คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5
“ชิ...ไอ้เจ้าหัวทองบ้านั้น”
ร่างบางผมดำทิ้งตัวลงบนฟูกนอนพร้อมถอนหายใจยาว เจ้าตัวกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วนึกไปถึงช่วงที่ทำความสะอาดด้วยกัน พอได้ยินแบบนั้นเขาถึงกับทำตัวไม่ถูกเลย แล้วไหนจะตอนไปทำความสะอาดตัวและเสื้อผ้าที่บ้านอีกฝ่ายอีก
“โอ้ยยยยย”
ยิ่งคิด คนร่างบางยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง เจ้าตัวพลิกตัวบนฟูกนอนแถมยังเอามือขยี้ผมตัวเองอีกต่างหาก ยิ่งเห็นภาพเจ้าอาจารย์หัวทองบ้ายิ้มนั้นลอยเข้ามาในหัว เขาก็ยิ่งหงุดหงิดอย่างหาเหตุผลไม่ได้ แล้วพอยิ่งหงุดหงิดเจ้าตัวก็ยิ่งพลิกตัวไปมาเหมือนจะระบายอารมณ์ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากกว่านั้นประตูห้องนอนก็เลือนเปิดออก...
“เคียวยะ”
เสียงเรียกดุ ๆ ที่ดังขึ้นทำเอาคนหน้าสวยชะงักนิ่ง หน้าซีดเผือดไปเลย ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นนั่งทับเข่าวางมือบนตักทั้งสองข้างเรียบร้อย มองผู้มาใหม่ด้วยดวงหน้านิ่งไม่แพ้กัน
“ไอ้กิริยาที่ฉันเห็นนั้นมันมาจากไหน...ใครเขาสอน”
“.....”
“ถามให้ตอบ”
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาร่างบางสะดุ้ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่เจ้าตัวต้องพยายามบังคับไม่ให้มันสั่นอย่างเต็มที่
“ไม่มีครับ”
ใบหน้าเคร่งขรึมยังคงเรียบนิ่งแต่ก็มีแววกรุ่นขึ้นมานิดเมื่อได้รับคำตอบจากลูกชาย ก่อนจะไพล่ถามไปอีกคำถาม ซึ่งคนหน้าสวยก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่เหมือนเดิม
“แล้วยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนั้น ใครใช้ให้ขึ้นไปกลิ้งอยู่บนที่นอน”
“ไม่มีครับ”
“เคียวยะ!!!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นยิ่งทำให้คนหน้าสวยตัวสั่น แต่ก็พยายามจะเก็บความรู้สึกกลัวไว้ภายใต้หน้ากากแสนเย็นชาที่ปั้นออกมา เขาไม่รู้ว่าวันนี้ท่านพ่อจะอยู่บ้าน ปกติก็เห็นเอาแต่ทำงาน ถ้ายังไม่ได้เวลาอาหารเย็นก็จะไม่ออกมาจากห้อง
“.....”
“เรียกให้ขาน”
“ครับ”
“ทำหน้าให้มันสำนึกหน่อยนะ อย่าให้ฉันหมดความอดทน”
ร่างบางก้มหน้ารับเพื่อซ่อนแววตาที่สั่นไหว บวกกับขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ ปกติเขาจะได้เจอท่านพ่อก็คือช่วงทานอาหารเช้า แล้วก็เวลาอาหารเย็นถ้าตัวเขากลับมาทัน นั่งทานข้าวด้วยกันเฉย ๆ ไม่พูดไม่คุยกัน จากนั้นท่านพ่อก็จะหายเข้าห้องทำงานไปไม่ออกมาอีก แต่ถ้าวันไหนออกมานั้นก็แสดงว่ามีเรื่องจะดุเขานั้นแหละ แล้วตอนเช้า พอทานข้าวเสร็จก็จะรีบออกไปทำงานโดยไม่มีแม้แต่การลากัน หรือบางวันก็ไม่ทานแล้วรีบออกไปเลย
ตอนแรกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านพ่อก็เหมือนครอบครัวทั่ว ๆ ไป พูดคุย หัวเราะ ยิ้มแย้ม มีความสุข จนกระทั่งพวกเขาเสียท่านแม่ เสียผู้ที่มีรอยยิ้มมากที่สุดในบ้านไป ตั้งแต่วันงานวันสุดท้ายของท่านแม่จบลง จากนั้นเป็นต้นมา ท่านพ่อก็เริ่มเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อย ๆ แย่ลง จนกลายเป็นเหมือนคนอื่นสำหรับกันและกัน และ ณ ตอนนี้ พวกเขาก็เหมือนไม่ใช่ครอบครับกันอีกแล้ว
“ครับ”
“แล้วอย่าให้ฉันเห็นว่ามีกิริยาแบบนั้นอีกนะ บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องทำตัวยังไง”
“ครับ”
“.....”
