คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 4th Tale : เสียงร้องไห้ในถ้ำเชิงผา
ฟิลิปวิ่งวนขึ้นมาถึงหน้าผาโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของลูกสมุนที่อายุมากกว่า ถ้ำขนาดเล็กปรากฏเบื้องหน้าเขาอย่างเงียบงัน มันตั้งอยู่ติดกับภูเขาทรงกลมแปลกประหลาดดูคล้ายกับซุ้มประตูที่ทำจากหิน
“นั่นน่ะเหรอ?”กอล์ยถามพลางปาดเหงื่อออก
เสียงลมโหยหวนเป็นเครื่องยืนยันที่ดี ยิ่งเข้าใกล้ปากถ้ำเสียงนั้นยิ่งบาดหูเชือดเฉือนขึ้นเรื่อยคล้ายจะกรีดร้องใส่ผู้บุกรุก กอล์ยแม้จะไม่ขี้ขลาดอย่างสุมนตัวอ้วนก็ยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้
“เราไม่เห็นต้องเข้าไปเลย ยังไงเจ้านั่นก็ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้หรอก”
เขาพยายามเปลี่ยนใจฟิลิปที่ยืนหันหลังอยู่ด้านหน้า จึงไม่เห็นใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายที่นึกขยาดถ้ำที่ให้บรรยากาศสยดสยองนี้อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ติดตามก็ทำให้เขาเริ่มเกิดความรู้สึกพิสูจน์ความมั่นใจของตนเอง
ก็ดี! จะได้แสดงให้เห็นว่าเรากับมันต่างกันยังไง!
“ฉันเป็นแอซไพรส์นะ ปีศาจทำอะไรแอซไพรส์ไม่ได้หรอก!”
กอล์ยยังยืนเก้ๆกังๆไม่กล้าเข้าใกล้ต้นเสียงประหลาด
“แต่นายก็ไม่ใช่พวกเทพเสียหน่อย ....กลับกันเถอะ ถ้ามีปีศาจขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง”กว่าจะรู้ว่าพูดอะไรออกไปฟิลิปก็เดินเข้ามาผลักจนล้มก้นกระแทกพื้นเต็มแรง
“แกนี่มันน่ารำคาญไม่ต่างกับยัยเปี๊ยกนั่นเลยจริงๆ ฉันเป็นแอซไพรซ์! ไม่เหมือนพวกกระจอกๆอย่างแก!”เด็กชายผู้หยิ่งผยองก้มหน้าตวาด ในสายตาของเขาค่าของคนอยู่ที่ตระกูลและเงินทองเท่านั้น ยิ่งถูกคนที่คิดว่าต้อยต่ำกว่าพูดใส่เขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ไม่ใช่เทพงั้นหรือ? จะไม่ใช่เทพได้ยังไง! ฟิลิปโกรธคำปฏิเสธอ้อมๆนั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยง สำหรับเขาที่เกิดมาโดยถูกยกย่องตามใจ การถูกสงสัยสถานะของตนเองถือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด
“คอยดูไปเถอะ!”ฟิลิปเดินปึงปังเข้าไป ทิ้งกอล์ยซึ่งไม่กล้าตามและไม่กล้าหนีเอาไว้ที่พื้น
อากาศภายในถ้ำอึดอัดกว่าข้างนอกมาก กลิ่นหินตะไคร่และฝุ่นแดงปะทะจมูกจนต้องเอาปกเสื้อขึ้นปิด เดินเข้าไปไม่นานก็พบเพียงก้อนหินคล้ายทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงปลาย เสียงปริศนายังคงดังก้องอย่างไม่มีทิศทางจากจุดใดจุดหนึ่งในถ้ำ ดวงตาที่ถูกความโกรธบดบังกวาดมองหาสิ่งที่ตนเองคิดไว้ จินตนาการถึงเวลาที่ได้เอาการผจญภัยในค่ำคืนนี้ไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังรวมถึงได้ชนะพี่ชายโง่ๆของยัยเปี๊ยกก็ทำให้รอยยิ้มน่าเกลียดเกิดขึ้นได้ชั่วครู่
สมน้ำหน้าพวกโง่นั่นจริงๆ
แต่ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากก้อนหินธรรมดาที่ไม่มีลักษณะพิเศษ
“โธ่เอ้ย! เรื่องหลอกเด็กชัดๆ”คุณหนูนิสัยเสียระบายอารมณ์เตะหินก้อนใหญ่ ตะเกียงไฟถูกขว้างลงที่ฐานอย่างไม่สนใจ เมื่อดูดีๆทั้งถ้ำเป็นเพียงผนังหินธรรมดาไม่มีร่องรอยการต่อสู้ สัญลักษณ์เวทมนตร์หรือรอยเลือดอยู่ตามเรื่องเล่าเลยสักนิด
“คอยดูนะ กลับไปฉันจะแฉไอ้พวกขี้ขลาดนั่นให้หมดเลย!”ฟิลิปยังคงโวยวายต่อไปซักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากถ้ำด้วยอารมณ์คุกรุ่น ร่างเล็กก้มตัวไปจะเก็บตะเกียงที่ยังกลิ้งอยู่กับพื้น แสงไฟในโคมแก้มลุกโชนสว่างกว่าเดิม หูหิ้วโลหะอุ่นร้อนจนต้องชักมือกลับ
“โอ้ย! อะไรกันน่ะ?”
