คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : The Beginning of Adventure
สายลมพัดเศษใบไม้ปลิวไสวลอยไปท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและดงดอกไม้นานาชนิดสีสันสดใส กลิ่นอันแสนหอมหวานของน้ำหวานถูกพัดพามาแตะที่ปลายจมูกของเด็กสาวคนสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางดงหญ้าที่มีดอกไม้ตูมสีเขียวอยู่เต็มไปหมด
“ช้าจังเลยน๊า มาสายตามเคยสินะ”
เด็กสาวที่รอนานมาก เริ่มที่จะบ่น
“เอาน่า ยัยนั่นมีอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องทำน่ะ”
เด็กสาวผมสั้นสีดำติดกิ๊บสีแดงอีกคนพูดดักก่อนที่เด็กสาวผมทรงทวินเทล (มัดผมแกละสองข้าง) อีกคนจะโกรธไปมากกว่านี้ ถึงแม้เหตุผลจะฟังไม่ขึ้นก็ตามที
กุบกับ กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งและเสียงม้าควบเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอคนนั้นได้มาถึงแล้ว เด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลคนหนึ่งลงมาจากหลังม้าพร้อมกับถอดหูฟังแบบครอบหูสีดำคู่ใจออก
เด็กผู้หญิงสวมหูฟังไว้ที่คอของเธอ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีครามอันแสนสดใสสวยงามนี้ซึ่งเป็นลางบอกเหตุให้รู้ว่ากำลังมีเรื่องอะไรซักอย่างรออยู่แน่ๆ
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเรื่องของเรื่องมันก็ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้หรอกนะ มันเริ่มต้นมาจาก….
กริ๊งงง (เสียงกระดิ่ง)
โผละ (เสียงน้ำแข็งแตก)
เสียงทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันบนคนละฟากโลกพร้อมกับคำถามต่างๆ มากมาย
“ฉันเป็นใคร?”
“ที่นี่ที่ไหน?”
“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
....
....
ฉันชื่อ ฟีโอน่า สปริง ค่ะ เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกทั้งเจ็ด ถ้าถามว่าผู้ถูกเลือกทั้งเจ็ดคือใครบ้าง ถูกใครเลือก และต้องทำอะไรบ้าง ฉันเองก็ตอบไม่ได้ค่ะ ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่ฉันอยู่บอกเพียงแค่ว่า ฉันถูกเลือกแล้วโดยความกล้าหาญ มันหมายความว่าอย่างไรจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังตีความไม่ได้
สิ่งที่ฉันรู้เพียงหนึ่งเดียวคือ ในปีนี้ฉันต้องออกเดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อที่จะไปพบผู้ถูกเลือกที่เหลือ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันที่ฉันจะได้อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ฉันก็จะได้ออกสู่โลกภายนอก ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่อาจหาได้จากหนังสือเล่มใดๆ
ปีฉันนี้ก็อายุ 96 ปีแล้วค่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงได้อายุมากขนาดนี้แล้วล่ะก็ นั่นก็คงเพราะว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกของมนุษย์ยังไงล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะอายุครบ 100 ปีก็ตาม ร่างกายของฉันก็ยังเหมือนๆ กับผู้หญิงอายุประมาณ 20 ของโลกมนุษย์อยู่ดีค่ะ
โลกนี้เป็นโลกที่ถูกพวกมนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นโลกของความเชื่อและจินตนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของมนุษย์
