ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกสะท้านภพสาม

    ลำดับตอนที่ #3 : เทพบุตรใฝ่พรหมจรรย์

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 52


    องค์อินทร์...........เสียงหลวงตาตะโกนลั่นสดาวดึงส์เมื่อเจอท้าวสักกะเจ้าสวรรค์


    นมัสการพระอาจารย์ครับ ท้าวสักกะพนมมือไหว้หลวงตาธรรม
    หลวงตาเล่าเรื่องที่เกิดบนโลกมนุษย์ให้ฟังและขอให้ท้าวสักกะช่วยและตัดพ้อเชิงหยอกว่า "ทียังงี้พระแท่นไม่ร้อนรึ เห็นในละครจักรๆวงศ์ๆ เวลาโลกเดือดร้อนละไปช่วย เพราะพระแท่นแข็งมั่ง ร้อนมั่ง"
    "แหมพระคุณเจ้า ตอนนี้ผมต้องจัดการเรื่องข้างบนนี้ก่อนอสูรยังไม่ยกกลับเลย จะไปช่วยได้ไงละ"ท้าวสักกะนิ่งคิดครู่หนึ่งและกล่าวต่อว่า "เออ ท่านก็เอาเทพบุตรองค์อื่นให้ไปจุติช่วยโลกไหมล่ะ"
               "  ดีเหมือนกัน " หลวงตาพูดและบอกบุคคลิกของเทพบุตรที่ต้องการและยกชาดกมาเล่าดังนี้

    ในอดีต ณ เมืองหนึ่ง พระเจ้าเอสุการีกับปุโรหิตได้เป็นสหายรักกันเพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ วัยเยาว์ ทั้งสองหามีโอรสไว้สืบสกุลไม่ จึงปรึกษากันว่า ระหว่างเราสองหากใครมีบุตรชาย เราจะให้ ครอบครองสมบัติของเราทั้งสองคน วันหนึ่งปุโรหิตเดินไปธุระพบหญิงเข็ญใจเดินอยู่บนถนนพร้อมกับบุตรถึงเจ็ดคน ปุโรหิตเข้าไปถามว่า..
              "นี่! เจ้าทำอย่างไรถึงได้ลูกชายมากขนาดนี้?"
              "ดิฉันบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรจึงได้บุตรถึงเจ็ดคน" นางตอบด้วยเข้าใจเช่นนั้น
              ปุโรหิตจึงเดินตรงไปที่ต้นไทรต้นหนึ่ง จับกิ่งไทรเขย่าพลางขู่ว่า..
              "เทวดา! ท่านไม่ยอมให้โอรสแก่พระราชาบ้างเลย มีอะไรบ้างที่ท่านไม่ได้จากพระราชา ทุกๆ ปีมาพระราชาก็ทรงเอาเครื่องสักการะมาบูชาแก่พวกท่านมิใช่รึ ท่านยังไม่ให้โอรสแก่พระองค์เลย หญิงเข็ญใจนี้ทำอุปการะอะไรแก่ท่าน เหตุไรท่านจึงให้บุตรแก่นางถึง 7 คน! หากท่านไม่ให้โอรสแก่พระราชาบ้าง จากนี้ไปอีก 7 วัน เราจะให้คนมาฟันต้นไทร สับให้เป็นท่อนๆ เสียเลย"
              ปุโรหิตมาตามขู่รุกขเทวดาเช่นนี้อยู่ 6 วัน จนวันที่ 7 ก็มาจับกิ่งไทรเขย่าแล้วพูดว่า.. 
              "รุกขเทวดาเอ๋ย.. เหลืออีกราตรีเดียวเท่านั้น ถ้าท่านไม่ยอมให้โอรสแก่พระราชาล่ะก็ พรุ่งนี้เราจะสำเร็จโทษ"


