีไหมว่าฝีมือการสะกดรอยของเธอมันแทบจะเข้าขั้นปรมาจารย์ ผมสับเปลี่ยนรูปนั้นไปไว้ด้านหลังเพื่อจะดูรูปถัดไป และแล้ว...รูปที่ผมกำลังถืออยู่ขณะนี้มันก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วประกอบกับความรู้สึกขนลุกแปลก ๆ เธอมีรูปผมตอนนอนหลับได้อย่างไร...ถ้าเป็นสถานที่อื่นผมคงไม่แปลกใจ แต่สถานที่ในรูปมันคือห้องของผมเองแล้วเธอเข้ามาถ่ายได้อย่างไร....หากจะว่าเธอถ่ายเมื่อคืนที่บุกเข้ามาก็ไม่ใช่เพราะเห็นชัดว่าชุดที่ใส่คนละชุดกันและหน้าผมก็ไม่มีแผลด้วยซ้ำ ผมวางรูปนั้นลงแล้วกวาดหารูปอื่นเผื่อว่าจะมีรูปที่ลักษณะเดียวกัน และผมก็เจอจริง ๆ มีอยู่ประมาณสองสามรูปได้

              

              เธอเป็นตัวอะไรกันเนี่ย...เธอแอบเสดาะกลอนเข้ามาในห้องผมงั้นหรือ? น่ากลัวเป็นบ้า...

              

              ผมตกอยู่ในอาการพะว้าพะวงก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงการกลับมาของสาวฮู้ดดำ คราวนี้เธอไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่กลับส่งถาดอาหารเข้ามาทางช่องเล็ก ๆ ที่ถูกทำเอาไว้เพื่อการนี้ตรงด้านล่างของลูกกรง

              

              “เฮ้...” ผมรั้งเธอไว้แล้วลุกเดินไปหาเธอ สาวฮู้ดดำหันหน้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?”

              

              “นายไม่เคยล็อคประตูระเบียงนี่”

              

              “เธอปีนขึ้นมางั้นหรือ? ชั้นเจ็ดเนี่ยนะ?” ผมไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะปีนขึ้นมาได้จริงๆ

              

              “ฉันทำอะไรได้มากกว่าที่นายคิด” พูดจบเธอก็เดินลงบันไดไปโดยไม่หันกลับมาอีกไม่ว่าผมจะเรียกเท่าไร

              

              “เดี๋ยวสิ...เดี๋ยว..” ร่างของเธอหายไปแล้ว ผมจึงกลับไปตรงหน้าต่างเพื่อคอยดูว่าเธอจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า แล้วเธอก็เดินออกไปจริง ๆ ผมเห็นเธอเดินล้วงกระเป๋าเสื้อเดินไปตามถนนสีเทาหน้าบ้าน แต่ไม่นานเธอก็หยุดแล้วหันกลับมาที่บ้านหลังนี้ เธอมองมาทางหน้าต่างที่ผมแอบดูเธออยู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนจะเดินต่อ เธอออกไปแล้วแปลว่าตอนนี้ในบ้านเหลือผมแค่คนเดียวงั้นหรือ? หรือว่ายังมีไอ้ฆาตกรหน้ากากขาวเฝ้าอยู่ข้างล่าง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่คนเดียวหรือมีใครอยู่ด้วย แต่พอนึกถึงว่าผมต้องอยู่กับไอ้บ้านั่นสองคนมันก็อดหวาดผวาไม่ได้ ผมเดินไปหยิบถาดอาหารที่เธอเอามาให้พลางชะเง้อคอมองดูตรงบันได พอเห็นว่าไม่มีใครผมก็ปลอบใจตัวเองว่าผมคงจะได้อยู่คนเดียวจริง ๆ ผมกลับมานั่งใต้หน้าต่าง บนถาดมีแต่อาหารฟาสต์ฟูดทั้งแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย น่องไก่ทอดสามชิ้นและสลัดผักนิดหน่อยกับโคล่ากระป๋อง นี่ไม่มีใครเคยสอนเธอเลยหรือไงว่าอาหารพวกนี้มันอาหารขยะ ผมถอนลมหายใจแล้วหยิบแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมากัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในยามหิวและรู้ตัวว่านับจากนี้ตัวเองคงไม่สามารถเลือกกินได้อย่างเก่ามันบังคับให้ผมต้องยอมรับอาหารตรงหน้า

