ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #51 : 48th Tale : วันหนึ่งของปารีส + ประตูแห่งวาเนอร์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 74
      2
      20 ธ.ค. 58

                   

    มาครบแล้วจ้ะ

    --------------------


         ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่มันจะเปิดออกโดยไม่รอคำตอบจากเจ้าของห้อง ใบหน้าที่ปรากฏด้านหลังแผ่นไม้สีขาวสร้างความประหลาดใจให้แก่แอซไพรส์จากโอลิมปัสจนต้องอ้าปาก

                   “อลิซา?” วินาทีแรกเขาแทบจะจำเธอไม่ได้ ภาพที่ถูกกระชากขึ้นจากความทรงจำคือใบหน้าเกรี้ยวกราดและแววตาดุดัน ในวันนี้อลิซา วิเวนเดลสวมเครื่องแบบร้อยโทที่บรรเทาความน่ากลัวลงไปได้หลายส่วน เจ้าของชื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำเรียกที่ดูสนิทสนมเกินความจำเป็น ร่างอรชรที่แสนยั่วตานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง

    “ตื่นแล้วเหรอ สปาเลโตส?”หล่อนทัก ไม่คล้ายต้องการคำตอบ          

    “อะ อือ.....”ปารีสยกแขนขึ้นหมายจะเกาหลังศีรษะแก้ประหม่า ทว่าความเจ็บปวดที่แล่นปราดผ่านไปทำให้เขางอตัว “....อูย”

                   “มัน....เจ็บมากหรือเปล่า?”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก็พบกับสีหน้าปั้นยากของผู้มาเยือน เขาจึงฉีกยิ้ม “ไม่มากหรอก สบายจะตายไป ฮ่าๆๆ”แม้ว่าสภาพที่แทบจะถูกปกคลุมด้วยผ้าพันแผลจนขาวโพลนจะไม่ดูเป็นเช่นนั้นเลยก็ตาม

                   “....งั้นเหรอ”วิเวนเดลเหลือบมองผลงานของตนเองพลางถอนหายใจที่ได้รับรู้ บรรยากาศในห้องที่สว่างด้วยแสงแดดยามบ่ายกลับอึมครึมอย่างไม่มีสาเหตุ ที่นี่ไม่ใช่สนามประลอง แต่ปารีสกลับไม่สามารถต่อกรกับหญิงสาวตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย เขาได้แต่เหงื่อแตกพลั่กอยู่ในใจ

                   “แน่นอน! หมอบอกว่าฉันหลับไปสามวัน แต่ว่าก่อนหน้านั้นฉันอดนอนมาเป็นอาทิตย์ก็เลย...นั่นล่ะ”เขายกมือยกไม้ต่อหน้าอดีตคู่ประลองที่ยังคงนิ่งสนิท “ฉันทนเสียงบ่นของมัวเธร์ไม่ได้ เลยแวะมาดูอาการนาย” โถ่แม่คุณ.....จะช่วยพูดกรุณาพูดให้มันดูเป็นห่วงเป็นใยกว่านี้ไม่ได้หรือครับ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งในอกของปารีส

                   “แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันรู้สึกอยากขอบคุณนาย”

                   เอ๋? “เอ่อ....นั่นหมายความว่ายังไงเหรอครับท่าน?”

                   มันไม่ใช่การประลองที่น่าจดจำเป็นพิเศษหรือมีความหมายอะไรนัก ทว่า...เด็กหนุ่มก็เตือนให้หล่อนนึกถึงความรู้สึกของการต่อสู้ที่เป็นความมุ่งมั่นจากใจจริงที่จะก้าวผ่านอุปสรรคด้วยพลังของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยความจำเป็น ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ แต่เป็นการพุ่งทะยานไปของจิตวิญญาณนักสู้ที่ถูกบั่นทอนด้วยความโหดร้ายของชีวิตจริง

                   เป็นความบ้าระห่ำที่ทำให้นึกถึงวันคืนในอดีตที่ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยพลังของตนเอง แต่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนต้องพูดนี่นา?