โลกแห่งนี้ติดกับโลกมนุษย์ แต่พวกเราไม่สามารถข้ามไปยังโลกมนุษย์ได้ เราทำได้แค่เพียงมองเห็นโลกฝั่งนั้นผ่านม่านเวทย์มนต์ซึ่งเป็นเวทย์มนต์ขั้นสูง หมู่บ้านที่ฉันอยู่นี้ตั้งอยู่บนทวีปยุโรปของโลกมนุษย์
ยังไงก็แล้วแต่ มีเกิดก็ย่อมมีตายค่ะ ที่นี่ก็สามารถตายได้เมื่อถึงเวลาอันสมควรซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน บางคนก็อยู่ได้ไม่ถึง 10 ปี บางคนก็อายุเกือบพันปีค่ะ แต่ฉันก็ยังไม่เคยเห็นใครที่อายุมากขนาดนั้นซักที ที่ฉันเห็นว่ามีอายุมากที่สุดก็คงเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้ค่ะ ซึ่งท่านก็อายุแค่ 500 กว่าปีค่ะ ห่างไกลจากพันปีมากเลย
ที่นี่คือหมู่บ้านพิกซี่และเอลฟ์ ส่วนฉันเป็นบรรณารักษ์ของหอสมุดของหมู่บ้านแห่งนี้ค่ะ ฉันมีเพื่อนมากมายแต่ที่สนิทที่สุดก็คงมีแค่สี่คนค่ะ
สามคนแรกซึ่งเป็นผู้หญิงเป็นเพื่อนที่ฉันรู้จักตั้งแต่ยังจำความได้ ตอนนี้ทั้งสามคนก็เป็นบรรณารักษ์ที่นี่เหมือนกับฉันค่ะ
คนแรก เป็นผู้หญิงร่างเล็กผมสั้นสีดำเงางาม ชื่อว่า ไอรีน อิซาเบลล่า ซึ่งมักจะติดกิ๊บสีแดงหรือไม่ก็กิ๊บรูปยิ้มไว้ที่ผมทางด้านขวามือ เธอเป็นภูตเผ่าซิลฟ์ค่ะ หรือก็คือเผ่าลมนั่นเอง เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเป็นคนใจเย็น รู้จักคำว่า “รอ” ซึ่งช่างแตกต่างจากเพื่อนอีกคนโดยสิ้นเชิง เธอมีพลังวิเศษที่สามารถพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรู้เรื่องได้
คนที่สอง เด็กผู้หญิงผมทรงทวินเทลสีเหลืองทอง ชื่อว่า โซเฟีย เธอมีอาชีพเป็นนางแบบ นักแสดง และก็มีอาชีพเสริมคือบรรณารักษ์นี่แหละ มักมาทำงานสายบ่อยๆ เพราะติดคิวแสดงหรือเดินแบบ เป็นคนที่เห็นว่าเวลาทุกวินาทีนั้นมีค่า หรือก็คือใจร้อน รอใครไม่เป็นนั่นแหละค่ะ เธอเป็นภูตเผ่าเมลูซีน หรือก็คือเผ่าน้ำนั่นเอง เธอมักจะสวมถุงมือสีแดงของเธอเพื่อกีดกั้นพลังที่สามารถสัมผัสสิ่งมีชีวิตแล้วมองเห็นอดีตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ได้
ที่โลกแห่งนี้ โลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ มีแทบทุกอย่างที่มนุษย์คิดว่ามี ทั้งพิกซี่ นางฟ้า สัตว์ประหลาด สัตว์ในเทพนิยาย ตัวละครในนิทาน เอเลี่ยน หรือแม้แต่ เวทย์มนต์ หรือวิทยาการชั้นสูง…
“อ้าว ฟีโอน่า ยืนเหม่อลอยอะไรกัน มาสายแล้วยังมายืนบื้ออยู่อีกนะ”
เด็กหญิงผมทองพูดขัดขึ้น พร้อมกับเริ่มกอดอกและขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงถึงท่าทีของความโมโห ทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเลยทีเดียว
“อ๊ะ โทษทีๆ เริ่มกันเลยดีกว่านะจ๊ะ ไอรีน เซลูน่า”
ฟีโอน่าพูดชื่อของหญิงทั้งสองขึ้นพร้อมกับเริ่มร่ายคาถา ผู้หญิงอีกสองคนจับมือกันพร้อมกับร่ายคาถาขึ้นเช่นกัน
สายลมเริ่มกรรโชกแรงขึ้น สายน้ำเริ่มสั่นไหวและก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มก้อน ลอยขึ้นเหนือทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ตูมอยู่ สายน้ำกระจายเป็นละอองตกลงสู่ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี เกิดเป็นสายรุ้งเจ็ดสีสดใสสวยงามขึ้นมา ดอกไม้เริ่มบานทีละนิด จนเกิดเป็นสีสันสวยงามที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของดอกไม้นานาชนิดกลายเป็นศิลปะที่สวยงามและลงตัวกันได้ดี