              

              ผมนั่งเคี้ยวหยุบหยับ ระหว่างที่ต่อมรับรสกำลังประมวลผลรสชาติของแฮมเบอร์เกอร์อยู่นั้น ผมก็นึกถึงสิ่งอื่นขึ้นมาว่า นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้รับรสชาติของอาหารฟาสต์ฟูด อาจจะเจ็ดหรือแปดปีก่อน ผมจำได้ไม่แม่นยำนัก ความเร็วในการเคี้ยวลดลง ผมมองแฮมเบอร์เกอร์ในมือและก่อนที่หัวสมองจะพาให้คิดเรื่องราวเก่า ๆ ผมก็รีบยัดมันเข้าปากอย่างเร็ว ทว่า ท้ายที่สุดสมองกับปากมันไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกัน ต่อให้ผมยัดอาหารเข้าปากมากแค่ไหนยังไงผมก็ควบคุมความคิดของตัวเองไม่ได้อยู่ดีอาหารฟาสต์ฟูดทำให้ผมนึกถึงพ่อที่ตายจากไปนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ผมถึงหลีกเลี่ยงมันมาตลอด ผมพยายามที่จะลบสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ไม่อยากจดจำ อะไรก็ตามที่เมื่อผมนึกถึงมันแล้วผมจะต้องเจ็บปวด

              

              ...พ่อเป็นหนึ่งในนั้น

              

              ผมคายเศษขนมปังผสมเนื้อที่ถูกเคี้ยวจนละเอียดกลับลงไปบนถาดแล้วเปิดฝากระป๋องโคล่าเพื่อดื่ม

              

              ผมไม่ได้แตะอะไรอีกเลยนับจากที่คายแฮมเบอร์เกอร์ทิ้ง ผมนั่งเฉย ๆ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ จู่ ๆ ผมก็ปวดฉี่ คงเป็นเพราะดื่มโคล่าจนหมดกระป๋องแน่ ๆ ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ มองดูกระเบื้องขาวสะอาดภายในนั้นระหว่างที่ปล่อยทุกข์แล้วก็นึกขอบคุณในใจที่อย่างน้อยแม่นั่นก็ไม่ปล่อยให้ผมต้องใช้ห้องน้ำสกปรก โซ่ที่ล่ามขาอยู่เส้นยาวพอให้ผมได้เดินสำรวจภายใน มีอุปกรณ์อาบน้ำวางเรียงรายข้างอ่างอาบน้ำ ที่อ้างล้างหน้าก็มีแปรงสีฟัน ยาสีฟันกับโฟมล้างหน้าวางไว้ให้ ขาดที่โกนหนวดไปหนึ่งอย่าง ยายนี่ถือว่ารอบคอบใช้ได้เลยทีเดียว ผมเดินออกมา เหลือเพียงตู้เสื้อผ้าเท่านั้นที่ผมยังไม่ได้สำรวจ ผมเปิดประตูตู้ ในนั้นมีเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่ผมใส่อยู่แขวนเรียงเต็มไปหมด นี่เธอไปเหมาโรงงานมาหรือยังไง ผมเปิดดูกองผ้าที่ถูกพับเอาไว้ มีกางเกงชั้นใน บ็อกเซอร์ ผ้าขนหนู และสิ่งที่วางอยู่ข้างกันคือกล่องยาสามัญประจำบ้าน ผมหยิบขึ้นมาเปิดดู มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล อาทิ ผ้าก๊อซ สำลี เบตาดีน ยาแก้ปวดต่าง ๆ และกระปุกยาสีส้มที่ผมคุ้นเคยกับมันดี ผมหยิบมันออกมาแล้ววางกล่องยากลับที่เดิมก่อนจะเปิดฝากระปุกยาสีส้มนั่นแล้วหยิบยาในนั้นโยนใส่ปาก ผมทิ้งตัวลงบนเตียง ทั้งฤทธิ์ยาบวกกับความนุ่มสบายของเตียงทำให้ผมหลับไป

