ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Silent Shout

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter : I

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 64


    Chapter I

     

    Night 

              ผมเหลือบตามองนาฬิกาดิจิตอลที่แขวนอยู่บนผนังของร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์  ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาตีหนึ่งห้าสิบห้านาที ผมนับเวลารอให้ถึงตีสาม แม้ว่าเพิ่งจะเข้างานไปตอนสามทุ่มและทำแค่วันละห้าชั่วโมงเท่านั้นแต่การต้องนั่งแกร่วอยู่ที่เคาน์เตอร์มันก็สร้างความเมื่อยล้าและน่าเบื่อได้เช่นกัน

              “ทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้เลยนะแมท” ไทเลอร์เอ่ยขณะที่สายตาและมือทั้งสองข้างจดจ่ออยู่กับเกมในมือถือ ไทเลอร์คือหนุ่มผิวดำร่างท้วม เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำกะเดียวกันกับผม “คิดในแง่ดีสิ ดึกขนาดนี้ไม่มีใครเข้าร้านหรอกนอกจาก...” เขาเว้นเสียงแล้วตะโกนออกมา “ไอ้เวรตะไลเอ๊ย! อย่าบุกมาพร้อมกันสิวะ!” จากนั้นก็ลืมสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่แล้วตั้งใจเล่นยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นแบบนี้ทุกครั้ง สติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรเวลาที่ได้เล่นเกม ผมไม่ได้สนใจเขานัก และแม้ว่าเขาจะพูดประโยคเมื่อครู่ไม่จบผมก็รู้อยู่ดีว่าเขาหมายถึงใคร

              ประมาณสองสามสัปดาห์แล้วที่ผมสังเกตลูกค้ารายหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงดูยังวัยรุ่น ใบหน้าค่อนข้างสวยและเธอมักจะซื้อแต่ของเดิม ๆ นั่นก็คือ ช็อคโกแลตอัลมอนด์กับโคล่ากระป๋อง ที่สำคัญ...เธอจะมาเวลาตีสองจุดศูนย์ศูนย์นาทีทุกคืน ไม่เร็วไปหรือช้าไปแม้แต่ครั้งเดียว ว่าแล้วผมก็มองนาฬิกาอีกครั้ง และเมื่อตัวเลขนาทีเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ ประตูอัตโนมัติของร้านก็เปิดทันทีพร้อมกับร่างของผู้หญิงตัวเล็กผอมที่ผมนึกถึงเมื่อครู่ นอกจากจะมาเวลาเดิมและซื้อของเดิม ๆ ทุกวันแล้วเธอยังแต่งตัวเหมือนเดิมอีกด้วย เธอสวมเสื้อกันหนาวสีดำแบบมีฮู้ด ใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟกับร้องเท้าผ้าใบสีเดียวกัน ใบหน้าของเธอถูกซ่อนไว้ภายใต้ฮู้ดที่คลุมศีรษะ ผมได้เห็นหน้าเธอชัด ๆ ก็ตอนที่เธอมาจ่ายเงินเท่านั้น ใบหน้าขาว ขอบตำดำคล้ำ ริมฝีปากสีชมพู นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกับเส้นผมที่ปล่อยยาวลงมาถึงหน้าอก เธอจ้องมองผมขณะที่วางของกินสองอย่างลงบนเคาน์เตอร์ แววตาเธอดูแข็งแปลก ๆ แต่ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง เธอยื่นเงินสดตามราคาให้ผมอย่างพอดีโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาหรือละสายตาไปจากผม...คิดว่างั้นนะ เพราะทุกครั้งที่เหลือบมองหน้าเธอทีไรก็ต้องสบตาเธอเข้าทุกที และไทเลอร์ก็เคยบอกผมด้วยว่าเธอจ้องหน้าผมตลอดไม่ว่าผมจะทำอะไร ให้ตายสิ...หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอก แต่การมองหน้าคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นมันทำให้เธอดูโรคจิตไปหน่อย ถ้าไม่ติดว่าขณะนี้เธอเป็นลูกค้าและผมเป็นพนักงานล่ะก็ ผมจะจ้องเธอกลับแล้วถามเธอแน่ๆ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า

              ผมยื่นถุงที่ใส่ช็อคโกแลตอัลมอนด์กับโคล่าส่งให้ เมื่อเธอได้ของเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปเหมือนเดิมแบบนี้ทุกวัน 

              ดูท่าเธอจะชอบนายจริงๆ ว่ะ” ไทเลอร์พูด สาวฮู้ดดำคนนั้นคงเป็นสิ่งเดียวที่ดึงความสนใจหมอนี่ออกจากเกมได้