              รุกขเทวดาที่ต้นไทรถูกขู่เขย่าขวัญมาทุกวันจึงหาทางรอด โดยได้ไปหาท้าวมหาราชทั้ง 4 แห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแจ้งความให้ทราบ แต่ถูกปฏิเสธว่าไม่สามารถให้บุตรได้ จึงไปพบเหล่าเสนาบดียักษ์ 28 ตน ก็ถูกปฏิเสธอีก คราวนี้ไปพบท้าวสักกเทวราช เข้ากราบทูลให้ทรงทราบ ท้าวสักกะทรงใคร่ครวญดูว่า พระราชาจะได้โอรสไหม ก็ทอดพระเนตรเห็นเทพบุตร 4 องค์มีบุญมาก จึงตรัสเรียกมามอบเทวบัญชาว่า..
              "ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย! พวกท่านจงไปเกิดยังมนุษยโลกในพระครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้า เอสุการีราชเถิด"
              เทพบุตรเหล่านั้นพากันกราบทูลว่า..
              "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ! พวกข้าพระบาทจะไปตามเทวโองการ แต่พวกข้าพระบาทไม่ต้องการเกิดในราชตระกูลเลย จะขอเกิดในบ้านปุโรหิตแทน แล้วจะละกามออกบวชในเวลาหนุ่ม"
              ท้าวสักกะจึงตรัสบอกความแก่รุกขเทวดา รุกขเทวดาดีใจ ถวายบังคมลากลับไปยังวิมานตนทันที วันรุ่งขึ้นปุโรหิตมาพร้อมบุรุษล่ำสัน บุรุษนั้นถือขวานเตรียมจะฟันต้นไทร รุกขเทวดารีบออกมา จากต้นไทร กล่าวว่า..
              "ช้าก่อนสิท่าน! บุตรคนเดียวจะเป็นไรไป เราจะให้บุตรแก่ท่าน 4 คนเลย"
              "เดี๋ยวสิ! ข้าพเจ้าไม่ต้องการบุตร ท่านโปรดให้แก่พระราชา" ปุโรหิตแย้งขึ้น
              "ไม่ได้! เราจะให้แก่ท่านเท่านั้น!" รุกขเทวายืนยัน
              "ถ้าเช่นนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าสองคน ให้พระราชาสองคนเถิด" ปุโรหิตเสนอ
              "เราจะไม่ให้พระราชา จะให้ท่านผู้เดียวเท่านั้น! แต่ท่านจะเพียงสักแต่ว่าได้นะ เพราะบุตรทั้ง 4 จะไม่อยู่ครองเรือน จะออกบวชแต่หนุ่มทีเดียวล่ะ" รุกขเทวาพูดจบก็รีบหายเข้าวิมานทันที 
              เทพบุตรทั้ง 4 ทยอยลงมาบังเกิดในครรภ์ของภรรยาปุโรหิต คนแรกได้ชื่อว่าหัตถิปาละ ถูกมอบให้นายควาญช้างเลี้ยงไว้ คนที่สองชื่ออัสสปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงม้า คนที่สามชื่อโคปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงวัว คนที่สี่ชื่ออชปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงแพะ เด็กทั้ง 4 เติบโตแล้วมีรูปร่างหล่อเหลางดงามอย่างยิ่ง ปุโรหิตได้เชื้อเชิญบรรพชิตทั้งหลายออกไปพักอยู่นอกพระราชอาณาเขต เพราะกลัวบุตรทั้ง 4 ของตนเห็นบรรพชิตแล้วคิดออกบวช ดังนั้นเด็กทั้ง 4 จึงเติบโตมาโดยไม่เคยเห็นบรรพชิตเลย ทำให้ไม่ได้ยินคำอบรมสั่งสอนจากบรรพชิต กลายเป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็งยิ่งนัก เที่ยวเบียดเบียนคนอื่นไปทั่ว จะไปที่ใดก็แย่งชิงเอาสิ่งของชาวบ้านทุกครั้ง 
              จนเมื่อหัตถิปาละอายุ 16 ปี พระราชากับปุโรหิตติดตามดูอยู่ตลอด เห็นว่าบุตรคนโตเติบใหญ่สมควรได้ราชสมบัติแล้ว จึงปรึกษากันว่า..
              "ถ้าบุตรเราได้รับอภิเษกแล้วคงจะเป็นพระราชาที่หยาบช้ากล้าแข็งยิ่งขึ้นเป็นแน่ หากให้บรรพชิตเข้าเมืองมาในตอนนี้ บุตรพวกเราคงจะดีขึ้นไม่น้อยเลย แต่ก็ยังเกรงว่าถ้าเขาได้เห็นบรรพชิตแล้วจะคิดออกบวชนะสิ! ถ้าอย่างนั้น เราทั้งสองจะลองทดสอบดูก่อนก็แล้วกัน"