     

              ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนกลางคืน ไม่รู้ว่าหลับไปกี่ชั่วโมงและก็ไม่รู้ว่านี่คือเวลากี่ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยเนื่องจากนอนหลับนานเกินไป ในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงสว่างจากไฟนอกห้องส่องเข้ามาเท่านั้น ผมหันไปยังประตูลูกกรง ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง ผมเห็นร่างของสาวฮู้ดดำนั่งกอดอกบนเก้าอี้มองมาทางผมผ่านลูกกรงเหล็ก ผมลุกขึ้นนั่ง มองต่ำลงไปตรงประตูเห็นจานใส่สปาเกตตี้ห่อด้วยพลาสติกใสพร้อมขวดน้ำเปล่าวางไว้ ผมมองหน้าเธอ แล้วมองกลับไปที่ใต้หน้าต่างก็ไม่เห็นถาดอาหารชุดเก่า เธอคงเข้ามาเก็บไปแล้ว

              

              “ฉันไม่หิว” ผมบอกเธอ เธอมองผมนิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

              

              “แน่ใจหรือ?” เธอถามกลับ ตอนนี้เองสมองผมจึงคิดขึ้นมาได้ว่าผมควรจะกินอาหารที่เธอเอามาให้ซะ...เพราะผมไม่รู้ว่าเธอจะมาอีกเมื่อไรและผมควรจะใช้เวลาที่เธอเฝ้าผมกินถามย้ำในสิ่งที่ผมอยากรู้ ผมย้ายมานั่งหน้าประตูลูกกรงแล้วแกะพลาสติกที่ห่อจานสปาเก็ตตี้ออกอย่างเชื่องช้า เธอเองก็ลุกขึ้นเปิดไฟในห้องที่สวิตช์ดันไปอยู่ด้านนอกให้ผมแล้วย้ายลงมานั่งให้เสมอกับผมเช่นกันพลางเท้าคางมอง ผมใช้ส้อมคนเส้นสปาเก็ตตี้ให้เข้ากับซอสแดง ระหว่างนั้นก็มองหน้าเธอไปด้วย เธอยังจ้องผมไม่วางตาอย่างที่เธอถนัด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอดูเหมือนกำลังให้ผมเปิดบทสนทนาบางอย่างซึ่งผมเองก็ยินดีจะรับหน้าที่นั้นอยู่แล้ว

              

              ผมมองชุดที่เธอใส่แล้วตัดสินใจเริ่มบทสนทนาแรก “เธอเคยซักเสื้อผ้าบ้างหรือเปล่า?” เท่าที่สังเกตผมเห็นเธอใส่แต่ชุดเดิม ๆ ทุกครั้ง

              

              “ไม่จำเป็น” เธอตอบ โอเค...ยายนี่มันจอมซกมกดี ๆ นี่เอง ผมว่าเธอในใจแต่ขณะเดียวกันกลับคิดว่าเนื้อตัวเธอก็ไม่ได้ดูสกปรกอะไร ผมไม่ได้กลิ่นเหม็นจากเธอด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย  หรือว่าเธอจะอาบน้ำเป็นปกติแต่แค่ไม่ซักผ้ากันนะ แล้วนานแค่ไหนกันที่เธอไม่ยอมซักเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ แต่ยังไงก็ช่างเถอะ...การที่ผมมัวมาสงสัยเรื่องพวกนี้มันก็ดูไร้สาระเกินไปหน่อย ผมม้วนสปาเก็ตตี้เข้าปากเป็นคำเล็ก ๆ ผมตั้งใจถ่วงเวลาเพราะผมจะได้ซักถามเธอได้นาน ๆ จะว่าไปแล้ว...ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใครและผมควรเรียกเธอว่าอะไร

              

              “เธอคงรู้ชื่อฉันแล้วสินะ แล้วฉันควรเรียกเธอว่าอะไรล่ะ?”