เด็กชายพึมพำ พลันรู้สึกถึงลมร้อนๆและกลิ่นฝุ่นแห้งพ่นพรูเหนือศีรษะ มือเล็กรีบปัดมันออกด้วยอารามตกใจและเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ควรจะว่างเปล่า
....กลับได้พบกับพื้นผิวที่คล้ายขนสัตว์ขนาดยักษ์!ศีรษะขนาดยักของแพะสีดำก็ก้มลงมามองร่างที่สั่นเทาเบื้องล่าง ดวงตาสีแดงคุโชนเหมือนถ่าน ปากของมันเผยอขึ้นเผยให้เห็นลูกไฟขนาดใหญ่หมุนวนอยู่ด้านใน
“ปะ...ปะ...ปีศาจ!!!”
ด้านนอกถ้ำกอล์ยได้ยินเสียงลมหวีดหวิวนั้นทวีความดังขึ้นความกับเป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตที่กำลังยินดี...?
จากโพรงขนาดเท่าคนลอดขยายเป็นอุโมงค์ที่ใหญ่คนตัวเล็กๆพอจะยืดตัวเดินได้ เพียงแต่ความสูง173 ซม.ของลอเฟย์เป็นอะไรที่ไม่เข้าข่ายคำว่าเล็กเสียเท่าไหร่
พื้นที่เหยียบแปรเปลี่ยนเป็นหิน เสียงหยดน้ำกระทบพื้นเปียกดังเป็นระยะๆจนร่างโปร่งเปียกปอนไปด้วยน้ำค้าง ยังดีที่ของในกระเป๋ายังพอให้ความอบอุ่นได้บ้าง ดวงตามองไปในความมืดตรงจุดที่มือกำอยู่ แสงสีแดงลอดซอกนิ้วออกมาเรืองๆ
หินกำลังเรืองแสง!
มือเรียวรีบคลายออกจากกันทันที ก้อนหินเปล่งแสงสีทับทิมผ่านเนื้อผ้าสว่างจนพอจะมองเห็นตัวเสื้อและต้นแขนของตัวเองได้ เด็กหนุ่มค่อยๆเอามันออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง แสงสีแดงเรื่อเผยให้เห็นผนังถ้ำเลือนราง อุณหภูมิที่เปลี่ยนจากอุ่นกลายเป็นร้อนได้ซักพักแล้วยังทวีความร้อนขึ้นไปอีก
“อ๊า.....อ้า.....”
เสียงลมโหยหวนที่เป็นเครื่องนำทางดังปลุกเขาจากความประหลาดใจ มันทั้งชัดเจนและลื่นไหลเกินกว่าจะเป็นเสียงของลม วินาทีนั้นลอเฟย์แน่ใจแล้วว่ามันเป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตแน่นอน เขารีบสาวเท้าตรงไปตามทางขรุขระ
ความร้อนที่เหมือนถ่านก้อนแผ่ทาบแผ่นอกภายใต้เสื้อเนื้อหนาที่เป็นเครื่องป้องกันอากาศเย็นชื้นของภาคเหนือ ปลายทางของอุโมงค์ขยายขึ้นเรื่อยๆจนพาเขาออกมาสู่โพรงหินขนาดใหญ่ที่รูกว้างด้านบนเชิญชวนแสงจันทร์ให้ส่องเข้ามา
โพรงนี่คือด้านในของภูเขา...เขารู้ได้ทันทีจากด้านซ้ายที่มีชะง่อนผาเตี้ยๆยืนออกมา คาดว่าด้านบนคงมีโพรงออกไปด้านนอกอีกทาง ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลอเฟย์ไม่ใช่ธรรมชาติอันแปลกประหลาดของถ้ำซ้อนภูเขาลูกนี้
แต่เป็นก้อนหินขนาดเท่าตัวคนที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เมื่อเพ่งมองให้ดีเขาจึงกระจ่างว่ามันไม่ใช่แค่ก้อนหินธรรมดา
‘สิ่งนั้น’
มันขดตัวอยู่ที่พื้นด้วยความทรมาน ซีกหนึ่งของมันเป็นหินในขณะที่ศีรษะเหมือนลูกแพะที่ยังโตไม่เต็มวัยเปล่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของมันเป็นสีดำเลื่อมเหมือนผ้ากำมะหยี่ตัดกับดวงตากลมโตสีแดงสดซึ่งหรี่ลงอย่างอ่อนแรง
“....นี่คืออสูร...?”
