คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : First Achievement
เสียงนกร้อง เสียงของผืนป่า เสียงของทุ่งหญ้า มันกำลังบอกลาฉันอยู่ค่ะ เพราะวันนี้ ฉันจะได้ออกไปตามหาชะตาชีวิตของตัวเอง ได้ออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ ได้ลาจากเพื่อนๆ ที่รู้ใจกัน ได้ไปพบเจอเพื่อนคนใหม่ๆ อีกทั้งหกคน
“ฟีโอน่า รับสิ่งนี้ไว้สิ”
ผู้ใหญ่บ้านยื่นเครื่องรางรูปดอกไม้ห้ากลีบสีเขียวมาให้ฉัน ฉันถอดหูฟังออกและแขวนไว้ที่ลำคอ รับเครื่องรางไว้ และผูกมันติดไว้กับที่มัดผมข้างขวามือของฉัน มันเป็นเครื่องรางที่สวยงามมาก เครื่องรางนี้มันทำให้ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ฟีโอน่า นี่จ๊ะ ไดอารี่ของเธอ อย่าลืมเขียนมันทุกวันด้วยนะ ว่าไปทำอะไรมาบ้าง พวกเราจะรออ่านมันอยู่ที่นี่ โชคดีนะ”
ไอรีนยื่นหนังสือเล่มเล็กสีชมพูปกเขียนคำว่า Diary ให้กับฉัน
“อื้ม ฉันจะเขียนมันให้จบเล่มเลย เตรียมรออ่านได้เลยนะจ๊ะ ฉันไปล่ะนะ ฝากลาสามคนที่เหลือด้วยนะไอรีน”
ฉันจำใจที่จะต้องเดินออกจากหมู่บ้านที่ฉันรักแห่งนี้ แต่ยังไงฉันก็จะไม่ร้องไห้ เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ร้องอีก ฉันจะต้องเข้มแข็ง เพื่อให้เหมาะกับการที่ตัวฉันได้ถูกเลือก
สายลมพัดผ่านนำทางฉันไปสู่สถานที่ที่ถูกกำหนดไว้ กระโปรงสีชมพูโบกสะบัดเป็นเกลียวคลื่น ผ้าคลุมไหล่สีชมพูพัดโบก เส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกม้วนไว้อย่างสวยงามพลิ้วไหวเป็นจังหวะไปตามสายลม ก้อนเมฆรูปทรงลูกศรชี้ไปทางทิศตะวันออก ฉันเดินตามทางที่ถูกกำหนดไว้ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งได้เข้าป่า จึงได้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า เสียงของผืนป่านำทางฉันไปสู่สถานที่ที่รายล้อมไปด้วยก้อนหินก้อนใหญ่มากมาย ที่นั่นฉันมองเห็นคนอีกห้าคนที่มานั่งรออยู่ตามโขดหินอยู่แล้ว ทุ่งหญ้าบริเวณนั้นดูสีเขียวสดใสกว่าปกติ เหมือนกับว่ามันกำลังแสดงความยินดีกับทุกคนว่า มาถึงที่นัดกันแล้วนะ
“อ้าว มีผู้หญิงอีกคนมาแล้ว นึกว่าจะมีแค่ ทัซ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวซะอีก”
เสียงแรกเป็นเสียงของผู้ชายร่างใหญ่ผมดำที่มีปีกสีขาวหุบอยู่ที่ทั้งสองข้างของลำตัว และมีลูกธนูเก็บไว้อยู่ในถุงที่สะพายไว้ที่หลัง ชุดที่ใส่เป็นชุดสีขาวไสตล์กรีก มันทำให้ฉันเดาได้ว่า เขาเป็นใคร?
