ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Silent Shout

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter : II

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 62



     Chapter II

     

              “ไทเลอร์! ผมตะโกนเรียกแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา แต่ก็ไม่ทันที่จะช่วยชีวิตเขา...คมขวานจามลงบนกลางศีรษะของไทเลอร์ผ่าแยกมาจนถึงหน้าผาก เลือดสีแดงฉานผสมกับน้ำฝนไหลอาบลงตามใบหน้าและดวงตาที่เบิกโพลง ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกจากปากของไทเลอร์แม้แต่น้อย ฆาตกรนั่นดึงขวานขึ้นแล้วหันมาทางผมที่ตกอยู่ในอาการตกใจอย่างขีดสุด เมื่อมันหันมาผมถึงได้เห็นชัด ๆ ว่ามันมีโครงร่างเหมือนผู้ชาย มันสวมแจ็คเก็ตกีฬาเบสบอลสีน้ำเงินสลับขาวกับกางเกงยีนส์สีดำ ซ้ำยังใส่หน้ากากสีขาวรูปหน้าคนซึ่งมีรอยเลือดของไทเลอร์ไหลย้อย ตอนที่มันเดินตรงเข้ามานี้เองผมจึงตั้งสติได้อีกครั้งแล้วเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเพื่อนร่วมงานถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ผมดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จริง ๆ และแม้ว่าไอ้ฆาตกรจะดูตัวเตี้ยกว่า แต่สมองของผมก็ไม่สามารถประมวลผลให้รับมืออะไรได้นอกจาก...วิ่งหนี

              

              ผมวิ่งฝ่าสายฝนโดยมีไอ้ฆาตกรยกขวานไล่ตามมา ผมรู้ดีว่ามันเตี้ยกว่าและผมอาจจะสู้ได้ แต่มันก็แค่ อาจจะเท่านั้น ผมรับรู้ถึงความ บ้าระห่ำของมันกับความกระหายที่จะฆ่าผมให้ได้

              

              “ช่วยด้วย!” ผมตะโกนลั่น แต่สายฝนก็ดูจะกลบเสียงจนแทบไม่ได้ยิน “ช่วยด้วย!” ผมหันกลับไปมองข้างหลังแล้วจึงเห็นว่าตัวเองวิ่งทิ้งห่างจากมันมาไกลพอสมควร ผมใจชื้น คิดว่าอย่างน้อยขายาว ๆ ก็ทำให้ผมวิ่งเร็วกว่ามัน ผมวิ่งมาถึงอพาร์ทเมนต์แล้วตรงดิ่งมาที่ห้องทันที ผมไม่สนว่าไอ้บ้านั่นมันจะตามมาและอาละวาดไปฆ่าคนอื่นหรือเปล่า เพราะในวินาทีนี้ผมต้องเอาตัวเองให้รอด กล่องบรรจุซากสัตว์เลื้อยคลานยังวางอยู่ที่เดิม ผมเตะออกไปแล้วไขกุญแจห้องด้วยมือที่สั่นเทา

              

              ใจเย็น...ใจเย็น...ผมอยู่ในตึกแล้ว มันไม่มีทางตามมาทันแน่ ประตูห้องถูกเปิดออก ผมรีบพุ่งตัวเข้ามาในห้องมืดทึบและไม่ลืมกดล็อคลูกบิด หัวใจเต้นรัว ผมหายใจแรง เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความตกใจประกอบกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มและลมเย็นที่พัดเข้ามาทางระเบียง

              

              ...เดี๋ยวนะ...ผมมองตรงไปเบื้องหน้า จ้องมองผ้าม่านที่โบกสะบัดเพราะลมฝน

              

              ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นว่าวันนี้ผมไม่ได้ลืมปิดประตูระเบียงก่อนออกจากห้อง ลางสังหรณ์ที่เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยส่งเสียงเตือนในหัวพร้อมกับเสียงของผมที่กำลังบอกตัวเองอยู่ในใจ เป็นไปไม่ได้หรอก...ไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะมีใครปีนขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดได้...ผมคิดแบบนั้นมาเสมอและเพราะความคิดนี้เองที่ทำให้ผมไม่เคยล็อคประตูระเบียงเลย น้ำฝนพัดสาดกระเซ็นเข้ามาในห้องเพราะสายลมที่โหมกระหน่ำ เสียงฟ้าร้องคำรามดังสนั่นและเมื่อมันเงียบลงก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงเล็ก ๆ ของผู้หญิงกระซิบข้างหลังผม

              


              “หวัดดี” 

              