“งานเสร็จไปอีกงานแล้วนะ ไปหอสมุดกันต่อเถอะจ๊ะ”
ไอรีนซึ่งผมสั้นที่สุดรีบวิ่งไปหอสมุดก่อนใครเพื่อน ตามด้วยเด็กสาวทวินเทลที่วิ่งตามไป
“รอก่อนสิ เดี๋ยวๆๆ โธ่เอ๊ย ไม่เคยรอกันเลย”
ฟีโอน่าเริ่มบ่นกับตัวเองพร้อมกับสวมหูฟังคู่ใจของตัวเองไว้ที่หูทั้งสองข้าง และรีบวิ่งขึ้นหลังม้าทันที
“กลับไปหอสมุดเลยจ้า”
ฉันตบหลังม้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่าให้วิ่งได้
เสียงฝีเท้าม้ายังดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไล่ตามหญิงทั้งสองที่วิ่งนำหน้าไปได้ สุดท้ายเสียงฝีเท้าของทั้งคนและม้าก็มาหยุดอยู่หน้าประตูบานยักษ์ของตึกใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้หลากสีสัน ซึ่งมีป้ายแขวนไว้ เขียนคำว่า Library ที่แปลว่าห้องสมุดนั่นเอง
“อ้าว สวัสดี โซเฟีย ไอรีน ฟีโอน่า มาทำงานตรงตามเวลาเหมือนเคยเลยนะ”
ผู้หญิงผมยาวสวมผ้าปิดตาลายกุหลาบส่งเสียงทักทายยามเช้า ด้วยหน้าที่นิ่งเฉย ไร้ซึ่งรอยยิ้มและอารมณ์ใดๆ พร้อมกับเดินลงมาจากบันใดใหญ่ตรงกลางหอสมุด
เพื่อนคนที่สามของฉัน ผู้หญิงผมยาวติดโบว์สีแดงทั้งสองข้างของศีรษะ เป็นหัวหน้าของเหล่าบรรณารักษ์ของหอสมุดแห่งนี้ นามว่า อลิซาเบธ มีนาคาวา ซึ่งพวกเรามักจะเรียกเธอว่า เบธตี้ เธอมักจะสวมผ้าปิดตาข้างซ้ายของเธอเพื่อกีดกั้นพลังดวงตาของตัวเองซึ่งสามารถมองเห็นอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตได้ เธอเป็นคนที่ใช้พลังเวทย์ได้เก่งมาก คงเป็นเพราะเธออ่านหนังสือมาเยอะ เธอเป็นภูตเผ่าโนม หรือเผ่าดินนั่นเอง เธอเป็นคนจริงจังกับทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องงาน เธอมักจะอยู่ในหอสมุดแห่งนี้ตลอดเวลา เบธตี้เป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง ฉันอยู่กับเธอจนอายุได้ 96 แล้ว ยังนับครั้งการยิ้มกับการหัวเราะของเธอได้ไม่เกิน 100 ครั้งเลย และก็ไม่เคยเห็นเธอร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เหะๆ เบธตี้ ยิ้มบ้างก็ได้นะ”
ไอรีนพูดเสียงตะกุกตะกักเนื่องมาจากความเหนื่อย พร้อมกับโบกมือทักทาย
“สปริง มีนกตัวนึงสะบักสะบอมมาจากไหนก็ไม่รู้ มาช่วยดูอาการหน่อยสิ”
เอลิซาเบธพูดด้วยเสียงเชิงขอร้องให้ฟีโอน่าซึ่งฟังเสียงสัตว์รู้เรื่องมาช่วยดูอาการให้กับนกตัวนั้น และพาฟีโอน่าเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงมุมของหอสมุด ซึ่งมีป้ายแปะไว้หน้าห้องว่า หัวหน้าบรรณารักษ์
“ขอฉันฟังเสียงของนกตัวนี้หน่อยนะ”
ฉันถอดหูฟังออก เพื่อที่จะได้ยินเสียงของนกน้อยตัวนี้ ซึ่งก็สามารถตีความได้ว่า ถูกยิงที่ปีกข้างซ้าย
“รอแป๊ปนึงนะ นกน้อย ขอรักษาอาการของแกก่อนนะ”
ไอรีนซึ่งพูดกับสัตว์รู้เรื่อง พูดปลอบนกน้อยเพื่อไม่ให้มันหนีไปไหนก่อนที่จะรักษาเสร็จ โซเฟียถอดถุงมือออกพร้อมกับเอามือแตะไปที่ตัวนก เพื่อที่จะดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอดีต เกิดเป็นภาพเด็กถือหนังยางสติ๊ก ยิงหินก้อนเล็กใส่นกน้อยตัวนี้