                   “เท่านี้ล่ะ”ร้อยโทสาวตัดบท หล่อนลุกขึ้นพลางวางดอกไม้ช่อขนาดพอดีมือที่ถือมาเอาไว้ข้างแจกันที่มีดอกไม้สีสดประดับอยู่ก่อนแล้วโดยไม่สนใจใบหน้าเลิกลั่กของปารีส

                   “ดอกไม้นั่นก็ของเธองั้นเหรอ? ขอบใจนะ”เจ้าของดาบยักษ์ชะเง้อไปที่สีสันสดใสของมันที่ชวนให้นึกถึงสีผมของใครบางคน ร่างบางหันกลับมามองอย่างงุนงง “เปล่า ฉันพึ่งมาเยี่ยมนายวันนี้เพราะได้ยินว่านายตื่นแล้ว”

                   “งั้นเหรอ......” ใครกันนะ? เจ้าไรซ์ก็ดูไม่เข้ากับอะไรพวกนี้ด้วยสิ เขาคิดอย่างเรื่อยเปื่อยขณะฟังเสียงประตูปิดลง ปารีสยืดตัวขจัดความเมื่อยล้าที่เรียกอาการเจ็บแปลบๆมาแทน ดูเหมือนว่าสามวันที่เขานอนหลับไปนั้น เจ้าเพื่อนรักจะพาสมาชิกในหน่วยอีกสองคนวิ่งไปทำภารกิจแข่งกับเวลาของตนเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ้านั่นไปไม่ลาเลยแฮะ….

                   ก๊อกๆๆ

                   “อลิซาเหรอ? เธอลืมอะไรหรือไง?”

    ทว่าคราวนี้บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้ปารีสอย่างแท้จริง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบางๆชวนให้น่าทักทายเหมาะกับทรงผมสั้นชี้โด่เด่และเสื้อผ้าลำลองที่แทบไม่ได้เห็นในเขตทหาร ....เพียงแค่ว่าเด็กหนุ่มไม่รู้จักชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย

    “สวัสดี ปารีสสินะ”ชายปริศนาเอ่ยขึ้น เจ้าของชื่อพยักหน้าช้าๆขณะมองตามผู้มาเยือนที่เดินเข้ามาอย่างสบายอารมณ์และทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับอลิซา ขนาดร่างกายที่ใหญ่โตแทบทำให้มันดูเล็กกระจ้อยร่อยไปทันที “เอานี่ของเยี่ยมไข้! ฉันพกมาหลายอย่าง แต่ขวดนี้จัดว่าเด็ดที่สุดในคอลเลคชั่น”เขาจัดแจงหยิบสัมภาระออกจากกระเป๋าก่อนที่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยของฝากด้วยความกระตือรือร้น

    “อะ เอ่อ.....เรารู้จักกันเหรอพี่ชาย?”เขากระพริบตา แม้จะไม่ใช่คนฉลาดมากนักแต่ก็มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศ ไม่มีทางที่ปารีสจะลืมหน้าคนรู้จักง่ายๆแน่นอน ฝ่ายตรงข้ามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “นั่นสินะ! เผอิญว่าฉันเข้ากับคนอื่นง่ายไปหน่อยน่ะ หลายๆทีมันก็เลยลืมแนะนำตัวไปเลย”

    ทำไมถึงรู้สึกว่าคนๆนี้มีอะไรบางอย่างคล้ายกับเราอยู่นะ....? ปารีสแอบเหงื่อตกในใจ “จะว่ารู้จักก็ไม่เชิงแฮะ แต่ถือว่าเคยเจอกันอยู่ครั้งหนึ่ง....”เขาก้มลงเท้าแขนกับหน้าขาของตน เผยให้เห็นดวงตาสีเทาที่ผสมผสานประกายหลากหลายแบบ “ฉันมาตามนัดที่ให้ไว้กับเจ้านั่น” เด็กหนุ่มมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปอีกมุมหนึ่งของเตียง ที่ซึ่งถ้วยเหล้าบุบบี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยว

     “ฉันชื่อไนทริค ลูเฮมไฮม์ เดอ อีเซอร์ เป็นคนโยนแก้วใบนี้ให้กับนาย”

    ปารีสเบิกตากว้าง ขณะที่เขารีบหันกลับมายังผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด แสงแดดจากหน้าต่างก็ส่องกระทบขอบร่างของชายหนุ่ม ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเจิดจ้าจนต้องหรี่ตา

    “คะ คะ คุณคือทวิเทพ!