              ผมสะดุ้งเฮือก เจ้าของเสียงนั่นไม่รอให้ไหวตัวทัน เธอพุ่งมาทางด้านหลัง เตะเข้าที่ข้อพับจนผมล้มลงก่อนจะใช้แขนรัดที่ลำคอและโน้มตัวทาบทับลงมาเพราะเธอพยายามจะกดตัวผมลงบนเตียงในตอนนี้ผมไม่ต้องใช้สมองวิเคราะห์ก็รู้ดีว่าเธอเป็นใคร แขนอีกข้างของเธอจับมือผมแนบลงเสมอศีรษะแต่ผมแรงเยอะกว่าจึงสามารถสลัดให้หลุดได้ ติดก็แต่ลำคอที่ยังถูกรัดเอาไว้ ผมเอื้อมมือปัดป่ายไปข้างหลังจนคว้าเข้ากับเส้นผมของเธอ ผมจิกแน่นแล้วกระชากอย่างแรงแต่ก็โดนกัดเข้าที่หูเช่นกัน “อ๊าก!!” ผมร้อง และยิ่งเจ็บผมยิ่งพยายามต่อสู้ กระเป๋าเป้ที่เคยสะพายไว้หลุดร่วงเอกเขรก ผมตีเข้าที่ใบหน้าจนเธอยอมปล่อยแล้วจึงยันตัวให้ลุกขึ้นก่อนจะใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงเธอออกจนได้ ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง แสงสีขาวสว่างวาบทำให้เห็นร่างเล็กในชุดฮู้ดสีดำที่ผมคุ้นเคยดี ผมจับเธอให้ลุกขึ้นหวังจะรวบตัวเธอแต่แล้วผมกลับโดนเธอรวบแขนไว้ข้างหนึ่งเสียเองแล้วจับไพล่มาที่ด้านหลังพร้อมกับตัวเธอด้วยความว่องไวจนผมตามไม่ทันราวกับเป็นท่าหนึ่งในศิลปะการต่อสู้อะไรสักอย่าง แขนผมแทบหัก ผมร้องด้วยความเจ็บปวดและเป็นอีกครั้งที่ผมถูกเธอกดลงกับเตียง เธอนั่งทับตัวผมและพยายามจะเอาอะไรบางอย่างมาคล้องข้อมือซึ่งผมเดาว่ามันคือกุญแจมือ ผมไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น ผมดิ้นขลุกขลักดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการจับกุมได้ก่อนจะพลิกตัวเพื่อต่อสู้กับเธอเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอทำกุญแจมือกระเด็นไปทางอื่น เธอไม่รอช้า รีบชกเข้าที่ใบหน้าข้างซ้ายของผมไปสามที เธอหมัดหนักก็จริงแต่นั่นยังไม่ทำให้ผมหมดแรง ผมไม่รู้ว่ายายบ้านี่ต้องการอะไรจากผม สิ่งที่ผมรู้นั่นคือผมต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ผมตั้งหลักยึดข้อมือสองข้างของเธอไว้ได้แล้วพยายามพลิกตัวเธอให้เป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน และแน่นอนว่าผมยังได้เปรียบในเรื่องของพละกำลัง การต่อสู้จึงถูกสับเปลี่ยนตำแหน่ง ผมเป็นฝ่ายคร่อมตัวเธอแล้วชกหน้าเธอคืน ความคิดในตอนนั้นคือผมต้องหยุดเธอให้ได้ ผมชกหน้าเธออีกครั้ง และในที่สุด...เธอก็แน่นิ่งไป

              