ลอเฟย์ก้าวเข้าไปช้าๆอย่างระมัดระวัง แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้เห็น ที่หลังของมันปูดโปนเหมือนมีอะไรทิ่มออกมาจากด้านใน เขากลมหนาทรงก้นหอยถูถลอกไปกับพื้นตามจังหวะการเปิดปากร้อง เมื่ออยู่ในที่โล่งเช่นนี้เสียงของมันเป็นเสียงแหลมสูงของลูกแพะนั่นเอง ดวงตาสีเข้มพินิจรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่ไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็น ขาที่ควรจะมีเพียงสี่กลับมีอีกสองข้างเกยอยู่ด้านหลังและหนึ่งในขาคู่นั้นแข็งเป็นหินหลอมรวมกับส่วนลำตัวไปแล้ว
“เหวอ!”
เขาสะดุ้งถอยหลังเมื่อมันหันมาขู่ใส่ผู้บุกรุก ก่อนศีรษะจะพังพาบลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด สภาพของลูกแพะที่ยังไม่โตเต็มวัยทำให้เด็กหนุ่มลดความกลัวที่มีต่อมันลง
“ชู่ ฉันไม่ทำอะไรหรอก”เด็กหนุ่มปลอบโยน พลางพินิจร่างกายที่ผิดปกติ สันหลังเอียงคดไปข้างหนึ่งคงทำให้กระดูกฝั่งที่ใช้ยันพื้นทิ่มทะลุผิวหนังออกมา ไม่น่าเล่ามันถึงได้เอาศีรษะเกยพื้นไว้แบบนั้น แม้แต่กระดูกที่คอก็คงจะคดหมดแล้วส่วนที่ทิ่มออกมาจากหลังนั้นมีสะเก็ดปกคลุมอยู่ ทั้งยังส่งกลิ่นเน่าจางๆ มันคือกระดูกขาหน้า!
“นิ่งๆนะเจ้าตัวเล็ก”มือเรียวค่อยๆลูบศีรษะที่เปื้อนฝุ่นของมัน ความสยดสยองที่เกิดขึ้นทำให้ลอเฟย์สะเทือนใจ มันต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพังมานานแค่ไหนกัน..?
เสียงในนิทานนั้นเป็นเช่นนี้เอง...มันเพียงแค่เจ็บแผลเท่านั้น
“งี้ด.........”เสียงครางผะแผ่วดังเป็นระยะ มันซบใบหน้าลงกับฝ่ามืออุ่นนุ่ม ยิ่งเห็นเนื้อเน่าที่กำลังกัดกินแผ่นหลังของมันก็รู้ได้เลยว่าเป็นความทรมานที่แสนสาหัส ส่วนที่เป็นหินไม่ได้เกาะอยู่เพียงแค่เปลือก แต่มันกัดกินไปถึงอวัยวะภายใน จนซีกหนึ่งของตัวกลายเป็นเหมือนรูปปั้นหิน
“ฉันจะช่วยแกได้ยังไง.....”รำพึงกับตนเอง ก่อนที่ปลายนิ้วมือจะได้แตะลงบนบาดแผล น้ำเสียงทุ้มที่เขาไม่ลืมเลือนก็ดังขึ้นอย่างอัศจรรย์
“อย่าแตะนะ!”