“คุณ…คุณคือ คิวปิด สินะคะ”
“เฮ้ย มีคนรู้จักแกด้วยหวะ ดังนะเนี่ย”
ผู้ชายร่างใหญ่อีกคนเอาแขนมาพาดที่บ่าของคิวปิด ผู้ชายผมทองคนนี้เริ่มแนะนำตัวเอง
“ฉันคือ เอลฟ์เผ่าพิกซี่ดัสท์(pixie dust=ผงแสงของพิกซี่) ฉันเป็นผู้มอบ ‘ความฝัน’ ให้แก่เด็กๆ โดยการเสกพิกซี่ดัสท์ทำให้เด็กๆหลับและเข้าสู่ห้วงนิทรา ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเผ่าเดียวกับมนุษย์ทราย ทั้งที่ฉันมีเอกลักษณ์มากกว่าแท้ๆ ฉันไม่มีชื่อหรอก แต่หลายๆคน เรียกฉันว่าฟัลคอน”
“ส่วนฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรมากนะ คิวปิด ผู้มอบ ‘ความรัก’ ไงล่ะ”
ผู้หญิงอีกคนในกลุ่มลุกขึ้นจากโขดหิน ผมยาวสลวยสีชมพูอ่อนๆ ปลิวไสวไปกับสายลมเบาๆ มือที่ถือหนังสืออยู่ก็วางหนังสือลงบนโขดหิน
“ฉัน ทัซนาเบล เป็นผู้เลี้ยงดูกระต่ายอีสเตอร์ หรือก็คือกระต่ายอีสเตอร์ทั้งหมดบนโลกใบนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน ฉันเป็นผู้มอบ ‘ความหวัง’ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เธอคือ…”
ทัซนาเบลยื่นมือขึ้นเหมือนเป็นการทักทาย ฉันก็จับมือเธอไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารบาท
“ฟีโอน่า สปริง ค่ะ”
“ชื่อเพราะจังเลยเนอะ โฮ่โฮ่”
ผู้ชายอีกคนที่สวมเสื้อหนาสีแดงสดใสคาดเข็มขัดสีดำหัวทอง มีหนวดเคราและผมสีเทา และเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นหลักฐานการยืนยันตัวตนของเขาได้ดี
“ซานต้าครอส สินะคะ”
“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าใครๆ ก็รู้จักฉัน ใช่แล้ว ฉันคือเซนต์ นิโคลัส ผู้มอบ ‘ความสุข’ ให้กับทุกคน เรียกฉันว่าซานต้าก็ได้ ไม่ว่า ชินแล้วล่ะ”
“พวกแกนี่ดีจริงๆ มีแต่คนรู้จัก ส่วนฉันก็คงไม่มีคนรู้จักกันมากซักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเป็นเธอ คงจะรู้จักฉันสินะ”
ผู้ชายสวมผ้าคลุมที่ยืนอยู่หลังโขดหินใหญ่เริ่มกล่าวคำแนะนำตัว และจ้องมองมาที่ฉันเหมือนต้องการอะไรซักอย่างจากตัวฉัน
“นอสตราดามุส ผู้มอบ ‘ดวง’ เธอคงรู้จักฉันสินะ”
“เห คุณนักพยากรณ์ นอสตราดามุสหรอคะ??”
ฉันตื่นเต้นมากเลย ได้เจอแต่คนดังๆ ที่เห็นแต่ในหนังสือที่อ่านในหอสมุด เจอตัวจริงเป็นๆ แบบนี้ทำเอาฉันทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“ไหนว่าไม่มีคนรู้จักแกไง นายหมอดูเอ๊ย”
“เอาจริงๆ ก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าจะมีผู้หญิงอีกคนในกลุ่ม และผู้หญิงคนนั้นจะรู้จักฉัน เป็นไปตามที่พยากรณ์ไว้”
นอสตราดามุสเริ่มเถียงกับคิวปิด
“ว้าว สมกับที่เป็นนักพยากรณ์ที่โด่งดังไปทั่ว ว่าแต่…จะเสียมารยาทหรือเปล่า ถ้าเกิดฉันอยากจะรู้อายุของแต่ละคนค่ะ”