“.....”
“มีอาจารย์มาเยี่ยมบ้านทำไมถึงไม่บอกฉัน”
“ผมก็เพิ่งรู้ อยู่ ๆ เขาก็จะมา”
ร่างบางตอบด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือขึ้นเรื่อย ๆ แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามบังคับไม่ให้คนเป็นพ่อจับได้ ดวงหน้าสวยสงบนิ่งเหมือนคนไม่มีความรู้สึก แต่ดวงตากับเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ
“บ้านเราไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ทำไมไม่รู้จักปฎิเสธ”
“ผมเห็นว่าไม่เสียหาย ก็เลย...”
“จะก็เลยอะไร เคียวยะ หัดทำตัวให้มันดูมีสง่าราศีอย่างที่ฉันสอนหน่อยได้ไหม ไม่ใช่คนอ่อนแอปวกเปียกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
“.....”
คนหน้าสวยพยักหน้ารับเพราะเริ่มจะคุมเสียงยากขึ้นทุกที แต่นั้นกับทำให้เขาโดนดุมากขึ้น เมื่อในสายตาคนเป็นพ่อการไม่รับคำแบบนี้ถือเป็นการเสียมารยาทเหมือนกัน
“ทำไมไม่ขานรับคำ”
“ครับ”
“แล้วอาจารย์มาบ้านทำไม ไม่ใช่ไปทำเรื่องเดือดร้อนมาหรอกนะ”
“เปล่าครับ”
“ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ”
“.....”
“วันนี้เธอไม่ต้องทานข้าวเย็น นี่เป็นโทษสำหรับการแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม แล้วก็อยู่ในห้องห้ามออกไปไหน นี่เป็นโทษสำหรับการทำตัวไม่เป็นที่น่าไว้ใจจนอาจารย์ต้องมาเยี่ยมบ้าน”
“ครับ ท่านพ่อ”
ฮิบาริคนพ่อทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมจะเลือนประตูปิดด้วย ปล่อยให้ร่างบางที่นั่งอยู่ กำหมัดแน่น ตัวเล็ก ๆ สั่นสะท้าน ริมฝีปากสีสวยถูกฟันขาวขบจนเลือดไหลซิบ เปลือกตาบางปิดลงเพื่อกลั่นหยดน้ำที่กำลังจะไหลออกมา...ห้ามมีน้ำตา ห้ามมีน้ำตา ฮิบาริ เคียวยะ คนนี้ห้ามมีน้ำตาเด็ดขาด
“ฮึก”
เจ้าตัวเริ่มขบฟันลงไปแรงขึ้นเมื่อมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ทำไมกัน กับอีแค่โดนว่าแค่นั้น ทำไมถึงต้องร้องไห้ ทำไมถึงต้องเสียใจขนาดนี้ ความรู้สึกเจ็บ ๆ ที่เกิดขึ้นในอกแบบนี้ จะบอกว่าเคียวยะคนนี้น้อยใจหรือไงกัน...โง่สิ้นดี ต่อให้นายเสียใจหรือน้อยใจแค่ไหน เขาก็ไม่เห็นหรอก มีแต่จะโดนโกรธ โดนว่ามากขึ้นเท่านั้นแหละ จำไว้ว่านายมันไม่มีค่า ฮิบาริ เคียวยะคนนี้ไม่มีค่าพอจะให้ท่านพ่อมาสนใจความรู้สึกอะไรหรอก
“ทำไมพวกแกถึงมีสภาพแบบนี้กันวะ”
ฮิบาริถามขึ้นหลังจากเห็นสภาพแสนอนาจของเพื่อน ๆ ทั้งสามที่ดูท่าเหมือนคนจะไม่พ้นวันนี้ซะอย่างนั้น เจ้าตัวชะโงกหน้าไปมองโกคุเดระใกล้ ๆ
“แกก็พูดได้สิ แกไม่ได้โดนอาจารย์อเลาดิคุมอยู่เหมือนพวกฉันนี่”
“อ้าว ไหนว่าพวกแกจะแกล้งเขาไม่ใช่หรอ”
“ตอนแรกมันก็ใช่ แต่แล้วพออาจารย์โกรธ คนโดนแกล้งเลยกลายเป็นพวกเรานะสิ”
สึนะตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่ เจ้าตัวถอนหายใจแรง ๆ แล้วกางมือ กางขาแผ่หลาอยู่บนพื้นหญ้าซะเลย ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่ที่สวนหลังโรงเรียนซึ่งเป็นที่ค่อนข้างปลอดคน
“อย่างนั้นเลยเชียว”
“อย่ามาทำเสียงตกใจแต่ยิ้มสะใจแบบนั้นนะเคียวยะ ก็แกโชคดีนี่หน่าที่ได้ไปกับอาจารย์ดีโน่นะ ใครจะไปรู้ว่าเห็นสวย ๆ เงียบ ๆ แบบอาจารย์อเลาดิจะร้ายขนาดนั้น
มุคุโร่บอกทั้งที่สภาพตัวเองไม่ต่างไปจากอีกสองคนที่นอนแผ่หลากันอยู่เท่าไหร่ ฮิบารินั่งมองพวกเพื่อนของตัวเองแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เคียวยะ”
“อะไร”
“แกไปดีใจอะไรมา”
โกคุเดระกระโดดจากพื้นที่นอนอยู่มาเอามือคล้องคอจากด้านหลังซึ่งแตกต่างจากสภาพก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ก่อนเจ้าตัวจะถามขึ้นมาพร้อมกับเอาหน้ามาถู ๆ กับแก้มของเขา
“เปล่า”
“จะเปล่าได้ไง เมื่อวานเพิ่งโดนพ่อทำโทษ มาวันนี้จะอารมณ์ดีได้ยังไง”
สึนะถามขึ้นมาบ้าง ก่อนจะจ้องหน้าคนผมดำอย่างคาดคั้นหมดสิ้นท่าทางเหมือนคนหมดลมเมื่อครู่ไปเลย นี่แสดงว่าเมื่อกี้ที่ทำท่าหมดแรงกันก็โกหกเขางั้นสิ เพราะตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งแข็งแรงดีกันแล้วนี่หน่า
“ท่านพ่อไปดูงานที่ต่างประเทศนะ เดินทางตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว อีกเป็นเดือนเลยกว่าจะกลับ”
“จริงหรอแล้ว...”
“เพิ่งรู้เมื่อเช้าเหมือนกัน ท่านก็ไม่ได้บอกฉัน...แต่ก็ช่างเถอะ ไม่อยู่ก็ดีแล้ว”
ฮิบาริว่ายิ้ม ๆ ก่อนที่อีกสามคนจะยิ้มตามไปด้วย พวกเขารู้กันดีว่าทุกคนในกลุ่มเป็นเหมือนเด็กมีปัญหากันทั้งนั้น จริง ๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แต่เข้ากับคนทางบ้านไม่ค่อยได้
“งั้นก็ดี แต่ตอนนี้ไปเข้าเรียนกันดีกว่า จะได้เวลาโฮมรูมแล้ว
“พวกแกไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวฉันตามไป”
“อ้าว แกจะไปไหน”
“เข้าห้องน้ำ”
“อืม แล้วรีบตามมาละ”
“เออ รู้แล้ว”
ฮิบาริพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปตามทาง จนกระทั่งถึงทางเลี้ยวลงบันได ด้วยความที่ไม่รู้และไม่ระวังว่าจะมีใครเดินมา จึงชนเข้ากับแผงอกกว้างของใครบางคนจนเซถอยหลังมา
“โอ้ย”
ร่างบางร้องขึ้นก่อนจะยกมือกุมจมูกตัวเองไว้ จากนั้นก็เงยหน้ามองคนที่เดินชนด้วยสายตาไม่พอใจ แต่พอรู้แล้วว่าเป็นใครเจ้าตัวก็ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดเข้าไปด้วย
“ฮิบาริ เคียวยะ”
ดีโน่ร้องอย่างตกใจ ไม่ใช่ว่าตกใจที่เดินชนกัน แต่ตกใจเพราะเหมือนจะเห็นอะไรแดง ๆ ภายใต้มือที่ปิดอยู่ต่างหาก...เลือดกำเดา?