              ฝนยังคงตกกระหน่ำ เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่ายังดังให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดราวกับเป็นดนตรีประกอบฉากสุดระทึกที่ผมกำลังประสบอยู่ ผมมองร่างบางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงก่อนจะจับหน้าเธอให้หันมาแล้วเอานิ้วอังที่ปลายจมูกเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าหมัดของผมจะไม่ทำให้เธอถึงตาย เป็นดังคาด เธอยังหายใจอยู่ ผมคลำหากุญแจมือที่เธอเป็นฝ่ายพกมันมาเอง แต่แล้ว เสียงเคาะประตูที่ดึงขึ้นก็ดึงความสนใจให้ผมต้องหันไปมองด้วยอาการวิตก ผมยืนขึ้นแล้วเดินไปยังประตูส่องดูผ่านช่องตาแมวแล้วก็ต้องตื่นตระหนกอีกรอบเมื่อเห็นว่าไอ้ฆาตกรหน้ากากขาวในเสื้อเบสบอลกำลังยืนรอผมอยู่หน้าห้อง และมันยังถือขวานเอาไว้ในมือ ผมลืมนึกถึงมันไปก่อนหน้านี้ ราวกับมันตามมาที่นี่เพื่อเตือนความจำ ผมถอยห่างออกจากประตู พลางคิดหาว่ามันเป็นใครกัน ทำไมมันถึงฆ่าไทเลอร์? ทำไมถึงตามล่าผม? และที่สำคัญมันเป็นพวกเดียวกันกับยายฮู้ดดำนี่หรือเปล่า? หรือมันก็แค่ฆาตกรที่บังเอิญอาละวาดฆ่าคนในเวลาเดียวกับที่ยายบ้าที่นอนสลบนี่บุกเข้ามาในห้องผม ฆาตกรนอกห้องเคาะประตูอีกสามครั้ง เสียงก๊อกก๊อกปั่นประสาทผมจนเผลอสะดุ้งโหยง มันเว้นช่วงไปเพียงครู่เดียวแล้วเคาะขึ้นอีก ตามมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเสียงเคาะรัว และดังมากขึ้น ผมสูดลมหายใจเข้าออกพลางเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างประตูแต่ก็ต้องสบถคำว่า “เวรเอ๊ย...” ออกมาเบา ๆ เมื่อพบว่าไฟดับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเห็นว่าข้างนอกไฟยังติดอยู่เลยแท้ ๆ  ดีที่ผมปรับสายตาให้เข้ากับความมืดได้แล้ว ผมจึงมองหากระเป๋าเป้เพื่อจะหยิบโทรศัพท์ในนั้นมาโทรแจ้งตำรวจ แต่ทว่า สัญญาณเตือนภัยก็ร้องเตือนในใจอีกครั้งเพราะผมรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตและมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก...ร่างที่ควรจะนอนสลบอยู่บนเตียง ผมไม่ทันได้หันไป เป็นอีกครั้งที่เธอใช้ความเร็วซึ่งเหนือกว่าผมเข้าจู่โจมโดยการคลุมหัวผมด้วยผ้าห่ม เธอรัดคอผมและเหวี่ยงผมลงกับพื้นแต่ถึงจะมองอะไรไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะสู้เธอไม่ได้ ผมไม่ยอมล้มลงง่าย ๆ แต่พอแขนรับรู้ถึงความเจ็บเพราะถูกปาดด้วยของมีคมผมก็จำต้องล้มลงไปตามที่เธอต้องการ จุดอ่อนเพียงเสี้ยววินาทีทำให้เธอปาดเข้ามาอีกแผลที่หน้าท้อง เธอเริ่มใช้อาวุธกับผม...

                

              เสียงเคาะประตูข้างนอกเงียบหายไป ผมไม่มีเวลามากพอที่จะคิดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ยายบ้าฮู้ดดำใช้สองขาเกี่ยวรอบตัวผมแล้วออกแรงรัดเหมือนงู ผมรู้สึกเจ็บที่ใต้หน้าอกเพราะแรงรัด ดูเหมือนว่าเธอจะใช้วิชายิวยิตสูมาสู้กับผมซึ่งเป็นผู้ชายที่มีแค่กำลังเท่านั้น

              

              “อ...อั่ก...” ผมร้องแต่แทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ผมใกล้จะขาดอากาศหายใจ แต่ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองยังมีแรงไหว

              

              เวลาที่คุณรู้ตัวว่ากำลังจะถูกพรากลมหายใจ คุณย่อมต้องรักตัวกลัวตายและต้องพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้...

              

              ผมทุบแขนเธออย่างแรง แรงที่สุดเท่าที่ผู้ชายตัวสูงเกือบหกฟุตอย่างผมจะทำได้ อะดรีนาลินพลุ่งพล่านกระตุ้นให้ผมยันตัวเองลุกขึ้นโดยที่มีเธอเกาะอยู่ข้างหลัง ผมจำตำแหน่งจุดต่าง ๆ ในห้องได้ดีและเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าดีแค่ไหนที่ห้องเส็งเคร็งนี่มันแคบขนาดนี้ ดังนั้นต่อให้มองไม่เห็นผมก็สามารถกระแทกหลังที่มีเธออยู่เข้ากับกำแพงได้อย่างแรง ผมได้ยินเสียงอึกอักในลำคอดังข้างหู ผมกระแทกใส่กำแพงเป็นครั้งที่สามจนเธอร่วงลงไปจนได้ ผมประคองร่างตัวเองเมื่อได้รับอิสระแต่ก็รู้สึกหน้ามืดจึงเซหงายหลัง ผมรู้ว่าเธอเร็วกว่าดังนั้นจึงไม่ทิ้งช่วงอ่อนแอให้นานพอที่เธอจะลุกขึ้นมาได้อีก ผมรีบพุ่งเข้าหาและชกเข้าที่หน้าเธอ จากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ทำให้รู้ว่ายายนี่อึดมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าเธออึดกว่าผู้หญิงทั่วไปหรือแท้จริงผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันทุกคนอยู่แล้ว ผมไม่รู้เพราะผมไม่เคยใช้กำลังกับผู้หญิงมาก่อน อีกอย่างคือเธอจงใจจะฆ่าผม ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องออมแรง แต่เธอก็ทำให้ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธออึดจริงด้วยการใช้นิ้วจิ้มตาทั้งสองข้างของผมเป็นการสวนกลับ ผมร้องและชะงัก ในจังหวะนั้นเธอก็ถีบผมจนหงายหลังไปอีกรอบ ผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นเตียงเพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง เธอคว้าข้อเท้าผมไว้ผมจึงใช้เท้าอีกข้างยันร่างเธอแล้วพาตัวเองตรงไปยังมุมห้องครัว ผมหยิบมีดทำครัวที่มีแค่เล่มเดียวเท่านั้นมาถือเอาไว้และตั้งท่ารับ ถ้าเธอพุ่งเข้ามาเมื่อไรผมสาบานว่าจะแทงไส้เธอไม่ยั้งแน่ต่อให้ยังแสบตาอยู่ก็ตาม  