“คนอื่นอายุก็ราวๆ สี่ร้อยปี แต่ว่าฉันและนิโคลัสอายุมากที่สุดในกลุ่มที่ 1000 ปี บวกลบไปนิดหน่อยก็ลงตัวพอดี จำอายุไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทัซ อย่าเอาอายุของฉันไปเผาแบบนั้นสิ ฉันยังหนุ่มแน่นอยู่นะ ทำไมคนส่วนใหญ่ต้องคิดว่าฉันเป็นตาแก่อ้วนพุงพลุ้ยด้วย ไม่ชอบใจเอาซะเลย”
ซานต้าเริ่มบ่นกับตัวเอง พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธอายุของตนเอง
“ทีนี้ ก็เหลือ…บุคคลปริศนาอีกแค่คนเดียวสินะ”
คำพูดของฟัลคอนทำให้เกิดความเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง พร้อมกับทำให้ทุกคนเริ่มลงความเห็นกันว่า จะเป็นใครกันนะ พวกพิกซี่ นางฟ้า แม่มด แดรกคิวล่า เอลฟ์ ก็อบลิน จิ้งจอกเก้าหาง หรือเจ้าหญิงหิมะ แต่พวกภูตผีคงไม่ถูกเลือกมาหรอกมั้ง
แกร๊กๆๆ แกร๊กๆๆๆ
พวกเราทั้งหกคนรีบหันหลังไปมองที่มาของเสียงปริศนา ก็พบว่าป่าซึ่งอยู่ด้านหลังของพวกเราถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งซะแล้ว สีเขียวของป่าไม้ซึ่งแสดงถึงความเป็นธรรมชาติอันร่มรื่นแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าซึ่งเกิดจากการะสะท้อนของแสงผ่านน้ำแข็ง
เงาสีดำทอดลงมาจากเหนือป่าที่ถูกปกคลุมน้ำแข็ง ปรากฏเป็นเงาของคนร่างสูงถือแท่งอะไรซักอย่างคล้ายกิ่งไม้ พวกเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่เนื่องจากแสงอาทิตย์อันแสนเจิดจ้าในยามเช้า ทำให้มองเห็นเพียงแค่เงาคนสีดำ ไม่แตกต่างจากเงาที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน
ร่างของผู้ชายกระโดดลงมาจากป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เป็นชายตัวสูง ใส่เสื้อกันหนาวสีน้ำเงินแบบมีฮู้ด (หมวก) ปิดส่วนหัว
“หืมม …นั่น ใช่ยัยหนอนหนังสือหรือเปล่านะ??”
เสียงของผู้ชายที่ฟังดูคุ้นหู ทำให้ฉันต้องแปลกใจ แต่ที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าคือการเห็นร่างของชายเจ้าของเสียงซึ่งถอดฮู้ดออกจากส่วนหัวแล้ว ผมสีเงินที่สะท้อนกับแสงแดด มือที่ถือกิ่งไม้ความยาวขนาดเท่ากับลำตัว ผิวหนังสีซีดขาวที่แลดูเป็นลักษณะของคนที่อยู่ในพื้นที่บริเวณที่มีอุณภูมิต่ำ ทำเอาฉันอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
“จะ….แจ๊ค!!??”
“ค่อยยังชั่วนะ ที่ยังจำกันได้ สมองดีไม่เปลี่ยนสมกับเป็นยัยหนอนหนังสือจริงๆ”
“ตะ…ตาบ้า เจอหน้ากันก็ล้อกันเลยนะ”
ฉันกับแจ๊คเริ่มคุยกันตามประสาคนเคยรู้จักกัน ทำเอาคนอื่นอีกห้าคนงงกันเลยทีเดียว จนในที่สุดคิวปิดก็เริ่มถามแทรกเข้ามา
“เอ่ออ… ฟีโอน่า คนๆ นี้คือใครหรอ ช่วยแนะนำให้รู้จักหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ต้อง ผมแนะนำตัวเองได้ ผมชื่อ แจ็ค ฟรอสต์ ครับ เป็นเพื่อนกับฟีโอน่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วครับ”
“ตายแล้ว พูดคำว่า ครับ กับเค้าก็เป็นด้วยหรอเนี่ย”
ฉันเริ่มแซวแจ๊คกลับบ้าง พร้อมกับเอาหนังสือบังส่วนหน้าเพื่อไม่ให้รู้ว่าฉันกำลังหัวเราะอยู่