              

              “เปเปอร์ แมคเคน ชื่อของฉัน” โอเค...ดีที่เธอตอบคำถามผมตรง ๆ ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะเล่นลิ้นกวนประสาทผมเสียอีก ทีนี้...คำถามถัดไป...คำถามที่ผมอยากรู้คำตอบเช่นกันและผมคิดว่าเธอคงไม่ตอบตรง ๆ เหมือนคำถามก่อนหน้าแน่ “แล้วเธอเป็นใครกัน?”

              

              เป็นอย่างที่คาดจริง ๆ เธอไม่ตอบผมในทันที แต่ยังจ้องผมอยู่แบบนั้น ผมไม่รู้ว่าเธออยากให้ผมทำอะไรหรือเปล่า ผมทำได้แค่ยัดสปาเก็ตตี้เข้าปาก คิดเอาเองว่าเธออาจจะพอใจถ้าหากผมกินอาหารที่เธอนำมาให้ก็ได้

              

              “ถามในสิ่งที่นายอยากรู้จริง ๆ ดีกว่า” สวรรค์! นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ

              

              “จับฉันมาทำไม?” เธอจะไม่บอกเรื่องของตัวเองก็ไม่เป็นไรแต่สิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุดก็คือเรื่องนี้ ผมยังกินสปาเก็ตตี้อย่างสม่ำเสมอ จนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันทำให้เธอพอใจได้จริง ๆ หรือเปล่าแต่ผมคิดว่ามีส่วน

              

              “เรื่องนั้นเองหรือ?” เธอเหลือบตามองทางอื่น ทำหน้าอย่างคนใช้ความคิด “ฉันแค่ลุ่มหลงในตัวนายก็เท่านั้น”

              

              ลุ่มหลง? ยอมรับมาจนได้ แล้วก่อนหน้านี้ทำมาบอกว่าไม่ได้มีอารมณ์เวลามองหน้าผม เหอะ!

              

              “นายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ” เธอพูดต่อ “เพื่อน ๆ ของฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”

              

              เพื่อนที่ว่าผมคิดว่าคงเป็นไอ้บ้าหน้ากากขาวนั่น แต่ผมเชื่อว่าไม่ได้มีแค่หมอนั่นคนเดียวเพราะคำว่า เพื่อน ๆที่เธอพูดมา “พวกเธอมีกันกี่คน?” ผมถาม

              

              “ห้าคน รวมฉัน”

              

              ที่แท้ก็ทำเป็นกระบวนการ ผมตกเป็นเป้าหมายของหมู่คณะคนโรคจิตหรือนี่? ไอ้พวกนี้มันก็แค่คนบ้าที่ทำอะไรไปโดยไม่มีเหตุผล สรุปสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็คือผมดวงซวยเอง แค่นั้น “แล้วพวกของเธอ...”

              

              “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่มีแค่ฉันกับนายสองคนเท่านั้น”

              

              ขอให้เธอพูดจริงเถอะ หรือต่อให้ไม่จริงผมก็รู้สึกขอบคุณเธออยู่ดีถ้าเธอจะอุตส่าห์โกหกเพื่อให้ผมสบายใจ เธอไม่พูดอะไรต่อ ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ผมค้นหาคำถามที่คิดว่าตัวเองอยากรู้ที่สุดแล้วถามเธอต่อ เป็นคำถามที่ผมทั้งอยากรู้และก็กลัวที่จะต้องรู้ไปในขณะเดียวกัน “เธอ...จะทำอะไรกับฉัน?”

              

              ริมฝีปากเธอยกยิ้มน้อย ๆ ราวกับพอใจในคำถามนี้แล้วจึงตอบ “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความประพฤติของนาย” เธอขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ยื่นใบหน้าเข้ามาเกือบชิดลูกกรงแล้วพูดต่อ “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าฉันจะทำอะไรกับนายได้บ้าง” แววตาของเธอแฝงเลศนัยน์แม้ว่าดวงตาข้างหนึ่งจะปูดบวมอยู่ก็ตาม เธอจงใจทำให้ผมกลัว แต่ผมไม่ได้กลัวอะไรนักหรอก คอยดูเถอะ ถ้าออกไปได้เมื่อไรผมจะบีบคอเธอแน่

              

              “เข้าใจแล้ว” ผมตอบ “ที่ฉันอยากรู้อีกอย่างก็คือ...ฉันขออะไรเธอได้ไหม?”