              

              เธอลุกขึ้นยืนตรง สองมือล้วงในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แสงวาบจากฟ้าผ่าทำให้ผมเห็นเพียงเสี้ยววินาทีว่าใบหน้าเธอปูดบวม มีเลือดไหลที่แก้มกับจมูก แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอดูหมดแรงเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน เธอยืนอย่างสบายอารมณ์ จ้องมองมาทางผมและเดาว่าเธอต้องกำลังมองผมอย่างที่เธอชอบทำเป็นแน่

              

              “...แมทธิว” เธอเรียกชื่อผม ในจังหวะนี้ผมไม่คิดแปลกใจอะไรกับเธอแล้ว “ขอดูหน่อยเถอะว่านายจะทำอะไรต่อ” เสียงเธอเล็กใสฟังดูไพเราะดีแต่ไม่มีประโยชน์สำหรับผม สิ้นคำพูด เธอก็หมุนลูกบิดประตูแล้วเปิดออก

              

              ชิบหายล่ะ...ผมลืมไปเสียสนิทว่ายังมีไอ้บ้าโรคจิตยืนอยู่ข้างนอก แสงฟ้าผ่าสว่างวาบอีกครั้งเผยให้เห็นร่างสมส่วนในเสื้อเบสบอลสวมใส่หน้ากากสีขาวอย่างชัดเจน

              

              ...มันเป็นพวกเดียวกัน...

              

              “พวกแกต้องการอะไร!?” ผมตะโกนถาม เพราะตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผมไปทำอะไรให้พวกมัน ยายบ้าฮู้ดดำยกมือเช็ดเลือดที่จมูกพลางปีนข้ามเตียงมาใกล้ ผมถอยห่างโดยที่ยังจ่อคมมีดไปทางเธอ ส่วนไอ้ฆาตกรยืนพิงลำตัวด้านข้างกับขอบประตูท่ามกลางความมืด ไม่มีคนเดินผ่านมาเลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้ ความกลัวเกาะกินผมอีกขั้นเมื่อผมรู้สึกราวกับว่าในอพาร์ทเมนต์นี้มีผมเป็นผู้อาศัยแค่คนเดียว

              

              เธอไม่ตอบคำถาม แต่ขยับมาใกล้มากขึ้นอีกราวกับจะต้อนให้จนมุมซึ่งผมก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อถอยหนีไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าตัวเองมายืนตากฝนอยู่นอกระเบียงแล้ว

              

              “ตรงนั้นมันอันตรายนะ” เธอพูดเสียงเรียบพลางยื่นมือเข้ามาเหมือนจะคอยรับ แต่ฝันไปเถอะ ผมฟันมีดใส่มือเธอทันที “โอ๊ย!” เธอชักมือกลับ เสียงร้องของเธอฟังดูราวกับเสแสร้ง เธอพินิจมองเลือดที่ไหลอาบมาตามซอกนิ้วแล้วล้วงเข้าไปในเสื้อเช่นเดิมก่อนหันมายิ้มบางให้ผม และเพียงชั่วอึดใจ เธอก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมตั้งสติไม่ทัน ได้แต่ยกมีดขึ้นสูงเพื่อจะแทงใส่เธอ แต่ก็ถูกเธอใช้มีดสั้นเล่มเล็กปาดเข้าที่มือข้างนั้นก่อนจะฉีดน้ำอะไรบางอย่างใส่หน้าผมท่ามกลางสายฝน ผมหันหน้าหนีและถูกเธอคว้าคอเสื้อเข้ามาข้างในห้อง เธอนั่งคร่อมผม หยิบหน้ากากอนามัยจากกระเป๋าเสื้อมาใส่แล้วฉีดสเปรย์บ้านั่นใส่ผมอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ไอ้ฆาตกรเข้ามาช่วยเธอยึดข้อมือผมไว้ ไอ้บ้านี่มันแรงเยอะและมีแรงเหลือเฟือมากหากเทียบกับผมที่สูญเสียแรงไปก่อนหน้านี้เพราะสู้กับยายฮู้ดดำ