“ฮึ่มม ยัยหนอนหนังสือ”
แจ๊คเริ่มกอดอกแสดงท่าทีไม่พอใจ
“คิกๆ พวกเธอนี่ สนิทกันดีจังเลยนะ ดีจัง กลุ่มนี้จะได้มีสีสัน”
“ไม่เห็นจะสนิทกันตรงไหนเลยนะคะ”
“ยอมรับเถอะ ว่าพวกเราน่ะ ซี้กันขนาดไหน
พวกเราสองคนพูดขัดคุณทัซนาเบลขึ้นทันที ทัซนาเบลเริ่มหัวเราะบ้าง และเริ่มเอานิ้วมาแตะลงที่ริมฝีปากของตนเอง ทำท่าทีเหมือนกับว่ากำลังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ และแล้วก็ถามมาจนได้
“จะว่าไป… เรายังไม่รู้เลยนี่นา ว่าพวกเธอทั้งสองคน ทำอะไรกันได้บ้าง และมีพลังอะไรบ้าง”
“อ๊ะ นั่นสินะครับ ผม …เหาะได้ ใช้เวทย์และควบคุมน้ำแข็งได้ครับ”
“ส่วนฉัน…เอ่ออ…ฟังเสียงสิ่งมีชีวิตรู้เรื่องค่ะ ทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ นอกจากนั้นยังใช้เวทย์ในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชผลได้อีกด้วยค่ะ ส่วนใหญ่ฉันจะใส่หูฟังไว้เพราะเสียงของป่าไม้และสัตว์ป่ามันดังมากจนแสบแก้วหู ไม่ว่ายังไงถ้าทักแล้วฉันไม่ตอบก็ช่วยมาสะกิดทีนะคะ”
“หึ ฟังแต่เพลง หูจะได้ดับเข้าซักวัน”
“นี่ จะพูดดีๆ กับเขาบ้างไม่ได้รึยังไงกัน ไม่อยากฟังเสียงของนายแล้ว“
ฉันหยิบหูฟังที่แขวนไว้ที่คอขึ้นมาสวม แต่ทันที่หูฟังพ้นคอ…
ครืนนนน
เสียงท้องฟ้าที่คำรามด้วยเสียงที่ดังพอๆ กับเครื่องบินแล่นผ่าน ทำให้พวกเราทั้งหกคนตกใจ ฉันเผลอทำหูฟังที่กำลังจะสวมหลุดมือไป และกำลังก้มลงไปเก็บ
“ฟีโอน่า ระวัง!!”
ฉันเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีเหลืองที่กำลังผ่าลงมาจากท้องฟ้าถูกเบี่ยงไปทางอื่นด้วยม่านพลังเวทย์สีเขียวของคุณนอสตราดามุส
“โชคดีนะ ที่เธอยัง ‘ดวง’ ดี ว่าแต่…มันมากันแล้วรึ เร็วกว่าที่คาดไว้”
นอสตราดามุสมองขึ้นบนท้องฟ้า พวกเราจึงเริ่มเงยหน้ามองขึ้นไปตามๆ กัน
“เรื่องนี้ แกเห็นภาพล่วงหน้าแล้วสินะ นายหมอดู”
คิวปิดเริ่มหยิบลูกธนูจากส่วนหลังมาไว้ที่คันธนูเพื่อเตรียมพร้อมที่จะยิงทุกได้เมื่อที่เกิดเหตุการณ์คับขันขึ้น ลูกธนูเริ่มเปล่งลำแสงออกมาเป็นสีชมพู
“นะ…นี่คือ เตรียมพร้อมที่จะสู้ …กับใครหรือคะ”
ฉันเริ่มถามบ้าง เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีครามเป็นสีดำ กลุ่มก้อนเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วฟ้า สายลมพัดไหวอย่างรุนแรง พอที่จะพัดต้นไม้ต้นเล็กๆ ให้ล้มลงได้
“เฮ้ยๆ เธออย่าโลกสวยให้มันมากนักสิ คิดว่ามีผู้ถูกเลือกอยู่แค่กลุ่มเดียวหรือยังไง”
คำพูดของฟัลคอนทำให้ฉันและแจ๊คสับสนมาก
“พวกเราน่ะ เป็นผู้ที่ถูกเลือกโดย ‘ความเชื่อ’ แต่สิ่งที่ตามมาจากความเชื่อก็คือ ‘ความกลัว’ หรือความเข้าใจในเรื่องความเชื่ออย่างผิดๆ นั่นหมายความว่า ยังมีผู้ที่ยังถูกเลือกอยู่อีก เป็นผู้ที่ถูก ‘ความกลัว’ เลือกไว้ยังไงล่ะ”
“เห มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ/ครับ??”
