ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่า...ผี-ผี สุดเฮี้ยน

    ลำดับตอนที่ #7 : เรื่องเล่าเมื่อตอนเป็นนักศึกษา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.55K
      5
      10 มิ.ย. 52

    ชีวิตสมัยเป็นนักศึกษาปีแรกนั้นมันช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายมีทั้งความสุขสนุกสนาน
    ทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตา  เหงาหงอยและตื่นเต้น !!!โดยเฉพาะชีวิตนักศึกษาที่ต้องอยู่ประรจำหอพักในมหาวิทยาลัยหรือ
    เรียกสั้น ๆ ว่า“เด็กหอ”นั้นอย่าให้บอกเลยว่ามันส์ขนาดไหนสถาบันที่เป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ข้าพเจ้าโดยการ
    ใช้ชีวิตเป็นเวลา4 ปีเต็ม ๆ นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ฯเท่าใดนัก  ระยะทางในราวประมาณ 50กว่ากิโลเมตร 
    นั่งรถบัสจากสถานีขนส่งสายใต้ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษถ้าขับรถส่วนตัวไปเองก็คงจะไม่เกิน 1ชั่วโมงเพื่อ
    บรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตของความเป็นนักศึกษา  นั่นก็คือการรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของ
    พระบาทสมด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อสำเร็จการศึกษาในขั้นปริญญาตรีแล้วนั่นเอง

    แน่นอน !! สิ่งหนึ่งซึ่งสถาบันระดับอุดมศึกษาจะขาดเสียมิได้  นั่นก็คือ“พิธีรับน้องใหม่”
    ถ้าจะพูดไปแล้วมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าร่ำเรียนนั้นก็มีชื่อเสียงพอสมควรไม่แพ้สถาบันแห่งอื่น
    ๆ ในเรื่องพิธีที่ว่านี้  มันเป็นภาพที่ติดตา  ตรึงใจและประทับใจจนตายก็ว่าได้
    เพราะชีวิตนี้คงจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตามปกติทั่วไปสถาบันต่าง ๆ เขาก็จะมีพิธี
    รับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยแต่เมื่อมาอยู่ประจำหอพักก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีก  1 พิธี  นั่นก็คือ “รับน้องหอ”
    และเจ้าพิธีที่ว่านี้แหละที่ได้คาดคั้นเอาน้ำตาหลายต่อหลายหยดออกมาจากเบ้าตาของนักศึกษาปีที่
    1 มาก็หลายต่อหลายคนแล้วคืนแรกของการเป็นนักศึกษาประจำหอพักมันช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร
    นับตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในรั้วของมหาวิทยาลัยตึกเรียนเป็นหลังสักประมาณ 2 – 3 อาคารเรียน 
    ห้องสมุด  ห้องอาหาร  ห้องธุรการ

    ห้องพักอาจารย์ผู้สอนหรือแม้กระทั่งหอพักบางส่วนที่อาศัยอยู่ชั้นบนของอาคารเรียนอันรวม
    อยู่ในบริเวณเรียนแห่งนั้นอาจารย์ที่กำลังสอนหนังสือ  นักศึกษารุ่นพี่ที่เดินขวักไขว่ไปมาในบริเวณนั้น
    ทุกคนต่างมองมายังน้องใหม่อย่างเราด้วยอากัปกิริยาต่างกันหลายรูปแบบบ้างก็เชื้อเชิญยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
    บ้างก็ทำเฉยเมยบ้างก็วางก้ามว่าข้านี่แหละรุ่นพี่อย่าแหยมนะ  มิหนำซ้ำบางคนก็ทำหน้าตาดุ ๆใส่น้องใหม่เพื่อ
    เป็นการตัดไม้ข่มนามแต่เนิ่น ๆนั่นเองน้องใหม่ทุกคนไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ถึงขะตากรรมของตัวเองว่า
    คืนนี้เราจะถูกปฏิบัติการจากรุ่นพี่อย่างไรบ้างในระยะสองสามคืนแรกพวกรุ่นพี่ยังคงปล่อยให้รุ่นน้องปี1
    ตายใจก่อน โดยยังไม่เริ่มปฏิบัติการแต่อย่างใดเพียงแต่ให้พวกรุ่นน้องทุกคนได้ม่เวลาทำความรู้จักคุ้นเคยกัน
    เสียก่อนฉะนั้นน้องใหม่ทุกคนก็ยังเย็นใจว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้นและสิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ
    นักศึกษามักจะมารวมตัวกันที่ห้องโถงนั่งเล่นเพื่อดูโทรทัศน์ซึ่งจะอยู่ตรงกลางระหว่างปีกอาคาร
    2 ปีกที่แยกออกไปเป็นห้องพักของนักศึกษาหญิงในแต่ละชั้น