              แล้วทั้งสองก็แปลงเป็นฤาษีเที่ยวภิกษาจารไปจนถึงประตูบ้านของหัตถิปาละ หัตถิปาละเห็นบรรพชิตแล้วยินดีเลื่อมใส เข้าไปใกล้ๆ นมัสการ กล่าวว่า..
              "โอ้! นานเหลือเกิน ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นพระฤาษีผู้ยินดีในคุณธรรม ผู้นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดปกปิดรอบกายเพื่อมุ่งบำเพ็ญสมณธรรมทรมานกิเลส ขอท่านผู้เจริญจงรับอาสนะ น้ำ ผ้าเช็ดเท้า และ น้ำมันทาเท้าของข้าพเจ้าด้วยเถิดขอรับ ข้าพเจ้าขอต้อนรับท่านด้วยสิ่งของมีค่ามากเหล่านี้"
              ปุโรหิตแปลงชี้แจงว่า..
              "ลูกรัก! พวกเราไม่ใช่ฤาษีหรอก นี้คือพระราชา เราคือพ่อของเจ้าเอง"
              "ทำไมพระราชากับพ่อถึงต้องปลอมเป็นฤาษี?"  หัตถิปาละกล่าวถาม
              "ก็เพื่อมาทดลองเจ้าดูไงล่ะ!" ปุโรหิตตอบ 
              "ทดลองข้าพเจ้าทำไม?" หัตถิปาละถาม
              "ก็ทดลองดูว่า ถ้าเจ้าเห็นเราแล้ว หากไม่คิดออกบวช เราก็จะอภิเษกเจ้าให้เป็นพระราชา"
            "โอ้ ท่านพ่อ! ข้าพเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติเลย ข้าพเจ้าอยากบวช"หัตถิปาละกล่าว
              "ไม่นะลูกรัก! ยังไม่ถึงเวลานะ เจ้าจงร่ำเรียนวิชาแสวงหาความรู้เพื่อหาทรัพย์ให้บุตรธิดาเจ้าก่อนแล้วค่อยออกบวชตอนแก่แหละดี คนบวชตอนแก่เป็นคนมีความคิด พระอริยเจ้าก็สรรเสริญ" โรหิตละล่ำละลักกล่าวด้วยอาการหวาดหวั่น
              "วิชาเป็นของไม่จริง! ลาภสักการะก็ไม่จริง! ใครๆ จะห้ามความแก่ด้วยลาภไม่ได้เลย สัตบุรุษ สอนให้ปล่อยวางกามคุณเสีย สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นของตน" หัตถิปาละกล่าว
              "มารดาบิดาเจ้าแก่เฒ่าแล้ว หวังจะได้เห็นเจ้านานๆ สัก 100 ปีนะ" พระราชาตรัสบ้าง
              "เหตุไรพระองค์ตรัสเช่นนี้ ขอเดชะพระราชา ความเป็นสหายกับความตายนั้นไม่มีทางเลย มิตรไมตรีกับความแก่จะมีแก่ผู้ใดได้ เรือที่ท่าน้ำรับคนฝั่งนี้ส่งถึงฝั่งโน้นแล้วย้อนกลับรับคนฝั่งโน้นส่งถึงฝั่งนี้ ฉันใด ความแก่ชราและเจ็บป่วยก็นำเอาชีวิตสัตว์ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราชอยู่เนืองๆ ฉันนั้น ขอพระองค์ดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ได้เร่งรุดเข้ามาใกล้ข้าพระพุทธเจ้าผู้กำลังทูลสนทนากับพระองค์อยู่ทุกทีแล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประมาทมัวเมาเลย"
              หัตถิปาละพูดจบก็ถวายบังคมลาพระราชากราบลาบิดาที่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก แล้วพาบริวารของตนออกบรรพชาทันที มหาชนบางส่วนก็ตามไปบวชด้วย เพราะคิดว่าการบวชคงต้องเป็นสิ่งดี เมื่อเดินไปถึงริมแม่น้ำ หัตถิปาละเพ่งมองดูน้ำแล้วเจริญกสิณบริกรรม ยังฌานให้บังเกิดได้แล้ว ให้โอวาทมหาชนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้นเอง ส่วนพระเจ้าเอสุการีกับปุโรหิตก็ตั้งความหวังไว้ที่บุตร คนที่เหลือ ได้ไปทดสอบกับบุตรคนรองโดยนัยเดียวกัน
              "เมื่อพี่ชายของข้าพเจ้ายังอยู่ ไฉนเศวตฉัตรจึงมาถึงข้าพเจ้าก่อนล่ะ ท่านพ่อ! " อัสสปาละ กล่าวอย่างสงสัยที่เห็นพระราชาเสด็จมากับปุโรหิตเพื่อมอบราชสมบัติให้ตน