“อย่าเอาแต่พูดพล่ามทำเพลงอยู่เลยดีกว่านะพวก ระวังตัวไว้ด้วย”
ซานต้าชี้ขึ้นไปบนก้อนเมฆก้อนหนึ่ง
ร่างของคนทั้ง 7 คนที่ซ่อนตัวอยู่ในกลีบเมฆ สายตาทั้งสิบสี่กำลังมองลงมาจากเบื้องบน ขนนกสีดำร่วงหล่นลงมาจากท้องนภาสีดำทมิฬ
“ขะ..ขนนก อีกฝ่ายเป็นใครกัน มีปีกด้วยหรือนี่”
ทัซนาเบลหยิบขนนกขึ้นมา เริ่มขมวดคิ้วและจ้องเขม็งขึ้นไปยังเบื้องบน
“นี่นะหรือ ผู้ถูก ‘ความเชื่อ’ เลือก หึๆๆ ดูกระจอกกันซะจริง”
เสียงปริศนาแรก เป็นเสียงของผู้หญิง แต่ดูท่าว่าจะเป็นเสียงของผู้หญิงที่มีอายุไม่มากนัก
“พวกเราไม่ได้มาร้ายหรอกนะ ก็แค่จะมาดูน้ำหน้าของผู้ถูก ’ความเชื่อ’ เลือกเท่านั้นเอง”
“เซราฟ!! นั่นเสียงของเธอใช่มั้ย”
เสียงที่สองที่ทัซนาเบลเรียกว่า เซราฟ เป็นเสียงของผู้หญิง แต่ดูมีอายุมากกว่าเสียงแรกมาก และน่าจะเป็นคนรู้จักของทัซนาเบล
“ยัยสองคนใหม่ ชื่อ ฟ๊โอน่า กับ แจ๊ค สินะ ดูท่าจะไร้ซึ่งพลังกันซะจริง”
“ไหงงั้น เซรงเซราฟอะไร ไม่สนแล้ว แน่จริงลองลงมาลองกันซักตั้งมั้ยล่ะเฮ้ย ไอ้พวกปอดแหก แน่จริงอย่าเอาแต่ซ่อนตัวเด้ ลงมาให้เห็นหน้าหน่อยซิ”
แจ๊คเป็นคนที่เกลียดการโดนดูถูก จึงไม่พอใจอย่างแรงกับสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกกระจอกสั่งหรอกนะ ถ้าฉันลงไป พวกแกทุกคนก็คงไม่รอดหรอก ควรจะขอบใจฉันซะมากกว่านะที่ยังไม่ลงมือ จะปล่อยให้พวกแกฝึกให้เก่งก่อนละกันนะ หึๆๆ”
“บ้าเอ๊ย!!”
แจ๊คกำกิ่งไม้ไว้แน่น และทำท่าทีจะพุ่งเข้าไปหาเสียงที่กำลังพูดดูถูกอยู่ แต่ก็ถูกแขนของทัซนาเบลขวางไว้
“พวกมันพูดถูก เราในตอนนี้คงยังเป็นคู่มือให้พวกมันไม่ได้หรอก อีกอย่าง ชะตายังไม่กำหนดให้เราสู้กับพวกมันในตอนนี้ เพราะอย่างนั้นพวกนั้นจึงยังไม่สามารถลงมือก่อนได้”
“ชะตาอะไรกัน ทำไมต้องทำตามด้วย”
“เฮ้ย แจ๊ค อยากโดนลบให้หายไปจากโลกนี้รึยังไง พวกเราทั้งสิบสี่คนต้องทำตามที่โชคชะตากำหนดไว้ ไม่งั้นไปจากโลกนี้แน่ มีเพียงอย่างเดียวที่โชคชะตาไม่ได้กำหนดไว้ นั่นก็คือ ผลสรุป ยังไงล่ะ”
ซานต้าเข้ามาขวางแจ๊คอีกคนหนึ่ง พวกเราทุกคนได้แต่ยืนดูจนกว่า ‘ความกลัว’ ผ่านพนไป
ท้องฟ้าเปลี่ยนกลับเป็นสีคราม ก้อนเมฆสีดำถูกลมพัดหายไป ลมเริ่มพัดอ่อนลงเรื่อยๆ จนสงบนิ่ง เป็นการบอกให้พวกเรารู้ว่า ช่วงเวลาแห่ง ‘ความกลัว’ ได้หมดลงแล้ว
“พวกเค้าไปกันแล้วสินะคะ สมแล้วนะคะที่ถูก ‘ความกลัว’ เลือก สร้างความกดดันได้มากขนาดนี้”
ฉันนั่งลงกับโขดหินด้วยความรู้สึกโล่งใจเหมือนประมาณว่า รอดตายแล้วเรา แต่ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ พวกเขาจะกลับมากันอีกเมื่อไหร่ และเราจะเอาอะไรไปชนะเขาได้
“เราในตอนนี้คงยังทำอะไรพวกนั้นไม่ได้ งั้น …เรามาฝึกกันเถอะ”
ทัซนาเบลพูดด้วยความมุ่งมั่น และกำมือแน่นไว้ที่หน้าอก
“เริ่มจากเรื่องแรกที่ต้องแก้ไขก่อนเลยล่ะกันนะ การใส่หูฟังในเวลาเผชิญหน้ากับศัตรูคงไม่ใช่เรื่องที่ดีซักเท่าไหร่ ฟีโอน่า เธอต้องมาฝึกกับชั้น ส่วนแจ๊ค ฝากพวกผู้ชายช่วยกันอบรมก็แล้วกัน”