    กิจวัตรประจำของพวกเราเด็กใหม่ปี 1ก็คือเข้าก็แต่งตัวไปเรียนหนังสือโดยการถีบพาหนะคู่ใจอันได้แก่ 
    รถจักรยานบ้างก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์  บางคนก็ใช้วิธีเดินหอพักหญิงสองอาคารนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากอาคารเรียน 
    พอควรซึ่งถ้าจะรวมอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็นับได้ว่ามีอาณาเขตกว้างขวางพอสมควร

    ทั้งนี้เพราะว่าเป็นเขตพระราชฐานเก่าแก่เมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ตลอดแนวทางเดินสองข้างทางจะปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้นอันนำมาซึ่งความร่มรื่น
    แก่ผู้ใช้ทางเดินสัญจรไปมา  ในสมัยแรก ๆ จึงยังมีอาคารเรียนเพียง 2 – 3อาคารเท่านั้น  หอพักหญิงก็มีจำนวนน้อย 
    ประมาณ  2  อาคารเช่นกันถ้าต้องการเดินไปอาคารเรียนพวกเรามักจะนิยมเดินเลาะไปตามถนนใหญ่เรื่อย ๆ
    มาจนถึงบริเวณที่เป็นสระน้ำกว้างใหญ่ซึ่งปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ นานา
    ทางลัดที่ใช้กันก็คือสะพานข้ามเชื่อมโยงระหว่างบริเวณอาคารเรียนติดต่อกับทางเดินไปยังหอพัก
    ระยะทางจึงค่อนข้างเปลี่ยวในยามค่ำคืน และจะสดชื่นมากในยามเข้าอย่างไรก็ตาม
    นักศึกษามักจะนิยมพักครึ่งทางโดยนั่งคุยกันริมสระน้ำซึ่งจะมีเก้าอี้นั่งเล่นเรียงรายอยู่รอบๆ เป็นจุดไปและมักจะ
    มีเรื่องเล่าขานต่อ ๆ  กันมาหลายยุคหลายรุ่นนักศึกษาว่าบริเวณทางเดินแห่งนี้เป็นบริเวณที่น่ากลัวมากในยามค่ำคืน
    เพราะว่าจะมีคนเห็นอะไรที่แปลก ๆโดยไม่คาดฝันเสมอโดยเฉพาะในเวลายามวิกาลถ้าใครที่มี
    ความจำเป็นจะต้องใช้เส้นทางนั้นเดินกลับไปยังหอพักเพียงคนเดียวแล้วก็คงจะต้องจ้ำอ้าวๆ  เพื่อให้ถึงทีหมายเร็ว  ๆ
    ในขณะที่เดินไปถ้าเกิดมีเสียงอไรดังขึ้นมานิดหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นเสียงของจ๊ะกจั่นเรไร
    ถ้าไม่รวบรวมสติให้ดี ๆ ก็คงได้ตกใจหัวโกร๊นเป็นแน่มิหนำซ้ำอุปทานก็เล่นเอาคนเดินเหงื่อท่วมตัวได้เหมือนกัน  ทั้ง ๆ
    ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลยเรียกว่าแทบจะอยู่กลางทุ่งนาที่มีลมพัดโชยมากระทบตัวตลอดเวลาฉะนั้นพวกเราน้องใหม่
    จึงนิยามแฟชั่นไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มแบบเลือดสุพรรณ ฯนับวันเรื่องประเภทนี้กิยิ่งเริ่มหนาหูและเป็นที่กล่าวขาน
    มากขึ้นในกลุ่มอาจารย์และนักศึกษาบ้างก็เล่าว่าในหอพักนักศึกษาขายบ่อยครั้งในยามดึกบางคนมักจะพบเห็นผู้หญิง
    แต่งตัวในชุดไทยเดินปรากฏกายให้เห็นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสวยงาม และทักทายแต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะมาในรูปร่าง
    น่ากลัวน่าเกลียดบางครั้งก็เป็นหญิงชราหรือชาวนา และหลายครั้งก็มาในรูปแบบของการหลอกหลอน
    นั่นคือการปรากฏกายเพียงท่อนบนของร่างกาย ในกระจกเงาที่เราใช้แต่งตัวในห้องพักสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์
    ได้ว่าเป็นจริงรึเปล่าเมื่อวันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หอหญิงจะนิยมการเล่นผีถ้วยแก้วมากแต่ก็ต้องนั่งจับกลุ่มกันเพราะความกลัว
    บางคนก็เล่าว่าในเวลากลางคืนมักจะได้ยินเสียงดนตรีไทยเมื่อเสียงเริ่มชัดเจนและใกล้เข้ามาก็ทนไม่ไหวสงสัยนักว่า
    ใครหนอมานั่งเล่นเพลงไทยเดิมในยามวิกาลเงียบสงัดเช่นนี้