ร่างสูงใหญ่ประหนึ่งอัศวินกำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างร้อนใจ เขาจับจ้องไปที่มือของลอเฟย์เมื่อเห็นว่าผิวขาวซีดยังปลอดภัยจากพิศร้ายก็ผ่อนลมหายใจลง
“ไนทริค!”เด็กหนุ่มอุทาน นึกอยากขยี้ตาขึ้นมาตอนนั้นเลย
“ว่าไงหนุ่มน้อย” โจรหนุ่มผู้สร้างคดียังอยู่ในผ้าคลุมเดินทางชุดเดินและสัมภาระชิ้นยาวอย่างเดียวที่หลัง เขาย่อตัวลงขยี้ผมสีดำเป็นการทักทาย “เลือดอสูรมีพิษต่อมนุษย์ ถ้าโดนสุ่มสี่สุ่มห้าเจ้าจะตายเอา” “มันไม่รอดแล้วล่ะ”มือกร้านดันมือของเด็กหนุ่มออกไป มองปราดเดียวเขาก็สามารถสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “คงจะตกลงมาจากโพรงข้างบนทั้งที่ยังผนึกไม่เสร็จ ร่างถึงได้กลายเป็นหินแค่ครึ่งเดียว ตกลงมากระแทกพื้นจากความสูงระดับนั้น กระดูกข้างที่ยันตัวคงจะแตกละเอียดจน ในที่สุดผิวหนังก็ฉีกขาด”เพียงแค่จินตนาการตามลอเฟย์ก็กลั้นหายใจราวกับใจหาย
ไนทริคพึมพำภาษาที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนที่ปลายนิ้วจะปรากฏดวงแสงสีฟ้าอ่อนลอยเข้าไปกลางหน้าผากของปีศาจตัวน้อย
“แบ......”ศีรษะใหญ่สีเข้ากับขาของเด็กหนุ่มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะปิดตาลงอย่างสงบ เสียงร้องครั้งสุดท้ายแทรกลึกลงในใจของลอเฟย์ราวกับเป็นคความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยด้วยภาษาใด
แม่.......? ลูกปีศาจตัวนี้ร้องหาแม่มาตลอด....
“เจ้าตกใจหรือ?”ไนทริคจับหน้าของอีกฝ่ายที่ยังดูตระหนกอยู่ มือเรียวแตะที่แก้มของตนเองจนไปถึงขอบตาล่าง “เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นชีวิตหนึ่งตายลงตรงหน้า”เขายอมรับแต่โดยดี แม้ว่าจริงๆแล้วตนจะไม่ได้ร้องไห้ก็เถอะ
"ข้าไม่ล้อเจ้าหรอกน่า...”
“ผมก็ไม่ได้ร้องนี่....”ลอเฟย์ลูบใบหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อยยิ่งทำให้หน้าเลอะโคลนมากกว่าเดิม
“เฮ้ยๆ เละไปหมดแล้วไปคลุกขี้ดินที่ไหนมาเนี่ย?”ร่างสูงย่นจมูกด้วยท่าทีรังเกียจ ทั้งที่จริงๆแล้วไนทริคเองก็มอมแมมไม่ได้ต่างกันนัก ถึงลอเฟย์จะทั้งมอมแมมและเฉอะแฉะด้วยก็ตาม
“เรื่องมันยาวครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงขุ่นกับจุดเริ่มต้นของเรื่อง มองดูเสื้อของตนที่ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วกับคู่กรณีที่รู้วีรกรรมของตนดีจึงหัวเราะแห้งๆ
“ข้าคิดว่าจะโดนเจ้าสวดซะแล้ว”ไนทริคยิ้มกว้างประหนึ่งชินชาต่อการถูกเทศนา คิดไม่ถึงว่าลอเฟย์เพียงแค่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆที่มากับคำหยอกล้อ
“ผมก็อยากทำเหมือนกัน แต่ขอต่อยคุณซักทีได้ไหม?”
“โอ้ ตามสบายเลย อันที่จริ....อ๊าวววววววซ์!!”