              "ลูกรัก! พี่ชายของเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติ ตอนนี้ไปบวชแล้ว"  ปุโรหิตกล่าว
              "จริงเหรอพ่อ! ตอนนี้พี่ชายอยู่ที่ไหนหรือ?" บุตรชายถาม
              "พำนักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใกล้ๆ นี้เอง" ปุโรหิตตอบ
              "ข้าพเจ้าเองก็ไม่มุ่งหวังราชสมบัติที่เหมือนน้ำลายที่พี่ชายบ้วนทิ้งแล้วหรอกนะพ่อ! สัตว์ ทั้งหลายผู้โง่เขลาเบาปัญญาย่อมไม่อาจทิ้งกิเลสกามได้ แต่ข้าพเจ้าทิ้งได้! กามทั้งหลายเป็นเปลือกตม ที่ข้ามออกไปยาก มันทำให้สัตว์จมลง มีจิตเลวทราม เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าได้ทำกรรมหยาบช้าไว้มาก ผลแห่งกรรมย่อมมาถึงข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์อย่าได้ทำกรรมอันหยาบช้านั้นอีกเลย"
              อัสสปาละกราบลาพระราชาและบิดาแล้วพาบริวารไปหาพี่ชาย พระราชากับปุโรหิตคอตกผิดหวังเดินไปหาบุตรคนที่สามต่อไป ส่วนหัตถิปาละนั่งอยู่บนอากาศแสดงธรรมแก่อัสสปาละ แล้ว  กล่าวว่า
              "น้องรัก! สมาคมนี้จะใหญ่ยิ่ง ขอให้พวกเราจงรออยู่ที่นี้ก่อนเถิด"
              เมื่อพระราชากับราชปุโรหิตมาถึงบ้านของโคปาละก็ใช้อุบายเดิมทดสอบ แต่โคปาละปฏิเสธราชสมบัติทันทีแล้วขอลาออกบวช พระราชากับปุโรหิตอ้อนวอนให้รอก่อนสัก 2-3 วันเพื่อให้เห็นหน้ากันนานๆ ก่อน โคปาละก็กล่าวว่า
              "ความดีควรรีบทำวันนี้ ไม่ควรผัดเพี้ยนว่าจะทำวันพรุ่งนี้ ผู้ผัดผ่อนงานที่ควรทำวันนี้ว่าจะทำพรุ่งนี้ย่อมเสื่อมจากการงานนั้น" กล่าวจบก็พาบริวารไปหาพี่ชายที่ริมน้ำเพื่อออกบวชทันที  
              แม้บุตรคนเล็กสุดคืออชปาละก็ทำเช่นเดียวกัน พากันไปหาพี่ชายที่ริมน้ำออกบวช ปุโรหิตสิ้นหวังแล้ว พลันได้คิดว่า..
              "ลูกๆ ทิ้งเราไปบวชหมดแล้ว เหลือแต่เราคนเดียวเป็นเหมือนมนุษย์ตอไม้ แล้วเราจะมัวอยู่ไปทำไม? ออกบวชดีกว่า!" จึงประชุมมหาเสนาประกาศว่า..
              "เราจะไปบวชกับบุตรของเรา พวกท่านเล่าจะทำอย่างไรต่อไป?"
              เหล่าเสนาบดีมองหน้าหารือกัน แล้วกล่าวว่า..
              "นรกเป็นของร้อนเฉพาะท่านผู้เดียวก็หาไม่ มันก็ร้อนสำหรับพวกเราด้วยเหมือนกัน พวกเรา ก็จะไปบวชด้วย!"
              ฝ่ายภรรยาปุโรหิตรู้ข่าวว่าสามีจะไปบวชคิดว่า..
              "ลูกและผัวของเราพากันไปหมดสิ้นแล้ว แล้วเราจะมัวอยู่ทำไมกัน? เราก็จะไปบวชเช่นกัน" จึงเรียกภรรยาของเหล่าเสนาบดีทั้งหลายมาแจ้งว่า 
              "เราจะไปบวชกับลูกชายของเราแล้วนะ"
              ภรรยาของเสนาบดีเหล่านั้นก็พากันกล่าวว่า.. 
              "พวกเราก็จะขอบวชบ้างสิ!" ทั้งหมดจึงออกเดินทางไปริมแม่น้ำนอกเมืองหาหัตถิปาละ  
              กาลต่อมา พระราชาก็ประสงค์จะผนวชด้วย ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแจ้งความประสงค์ แล้วตรัสถามว่า..
              "ท่านทั้งหลายจะทำอย่างไรกันต่อ?"
              อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า..
              "ขอเดชะ! ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะขอบวชด้วย พระเจ้าข้า"