              

              “แน่นอน ถ้าฉันเห็นสมควรว่านายควรจะได้รับ”

              

              เผด็จการเป็นบ้า... “ถ้าอย่างนั้นฉันขอนาฬิกาหน่อยเถอะ” อย่างน้อยก็ให้ผมได้รู้วันเวลาบ้าง

              

              “ตกลง” เธอถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วถอดนาฬิกาเรือนสีดำที่ใส่อยู่ให้ผม  

              

              “ขอบใจ” ผมรับมาดูถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ แล้ว

              

              “นายไม่ชอบฟาสต์ฟูดงั้นหรือ?”

              

              ขอบคุณที่ถาม “ฉันไม่กินอาหารขยะ”

              

              “ทั้งที่นายชอบกินขนมแท้ ๆ ” ให้ตาย...ชอบกินขนมไม่ได้แปลว่าจะชอบกินฟาสต์ฟูดนี่ ผมไม่ตอบ เธอจึงพูดต่อ “นายมีสติใช้ได้เลยนะ ผิดกับคนก่อนหน้านี้”

              

              คนก่อนหน้า? ผมเงยหน้ามองเธอทันที “มีคนก่อนหน้าฉันด้วยหรือ?”

              

              “นี่ไม่ใช่งานแรกของฉันหรอก”

              

              พระเจ้า ผมน่าจะรู้ข้อนั้นอยู่แล้วนะ เพราะเธอก็ดูไม่ใช่มือใหม่จริง ๆ และถ้าให้เดาว่าตอนนี้พวกนั้นไปอยู่ไหน ผมก็เดาได้ไม่ยากเลย ถึงกระนั้นผมก็ยังจะถามเธอเพื่อให้แน่ใจ “ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน?”

              

              “พวกเขาตายแล้ว” เธอตอบสิ่งเดียวกับที่ผมคิด “เพราะพวกเขาดื้อด้านและมีกำลังเยอะเกินไป ฉันเลยต้องป้องกันตัวเอง”

              

              “ป้องกันตัวเองทั้งที่เธอเป็นคนจับเขามาน่ะหรือ?” ผมแฝงความประชดประชันในน้ำเสียงพลางวางส้อมในมือลง “ขอบคุณสำหรับอาหารดึก” ผมดันจานส่งให้เธอแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

              

              “ราตรีสวัสดิ์ แมทธิว” เธอพูดพลางสอดมือเข้ามาทางช่องแล้วหยิบจานที่ยังเหลือสปาเก็ตตี้อยู่อีกเยอะกลับไปก่อนจะปิดไฟ

     

    Night 5

              

              คืนนั้นผมนอนไม่หลับเพราะนอนมาเยอะแล้ว ผมพลิกตัวไปมาด้วยอาการกระสับกระส่าย ผมไม่ชอบความเงียบ ความเงียบทำให้ผมไม่สามารถควบคุมความคิดต่าง ๆ ที่พร้อมจะไหลเข้ามาในหัวได้ ผมนอนลืมตาอยู่แบบนั้น จนในที่สุดก็หลับไปตอนใกล้เช้า และตื่นมาอีกครั้งช่วงเที่ยง สิ่งแรกที่ผมทำหลังตื่นนอนก็คือหันมองไปที่ประตูลูกกรง มีช็อคโกแลตอัลมอนด์กับโคล่ากระป๋องแสนคุ้นตาวางอยู่ นี่ข้าวเที่ยงผมเหรอ? ไม่มีใครสอนเธอเรื่องการจัดมื้ออาหารให้ถูกหลักโภชนาการเลยหรือไง ผมลุกไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ โซ่ยังล่ามขาไว้เหมือนเดิม ผมจึงนึกได้ว่าแบบนี้จะถอดกางเกงอย่างไร? ผมถอนหายใจพลางถอดแค่เสื้อแล้วก็แกะผ้าก๊อซที่ปิดแผลตรงท้องกับตรงแขนออก แผลไม่ได้ลึกอะไรมาก ผมพับขากางเกงขึ้นแล้วตรงไปที่อ่างอาบน้ำ เปิดฝักบัวเบา ๆ ไม่ให้น้ำพุ่งมาโดนกางเกง ทันทีที่น้ำตกกระทบบนฝ่ามือเท่านั้นล่ะ...ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว

              

              “แม่งเอ๊ย!!” น้ำเย็นอย่างกับเพิ่งละลายมาจากน้ำแข็ง ผมหมุนปรับเครื่องทำน้ำอุ่นเพื่อให้มันอุ่นขึ้น สมองผมคงจะเบลอถึงได้ไม่ยอมดูก่อนว่าน้ำมันยังเย็นอยู่ ผมกวักน้ำล้างตัวแค่เพียงเล็กน้อยโดยไม่ใช้ครีมอาบน้ำด้วยซ้ำ เพราะผมไม่แน่ใจว่าบาดแผลมันสมานตัวมากพอที่จะโดนสารเคมีได้หรือเปล่า และไม่รู้ว่าจะล้างโดยไม่ให้เปียกกางเกงได้อย่างไร เลยตัดสินใจคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัวแล้วเดินออกจากห้องน้ำทันที ผมใช้เบตาดีนเช็ดแผลและปิดด้วยผ้าก๊อซเหมือนเดิม สวมเสื้อตัวใหม่ จากนั้นก็โผล่หน้าไปทางหน้าต่าง ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากใบไม้ที่ปลิวขยับ ผมทรุดตัวนั่งลงใต้หน้าต่างพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

              

              นี่ผมต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน

              

              ไม่มีทีวี ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแลปทอป ให้ตายเถอะ ไม่มีอะไรเลย! น่าเบื่อเป็นบ้า ผมรู้สึกอย่างกับตัวเองเป็นหมาเฝ้าบ้านกำลังนอนรอเจ้าของไปวัน ๆ ผมไม่สามารถนั่งจมกองรูปโพลารอยด์ที่ยังกระจัดกระจายอยู่ที่เดิมได้ เลยเดินไปที่ลูกกรง ชะเง้อคอมองข้างนอกแล้วตะโกน

              

              “เฮ้!” ไร้การตอบหรือเสียงการเคลื่อนไหวใด ๆ เหมือนไม่มีคนอยู่ ผมจึงคลำแม่กุญแจที่ล็อคประตูลูกกรงนี่ไว้ ผมพลิกมันไปมา เขย่าประตูแรง ๆ แต่ก็แน่นอนล่ะ ต่อให้ผมเป็นผู้ชายก็ไม่มีแรงมากพอจะเปิดประตูนี่ได้ "เวร..." ผมพึมพำแล้วทิ้งตัวลงนอนบนพื้นมันทั้งอย่างนั้น

              

              นี่เป็นวันที่สองที่ผมอยู่ที่นี่ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตามตัวผมพบ ผมไม่รู้ความเป็นไปภายนอก ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งตามหาตัวผม หรือจะตามหาตัวคนร้ายที่ฆ่าไทเลอร์หรือยัง ถ้าผมขอทีวีสักเครื่องเธอจะให้ผมไหมนะ...?

              ผมนอนหงายโดยไม่ใส่ใจช็อกแลตแท่งกับโคล่ากระป๋อง สายตาผมจับจ้องกับเพดานห้อง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบจนเรียกได้ว่าสงบมากเกินไป ผมเกลียดความเงียบ อย่างน้อยก็ขอให้มีเสียงเพลงบ้างเถอะแต่ผมไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหน ผมทำได้แค่รอให้ยายเปเปอร์โรคจิตกลับมาแล้วลองขอเธอดู ปัญหาก็คือเธอจะกลับมาเมื่อไรกันล่ะ นั่นสิ...ผมไม่รู้ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงต้องช่วยเหลือตัวเองขั้นพื้นฐานไปก่อน ผมพึมพำเป็นเพลงที่พ่อชอบเปิดบนรถและตอนนี้มันก็ยังติดหูอยู่พลางหลับตาลง

              

              I see a red door and I want it painted black

              No colors anymore I want them to turn black…’ 