              นายไม่คิดรึไงว่าเธอดูโรคจิต” ผมตอบ

              สวยขนาดนั้นยังต้องสนใจอะไรอีก ถ้าได้แอ้มสักครั้งล่ะก็ นายอาจจะหลงความโรคจิตของเธอไปเลยก็ได้”

              “โทษที แต่เธอไม่ใช่สเป็คฉัน สำหรับฉันต้องสูงกว่านี้แล้วหุ่นก็ต้องเอ็กซ์กว่านี้ด้วย” ผมสูงประมาณเกือบหกฟุตแต่สาวคนนั้นดูสูงถึงแค่ไหล่ผมเท่านั้น เธอตัวเล็กผอมแถมยังหน้าอกเล็กอีกต่างหาก

              “ใครจะรู้ว่าใต้เสื้อผ้าเธอซ่อนอะไรไว้บ้าง แต่ที่ฉันรู้ก็คือ ร่างกายผู้หญิงมีแต่ของดีทั้งนั้นแหละ” พูดจบไทเลอร์ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ ผมเห็นด้วยกับคำพูดเขานะ แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากประสบการณ์ตรงที่เคยมีเซ็กส์กับผู้หญิงทำให้ผมรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะปลุกอารมณ์ให้ขึ้นได้ต่อให้เธอแก้ผ้าก็ตาม พวกผู้หญิงผิวซีดตัวผอมยิ่งไม่ต้องพูดถึง สำหรับผมแล้วพวกเธอไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลย ถ้าเอาไว้แค่เป็นเพื่อนคุยยามเหงามันก็คงได้อยู่ อืม...ไม่รู้สิ ชีวิตผมคงเจอแต่สาวผิวแทนหุ่นสะบึมมาเยอะกระมัง

              “ถ้านายชอบคราวหลังก็ลองคุยกับเธอสิ เผื่อว่าเธอจะเปลี่ยนเป้าหมายบ้าง” ผมพูดพลางคิดในใจว่า ถ้าหากว่าเขาทำได้นะ “ฉันเองก็หงุดหงิดกับสายตาเธอเหมือนกั......” เสียงผมขาดหายไปทันทีเมื่อสายตาเผลอมองออกไปนอกร้านผ่านประตูกระจกใสแล้วเจอกับร่างของสาวฮู้ดดำที่กำลังเป็นประเด็นสนทนาระหว่างผมกับไทเลอร์ ให้ตายสิ เธอยังยืนอยู่หน้าร้านหรือนี่ แถมยังจ้องผมแบบเดิมอีกด้วย ถึงจะรู้ว่าเธอไม่มีทางได้ยินสิ่งที่พวกเราคุยกันแต่ผมก็อดขมวดคิ้วยุ่งไม่ได้

              แม่นี่มันพิลึกคนจริง ๆ.....

                “เฮ้” ผมหันไปสะกิดไทเลอร์ เพื่อเรียกให้เขาดูนอกร้าน แต่พอผมหันกลับมาทางเดิม ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว

              “มีอะไร” ไทเลอร์ถาม ตายังไม่ละจากมือถือ

              “เปล่าหรอก” ผมตอบ

     

              คืนนั้น นอกเหนือจากสาวฮู้ดดำแล้วก็ไม่มีลูกค้าคนใดเข้าร้านดังเช่นทุกคืน พอใกล้เวลาเลิกงานบิลลี่และเจสันก็เดินเข้ามาเพื่อเปลี่ยนกะกับผม ไทเลอร์ยังคงนั่งเอื่อยอยู่กับที่ ส่วนผมก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้ามาในห้องเก็บของ หยิบเสื้อยีนส์สีน้ำเงินเข้มที่แขวนอยู่บนผนังมาใส่ คว้ากระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วเดินออกไป นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาตีสามหนึ่งนาที

              “แล้วเจอกัน” ไทเลอร์เอ่ย ผมเพียงแค่โบกมือลาเป็นการตอบกลับ

              เส้นทางระหว่างร้านและห้องเช่าอันเป็นที่พักอาศัยโดยถาวรของผมนั้นอยู่ไม่ไกลกันมากนัก และการเดินกลับบ้านในเวลาตีสามก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับผม นี่เป็นเหตุผลที่ผมสามารถทำงานที่ร้านนั่นได้ สองข้างทางขนาบด้วยตึกรามบ้านช่องของผู้คนกับแม่น้ำโคลัมเบีย ถ้าเป็นตอนกลางวันหรือช่วงหัวค่ำ บริเวณนี้ก็คงจะดูร่มรื่นน่ามาพักชมวิวทิวทัศน์ดีอยู่หรอก แต่หากในเวลาแบบนี้ล่ะก็ สถานที่ตรงนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกของพวกขวัญอ่อน