“จะโวยวายทำไม...เอ๊ะ?”
“ไม่ต้องมาเอ๊ะเลย เลือดกำเดาออกแบบนี้ แต่เมื่อกี้ก็ชนแรงจริง ๆ นั้นแหละ ขนาดฉันยังเจ็บเลย ไปห้องพยาบาลกันเถอะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง ผมไปเองได้”
ฮิบาริสะบัดมือคนที่จับข้อแขนตัวเองออกก่อนเดินลิ่ว ๆ ไปห้องพยาบาล แต่คนผมทองก็ยังไม่วายวิ่งตามมาส่งเสียงหน้ารำคาญใส่กันอีก เจ้าตัวถึงได้หันไปตะคอกใส่
“นี่เดี๋ยวฉันจะพาไปนะ เกิดอาจารย์ประจำห้องไม่อยู่ฉันจะได้ช่วยดูแทน...”
“เลิกพูดหนวกหูน่ารำคาญสักทีเถอะน่า!!!!!!!”
“เธอ...”
“.....”
“...ขาดแคลเซี่ยมนะรู้ไหม หัดกินนมเยอะ ๆ หน่อยสิ”
ดีโน่มองคนข้างตัวอย่างขำ ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าใช้มือบีบจมูกแล้วหายใจทางปาก แต่ก็สุดยอดเลยนะที่ยังจะแหงะหน้ามาตวัดตามองเขาอย่างโกรธ ๆ ได้
“อะไร”
ฮิบาริกระแทกเสียงถามอย่างไม่พอใจ ถึงจะรู้ว่าที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้แบบนี้คงจะเป็นเพราะให้เขารองเลือดที่ไหลออกมาไม่ให้มันเปรอะพื้นด้วยความหวังดี แต่จะยังไงเขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดีแหละ
“ผ้าเช็ดหน้า รองไว้หน่อยเถอะ สงสารภารโรง”
ร่างบางถลึงตามองก่อนจะกระชากผ้ามาจากมือแกร่งนั้น เสร็จแล้วเจ้าตัวก็รีบเดินไม่สนใจคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย ซึ่งฝ่ายตามก็ทำเพียงสาวเท้าให้เร็วขึ้นนิดแล้วส่งเสียงขำ ๆ ตามมาเท่านั้น
“อ้าว อาจารย์ประจำห้องพยาบาลไม่อยู่จริง ๆ นั้นแหละ”
“ไปได้แล้วไป เดี๋ยวเลือดก็หยุดไหลเองนั้นแหละ”
“เธอเป็นลูกศิษย์ของฉัน บาดเจ็บแบบนี้ฉันก็ต้องดูแลสิ”
“นั้นสิ ถ้ารู้ว่าผมอยู่ใกล้อาจารย์แล้วผมจะบาดเจ็บ อาจารย์ก็ไม่ต้องมายุ่งกับผม...ออก ๆ ไปซะสิ”
“เรื่องนั้นคงไม่ได้หรอกนะ”
ดีโน่บอกก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าลูกศิษย์ที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียง แล้วโป๊ะถุงน้ำแข็งที่เดินไปหยิบมาลงบนดั้งจมูกคนเจ็บอย่างแรงจนฝ่ายนั้นขมวดคิ้วมองพร้อมแผ่รังสีอำมหิตออกมา
“อาจารย์คิดจะลองดีกับผมใช่ไหม”
ฮิบาริถามลอดไรฟันอย่างโมโห แต่คนโดนถามกลับทำเพียงยักไหล่แล้วใช้มือข้างที่ว่างเลือนเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ มานั่งต่อหน้าเขาเท่านั้น
“ฉันไม่คิดจะลองดีกับใครทั้งนั้นแหละ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะพวกเธอนะ”
“.....”
“ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีกันทั้งนั้น แล้วทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนกับจะเรียกร้องความสนใจกันแบบนั้นละ ไม่กลัวพ่อแม่เสียใจหรือไง”
“ไม่มีใครมาเสียใจกับพวกผมหรอก อย่างอาจารย์จะไปเข้าใจอะไร พวกผู้ใหญ่ก็ห่วงแค่หน้าตากันเท่านั้นแหละ ต้องคอยบังคับให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่อยากให้เป็นโดยที่ไม่ถามเลยสักนิดว่าชอบไหม ไหวหรือเปล่า เกินกำลังไปไหม...ไม่เลย ไม่เคยเลย”
“ฮิบาริ เคียวยะ”
“ไม่ต้องเรียกเต็ม ๆ แบบนั้นได้ไหม ไม่ชอบ”
“งั้นก็เคียวยะ”
“อย่ามาเรียกชื่อผมแบบนั้นนะ เรียกนามสกุลเหมือนคนอื่นเขาสิ”
“เพื่อนเธอยังเรียกได้เลย”
“ก็แล้วอาจารย์เป็นเพื่อนผมหรือไง”
“เอาเถอะน่า เคียวยะ เรียกแบบนี้ก็ดีออกจะตายไป”
ดีโน่ไม่สนใจสายตาดุ ๆ ของคนตรงหน้า แต่กลับคิดถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของร่างบาง เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีนิลที่มองสบมาอย่างไม่กลัว แต่ทำไมเขาจะไม่เห็นถึงความสั่นไหว แม้จะเพียงน้อยนิดก็เถอะ ‘เด็กคนนี้ เป็นเด็กขี้เหงา’ เสียงความคิดที่ดังขึ้นในใจของคนเป็นอาจารย์ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาน้อย ๆ แล้ววางมือลงบนกลุ่มผมสีนิล ออกแรงขยี้เล่นเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยวแล้ววางค้างไว้แบบนั้น
“ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่สนใจลูกหรอกนะ แต่ทุกคนก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง มีวิธีการแสดงความรักเป็นของตัวเอง เพราะงั้น...เชื่อเถอะว่าพวกท่านรักเธอมาก และมากยิ่งกว่าใคร”
“อาจารย์ไม่เข้าใจ...ผม...”
“ใช่ ฉันอาจจะไม่เข้าใจเธอ ไม่เข้าใจพ่อแม่ของเธอ ไม่เข้าใจทุกคน...แต่ฉันรู้ รู้ว่าถ้าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วละก็ ไม่มีทางที่จะไม่รักกันหรอกนะ”
“โลกไม่ได้สวยงามอย่างที่อาจารย์เห็น”
“แล้วเธอเห็นว่ามันโหดร้ายตรงไหนบ้างละ”
“อะ...”
ฮิบาริชะงักไปเมื่อเจอคำถามนี้ของอาจารย์ที่ปรึกษา เจ้าตัวประสานสายตากับดวงตาสีอำพันสวยที่ส่องประกายแวววาวพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“ฉันก็ไม่ได้จะบอกว่าโลกนี้มีแต่เรื่องดี ๆ หรอกนะ...แต่แค่อยากรู้นะว่าเธอเจอหรือผ่านอะไรมา ถ้ามันจะทำให้เธอกลับไปเป็นเด็กธรรมดา น่ารัก สดใสได้ ฉันจะทำ”
“แล้วทำไมจะต้องมาทำเพื่อผม”
“เพราะฉันชอบรอยยิ้ม รอยยิ้มนะเป็นสิ่งที่สวยงาม แล้วมันก็ทำให้ฉันสบายใจได้ทุกครั้งที่มองไม่ว่ามันจะเกิดจากใครก็ตาม”
“งี่เง่า”
ฮิบาริสบถใส่ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเรื่องที่ดีโน่พูดนะเป็นความจริง ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอก ทุกคนย่อมมีวิธีแสดงความรักเป็นของตัวเอง...แต่แล้วพ่อของเขาใช้วิธีไหนแสดงออกมากันละ เขาถึงได้มองไม่เห็นสักที
“ฮ่า ๆ เธอคิดงั้นหรอกหรอ...แต่จะว่าไป เมื่อวานตอนเธอยิ้มนะ สวยมากเลยนะ”