    “ฝั่งขวาด้วยนะ เผื่อจะไม่รู้”ชายหนุ่มชูสองนิ้วให้กับคนป่วยที่กลายร่างเป็นก้อนหิน หากว่าปารีสมีตาทิพย์ก็คงจะมองเห็นไปถึงสองในสี่ขุนพลทรงเครื่องแบบเต็มยศที่ยืนขนาบข้างประตูห้องด้านนอกอย่างเงียบเชียบ พลตรีฮาเกนกอดอกสบายใจเฉิบเมื่อเสียงแหกปากดังลั่นลอดออกมา เขาแทบจะไม่ต้องเงี่ยหูฟังก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในห้องได้อย่างแจ่มแจ้งจนแทบกลั้นขำไม่อยู่

    “นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”ปารีสใช้มือที่พันผ้ากอซจนแทบมิดดึงแก้มตัวเองทั้งน้ำตาไหลพราก

    “เอ้า ดื่มซะหน่อยจะได้สดชื่น”ไนทริครินเครื่องดื่มที่ยังคงเป็นปริศนาใส่ถ้วยที่แสนยับเยินด้วยฝีมือของตน แล้วยื่นให้คนฝั่งตรงข้ามที่รับไปด้วยสีหน้าตื้นตันอย่างกับหมาตัวใหญ่

    “ขอบพระคุณครับท่าน”ตามด้วยเสียงสูดน้ำมูกดังฟืด “ผมจะไม่มีทางลืมวันนี้เลย! วันที่ได้ดื่มเหล้าจากมือทวิเทพ”เด็กหนุ่มก้มมองถ้วยเหล้าในมือแล้วเงยหน้าขึ้น ความรู้สึกอบอุ่นที่พรั่งพรูจากเบื้องลึกของจิตใจนักสู้กลั่นกรองผ่านดวงตาที่จ้องตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่ารอบตาจะแดงก่ำและยังคงมีน้ำตาซึมหมาดๆก็ตาม

    “แหม........”ไนทริคยิ้มแหยๆ อันที่จริงไม่ใช่แค่เหล้าหรอกนะ แก้วเหล้าก็เป็นของเสนาบดีด้วย เขาเหงื่อตกเบาๆ สงสัยจะต้องเก็บไว้เป็นความลับไปตลอดกาลแฮะ.....แต่ว่ายังทำสีหน้าเข้มแข็ง แม้ว่าตัวเองจะร้องไห้ขี้มูกโป่งขนาดนี้น่ะหรือ? ทวิเทพยิ้มบางๆกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอขณะที่ยกแก้วของตนเองขึ้น

    “ดูเหมือนว่า....ข้าจะเลือกคนถูกจริงๆนะ”เขากล่าวเบาๆ

    “ครับท่าน?”

    “ที่ควรพูดฉันก็พูดไปในวันนั้นแล้ว พยายามได้ดีมาก ร้อยตรีสปาเลโตส”เขาวางแก้วลงและฉีกยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ “ทำไมไม่ลองมาเป็นลูกศิษย์ของฉันดูล่ะ?”

    “เอออออออออออออออออออออออออออออออ๋!!!!!!!!!!!!!

    “อุ๊บ.......!”ฮาเกนหลุดขำจนตัวงอ ก่อนจะได้ยินเสียงเอ๋ เอ๋ เอ๋ เอ๋ตามมาจากในห้องอีกหลายที

    “ฮ่าๆๆๆๆ ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่าต้องเป็นแบบนี้”ไนทริคหัวเราะร่วนกับท่าทีที่เป็นไปในทางตรงขามกันสุดกู่ของแอซไพรส์รุ่นเยาว์

    “ทะ ทำไมถึงเป็นกระผมล่ะครับท่าน?”เขาเค้นเสียงแต่ละคำออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น ในสมองเหมือนมีซีซาร์วิ่งพล่านไปทั่วจนไฟลุกไหม้แทบละลายออกมาทางรูหู