หมัดลุ่นๆเสยเข้าเต็มคางจนใบหน้าสุดหล่อมัดใจสาวถึงกับกระเด็น! แม้ว่าร่างกายจะไม่สูงใหญ่กำยำแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กหนุ่มวัยกำลังโตคนหนึ่ง เล่นเอาไนทริคหน้าหงายไม่ทันเห็นสีหน้าของลอเฟย์ที่แสยะยิ้มมุมปากอย่างสะใจ
“นี่ต่อยจริงๆนะเนี่ย!”ผู้เสียหายกุมแก้มด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตา
“ก็จริงน่ะสิครับ”
เขารับคำหน้านิ่งขณะลูบสันมือที่ใช้ทำร้ายไนทริคไปหมาดๆ ...อูยเจ็บชะมัด คางทำด้วยอะไรนะแข็งอย่างกับหิน... พอเห็นผู้ชายตัวใหญ่ทำท่าตกใจเหมือนเด็กเห็นอาหารที่ไม่ชอบก็อดขำออกมาดังๆไม่ได้เพราะมันดูน่าตลกและน่าสมเพชพอๆกันเลย
“เอาเถอะ เจ้าอารมณ์ดีขึ้นข้าก็สบายใจแล้ว”
“คุณเองก็เหมือนกัน เมื่อกี้คุณเงียบไปเลยนี่”โจรหนุ่มไม่หยอกล้อกลับเช่นเคย ใบหน้าอ่อนโยนยิ้มบางๆ ดวงตาแสดงความเสียใจที่มีต่อลูกอสูรตัวนั้นอย่างแท้จริง
“ต่อหน้าชีวิตที่กำลังจะเสียไป ไม่ว่าใครก็ควรจะอาลัยมิใช่หรือ?”
ในตอนนั้นลอเฟย์รู้สึกว่าไนทริคช่างดูไม่เหมือนมนุษย์....? ขณะเดียวกันร่างสูงก็พินิจดวงตาสีน้ำเงินเข้มแปลกประหลาด มันคงจะเป็นสีที่งดงามที่สุดหากไม่มีสีท้องฟ้าของ ‘ท่านผู้นั้น’
ไม่ทันที่ความคิดจะได้เตลิดไปไกลเสียงกรีดร้องดังก้องสะท้อนไปมาจากด้านบนของโพรงภูเขา
“ว๊ากกกกกก!”
ทั้งสองได้สติหันไปมองที่ชะง่อนผาทันที เงาอะไรบางอย่างขยับไหวไปมาตามด้วยเสียงร้องอย่างแตกตื่นอีกหลายครั้ง
“ฟิลิป!”
เป็นเสียงของคุณหนูพัลแกนไม่ผิดแน่ เปลวไฟสีแดงสว่างเรืองอาบรูโพรงด้านบนแผดเผาฝุ่นหินเม็ดเล็กเม็ดน้อยร่วงลงมาตามแรงสั่นสะเทือน ที่แท้อุโมงค์ที่ลอเฟย์เดินลอดมาคือทางเชื่อมต่อส่วนฐานภูเขาและถ้ำเชิงผานั้นอยู่ที่ส่วนยอดของมันนั่นเอง
ไม่ทันคิดเลยว่ามีลูก...ก็ย่อมมีแม่ และเป็นแม่ที่กำลังบ้าคลั่งเสียด้วย!
“ผมต้องขึ้นไป!”เด็กหนุ่มพลิกตัววิ่งเต็มฝีเท้ากลับไปทางอุโมงค์เดิม หากไนทริคไวกว่าอาศัยแรงดึงคนที่กำลังร้อนใจกลับมาข้างกาย
“ไม่ทันหรอก กว่าจะอ้อมขึ้นไปเจ้านั่นคงหลุดออกไปแล้ว”เขาเงยหน้ามองแสงสีแดงของเปลวอัคคีที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและประเมิณความเร็วของคู่ต่อสู้ไปด้วย
“มีเด็กอยู่บนนั้น!”ลอเฟย์บอกข้อเท็จจริงที่ไม่ทำให้บุรุษลึกลับร้อนรนขึ้นสักนิด เขาเอียงศีรษะอย่างเบื่อหน่าย “ข้ารู้น่ะ ...คงเป็นเด็กเหลือขอไม่น้อยเลย”เดาจากเรื่องโง่ๆที่เกิดขึ้นท่าทางจะเซี้ยวไม่ใช่เล่น มือหยาบกระชับต้นแขนของลอเฟย์แน่น
“เจ้าจับแน่นๆล่ะ อย่าตก”แขนเรียวสองข้างถูกวางพาดเกี่ยวบนไหล่หนาคล้ายท่ากอดของเจ้าสาว ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ลอเฟย์ยังต้องอ้าปากประท้วง
“เอ่อ.....”
“น่า เห็นแบบนี้ข้าก็อาบน้ำนะ!”ถึงจะไม่ใช่ประเด็นที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ แต่ไนทริคก็ไม่ใส่ใจ ใช้แขนแกร่งดึงอีกร่างหนึ่งเข้าหาตัว
“ออกเดินทาง!”