ดีโน่ขำออกมากับท่าทางของลูกศิษย์ แต่เขาก็ดีใจนะที่อีกฝ่ายมีปฎิกิริยาเหมือนจะยอมรับฟังคำพูดของเขา ไหนจะแก้มที่ขึ้นสีเรื่อน้อย ๆ นี่อีก น่ารักดีจริง ๆ นะ เพราะอย่างนี้หรือเปล่า เขาถึงได้หลงใหลในตัวเด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ติ๊ด ติ๊ด
“เอ๊ะ อเลาดิ”
ดีโน่ร้องขึ้นมาเบา ๆ เมื่อเห็นเบอร์โชว์ที่หน้าจอว่าเป็นใครโทรมา ก่อนจะเหลือบมองคนที่ขยับตัวน้อย ๆ แล้วจ้องโทรศัพท์เขาอย่างสนใจ เจ้าตัวเลยตัดสินใจรับมันซะตรงนั้นเลย
“ฮัลโหล”
“ดีโน่ เห็นฮิบาริ เคียวยะบ้างหรือเปล่า”
“ฮิบาริ เคียวยะ”
“ใช่ ฉันมาโฮมรูมแต่ไม่เห็นเลย ไม่รู้หายไปไหน”
ดีโน่หันหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนเตียง ถึงแม้จะทำหน้าเฉย ๆ แต่แววตาเป็นประกายอย่างอยากรู้นั้นก็ทำให้เขาขำออกมา
“อยู่ห้องพยาบาลนะ อยู่กับฉันนี่แหละ พอดีว่าเมื่อเช้าเดินชนกันแล้วเลือดกำเดาออกนะ ไว้หยุดไหลเมื่อไหร่ฉันจะพาไปส่ง”
“อ๋อ...งั้นก็ฝากด้วยแล้วกัน”
“อืม วางใจได้”
พูดจบดีโน่ก็ตัดสายไป ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ยังนั่งมองหน้าเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
“อเลาดิ หมอนั้นก็ดูห่วงนายมากเลยนะ”
“จริงหรอ”
ฮิบาริถามด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว และนั้นก็ทำให้ดีโน่ต้องขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจหรือว่าเด็กคนนี้จะชอบอเลาดิงั้นหรอ ความไม่พอใจแล่นปราดไปทั้งตัว คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมแล้วจ้องคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาน่ากลัว
“เป็นอะไรอีกละเนี่ย”
ร่างบางถามก่อนจะเอามือที่กดถุงน้ำแข็งลงบนจมูกตัวเองออก เมื่อรู้สึกว่าเลือดกำเดาจะหยุดไหลแล้ว เจ้าตัวเดินไปที่อ่างล้างหน้าแล้วใช้ผ้าชุบน้ำทำความสะอาดเลือดที่ไหลเปรอะอยู่ออกจนหมด
“เคียวยะ”
“บอกว่าอย่ามาเรียกแบบนั้น”
ดีโน่มองคนที่ตวาดขึ้นมาทันทีหลังจากเขาเรียกเสร็จ ดวงตาสีนิลสวยที่มองมาเต็มไปด้วยรอยกรุ่นของอารมณ์ ทำไมกัน..เวลาที่มองเขาดวงตาคู่สวยนั้นจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความกราดเกรี้ยว แต่พอพูดถึงอเลาดิขึ้นมา แววตานั้นก็จะเป็นไป เป็นแววตาที่อ่อนโยนขึ้นแถมยังแต้มไปด้วยประกายแห่งความสุข...ทำไมกัน
“เธอชอบอเลาดิหรอ”
“อะ”
ฮิบาริถึงกับไปไม่ถูกเมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป เจ้าตัวสะบัดหน้าหนีเมื่อไม่รู้จะตอบยังไง แต่ก็โดนอีกเข้ามาขวางทางไว้เมื่อเขาทำท่าจะก้าวออกจากห้อง
“เธอยังไม่ได้ตอบฉัน”
“ผมจะชอบไม่ชอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาจารย์”
“ไม่ปฎิเสธสินะ”
“อะไรของอาจารย์เนี่ย”
ฮิบาริพยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุมของคนร่างสูง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่ออีกฝ่ายใช้แรงที่เหนือกว่าผลักเขาเข้ากับกำแพง พอจะใช้มือผลักออกก็ถูกอีกฝ่ายรวบข้อมือทั้งสองข้างไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว พอจะใช้ขาเตะก็ถูกอีกคนใช้เข่าสอดเข้ามาตรงหว่างขา สภาพของเขาตอนนี้เลยตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