              “ปล่อย! ปล่อยฉัน!” ผมดิ้นพราดแต่ก็ไม่อาจสู้แรงฆาตกรได้ จนกระทั่งไม่นาน ผมเริ่มรู้สึกว่าที่ผมอ่อนแรงลงส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะสเปรย์ที่เธอฉีดใส่ “ปล่อยฉัน...” ยายฮู้ดดำจับหน้าของผมให้หันมามองหน้าเธอ ภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพพร่ามัว ดวงตาก็พร้อมจะปิดลงแต่ผมก็พยายามคงสติอย่างไร้ประโยชน์ เธอใช้ยานอนหลับฉีดใส่ผม...และก่อนที่สติของผมจะดับวูบลง ผมก็ได้ยินเธอพูด

              “ฉันควรทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว ง่ายกว่าใช่ไหม? แต่ฉันแค่อยากจะเล่นกับนายก่อนก็เท่านั้น”

     



    ***

     

              

    Night 4

              

              ปวดหัวเหลือเกิน...ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งลงจากเครื่องเล่นที่หมุนเป็นวงกลมด้วยความเร็วจัด หัวสมองมึนตึง ที่แขนก็เจ็บไปหมด ผมพยายามพลิกตัวนอนหงายและก็พบว่าจำเป็นต้องนอนทับแขนทั้งสองข้างเพราะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้ราวกับถูกมัดไว้ ดวงตาหนักอึ้งลืมขึ้นอย่างช้า ๆ ร่างกายเรียกร้องอยากจะนอนต่อแต่ตัวผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลา จิตใจของผมตื่นตระหนกหวาดกลัวจนแม้จะสลบไปแล้วแต่พอตื่นขึ้นมาผมก็ยังจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ แต่สิ่งที่ผมยังไม่รู้และไม่มีวันจำได้นั่นก็คือ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้...?

              

              ผมได้สติตื่นเต็มตา ความตกใจยังคงอยู่และมันปลุกกระตุ้นให้ผมพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ผมถูกมัดเอาไว้จริง ๆ ทั้งข้อมือและข้อเท้า ผมกำลังนั่งอยู่บนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ภายในห้องที่แค่กวาดตามองก็รู้ว่าเป็นห้องนอน ห้องนี้กว้างและมีสภาพดูดีแต่ก็ยังดูโล่งไปหน่อยเพราะนอกจากเตียงกับโต๊ะเขียนหนังสือตรงหัวเตียงแล้วผมก็เห็นว่ามีแค่ตู้เสื้อผ้าไม้ตั้งอยู่ตรงมุมห้องปลายเตียงเท่านั้น ถัดจากตู้เสื้อผ้าเป็นประตูบานหนึ่งซึ่งผมคิดว่าคงเป็นห้องน้ำ ผมหันไปทางหน้าต่าง แสงแดดที่น่าจะเป็นแดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้องผ่านผ้าม่านสีขาว ผมรีบพาตัวเองตรงไปยังหน้าต่างทันทีแต่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลาน และเพราะล้มลงไปผมถึงเพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าผมเปลี่ยนไปกลายเป็นเสื้อยืดสีขาวแขนยาวกับกางเกงวอมสีเทา ผมลุกขึ้นกระโดดเหยง ๆ ไปยังหน้าต่าง ใช้ใบหน้าแทรกผืนผ้าม่านเพื่อพบกับกระจกที่ปิดสนิทกับซี่เหล็กที่ปิดกั้นหน้าต่างด้านนอกเอาไว้ ผมไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ ผมเดาว่าหน้าต่างอีกบานที่ติดกันก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกันและมันก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ผมมองออกไปข้างนอก ถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่บนชั้นสองของบ้าน ผมมองเห็นถนนเส้นเล็กตัดผ่านหน้าบ้าน มีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามมีบ้านอีกหลังล้อมรอบด้วยหมู่ไม้รกชัฏมองดูเหมือนบ้านร้าง

              

              นี่พวกมันเอาผมมาไว้ที่ไหนกัน....

              

              ผมทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกตึงที่แขนและหน้าท้องเพราะบาดแผล แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะการเสียดสี ดูเหมือนว่ามันจะได้รับการทำแผลอย่างเรียบร้อยดี

              

              พวกมันทำแบบนี้ทำไม...?   