              ผมเลี้ยวเข้ามาในตรอกมืดสลัวซึ่งเป็นทางที่จะนำไปยังอพาร์ทเมนต์เก่า ๆ ถังขยะตั้งเรียงรายอยู่ตรงปากทาง มีแอ่งน้ำขังเฉอะแฉะเพราะฝนตกไปไม่นาน ที่จริงผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบอยู่ในสังคมแบบนี้ แต่สถานะทางการเงินตอนนี้มันไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้สามารถไปอยู่ที่ที่ดีกว่าได้ ผมย่ำเท้าไปในความมืดเรื่อย ๆ ก่อนจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครกำลังเดินตามอยู่ ผมหันไปมองโดยที่ยังไม่หยุดฝีเท้าแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ถึงจะเห็นอยู่ว่าไม่มีอะไรแต่ผมก็ตัดสินใจล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและกำมีดพกเอาไว้ ผมเดินมาถึงห้องพัก หันมองซ้ายขวาแล้วจึงไขกุญแจเข้าห้อง

              ทุกอย่างปกติดี

              ผมถอดเสื้อยีนส์โยนทิ้งลงบนเตียง และถอดรองเท้ากองไว้ข้างประตูห้อง ในห้องที่ผมอาศัยอยู่นี้ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ามันไม่ได้กว้างอะไรนักหรอกกับราคาที่ถูกแสนถูก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับเตียงขนาดสามจุดห้าฟุตซึ่งถูกตั้งไว้เหมือนเลือกไม่ได้ว่าจะตั้งตรงไหนดี ทางเดินระหว่างปลายเตียงกับชั้นวางทีวีก็แคบเสียจนผมต้องหันข้างหากจะเดินผ่าน พักหลังผมจึงเลือกกระโดดขึ้นเตียงเพื่อข้ามไปเอง เลยชั้นวางทีวีไปก็จะเป็นมุมห้องครัวซึ่งถ้าเปิดประตูตรงมุมนั้นเข้าไปอีกก็จะเจอกับห้องน้ำ ผมข้ามเตียงตรงไปยังระเบียงของห้องเพื่อสูบบุหรี่ จากตรงนี้มองไปเบื้องหน้าก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน ตรงข้ามกับแม่น้ำโคลัมเบียในเมืองที่เห็นแสงสีอยู่ไกล ๆ คือพอร์ตแลนด์ที่ที่ผมจากมา หากจะมีอะไรที่คุ้มค่าเกินค่าเช่าก็คงจะเป็นทิวทัศน์อันสวยงามยามค่ำคืนนี้กระมัง ผมพ่นควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะมองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นทางเข้าของอพาร์ทเมนต์บ้าง และแล้ว...ผมก็ต้องขมวดคิ้วอีกจนได้

              ผมคงไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่เห็นว่าสาวฮู้ดดำคนนั้นยืนอยู่ใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้าแล้วเงยหน้ามองมาทางผมเช่นกัน

              ...นี่ผมกำลังประสบกับคนโรคจิตจริง ๆ หรือนี่? เธอต้องการอะไรจากผมกันแน่ ผมยืนจ้องตอบเธอแบบนั้น ไม่นานเธอก็เป็นฝ่ายหันหลังเดินจากไปเอง ผมมองเธอไม่วางตา พอเห็นเธอเลี้ยวเข้าไปหลังตึกหนึ่งผมถึงได้ย้ายสายตาไปมองอย่างอื่นแต่ก็ยังไม่หยุดคิดเรื่องเธอ


    Night 2

              เมื่อคืนหลังจากสูบบุหรี่เสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ผมเข้านอนและตื่นขึ้นมาตอนเก้าโมงเช้า ผมยังยืนอยู่ในห้องน้ำ หยิบหวีขึ้นมาหวีเส้นผมสีดำสนิทของตัวเอง ผมสีดำตัดสั้นและเหลือปลายหน้าม้าแตก ๆ ลงมาปรกหน้าผากเล็กน้อย ผมมีนัยน์ตาสีฟ้า คิ้วเข้มตัดผิวสีเผือก ริมฝีปากหยักเป็นกระจับ หลาย ๆ คนบอกว่าผมหน้าตาดี แต่ดูเหมือนว่าหน้าตาของผมจะมีประโยชน์เฉพาะกับเรื่องบนเตียงเท่านั้น เพราะนอกจากนั้นผมก็ไม่เห็นว่ามันจะนำพาความเจริญอย่างอื่นมาให้เลย ผมใส่ชุดยูนิฟอร์มของร้านอาหารเพื่อเตรียมตัวไปทำงานอีกที่หนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องผมก็นึกถึงสาวฮู้ดดำขึ้นมา หวังว่าจะไม่มีอะไรที่มันน่าสะอิดสะเอียนวางไว้หน้าห้องนะ ผมคิดและเปิดประตูทันที...