วี้ดด
คุณทัซนาเบลที่พาฉันเข้ามาในป่า ดึงใบไม้มาใบหนึ่ง และเป่าเป็นเสียงเพลง หลังจากเป่าไปไม่นานก็เริ่มได้ยินเสียงพุ่มไม้ขยับ
ฉันแหวกพุ่มไม้เพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พบกับฝูงของกระต่ายหลากสีสัน ทั้งชมพู ส้ม เหลือง น้ำตาล ขาว ฟ้า เขียว แทบจะกลายเป็นสายรุ้งไปเลย
“ถอดหูฟังออกสิ”
ฉันเริ่มที่จะดึงหูฟังออกจากหูทั้งสองข้าง แต่ไม่ทันที่จะพ้นออกจากใบหู เสียงมันก็กระทบกันดังมากจนแทบทนไม่ไหว ถึงกับต้องใส่เข้าไปใหม่อีกครั้ง
ทัซนาเบลดึงมือของฉัน และถอดหูฟังออก
“ควบคุมสิ ลองควบคุมพลังด้วยจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคงดูสิ อย่าใส่ใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว จดจ่อไปกับประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยเฉพาะประสาทด้านการได้ยิน เธอได้ยินอะไร มันพูดว่าอะไรบ้าง”
“อ๊ายยย มะ….มัน ดังเกินไป ไม่ได้ยินอะไรเลย เสียงมันตีกันมั่วไปหมด”
ฉันพยายามเอามือทั้งสองข้างมาปิดหู แต่ก็ถูกทัซนาเบลรั้งไว้ สติของฉันแทบจะหลุดออกจากร่าง ความถี่ของเสียงมันพอที่จะทำให้แก้วแตกได้ แล้วหูของฉันที่บอบบางกว่ามากจะทนไหวได้ยังไง เสียงที่กระทบกันจนฟังไม่เป็นภาษายังคงดังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นเวลาอันแสนยาวนานสำหรับฉัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกัน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน วันหลังค่อยมาฝึกกันใหม่ละกัน ฝึกวันละนิดเดี๋ยวก็ได้เอง ไม่สิ่งมีค่าสิ่งไหนที่ได้มาอย่างง่ายดาย เวลาจะคอยช่วยเยียวยาอาการของเธอเอง”
ทัซนาเบลพาฉันกลับ และพาฉันมาฝึกที่นี่ใหม่ทุกวันๆ จนเวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ จนฉันเริ่มรู้สึกว่าจะทนสภาวะแบบนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ฉันจึงเริ่มฝึกด้วยตัวเองดูบ้าง
ฉันถอดหูฟังออก คราวนี้ฉันเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจขึ้นมาบ้าง เนื่องจากเบื่อที่ต้องมาทนฟังเสียงแบบนี้เต็มทน ฉันตั้งจิตแน่วแน่ ต้องทำให้ได้ในคราวนี้แหละ
เสียงของธรรมชาติ เสียงของสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน นกเค้าแมวที่บินอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดทมิฬกว้างใหญ่ ถาโถมเข้าสู่ใบหูทั้งสองข้างของฉัน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในสภาพแบบนั้นนานแค่ไหน แต่ก็จับใจความได้ว่าเริ่มเช้าแล้ว
ได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงนกร้อง เสียงสัตว์ป่าพูดคุยกัน “เช้านี้กินอะไรดีนะ” “เมื่อคืนฉันถูกล่า เกือบแย่แหนะ” “ลูกนัทนั่นน่ากินจังเลย” “แม่จ๋า หนูหิวแล้วนะ” “วันนี้ไปที่แม่น้ำกัน” เสียงทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำตบตีกันมั่วไปหมด
“มะ….ม่าย ไม่ไหวแล้ว….พอเถอะ มะ….ไม่ไหวแล้ว อะ….อ่า…..”