              

              ฆ่าเพื่อนร่วมงานของผม บุกเข้ามาทำร้ายกันจนแทบตาย จับมาขังเอาไว้และสุดท้ายก็มาทำดีด้วยงั้นเหรอ...อาการแบบนี้ผมคงจะวินิจฉัยด้วยความคิดตัวเองให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอาการทางจิต ผมจำได้ว่าผมไม่เคยรู้จักสาวฮู้ดดำคนนั้น ส่วนไอ้ฆาตกรนั่นผมก็จำได้ว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่แวนคูเวอร์ผมก็ไม่ได้ไปมีเรื่องอะไรกับใคร ครั้นจะคิดว่าเป็นพวกที่เคยมีปัญหากันตั้งแต่ที่ยังอยู่พอร์ตแลนด์ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะนั่นมันก็ผ่านไปนานแล้ว และพวกนั้นก็คงไม่ลงทุนข้ามเมืองเพื่อมาทำอะไรแบบนี้กับผมหรอก ผมเริ่มวิตกเมื่อคิดไปถึงว่า ถ้าหากสาวฮู้ดดำกับฆาตกรหน้ากากขาวนั่นจับผมมาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ...ผมอาจจะเป็นแค่เหยื่อผู้โชคร้ายที่ดันตกเป็นเป้าหมายของพวกมันโดยบังเอิญก็ได้ แบบนี้มันฟังดูเลวร้ายเสียยิ่งกว่า

              

              ผมนั่งอยู่ที่เดิม พิงแผ่นหลังกับผนังใต้หน้าต่าง สมองคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าป่านนี้แล้วคงต้องมีคนมาพบศพของไทเลอร์และพวกเขาจะต้องรับรู้ถึงการหายตัวไปของผม จากนั้นก็จะต้องตามหาตัวผมแน่ ๆ ใช่แล้ว...ผมอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก ผมต้องใจเย็นและต้องรอเวลาเท่านั้น

              

              แต่สิ่งที่ยังคงน่ากลัวอยู่สำหรับผมก็คือ...ผมไม่รู้ว่าในระหว่างนี้พวกมันจะทำอะไรกับผมบ้าง

              

              แกร๊ก

                

              ผมหันขวับไปยังต้นเสียง ใครบางคนกำลังเปิดประตูเข้ามา และถ้าหากผมไม่มองที่ประตูก็คงจะไม่รู้ว่ามีลูกกรงเหล็กอีกชั้นปิดกั้นไว้จากด้านใน ลางสังหรณ์เริ่มเตือนให้นึกถึงสิ่งแย่ ๆ ว่าตัวเองอาจจะถูกขังเอาไว้ในห้องที่เปรียบเสมือนกรง ผมได้ยินเป็นเสียงเหมือนโซ่กระทบกับประตูไม้ด้านนอกก่อนที่มันจะแง้มเปิดปรากฏร่างเล็กผอมบางของสาวฮู้ดดำยืนอยู่หลังลูกกรงเหล็ก ในมือเธอถือโซ่เส้นยาวที่ถูกพันทบกัน ผมยืนขึ้นอย่างร้อนรน

              สาวฮู้ดดำไขกุญแจของลูกกรงแล้วเดินเข้ามา เธอลดฮู้ดที่สวมอยู่ลงเผยเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าของเธอขาวซีด ตรงแก้มข้างซ้ายมีผ้าก๊อซติดอยู่ มุมปากเป็นสีม่วงคล้ำ ดวงตาปูดบวม นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอแข็งกร้าวแต่ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังยิ้มเยาะ 

              

              “เธอเป็นใครกัน...?” ผมเอ่ยถามตรง ๆ มีหลายอย่างที่ผมต้องการรู้จากเธอ “เธอทำแบบนี้กับฉันทำไม...ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ” ไม่ต้องส่องกระจกผมก็รู้ว่าสีหน้าท่าทางของตัวเองในตอนนี้เป็นแบบไหน คงจะเหมือนพวกขี้แพ้น่าดู สาวฮู้ดดำเดินอ้อมมานั่งบนเตียงเบื้องหน้าผม เธอยกขาขึ้นไขว่ห้าง วางโซ่กองหนาไว้ข้างตัวแล้วเท้าคางมองผมนิ่ง ๆ ผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับเธออย่างไร ผมรู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต่อรองหรือบังคับขู่เข็ญอะไรเธอได้ ผมได้แต่รื้อค้นความทรงจำว่าเคยไปทำอะไรไม่ดีกับเธอไว้หรือเปล่า

             

              ...หรือว่าเธอจะโกรธที่ผมเขียนตอบเธอบนกล่องหน้าห้องนั่น? หรือว่าจะโกรธที่ผมชูนิ้วกลางใส่เธอ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้เธอได้ทั้งนั้น ผมคุกเข่าลง คิดว่าจะใช้ไม้อ่อนอ้อนวอนเธอแม้ว่าในตาของเธอจะดูไม่มีความปรานีเลยก็ตาม

              