              ว่างเปล่า ไม่มีอะไรวางไว้ตามแบบหนังแนวสยองขวัญ ก็ดีเหมือนกัน บางทีเธออาจจะไม่ได้โรคจิตขนาดนั้นก็ได้

             

              ผมกลับมาที่ห้องตอนหกโมงเย็น กินอาหารแล้วก็นอนเอาแรงก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเข้างานที่ร้านสะดวกซื้อตอนสามทุ่ม และแน่นอนว่าผมไม่ลืมเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ไทเลอร์ฟัง

              “เอาจริงดิ?” ไทเลอร์ทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ “เธอสะกดรอยตามนายเลยรึ?”

              “เธอยืนมองฉันอย่างกับคนโรคจิต”

              “ว้าว! ถ้าเป็นฉันคงวิ่งลงไปลากเธอขึ้นมาด้วยแล้ว”

              “ก็อยากทำอยู่หรอกแต่ฉันขี้เกียจน่ะสิ” ผมตอบพลางพิงหลังกับพนักเก้าอี้ “ฉันว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ บอกตามตรงว่าเจอแบบนี้แล้วฉันหงุดหงิดเป็นบ้า”

              “คืนนี้เธอต้องมาอีกแน่นอน หรือถ้าปอดแหกก็คงจะไม่มา”

              “พนันได้เลยว่าเธอเป็นโรคจิต และพวกโรคจิตไม่รู้จักคำว่าปอดแหกหรอก”

              “ดี แล้วนายคิดจะทำอะไรล่ะ?”

              “วิธีพื้นฐานที่จะไม่เสี่ยงคุกตารางก็คือถามไปตรง ๆ นั่นล่ะว่าต้องการอะไร”

              “แล้วถ้าเธอตอบว่าต้องการนายล่ะ?”

              “เธอก็ควรตัดใจซะ เพราะฉันไม่ชอบคนโรคจิต” ผมหัวเราะ ไทเลอร์เองก็สมทบด้วย

              เวลาล่วงเลยผ่านไปจนใกล้เวลาตีสอง ผมกับไทเลอร์ตั้งตารอให้สาวฮู้ดคนนั้นเข้ามาและพอตัวเลขนาทีเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์บอกเวลาตีสองพอดีนั้น เธอก็เดินเข้ามาเหมือนอย่างเคยอย่างกับถูกตั้งเวลาเอาไว้ ผมกับไทเลอร์มองตามเธอผ่านจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจร เธอเดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบโคล่าออกมากระป๋องหนึ่งและตรงไปยังโซนของหวานเพื่อหยิบช็อคโกแลต เสร็จแล้วก็เดินมาจ่ายเงิน เธอจ้องผมและยิ้มบางเหมือนเดิมทุกอย่าง

              “เฮ้” แต่แทนที่จะคิดเงินตามปกติ ผมกลับคว้าข้อมือเธอไว้แล้วยิงคำถามตรง ๆ “ฉันเห็นเธอไปที่อพาร์ทเมนต์ฉันเมื่อคืน ถามจริงเหอะ เธอตามฉันอยู่ใช่ไหม? ต้องการอะไรจากฉัน?” ผมทำเสียงเข้มเพื่อให้เธอกลัว แต่เธอยังคงสีหน้าเช่นเดิม ไม่แสดงอาการหวาดกลัวใด ๆ “ตอบสิ...”

              “เฮ้ แมท...” ไทเลอร์สะกิดผม พยักเพยิดให้มองไปนอกร้าน ผมจึงเห็นว่ามีตำรวจร่างสูงกำยำนายหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ ผมรีบปล่อยเธอทันทีแล้วทำเป็นคิดเงินตามปกติ เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจนายนั้นเดินเข้ามา ให้ตายสิ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีตำรวจหน้าไหนเข้าร้านสะดวกซื้อในเวลาแบบนี้ ช่างมาได้ถูกเวลาจริง ๆ แม่นี่คงจะดวงดีมากเลยสินะ ผมหยิบโคล่ากับช็อคโกแลตอัลมอนด์ใส่ถุงยื่นให้เธอ แต่ก่อนเธอจะไป ไทเลอร์ก็ทักเธอซะก่อน