ฉันเริ่มพูดไม่เป็นภาษา ภาพที่มองเห็นเริ่มกลายเป็นสีขาวทีละนิดๆ ..นี่เราไม่ไหวจริงๆ สินะ เราไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างนั้นหรือ เราถอดหูฟังออกไม่ได้จริงๆ ด้วยสินะ แล้วเราในตอนนี้ทำอะไรได้ เรากำลังทำอะไรอยู่กันนะ เราพยายามไปเพื่ออะไรกัน …นั่นสินะ เรากำลังพยายามอยู่ กำลังพยายามหนีจากโชคชะตาของตนเอง แบบนี้จะโดนลบตัวตนไหมนะ เรากำลัง… เรากำลังพยายามฟังอยู่ พยายามฟังเสียงที่ตีกันจนมั่วไปหมดอยู่ เรากำลัง …พยายาม
“ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาสิ”
มืออันอ่อนนุ่มเริ่มสัมผัสร่างกายฉัน…แต่เอ๊ะ นุ่ม นุ่มเกินไป นุ่มเกินกว่าที่จะเป็นแขนของมนุษย์ ฉันเอามือมาแตะไว้ที่แขนของเจ้าของเสียง แขนที่มีขนดกปุกปุย…ไม่ใช่แขนของสัตว์ที่ไหนไกล แต่เป็นอุ้งเท้าของกระต่ายตัวน้อยที่ถูกเรียกมารวมตัวกัน
ภาพที่เห็นเริ่มปรากฏเป็นแสงและสีที่ต่างกัน ภาพของกระต่ายตัวน้อยแต่จำนวนไม่น้อยกำลังรายล้อมร่างกายของฉันที่นอนราบอยู่กับพื้น
“เธอทำได้แล้วนะ เธอควบคุมการได้ยินได้แล้วนะ ถึงจะใช้เวลาหน่อย แต่ก็คุ้มใช่ม๊า”
บะ…บ้าน่า นี่เราทำได้แล้วหรอ ไม่จริงใช่มั้ย นี่เราควบคุมการฟังได้แล้วอย่างนั้นหรอ ทั้งที่ฝึกมายาวนานจนมีอายุมากถึงขนาดนี้ ทั้งที่ต้องการ ทั้งที่พยายามไขว่คว้า พยายามเอื้อมไปให้ถึงมานานแสนนานจนแทบจำความไม่ได้…ในที่สุด ในที่สุด….เราก็ทำได้ …หรือว่านี่ จะเป็น ‘โชคชะตา’ ของเราที่ถูกกำหนดไว้กันนะ
ฉันแทบจะลุกขึ้นมานั่งไม่ได้ เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงมันหมดไปอย่างกะทันหัน ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก ทั้งโล่งใจ ทั้งคับแค้นใจ และดีใจ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนแทบจะลืมตัวตนที่แท้จริงของตนเอง น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด ฉันกุมมือแน่นไว้ที่หน้าอก ปล่อยให้น้ำตามันไหลต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ไหลผ่านไปชำระล้างจิตใจของฉันทีละนิดๆ
ฉันรู้สึกตัวและลุกขึ้นมานั่งอีกที ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำมืด และมีแสงระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่ตามทิศต่างๆ รอบตัวฉันรายล้อมไปด้วยแปลงดอกไม้ แต่ก็มองไม่เห็นหรอกว่าเป็นดอกอะไรสีอะไรเพราะมันมืดมากแล้ว
ฉันเริ่มมองมาที่ร่างกายของตนเองซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ ทิวทัศน์ที่สวยงามและบรรยากาศที่แสนโรแมนติกนี้มันทำให้ฉันหยุดที่จะยิ้มไม่ได้
“ผะ…ผ้าห่ม…?? ฮิฮิ…ขอบคุณนะคะ คุณทัซนาเบล”
ความคิดเห็น