              “ได้โปรดล่ะ...ฉัน...ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันทำให้เธอไม่พอใจแต่ว่า...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ ปล่อยฉันไปเถอะ...ได้โปรด” ผมทำน้ำเสียงให้เธอเชื่อว่ารู้สึกผิด แต่ผมกลับได้รับการตอบกลับเพียงเสียงถอนใจขึ้นจมูกพร้อมริมฝีปากที่หยักโค้งเป็นรอยยิ้มเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อผม “อย่างน้อย...ก็ช่วยพูดอะไรที่จะทำให้ฉันเข้าใจทีเถอะ” ผมเหลืออดแต่ยังไม่กล้าพูดหรือทำอะไรแรง ๆ ผมยังรักษาท่าทีอย่างสุนัขที่กำลังขออาหาร “อย่างน้อย...ก็ให้ฉันได้รู้เถอะว่าทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ที่นี่” พูดจบผมก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ผมกำลังเล่นยี่สิบคำถามสามคำตอบกับเธอ หรือกำลังแสดงละครที่มีบทบาทหลากหลายแล้วให้เธอเลือกว่าแบบไหนเธอจะพอใจอย่างนั้นเหรอ?

              

              ตลกสิ้นดี...

              

              ทว่า...ดูเหมือนเธอจะประทับใจบทล่าสุดของผม เพราะในที่สุดเธอก็ขยับปากพูดเสียที

              

              “นายไม่รู้จักฉันอย่างนั้นหรือ?” เธอถามย้ำ

              

              “แน่นอน”

              

              “ฉันก็ไม่รู้จักนายเหมือนกัน” ผมอึ้งในความตอแหลของเธอไปเล็กน้อย แต่ผมไม่ใช่พวกอ้ำอึ้งแล้วนั่งเงียบเก็บความสงสัยไว้ในใจเหมือนพวกขี้แพ้

              

              “เธอรู้จักฉัน” ผมลุกขึ้นยืน แต่ละคำที่พูดไปเมื่อครู่ผมเน้นเสียงให้เธอได้ยินชัด “เธอซื้อของที่ร้านฉัน เธอตามฉันมาที่อพาร์ทเมนต์ เธอวางกล่องน่าสะอิดสะเอียนนั่นให้ฉัน...” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะพูดไม่เข้าหูเธอ แต่แล้วเธอกลับคงสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ ไม่มีแววของความไม่พอใจ ผมจึงตัดสินใจพูดต่อ “และ...และ...” ผมกลืนก้อนแข็งลงคอ ไม่ได้จะร้องไห้แต่ผมแค่รู้สึกไม่ดีที่จะต้องพูดออกมา “พวกของเธอ...ฆ่าไทเลอร์...พวกเธอฆ่าเขา...ทั้งที่เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยซ้ำ” เหตุการณ์ตอนนั้นไหลย้อนเข้ามาในความทรงจำ ภาพสมองของไทเลอร์ที่แยกเป็นสองซีก...

              

              ผมเงียบเพื่อรอคำตอบจากเธอ

              

              “เมื่อคืนนี้งั้นหรือ?” เธอมองไปทางอื่นเหมือนใช้ความคิด “ฮาร์ลี่ฆ่าเขาไปแล้วสินะ” ผมไม่รู้จักฮาร์ลี่อะไรนั่น แต่ผมเดาว่าเธอหมายถึงไอ้ฆาตกรหน้ากากขาวนั่นแน่ ๆ  และอีกอย่าง ที่เธอพึมพำแบบนั้นคือจะสื่อว่าเธอไม่รู้เรื่องที่ไอ้บ้านั่นฆ่าไทเลอร์มาก่อนงั้นหรือ? ผมไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ทำงานกันอย่างไร “แต่แบบนั้นมันก็เป็นความผิดเพื่อนนายอยู่ดี”

              

              “.......” ผมเงียบไป สีหน้าและน้ำเสียงเธอไม่มีความรู้สึกผิดหรือกระดากใจเลย

              

              “ทั้งที่ควรจะมีแค่นายคนเดียวแต่เขาดันสอดเข้ามาเองนี่...เอ...หรือว่าเป็นนายกันนะที่ทำให้เขาต้องเข้ามาทั้งที่ไม่ควร”

              

              ผมกลืนน้ำลายลงคอ เธอพูดถูก...เป็นเพราะผมเองที่ลากไทเลอร์มาด้วยกันในคืนนั้น แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผมไม่คิดว่าไอ้บ้านั่นมันจะโผล่มาฆ่าเขาแบบนั้น...ดวงตาผมร้อนผ่าว ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาร้องไห้ให้คนอย่างไทเลอร์ ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขามาตลอด แต่ผมไม่ได้อยากให้เขาตายและมันก็อดคิดไม่ได้ว่าที่เขาต้องตายนั้นเป็นเพราะผม

              

              “เธอ...เธอหมายหัวฉันไว้นานแล้วอย่างนั้นใช่ไหม...” ผมกัดฟันถาม พยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล นั่นเป็นสิ่งที่ผมถนัด

              

              “แน่นอนอยู่แล้ว”

              

              “แต่ไทเลอร์ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน...พวกเธอมันโรคจิต...พวกเธอมันฆาตกรโรคจิต”

              

              “แน่นอนอยู่แล้ว” เธอตอบเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่น่าจะพูดย้ำในสิ่งที่มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะด่าเธอว่าอย่างไรดี

              

              “เธอทำแบบนี้ทำไม...?”