    หนักเข้าความอยากรู้อยากเห็นทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกเดินออกจากห้องพักไปตามเสียงเพลง
    ครั้นพอมาถึงห้องนั่งดูทีวีก็แทบช็อคหมดสติ  ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่เพราะภาพที่ปรากฏต่อตาก็คือสตรีหลายนางแต่ง
    ชุดไทยเดิมนั่งพับเพียบบรรเลงเพลงไทยปี่พาทย์มโหรี  แค่ได้ยินคำเล่าขานเพียงเท่านั้น
    ข้าพเจ้ายังขนลุกซู่เลยถ้าต้องประสบกับตัวเองก็ยังเดาไม่ออกว่าจะรู้สึกเช่นไรเรื่องประเภทนี้เรามักจะได้รับฟังคำถ่ายทอดจาก
    รุ่นพี่หลายต่อหลายคนจนกระทั่งมีความรู้สึกกลัว  และไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวใหม่ ๆ
    ก็ต้องปลุกเพื่อนร่วมห้องกลางดึกทุกครั้งเวลาจะไปห้องน้ำกลางคืน
    แล้วก็ให้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำจนกว่าจะเสร็จภารกิจ

    การรับน้องหอจะมีเป็นประจำทุกคืนไม่มีการยกเว้น  รุ่นพี่ปี 2, 3  และ 4
    จะมีตัวแทนซึ่งเรียกกันว่า “ว้ากเก้อร์”  มายืนตะโกนเสียงดัง ๆ ขู่บังคับให้รุ่นน้องปี 1 กระทำในสิ่งที่ตนต้องการให้ทำ 
    ฉะนั้นถ้าใครที่มีหน้าตาสวยน่ารักหรือหล่อเหลาหน่อยก็จะถูกเรียกออกมาซ่อมเดี่ยวบ่อยๆ แทบทุกคืน  การรับน้องใหม่หรือ 
    “การซ่อมน้อง”  จะคล้าย ๆกันทุกปีเพียงแต่ว่าว้ากเก้อร์ในแต่ละปีจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปเท่านั้นเอง
    ใครที่แก่นแก้วหรือเป็นจอมซ่าส์ในหมู่เพื่อนฝูงก็จะถูกพวกรุ่นพี่คอยจับตาเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
    บ้างก็ให้กระโดดลงไปในสระน้ำทั้ง ๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น  ให้ทำท่าประหลาด ๆเพื่อเรียกเสียงฮาจากเพื่อน ๆ
    นักศึกษาบางคนที่ไม่เคยได้พบเห็นการกระทำที่รุนแรงทนไม่ไหวถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาดังๆ
    ก็มียิ่งร้องไห้ก็จะยิ่งถูกขู่ตะคอกมากขึ้นหนทางเดียวที่ทำกันในหมู่พวกเราก็คือนั่งปรับทุกข์และด่าพวกรุ่นพี่ลับหลังทุกคืน