              “เดี๋ยวสิ” เธอหันกลับมา สีหน้ายังไม่เปลี่ยน “ถ้าเธอไม่คิดอะไรมากล่ะก็ ระหว่างที่รอหมอนี่ เธอจะแวะมาทางฉันก่อนได้ไหม?” ไทเลอร์ยื่นมือถือเครื่องสีดำมันของตัวเองให้เธอ ผมไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำจริง ๆ  เราทั้งคู่รอดูปฏิกิริยา และดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอเองก็รับมือถือของไทเลอร์ไป คู่หูร่างใหญ่หันมามองผม แลบลิ้นเลียริมฝีปาก แต่แล้วเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตกใจเพราะอยู่ดี ๆ เธอก็เหวี่ยงมือถือของไทเลอร์กระแทกลงกับพื้นจนหน้าจอแตกร้าว         

              “เฮ้ย!” ไทเลอร์ร้อง กระโดดข้ามเคาน์เตอร์เพื่อจะจับตัวเธอ แต่แม่นั่นก็วิ่งหนีออกไปแล้ว ผมกับไทเลอร์รีบตามไปนอกร้านแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของเธออีก เธอหายตัวไปอย่างรวดเร็ว “ให้ตายสิวะอีเวรเอ๊ย!” ไทเลอร์สบถ

              “เกิดอะไรขึ้น!?” นายตำรวจที่เพิ่งตามมาทีหลังเอ่ยถาม สีหน้าตื่นใจเช่นกัน

              “โทรศัพท์ผม มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในร้านแล้วพังโทรศัพท์ของผม!

              “ใจเย็น ๆ พ่อหนุ่ม ตอนนี้เธอหายไปไหนแล้ว”

              “เธอหนีไปแล้ว ใครจะชดใช้ค่าเสียหายล่ะครับ?” ผมถาม

              “ในส่วนนั้นฉันคงช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้หรอกจนกว่าจะจับตัวผู้หญิงคนนั้นได้ แล้วอีกอย่างฉันต้องถามเธอด้วยว่าทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงมาพังของของเธอได้”

              “ผมแค่พูดกับเธอดี ๆ คือเราแค่...ก็แค่ขอเบอร์เธอเท่านั้นเอง เธอทำเกินกว่าเหตุด้วยซ้ำ”

              “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าข่ายทะเลาะวิวาท” นายตำรวจขีดเขียนลงในสมุดเล่มเล็ก

              “เอ่อ คุณตำรวจคือว่าก่อนหน้านี้ เธอมีพฤติกรรมแปลก ๆ ” ได้ทีผมก็ถือโอกาสแจ้งความเรื่องการสะกดรอยของเธอเสียเลย

              “ยังไง?”

              “ก่อนหน้านี้ประมาณสามอาทิตย์ เธอชอบมาซื้อของที่นี่ แล้วก็จ้องหน้าผมแปลก ๆ แถมเมื่อคืนนี้เธอยังสะกดรอยตามไปที่บ้านผมอีกด้วย”

              “แล้วเธอทำอะไรนายหรือเปล่าล่ะ?” น้ำเสียงของนายตำรวจฟังดูเหมือนกำลังตลกในสิ่งที่ผมพูด

              “ไม่...ไม่ครับ” ผมตอบตามจริง

              “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะจำเอาไว้นะ”

              “เธอระรานผมทางจิตใจ ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย”

              “นายรู้สึกไม่ปลอดภัยกับ...ผู้หญิงเนี่ยนะ?” เขาทำหน้าเย้ยหยันมากขึ้นอีก “พ่อหนุ่ม นายเองก็ไม่ได้ดูตัวเล็กอ่อนแออะไรนี่ แล้วการที่เธอมองหน้านายแปลก ๆ หรือจะตามไปที่บ้านนาย แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น กรณีของเธอยังไม่รุนแรงมากพอที่จะแจ้งความนะ” เขาเก็บสมุดและปากกาใส่กระเป๋าเสื้อ

              “ต้องให้เธอฆ่าผมก่อนหรือยังไง?” ผมประชด ไม่รุนแรงมากพอบ้าบออะไร ผมว่าไอ้หมอนี่มันก็แค่ตำรวจที่ขี้เกียจรับใช้ประชาชนก็เท่านั้น