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยถามอะไรต่อ ทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างฉับไว สายลมเย็นพัดโถมปะทะจากด้านบนราวกับฝ่ามือยักษ์กดลงมาใส่ ภาพที่ปลายเท้าของเขาห่างพื้นขึ้นเรื่อยๆแถมยังเอียงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว!
“เหวอ!”
“ฮ่าฮ่าๆ”เสียงทุ้มหัวเราะชอบใจเมื่อร่างโปร่งเตะขาไปมาในอากาศ ไนทริคแขนให้แน่นกว่าเดิมพลางถีบตัวพาผู้โดยสารไปยังผนังถ้ำที่สูงขึ้นราวกับใช้เวทมนตร์ สายลมเย็นของยามค่ำคืนพัดพรูจากเบื้องล่าง ลอเฟย์หลับตาปี๋จนรู้สึกถึงแสงสว่างนวลตาอาบไล้ใบหน้าของตน พระจันทร์ดวงโตสีเงินส่องแสงผ่านช่องโหว่ของเพดานหิน ดูใหญ่ราวกับจะคว้าไว้ได้ด้วยมือ
ในเวลาไม่กี่อึดใจไนทริคก็แตะเท้าลงบนพื้น เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทก้มลงมอจุดที่เพิ่งยืนเมื่อครู่จากโพรงด้านบน ก้อนหินที่เคยเป็นอสูรเหลือเพียงจุดเล็กๆแสดงถึงความสูงของโพรงนี้ได้เป็นอย่างดี
“คะ..คะ..คุณทำได้ยังไง?” เพียงพริบตาเดียวเขาก็ขึ้นมายืนอยู่บนชะง่อนหินที่ห่างกันเกือบสามร้อยเมตร!
“ลอเฟย์”
คนถูกถามไม่ตอบ แต่สะกิดให้มองสภาพรอบด้าน ผนังหินชื้นมีร้อยไหม้ขนาดใหญ่กินพื้นที่ทั้งสี่ด้านตั้งแต่ผนังถ้ำจรดพื้นถึงเพดานราวกับระเบิดถูกอัดในห้องแคบ พื้นหินระอุด้วยความบางๆและความร้อนที่ยังไม่สลายตัว ไม่เหลือหยุดน้ำหรือความชื้นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
“....มันออกไปแล้ว!”
ทั้งคู่เร่งฝีเท้าวิ่งไปที่ปากถ้ำ ภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไปด้วยแสงสีเงินปรากฏร่างสัตว์ขนาดใหญ่กระโดดจากยอดเขาหนึ่งสู่อีกยอดราวกับแพะ กีบทั้งหกของมันลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ รวมทั้งเขาโค้งใหญ่ทรงก้นหอยเปล่งแสงเรืองๆเหมือนถ่านไฟกำลังพุ่งลงไปทางเมือง
“เกรซ!!”ลอเฟย์อุทาน สีหน้าของเปลี่ยนไปจากตกใจเป็นตื่นตระหนกเต็มขั้น เกรซอาจจะยังอยู่ที่ชายป่า! ไนทริคสาวเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มที่ตัวแข็งด้วยความตื่นตะลึง ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มเช่นเดิม ทว่าสายตาคู่นั้นส่องประกายจริงจังไม่ล้อเล่น
“เจ้าวิ่งเร็วแค่ไหน?”
ลอเฟย์สะดุ้งหันไปมองคนข้างๆที่แม้ว่าจะดูไม่เคร่งเครียดนัก แต่น้ำทุ้มหนักแน่นขึ้น
“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยลอง”เจ้าของชื่อตอบลวกๆอย่างร้อนใจ
“งั้นมาวิ่งแข่งกัน เป็นการแข่งที่ต้องจริงจังสุดๆไปเลย”ไนทริคไม่รอคำตอบ ออกวิ่งเต็มฝีเท้าไปตามทิศที่เปลวไฟลุกโชน เด็กหนุ่มถีบเท้าตามไปติดๆด้วยความเร็วสุดชีวิตของตนโดยลืมอาการป่วยเรื้อรังไปสนิทใจ
--------------------------------
มีนักอ่านใหม่ตามอยู่มั้ยคะ? อยากรู้จริงๆนะ เพราะเนื้อเรื่องครึ่งหลังก็ยังตันๆ ถึงจะอยากเข็นให้มันรอดก็เถอะ
จะได้เอาเวลามาแก้ครึ่งแรกให้จบไปทีเดียวซะเลย 55555 (แล้วข้างหลังล่าาาาาา)
ความคิดเห็น