“คงแค่ช้ำล่ะมั้ง ใช้เวทย์รักษาเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องถึงมือภูตพยาบาลหรอก”
ทั้งสี่คนเริ่มร่ายเวทย์พร้อมกัน เกิดเป็นอาณาเขตแสงสีขาวรอบตัวหญิงทั้งสี่ โดยมีนกน้อยอยู่ตรงกลางวงเวทย์
“เธอหายแล้วล่ะ ลองบินขึ้นดูซิ”
ไอรีนยกนกน้อยตัวนั้นขึ้นด้วยมือทั้งสองให้มันโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เมื่อช่วยเหลือนกตัวนี้เสร็จ ทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
ชีวิตประจำวันแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันก่อนที่ฉันจะได้ออกไปสู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่
ค่ำคืนของวันก่อนที่ฉันจะออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ มีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ให้กับฉัน ทุกคนจัดงานปาร์ตี้ ร่วมกิน ร่วมเล่น ร่วมฉลองกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันทำให้ฉันใจหายนิดๆ ว่า เราจะไม่ได้เห็นภาพที่น่าประทับใจของทุกคนหมู่บ้านแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน เราต้องไปพบไปเจออะไรบ้าง เราจะไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆ ที่เข้าใจในพลังการฟังของเรา เราต้องไปอยู่กับคนที่เราไม่รู้จัก ไม่สนิท ไม่คุ้นเคย
“เป็นอะไรไป กลัวที่จะต้องออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปอย่างนั้นหรอ”
อลิซาเบธแตะไหล่ฉันเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ เช่นเคย
“แต่เธอ…ก็รอเวลานี้มานานไม่ใช่หรอ ฟีโอน่า รอเวลาที่จะได้ออกไปสู่โลกที่ไม่ใช่อยู่แค่ในหอสมุดหรือสวนดอกไม้ เวลาที่จะได้พบเจอกับสิ่งที่เราเคยอ่านเคยเจอมาจากในหนังสือ”
“อะ….อลิซาเบธ ใช่….ฉันรอเวลานี้มานานมาก นานมากเกินกว่าที่จะทนได้ นานมากจนกระทั่งฉันอายุได้ 96 ปี จนกระทั่งฉันแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ และเพราะอย่างนั้น ฉันจึงไม่อยากออกไปแล้ว”
ฉันผสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าอก พูดด้วยเสียงที่สั่นเหมือนกับกำลังจะร้องไห้
“อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะจ๊ะ”
ไอรีนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ พร้อมกับยิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มแห่งความอบอุ่น มันทำให้น้ำตาของฉันไหลออกมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ถ้าจะร้องไห้ ก็ร้องวันนี้เถอะจ๊ะ เพราะหลังจากนี้ อาจจะไม่มีโอกาสได้ร้องอีกแล้วนะ เมื่อเธอออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงอย่าได้ ‘กลัว’ นะจ๊ะ”
โซเฟียที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง ส่งสายตาที่หยิ่งยโสมาที่ฉัน ฉันจึงส่งสายตาหยิ่งยโสกลับไปพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
“อื้ม ฉันไม่ทำให้พวกเธอผิดหวังแน่นอนจ๊ะ…แต่ว่า…เบลล์ล่ะ เบลล์อยู่ไหน วันนี้ยังไม่เห็นเลยนี่”
“นั่นสินะ คงเพราะว่าวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงเลยไปช่วยทำครัวล่ะมั้ง”
ไอรีนเอามือปิดปากไว้ กันไม่ให้คนรู้ว่ากำลังหัวเราะอยู่
“หัวเราะอะไรของเธอเนี่ย?”