              “ฟังนะ ฉันมีอีกหลายคดีต้องสะสางและน่าปวดประสาทมากกว่าคดีของพวกนายเยอะ เพราะฉะนั้นขอความเห็นใจด้วยล่ะ เอาเป็นว่าฉันจะพยายามช่วยพวกนายแล้วกัน...ถ้าช่วยได้ ขอให้โชคดี” เขาตบบ่าไทเลอร์ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถตำรวจของตัวเองแล้วขับจากไปทันที

              “ไอ้ตำรวจนี่มันกวนตีนเป็นบ้า” ไทเลอร์พึมพำ ผมเห็นด้วยกับเขา ถ้าให้เดาผมว่าตำรวจนั่นต้องเคยเป็นนักเลงใจแตกมาก่อนแน่ ๆ “นังบ้านั่นอีกคน ถ้าโผล่มาอีกฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่! 

              ก่อนเลิกงานในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ไทเลอร์นั่งหัวเสียแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะชวนคุยเรื่องไหนเขาก็วนกลับมาที่สาวฮู้ดดำนั่นได้ตลอด โทรศัพท์ของเขายังใช้งานได้ดี เสียแค่หน้าจอแตกเท่านั้น แต่การจะซ่อมมันก็ต้องใช้เงินเยอะอยู่ ผมจึงแนะนำให้เขาซื้อเครื่องใหม่ไปเลยดีกว่า แม้ว่าวิธีนั้นก็สร้างความลำบากให้เขาไม่แพ้กันก็ตาม แต่ผมไม่สนใจหรอก หลังเลิกงาน ผมปลอบขวัญเขาอีกครั้งด้วยการพูดว่าถ้าเจอยายนั่นอีกเมื่อไรผมจะช่วยเขาจัดการก่อนจะเดินออกจากร้านในทันที เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับไทเลอร์นัก โทรศัพท์ของเขาไม่ใช่ของผมสักหน่อย ผมโล่งใจด้วยซ้ำที่คนที่ต้องประสบเคราะห์กลายเป็นเขาไม่ใช่ผม ไทเลอร์ก็แค่หนุ่มอ้วนดำที่ทำเหมือนตัวเองหล่อมาก และผมก็รู้ด้วยว่าเขาแอบอิจฉาผมอยู่ลึก ๆ ที่ตัวผมไม่ต้องทำอะไรก็มีสาว ๆ มารุมล้อม ส่วนเขาอย่างมากก็ได้แค่รอรับผู้หญิงต่อจากผมเท่านั้น แต่ถ้าโชคร้ายหน่อยก็คือเขาจะไม่ได้รับความสนใจจากพวกเธอเลยและมันก็เป็นอย่างหลังเสียส่วนใหญ่ คราวนี้ก็เช่นกัน ลึก ๆ แล้วผมสะใจในความมั่นอกมั่นใจเกินเหตุของเขา เขาควรรู้ตัวเสียบ้างว่าเขาไม่ได้หล่อมากพอที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ อีกอย่าง เขาก็ได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ผู้หญิงทุกคนที่เพ่งเล็งผม ต่อให้ผมไม่ต้องการพวกเธอก็ไม่แลตามองเขาแน่นอน

              ผมเดินไปตามถนนเส้นเดิม ลมเย็นพัดมาจากแม่น้ำโคลัมเบียสร้างความเย็นเยือกมากขึ้น ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง พ่นไอเย็นออกจากปาก แล้วจู่ ๆ เสาไฟฟ้าต้นที่ผมเดินผ่านก็กะพริบติด ๆ ดับ ๆ เหมือนจะเสีย สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ มันจะเป็นแบบนี้ทุก ๆ ต้นที่ผมเดินผ่าน ผมรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ดังนั้น...ผมจึงไม่รอช้า รีบสับฝีเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นทันที!

              ผมกลับมาที่ห้องได้อย่างปลอดภัย หัวใจเต้นรัวและร่างกายเหนื่อยหอบเพราะผมไม่ได้ผ่อนฝีเท้าเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อกี้นี้มันบ้าอะไรเนี่ย...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในหนังฆาตกรรมสยองขวัญอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนและผมก็ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจอะไรนั่นด้วย มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบแต่ผมก็ยังหยิบไฟแช็กมาจุดบุหรี่ ผมยืนสูบที่นอกระเบียงด้วยหัวใจที่ยังเต้นแรงไม่หาย หวังว่าถ้าได้ชมวิวพลางสูบบุหรี่ไปพลางผมคงจะหายจากอาการตื่นตระหนกนี่ได้