              

              เธอไม่ตอบ

              

              “เธอคงเฝ้ามองฉันเหมือนคนโรคจิตงั้นสินะ..? เธอสะกดรอยตามฉันมาตลอด แอบถ่ายรูปฉันไว้กี่ใบล่ะ? เธอช่วยตัวเองเสร็จไปกี่รอบเวลาที่มองรูปฉัน?” ผมถามเธอออกไปด้วยอารมณ์โทสะ แล้วก็ด่าตัวเองในใจว่าบ้าเอ๊ย...ผมไม่น่าไปยั่วโมโหเธอเลย

              

              “หึ...” เธอหลุดหัวเราะเล็กน้อย เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้รู้ว่าเธอรู้สึกตลกกับสิ่งที่ผมพูดไปจริง ๆ  เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบรูปโพลารอยด์เป็นปึกออกมาแล้วโยนใส่หน้าผมอย่างแรง

              

              “นึกไว้แล้วว่าต้องพูดแบบนี้”

              

              ผมมองรูปที่ร่วงกระจัดกระจาย เห็นแต่ละรูปมีแต่ภาพของผมทั้งนั้นซึ่งก็แน่นอนล่ะ มันคงจะเป็นรูปอื่นไปไม่ได้หรอก

              

              “ส่วนเรื่องช่วยตัวเองนั่น มันไม่จำเป็นสำหรับฉันหรอก เพราะฉันไม่ได้มีอารมณ์เวลาที่เห็นหน้านายหรอกนะ”

              

              นังบ้าเอ๊ย...โกหกชัด ๆ ไม่อย่างนั้นจะถ่ายรูปผมเอาไว้ทำไมกัน...ผมคิดแบบนั้นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียหน้า

              

              “เอาล่ะ” เธอลุกขึ้นพลางหยิบโซ่ที่วางอยู่ขึ้นมาด้วย “ฉันคงต้องขอความร่วมมือจากนายหน่อย” เธอตรงมาหาผมซึ่งผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณก่อนที่เธอจะย่อตัวลงแล้วพูด “ระหว่างที่ฉันกำลังจัดการนาย ขอให้นายอยู่เฉย ๆ ก็แล้วกัน” เธอว่าพลางคล้องโซ่ที่ข้อเท้าผมทั้งที่มันยังถูกมัดรวบกันไว้ด้วยเชือก “เพราะถ้านายไม่เชื่อฟังฉัน...นายจะต้องเจ็บตัวและนายก็คงไม่อยากรู้แน่ว่าจะเป็นยังไง”

              

              ผมยืนตัวแข็ง เธอเงยหน้าขึ้นพูดอีกครั้ง “ฉันพูดจริงนะ...”

              

              ใช่...เธอพูดจริง...ผมดูออกจากแววตาของเธอ

              

              เธอคล้องโซ่ที่ข้อเท้าผมข้างหนึ่ง ล็อคด้วยแม่กุญแจตัวเล็กแล้วจึงโยงส่วนปลายอีกด้านคล้องไว้กับซี่เหล็กที่โค้งเป็นวงเชื่อมติดไว้ตรงผนังระหว่างหน้าต่างสองบานข้างหลังผม ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีไว้ใช้การแบบนี้ ดูเหมือนเธอจะต่อเติมมันขึ้นมาเอง โซ่เส้นนี้เป็นเส้นเล็กแต่ยาวมากทีเดียวเพราะดูจากความหนาของจำนวนทบที่กองอยู่ ล่ามผมให้ยิ่งดูเหมือนนักโทษเสร็จแล้วเธอก็แก้เชือกที่มัดข้อเท้าแล้วจับผมให้หันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อแก้เชือกที่มือให้

              

              “ฉันจะเอาอาหารมาให้” เธอพูดแล้วหันหลัง ผมจึงเรียกเธอไว้ ผมยังไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วเธอทำแบบนี้กับผมทำไม

              

              

              “ขอบคุณที่แก้มัดให้เพื่อล่ามฉันต่อ แต่เธอยังตอบคำถามฉันไม่ครบ” ผมทวง เธอจึงหันกลับมาแล้วตอบหน้าตาย

              


              “แล้วฉันจำเป็นต้องตอบคำถามนายให้ครบหรือไง?”





    TBC...................................................         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×