              พระราชาพร้อมหมู่อำมาตย์ จึงพากันไปริมน้ำหาหัตถิปาละ     
              ชาวเมืองที่หลงเหลืออยู่รวมตัวพากันไปสู่ท้องพระโรงทูลอ้อนวอนขอให้พระมเหสี ครองราชย์สืบต่อไป พระราชเทวีตรัสตอบว่า
              "วันเวลาล่วงเลยคืนวันผันผ่านไป วัยเราก็แก่ลงๆไปตามลำดับ ตัวเราจะทิ้งกามทั้งหลายแล้วเที่ยวไปผู้เดียว เราจะเป็นผู้เยือกเย็น ก้าวล่วงความเกี่ยวข้องทั้งปวง"
              พระราชเทวีตัดสินพระทัยออกผนวชเหมือนพระสวามี จึงมีรับสั่งให้เรียกภรรยาของอำมาตย์ ทั้งหลายมาเฝ้า ตรัสถามว่า..
              "พวกเธอล่ะ! จะทำอย่างไรกันต่อไป?"
              เหล่าภรรยาอำมาตย์กราบทูลว่า..
              "พวกหม่อมฉันก็จะบวชด้วยเพคะ"
              ทั้งหมดจึงพากันออกจากพระนครไปริมฝั่งแม่น้ำหาหัตถิปาลกุมาร ขณะนั้นชาวเมืองก็เดือดร้อนโกลาหลกันทั่วว่า
              "พระราชาและพระเทวีทรงไปผนวชแล้ว แล้วพวกเราจะอยู่ทำอะไรเล่า?"
              ประชาชนต่างพากันทิ้งบ้านเรือนทั้งๆ ที่ยังมีสมบัติเต็มบริบูรณ์ ต่างจูงลูกจูงหลานออกไปบวช  ผู้คนทั่วทุกซอกทุกมุมจูงมือกันมุ่งหน้าไปที่ริมน้ำนอกเมืองราวกับไปชมงานมหรสพ ตามโรงร้านตลาดทุกแห่งหน มีสิ่งของวางแบแผ่ไว้เกลื่อนกลาด ไม่มีผู้ใดแยแสสนใจทรัพย์เหล่านั้นเลย แม้แต่จะชายตามองจะมีผู้ใดผู้หนึ่งเหลียวแลกลับมาดูก็ไม่มี พระนครทั้งสิ้นว่างเปล่าไร้ผู้คนดุจเมืองร้าง  
              หัตถิปาละเห็นว่าคนมาหมดทั้งนครแล้วก็พาทั้งหมดไปยังป่าหิมพานต์อันร่มรื่นชื่นใจ ท้าวสักกเทวราชทรงแลดูก็เลื่อมใส รับสั่งให้วิสสุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างอาศรม ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวันคั่นเป็นระยะๆ มีกระดานพิงหลังที่ฉาบปูนขาวสะอาดในสถานที่ทุกแห่งหน มีสุมทุม พุ่มไม้พร้อมดอกไม้นานาพรรณ ยังมีที่จงกรม บ่อน้ำใส และไม้ให้ผลดกอยู่ประจำแต่ละอาศรม  หัตถิปาลกุมารเข้าสู่อาศรมแล้วบรรพชาเป็นฤาษีพร้อมกับให้ทุกคนบรรพชา มอบอาศรมให้นักบวชหญิงสาวอยู่ตรงกลาง ถัดมาให้นักบวชหญิงชรา ถัดมาอีกให้นักบวชหญิงวัยปานกลาง ส่วนชั้นนอกสุด ให้บรรพชิตชายทั้งหลายอยู่รายรอบ 
              ต่อมา พระราชาต่างเมืองทรงทราบว่านครนี้ว่างร้างกษัตริย์ จึงรีบยกทัพมายึดพระนคร เมื่อเสด็จมาถึง ทรงทอดพระเนตรเห็นทรัพย์เกลื่อนกล่นให้เกิดฉงนพระทัยยิ่งนัก ทรงเกรงกลัวว่า  ทรัพย์นี้จะมีภัยร้ายแรงจึงมิกล้าไปแตะต้องทรัพย์ เมื่อสืบสวนขี้เมาที่หลงอยู่ตามซอกหลืบจนได้ความ ทั้งที่มิน่าจะได้ความ ทรงดำริว่า
              "เห็นทีว่า การบวชต้องมีคุณค่าโอฬารยิ่งใหญ่กว่าทรัพย์เหล่านี้เป็นแน่แท้!" จึงเสด็จไปหาหัตถิปาลฤาษี ได้ฟังธรรมแล้วพากันออกบวชหมดทั้งกองทัพ ต่อมามีพระราชาต่างเมืองยกทัพมาเช่นนี้อีกรวมเป็น 6 กองทัพได้ออกบวชตามหมด อาศรมมีปริมณฑลถึง 36 โยชน์ พื้นที่เต็มบริบูรณ์จนหาที่ว่างมิได้ ฤาษีรูปใดนึกถึงอกุศล หัตถิปาลฤาษีก็แสดงธรรมแก่ฤาษีนั้น พร้อมบอกวิธีเจริญพรหมวิหาร ภาวนาบ้าง กสิณภาวนาบ้าง จนฤาษีเหล่านั้นทำฌานและอภิญญาให้เกิดได้ เมื่อละโลกแล้วก็ไปพรหมโลกบ้าง สวรรค์บ้าง บังเกิดเป็นมนุษย์บ้างตามแต่กำลังบุญ กาลนั้นราวกับนรกร้างว่างเปล่า  สวรรค์เต็มเนืองแน่น ..