“กะ…ก็ไม่คิดว่ามันแปลกๆ หน่อยหรอ วันพรุ่งนี้เพื่อนสนิทจะไปจากหมู่บ้านแล้วแท้ๆ ยังมีจิตใจจะทำครัวกับเค้าอีกแหนะ”
พูดจบเธอก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้เอามือปิดคงไม่อยู่แล้วล่ะ
“เฮ้อ เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหละ เพื่อนจะไปแล้วยังหัวเราะได้อยู่อีกนะ”
อลิซาเบธโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ ตามเคย
“ตะโกนฉันก็ไม่ว่านะเบธตึ้”
ฉันเริ่มหัวเราะบ้างอะไรบ้าง
“เบธตี้นี่ก็ ยังหน้านิ่งได้อีกนะ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ”
โซเฟียยื่นมือทั้งสองข้างไปแตะที่ไหล่ของอลิซาเบธ
“รู้สึกสิ แค่ไม่แสดงออกเท่านั้น”
“เฮ้ออ เธอทำได้ยังไงเนี่ย”
พวกเราทั้งสามคนหัวเราะกันยกใหญ่
“ฟีโอน่าา เธอจะไปจากหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ลองเปลี่ยนลุ๊คของตัวเองดูดีมั้ย เช่นเปลี่ยนทรงผม สีผม อะไรประมาณนี้”
ไอรีนเริ่มเสนออะไรแปลกๆ มาให้ฉัน
“อื้ม ความคิดดีนี่ เฟิร์สอิมแพรสชั่น (ความประทับใจแรก) ไงล่ะ มามะ เดี๋ยวฉันเปลี่ยนทรงผมให้”
โซเฟียหยิบที่มัดผมมามัดผมข้างขวามือของฉัน
“ไม่อาววว ฉันจะเอาผมทรงม้วนๆ สไลต์ฝรั่งเศสอ่ะ”
ไอรีนหยิบผมข้างซ้ายมือของฉันมาม้วนทีละนิด
“พวกเธอนี่ หัดคิดถึงฟีโอน่าบ้างสิ ทรงนี่มันมั่วแล้วนะ”
อลิซาเบธเริ่มลงความเห็นบ้าง
“เอาเถอะจ๊ะ ฉันไม่ถือสาหรอก เพื่อนกันอยู่แล้วนี่”
พวกเราทั้งสี่คนเริ่มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“อ๊ายย เบธตี้หัวเราะแล้ว กิ๊วๆๆ”
ไอรีนพูดจบ พวกเราก็หัวเราะหนักขึ้นกว่าเก่าอีก
ติ๋ง….ติ๋งๆ
“นั่นสินะ ทั้งที่มันน่าจะตลกมากแท้ๆ แต่ว่าทำไม…..ทำไม น้ำตามันจึงไหลไม่หยุดเลยล่ะ”
จากเสียงหัวเราะที่ดังสนั่นจนกลบเสียงดนตรีของงานฉลอง ก็แปลเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ปล่อยโฮของพวกเรา พวกเราทั้งสี่คนโอบกอดกันด้วยความโศกเศร้า
“ฉันจะรักและคิดถึงพวกเธอตลอดไปนะ ไอรีน โซเฟีย อลิซาเบธ”
ฉันร้องไห้อย่างหนัก พร้อมกับยื่นดอกไม้ห้ากลีบสีฟ้าให้กับทั้งสามคน
“ดอกฟอร์เกตมีน๊อต (forget me not) เป็นเครื่องหมายของรักแท้ และความทรงจำร่วมกัน พวกเราจะไม่มีทางลืมกันและกันนะ ขอแค่คืนนี้เท่านั้น…แค่คืนนี้คืนเดียว….ที่ฉันจะอ่อนแอ และร้องไห้ให้สมกับลูกผู้หญิง จากพรุ่งนี้ไป ฉันขอสัญญาว่าจะเข้มแข็งและไม่ร้องไห้อีกนะ”
เสียงร้องไห้ของผู้หญิงทั้งสามคนยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่แสงพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และได้ยินเสียงไก่ขันแสดงถึงวันใหม่ที่ต้องดีกว่าเดิม วันใหม่ วันแห่งการรอคอย วันที่จะได้สัมผัสมุมมองของโลกนี้ ที่ฉันไม่เคยได้ยิน ได้รู้ได้เห็น วันของการออกเดินทางตามหาความฝันอันยิ่งใหญ่ และต้องเป็นวันของฉัน ฟีโอน่า สปริง คนนี้
ความคิดเห็น