              บ้าชะมัด...ถ้ามีใครมาเห็นสภาพผมเมื่อครู่นี้ล่ะก็คงได้ถูกหัวเราะเยาะแน่ ๆ ผมพ่นควันออกจากปาก และพอมองลงไปข้างล่างเช่นเคย ผมก็เห็นเธออีกแล้ว...สาวฮู้ดดำนั่น...เธอยืนอยู่จุดเดิม เงยหน้าจ้องมาทางผมแล้วโบกมือไปมาช้า ๆ นี่เธอตั้งใจจะมากวนประสาทผมหรือยังไงกัน? ด้วยความหงุดหงิดผมจึงชูนิ้วกลางตอบกลับเธอ เธอคิดว่าตัวเองดูน่ากลัวและเจ๋งมากนักหรือไงถึงได้เที่ยวมาระรานชาวบ้านแบบนี้ เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ดแล้วหันหลังเดินจากไป

              “บ้าเอ๊ย...” ผมสบถ

              เช้าของวันต่อมา ในขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้อง ผมก็พบกับกล่องกระดาษสีขาววางไว้หน้าห้อง บนฝากล่องมีข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ว่า สำหรับนายผมเตรียมใจเอาไว้ว่าในกล่องนี่มันต้องมีสิ่งที่ผมคิดแน่ ๆ และเมื่อเปิดฝาออกดู มันก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเลย ในนั้นเต็มไปด้วยซากตะขาบกับแมลงสาบจำนวนมากซึ่งเป็นสัตว์ที่ผมโคตรจะเกลียด ผมรีบปิดฝา ทำหน้าเหยเกเพราะอยากจะอาเจียน ก่อนจะหยิบปากกาที่เหน็บเอาไว้กับกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วเขียนข้อความบนฝากล่อง

              ไปตายซะนังบ้า   

     

    Night 3

              คราวนี้ผมกับไทเลอร์แทบจะจ้องนาฬิกาตาไม่กะพริบ เราสองคนตกลงกันแล้วว่าถ้ายายฮู้ดดำนั่นเข้ามาเมื่อไรเราจะกระโดดตะครุบตัวเธอแล้วสั่งสอนเสียให้เข็ด เหตุนี้เองเราถึงได้นั่งนับเวลารอให้ถึงตีสอง ใจจดใจจ่อยิ่งกว่ารอเวลาเลิกงานเสียอีก แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่สามารถนั่งจ้องนาฬิกานาน ๆ ได้ รู้ตัวอีกทีก็คือสาวฮู้ดดำได้เดินเข้ามาในร้านแล้วตรงไปยังตู้เย็นแล้ว

              “นั่น!” ไทเลอร์กระโจนวิ่งเข้าหาเธอโดยมีผมตามไปด้วย เขาคว้าร่างของเธอไว้ เธอร้องลั่นเพราะถูกไทเลอร์กดใบหน้าเข้ากับตู้เย็น “เธอทำมือถือฉันพัง! เธอต้องชดใช้ฉันมาเดี๋ยวนี้ก่อนที่ฉันจะสั่งสอนเธอ!” ไทเลอร์ตะคอก

              “นายพูดเรื่องอะไร!?” เธอถามกลับ มีน้ำเสียงสั่นเครือ

              “อย่ามาทำตอแหลหน่อยเลยแม่สาวน้อย ฉันต้องทำยังไงเธอถึงจะจำได้ล่ะฮึ?” มืออวบใหญ่ของไทเลอร์ลากไปตามเอวคอดของเธอ ซึ่งผมคิดว่าไทเลอร์กำลังทำเกินกว่าเหตุ

              “เฮ้...” ผมดึงมือเขาออก ผมไม่ได้เป็นห่วงเธอหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากติดร่างแหข้อหาข่มขืนตามไอ้บ้านี่ให้เสียหน้า

              “ได้โปรดเถอะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!” เธออ้อนวอนทั้งน้ำตา “ฉันไม่รู้จักพวกนาย ฉันแค่จะมาซื้อเบียร์แค่นั้นเอง!

              ผมคิดตามที่เธอพูด...และคิดว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง ผมดึงฮู้ดที่คลุมผมเธอออกเพื่อพบกับเส้นผมสีทองดังคาด แน่นอนล่ะ...เราจับผิดตัว! ไทเลอร์ปล่อยตัวเธอทันที พอเธอหันมามันก็ยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของเรา มาสคาร่าสีดำไหลย้อยเพราะน้ำตาลงมาตามข้างแก้ม

              “เอ่อ...โทษที ๆ ” ผมรีบพูด “พอดีว่าเรา...” แต่เธอไม่อยู่รอฟัง กลับรีบวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว “เวรแล้วไงล่ะ” ผมว่า “ถ้าผู้หญิงคนนั้นแจ้งตำรวจแล้วเรื่องถึงผู้จัดการล่ะก็เราซวยแน่!