    ในบรรดานักศึกษาปี 1ทั้งหมดพวกเราทุกคนต่างพากันอิจฉาเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งมาก “ก้อย”
    เป็นเด็กขี้โรคมีโรคประจำตัวคือปวดท้องอย่างรุนแรงเนื่องจากเป็นโรคกระเพาะอาหารรื้อรัง
    ดังนั้นก้อยจึงถูกยกเว้นไม่ต้องถูกซ่อมน้องใหม่ทุกคืนแต่ก็ต้องนอนพักอยู่ในห้องนอนเพียงลำพังคนเดียวทุกคืนเช่นกัน
    พวกเราบางครั้งที่เบื่อหน่ายกับพิธีการรับน้องก็พลอยอยากจะเป็นก้อยบ้างแต่พอคิดว่าจะต้องนอนอยู่ในห้องพักคนเดียว
    ก็ขยาดเหมือนกันเพราะเกรงว่าจะพบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญในยามวิกาลแหม...มันก็ได้อย่างเสียอย่างอีกนั่นแหละ
    และแล้วในคืนหนึ่ง  เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในขณะที่รุ่นพี่ว้ากเก้อร์กำลังตะโกนซ่อมน้องอยู่ทุก ๆ
    คนกำลังร้องเพลงเชียร์และเพลงมหาวิทยาลัย  ฉับพลัน  สายตาทุก ๆคู่ก็จ้องมองไปยังจุดหมายเดียวกันนั้นคือ
    ก้อยซึ่งวิ่งร้องไห้กระหืดกระหอบลงมาจากห้องนอนชั้นสูงสุดของอาคารหอพักลงมายังชั้นล่างที่พวกเราชุมนุมกันอยู่
    ด้วยท่าทางหวาดกลัว ประกอบกับก้อยะเป็นคนเจ้าเนื้อ  ตัวกลม  ฉะนั้นกว่าจะวิ่งจากชั้น 4ลงมาชั้นล่างก็เล่นเอาเหงื่อ
    ตกหอบแฮ่ก ๆ ก้อยละล่ำละลักเล่าว่าขณะกำลังเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งใส่ชุดไทยเดินเข้ามา
    นั่งบนเตียงข้างใบหน้าของหญิงชราคนนั้นเฉยเมยไม่ยิ้มแย้มเลยในขณะที่เอ่ยปากถามไถ่อาการเจ็บป่วยของก้อย

    “เป็นไงบ้าง....รู้สึกอาการดีขึ้นบ้างไหม?”  ทั้ง ๆที่อยู่ในสภาพเหมือนฝันนั้นเอง  ก้อยก็ตอบหญิงชราคน
    นั้นว่า“ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”  ในใจก็ให้สงสัยเป็นยิ่งนักว่าหญิงชราแก่ ๆคนนี้เป็นใครกันหนอ  แล้วเข้ามาในห้องนี้ตอนไหนกัน 
    แต่มิทันที่ก้อยจะอ้าปากถามหญิงคนนั้นในข้อกังขาใด ๆทันใดนั้นหญิงขราคนนั้นก็ทำหน้าแสยะยิ้มแบบมีเลศนัยพร้อมทั้ง
    โต้ตอบกลับมาอันเป็นต้นเหตุที่ทำใสห้ตนต้องวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตว่า “นึกว่ายังไม่ดีขึ้น .... จะได้เอาไปอยู่ด้วย”หลังจาก
    เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นพวกเราก็วิตกกังวลและกลัวผีมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว จนกระทั่งต้องไปอาศัยอยู่มาแต่แรกและก็ได้คำตอบ
    ว่าหอพักนักศึกษาหญิงแห่งนี้เคยเป็น “แดนประหาร”ในอดีตกาลมาก่อนดังนั้นจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอยู่เสมอหลัง
    จากมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับก้อยแล้วพวกคณาจารย์รวมทั้งนักศึกษารุ่นพี่และน้องใหม่ต่างก็ได้ร่วมมือกันจัดทำงานทำบุญตึก
    โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดทำบุญให้กับดวงวิญญาณเหล่าสนั้นที่ยีงไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่าได้มาหลอกหลอนกันอีกเลยและ
    ขออุทิศผล บุญกุศลแด่ดวงวิญญาณทุกดวงรวมทั้งขอให้พวกเราทุกคน ได้พักอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างสุขสบายและ
    ปลอดภัยร่มเย็นเป็นสุข ตลอดระยะเวลาที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน ณ ที่แห่งนั้นด้วยดูเหมือนว่าจะได้ผล  หลังจากการทำบุญตึก
    แล้วพวกเราขาวหอก็ไม่มีใครได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดอีกเลยก็ขออนุโมทนาแผ่ส่วนกุศลแด่ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง 
    และขอขอบคุณที่ตลอดเวลาตัวของข้าพเจ้านี้มิได้มีโอกาสเห็นเลย ....และก็ไม่คิดว่าอยากที่จะพบกับ ท่านเหล่านั้นด้วยเพราะ
    ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าก็เกรงว่าตัวเองอาจจะหัวโกร๋นก่อนจะสำเร็จการศึกษาก็เป็นได้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×