“เธอชอบอเลาดิจริง ๆ ใช่ไหม”
“ก็บอกแล้วไงว่าจะยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับอาจารย์”
“ฉันถามให้ตอบไม่ต้องมาย้อน”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของผ...อุ๊บ”
ดีโน่ประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากบางทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากเล็ก จัดการกวาดเลียอย่างหิวกระหาย ก่อนจะถอนออกแล้วเปลี่ยนมาดูดคลึงอยู่ที่ริมฝีปากสีหวาน มือข้างที่ว่างก็ล็อคคางอีกฝ่ายไว้ไม่ให้หันหนี
ฮิบาริเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากการคุกคามนี้แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าตัวจึงตัดสินใจกัดลิ้นอีกฝ่ายในตอนที่สอดเข้ามาอีกครั้ง
“โอ้ย”
ดีโน่ร้องก่อนจะถอนตัวออกมาอย่างตกใจ ใช้มือกุมปากตัวเองไว้แล้วเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนหอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก็ไม่ใช่ว่าจะเจ็บอะไรมากมาย แต่เป็นเพราะตกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกัดลิ้นเขาก็เท่านั้น
ฮิบาริหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตูด้วยความเร็ว แต่ก็ยังไม่เร็วไปกว่าคนร่างสูงที่ตามมาตะครุบตัวเขาทันแล้วกระชากเข้ามาข้างในก่อนจะเหวี่ยงลงกับเตียง
“ปล่อยนะ”
“ที่ฉันถาม ได้ตอบหรือยัง”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม อาจารย์ไม่มีสิทธิ์จะมายุ่ง”
“สิทธิ์ของฉันนะมีแน่ ๆ เพราะงั้นก็ตอบมาได้แล้ว!!!!!”
“อย่ามาสั่งนะ!!!!!”
ฮิบาริตะคอกขึ้นมาบ้างอย่างโมโห อยู่ ๆ ก็มาเค้นคำตอบกับเขา แถมยังมาจูบกันแบบนี้ แม้แต่กับดันเต้ที่เคยคบกันมาก็ยังไม่ใช้วิธีรุนแรงแบบนี้กับเขาเลยนะ
ดีโน่ชะงักไปเมื่อโดนตะคอกกลับ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมายาว ๆ เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็ปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระแล้วสั่งเสียงเบา
“ออกไปได้แล้ว”
“อะ...ฮึ้ย”
ฮิบาริสบถเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องพยาบาลไปอย่างหัวเสีย ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ แบบนี้แต่เช้าด้วยนะ
....................................................................................
Writer talk : สวัสดีคะ เป็นยังไงบ้างเอ่ย เอาตอนของ D18 เต็ม ๆ มาให้ตามสัญญาแล้วนะคะ ออกจะรู้สึกงง ๆ ว่าสรุปแล้วเฮียโน่เขาจะดีหรือไม่ดีกันแน่ ตอนแรกมาสอนซะดิบดี แต่ตอนหลังนี้สิ มาขโมยจูบเคียว ๆ ไปซะได้
ตอนนี้แอบมีชีวิตของเคียว ๆ เข้ามาด้วยละ คุณพ่อดุเนาะ น่าสงสารจังเลย ยังไงก็ฝากติดตามด้วยแล้วกันนะคะ ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องที่ 2 ของ D18 แล้ว แต่รู้สึกฝีมือจะยังไม่พัฒนาเลยแฮะ ยังไงก็ทนอ่านกันหน่อยแล้วกันนะคะ(อ้อนวอนเต็มที่)
ความคิดเห็น