              “ใครจะรู้วะ! แม่นั่นเล่นแต่งตัวซะเหมือนขนาดนั้น”

              “ถ้าแกใช้สติสักหน่อยมันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก ไอ้โง่เอ๊ย” ผมด่าหยาบอย่างไม่ไว้หน้า แต่ไหนแต่ไรหมอนี่มันก็ไม่ค่อยจะมีสมองอยู่แล้ว ไทเลอร์หน้าเสีย เขาไม่ได้เถียงอะไรผมกลับ ผมเองก็หัวเสียเหมือนกัน ขณะเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ผมก็เหลือบเห็นเป้าหมายที่แท้จริงของเราเข้า เธอมองเข้ามา ยิ้มอย่างเย้ยหยันแล้ววิ่งหนีไป พอผมตามออกไป ก็ไร้ร่องรอยของเธอเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด “เธอหนีไปได้อีกแล้ว” ผมพูด ชั่ววินาที ผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “นี่ ไทเลอร์” ผมหันไปเรียกเขา “ฉันรู้วิธีที่จะจับยายนั่นได้แล้ว”

              เราสองคนกลับเข้ามาในร้านเพื่อพูดคุยกันเรื่องแผนการ แผนของผมก็คือ ผมเดาว่าคืนนี้เธอจะต้องตามผมไปที่อพาร์ทเมนต์อีกแน่นอน และผมจำเป็นต้องใช้ไทเลอร์ ผมจะกลับขึ้นไปบนห้องก่อน จากนั้นก็ให้ไทเลอร์แอบตรงมุมใดมุมหนึ่งของตรอก แล้วถ้าเธอโผล่มาเมื่อไรก็บิงโก ไทเลอร์ตกลงรับคำ เราคิดแผนสำรองไว้ว่าถ้าหากเธอไม่มา ไทเลอร์ก็แค่อยู่ค้างห้องผม

              นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาตีสามหนึ่งนาที ผมกับไทเลอร์เดินออกไปด้วยกัน เสาไฟฟ้าที่เสียเมื่อคืนกลับมาใช้งานได้แล้ว ท้องฟ้าส่งเสียงร้องครืนเหมือนฝนจะตก ผมแอบคิดในใจว่าถ้าฝนตกขึ้นมาแม่นั่นอาจจะไม่ออกมาแล้วก็ได้

              “หนาวชะมัด” ไทเลอร์บ่นพึมพำ ผมไม่ได้ตอบกลับ ข้างแม่น้ำมันก็หนาวกว่าปกติแบบนี้อยู่แล้ว เราเดินย่ำไปอีกสักพักไทเลอร์ก็หันไปมองข้างหลัง ตอนนี้เองผมถึงถามเขา

              “มีอะไร?”

              “ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม นายคิดเหมือนกันไหม?”

              “ไม่นี่” ผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มันก็ดูน่าแปลกอยู่ดี เพราะปกติแล้วหมอนี่จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ชนิดที่ว่าหากโดนย่องมาฆ่าก็คงไม่รู้ตัว ผมไม่รู้สึกว่ามีคนตามมาอย่างที่เขาว่า แต่ผมกลับแปลกใจมากกว่าที่คนอย่างไทเลอร์จะรู้สึกอะไรแบบนั้น “รีบไปเถอะ”

              เราเดินเลี้ยวเข้ามาในตรอกอันเป็นเส้นทางสุดท้ายของการเดินทาง ไทเลอร์หยุดชะงักเพราะก้มตัวลงผูกเชือกรองเท้า ผมไม่ได้ยืนรอเขาเหมือนสาวน้อยรอแฟน คิดว่าแค่ผูกเชือกรองเท้าคงไม่ได้ใช้เวลานานอะไรผมจึงล่วงหน้าไปก่อน และตอนนั้นเอง จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เวรแล้วไง แบบนี้ไทเลอร์จะไปแอบตรงไหนได้ล่ะเนี่ย ผมหันกลับไปเพื่อจะถามความเห็นจากเขา ทว่า...คำถามเหล่านั้นก็ถูกกลืนหายไปเพราะที่ด้านหลังของไทเลอร์มีใครคนหนึ่งยืนอยู่และกำลังยกด้ามขวานขึ้นสูงพร้อมจะเหวี่ยงลงใส่ตัวเขา ภาพตรงหน้าบังคับให้ผมต้องแผดเสียงเรียกชื่อเขาออกมา...

              “ไทเลอร์!




    TBC............

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×