              พ่อชอบเปิดเพลงนี้ เป็นเพลงที่ฟังดูเศร้าหม่นแต่ก็ดูเป็นความเศร้าที่ไพเราะ พ่อขับรถไปพลางและร้องเพลงนี้ไปพลาง ร้องเพราะไม่แพ้ต้นฉบับ สมัยหนุ่มพ่อเคยเป็นศิลปิน เขาบอกผมแบบนั้น


              I see the girls walk by dressed in their summer clothes

              I have to turn my head until my darkness goes

              I see a line of cars and they're all painted black

              With flowers and my love both never to come back
              I see people turn their heads and quickly look away
              Like a new born baby it just happens every day…’

     

              ชอบฟังแต่เพลงรุ่นพ่อหรือไงแมท?

     

              ผมลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกว่าหูจะแว่ว ราวกับว่าเกือบจะตกลงสู่ห้วงความฝัน ผมได้ยินเสียงไทเลอร์ เขาเคยถามผมตอนที่ผมร้องเพลงนี้เบา ๆ ที่ร้าน ให้ตายเถอะ...ผมนึกถึงเขาอีกแล้ว ภาพคมขวานที่ผ่ากลางสมองของเขาแล่นเข้ามาในหัว สายตาที่มองมาทางผมก่อนจะล้มลงไปยังติดตาไม่หาย ผมลุกพรวด ตรงไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเอากระปุกยาสีส้มออกมา ผมกินยาในนั้นไปเม็ดหนึ่ง เดินเข้าไปกินน้ำจากก๊อกในห้องน้ำแล้วกลับออกมาก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าผมยังถือกระปุกยาเอาไว้ในมือ จะถือเอาไว้ทำบ้าอะไรเนี่ย ผมส่ายหัวเบา ๆ ขณะเอามันเก็บใส่กล่องยาเหมือนเดิม ทว่า ในตอนที่กำลังวางมันลงไปนั้นผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ผมหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง พินิจมองมันแล้วเปิดฝาเทเม็ดยาทั้งหมดใส่กล่องยาก่อนจะวางมันลงบนพื้น ไอ้กระปุกยานี่มันทำจากพลาสติกแข็ง ใช่แล้วล่ะ ผมต้องทำให้มันแตก พลาสติกแข็งถ้ามันแตกแล้วมันจะมีความแหลมคมมากพอสมควร ผมเล็งตำแหน่งให้มั่นก่อนจะกระโดดเหยียบมันอย่างเต็มแรงด้วยด้วยน้ำหนักตัวทั้งหมด

              ผมส่งเสียงครางอือเพราะเจ็บที่เท้า มันยังไม่แตกออกจากกันผมจึงกระทืบลงไปซ้ำอีกสองสามที จนในที่สุด เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้นให้พึงพอใจ ผมยกเท้าขึ้นมาคลำก่อนหยิบเศษกระปุกยาขึ้นมาสำรวจ ฝีมือในการทำลายข้าวของของผมนับว่าใช้ได้ทีเดียว ผมกำแท่งพลาติกแหลมไว้ในมือ เก็บเศษชิ้นส่วนอื่นซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียงโดยไม่ลืมซ่อนอาวุธไว้ใต้หมอน จากนี้ผมคงต้องหลับไปสักประมาณแปดถึงเก้าชั่วโมง และถ้าคืนนี้เธอมานั่งเฝ้าผมเหมือนอย่างเมื่อคืน...ผมจำเป็นต้องล่อเธอเข้ามา

              

              ผมไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้แล้ว

              

              ผมต้องทำอะไรสักอย่าง




    TBC.................


    -ไรท์ได้ทำการแก้ไขตำแหน่งของประตูห้องไปนิดหน่อย จากที่ตอนแรกให้ลูกกรงอยู่ข้างใน ก็ได้เปลี่นให้ไปอยู่ด้านนอกแทน ต้องขออภัยในความไม่รอบคอบนี้ด้วยค่ะ

    -เพลงที่พระเอกร้องชื่อเพลง Paint it Black ของ The Rolling Stones ค่ะ แต่มีเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงใหม่เป็นเวอร์ของ Ciara ประกอบหนังเรื่อง The last witch hunter เพราะดีค่ะ ฟังดูหลอน ๆ 55555555  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×