    "อาตมา ขอแบบเดียวกับที่มอบให้รุกขเทวานะท่าน

    เทพบุตรมีนิสัยใฝ่พรหมจรรย์มาตั้งแต่เป็นเทวดาก่อนลงมาเกิด เพราะสั่งสมนิสัยเห็นทุกข์โทษและความไร้แก่นสารของกามมาหลายชาติ จึงมีอัธยาศัยน้อมไปในพรหมจรรย์ได้เช่นนี้ การเป็นกษัตริย์เป็นที่หมายปองของชนทั้งผอง แต่สายตาของผู้ใฝ่เนกขัมมบารมีกลับมองว่าตำแหน่งกษัตริย์เป็นสิ่งที่ถูกกามคุณเย้ายวนพร้อมสรรพ ยากที่จะทำตนให้หลุดออกจากกามได้  อีกทั้งยังสมบูรณ์ด้วยอำนาจจึงยากที่จะมิให้หลงใหลในอำนาจ ผู้ใดก็ตักเตือนได้ยาก โอกาสทำผิดพลาด ทำให้ต้องไปอบายนั้นมีสูงอย่างยิ่ง ทั้งเครื่องกังวลก็มีมาก ต้องคอยหวาดระแวงคนมาแย่งชิงยึด       ราชสมบัติอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรทมไม่มีวันเป็นสุข

              "นิสัยเห็นโทษกามกระจ่างฝังใจ, เห็นความไร้แก่นสารของกาม, ปล่อยวางกามคุณได้       ไม่ติดในเรื่องเพศและสมบัติ และมุ่งแสวงหาสาระชีวิต" 


    เพราะเด็กสมัยนี้ตกบ่วงกามกันมากไม่รู้ภัยของกามเลย หลวงตาพูด ขณะที่พระอินทร์กำลังใช้ ทิพยจักขุดูหาเทพบุตรลักษณะเช่นนั้น


                                          (โปรดติดตามตอนต่อไป)

    ขอความกรุณาโปรดแนะนำติชมด้วยเพื่อปรับแก้ต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×