    “อืมทำไมน่ะเหรอ...? ถูกชะตาล่ะมั้ง? ฉันเองเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”เขาปรายตาไปยังดาบเล่มโตที่วางพิงอยู่ในมุมหลบแสงของห้อง “ดูยังไงพวกเราก็เป็นสายบ้าพลังเหมือนกัน ตอนที่นายหวดเวทมนตร์ของคู่ประลองกลับไปด้วยมือเปล่าน่ะ ฉันมั่นใจขึ้นมาเลยว่านายจะต้องเป็นลูกศิษย์ของคนอย่างฉันได้แน่ๆ”ก็ขนาดซิกกันยังพูดออกมาเลยนี่นะว่าไม่นึกว่าจะมีคนบ้าพลังขนาดนี้อยู่อีก

    “เดี๋ยวก่อนสิครับ! นั่นมันเป็นการกระทำที่สิ้นคิดที่สุดในชีวิตของผมเลยนะ อีกอย่างในหน่วย 14 ก็มีคนเก่งๆทั้งนั้นเลย แต่กลับมาเลือกคนแพ้อย่างผม....”

    “ก็จริงนะ ถ้าเทียบกัน นายจัดว่าห่วย”อีกฝ่ายตอบกลับโดยไม่รอให้จบประโยคด้วยซ้ำ

    จะ จะ เจ็บ!! พี่ท่านอย่าพูดไปยิ้มไปแบบนั้นสิครับ!

    “ถ้าจะพูดถึงคนที่ดูมีอนาคตที่สุดก็คงเป็นคนที่ใช้เกราะสีน้ำเงินล่ะมั้ง?”....แต่กระนั้นก็เป็นอนาคตที่ดูยากลำบากกว่าใครเช่นกัน “แต่เป็นคนที่ดูยากไปหน่อยนะ ฉันไม่ค่อยถูกโฉลกกับการดูคนซะด้วยสิ”

    “หมอนั่นเป็นเพื่อนซี้ของผมเองครับ! ถึงจะดูเอ่อ...ติ๋มๆไปบ้างแล้วก็กวนประสาทอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเขาก็เป็นคนดีจริงๆ”ปารีสกระเถิบตัวมาข้างหน้า สีหน้าของเขาเป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก

    “โฮ้ อย่างนั้นเหรอ?”ทวิเทพเท้าคาง

    “ลอเฟย์น่ะฉลาดมาก จำอะไรต่อมิอะไรได้เยอะแยะไปหมด แถมยังฟันดาบเก่งสุดๆเลยนะครับ หมายถึงแบบว่าฟันเป็นท่าจริงๆน่ะ!

    “ดูท่าพวกนายคงสนิทกันมากเลยสินะ”รอยยิ้มบางๆเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือที่ปิดข้างแก้มเอาไว้ ไนทริคมองดูประกายในดวงตาที่ยังคงมีเค้าของความเยาว์วัย อือ....อันที่จริงก็คงไม่ต้องถามหรอกมั้ง ในเมื่อสีหน้าของนายมันแสดงคำตอบออกมาหมดแล้วนี่นะ ขณะที่เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดจมูกคล้ายๆประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มกว้างออกมา

    “พวกเราเป็นคู่หูกันนี่นา!

    เจ้าได้เพื่อนที่ดีนี่นา...ลอเฟย์ ถึงจะน่าเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยที่หายไปจากที่ๆจัดไว้ให้ก็เถอะ แต่วินาทีที่เห็น ชายคนนั้น อยู่ฝั่งเดียวกับเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเส้นทางในอนาคตของเจ้าจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจคาดฝันได้เลยและยังเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะยับยั้งได้ ถ้าเขาลองสนใจใครเข้าแล้วล่ะก็ แม้แต่เทพนักรบอย่างเขาก็สอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้แน่ๆ เรื่องของนักปราชญ์ก็ควรปล่อยให้นักปราชญ์ด้วยกันจัดการล่ะมั้ง?

     แต่อย่างน้อยเจ้าก็ได้พบคนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันแล้วล่ะนะ เขาถอนหายใจด้วยความปลอดโปร่ง

    “...ฝีมือของนายน่ะ ยังไม่ถึงขั้นของเพื่อนๆก็จริง แต่ว่านายก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่ามันจำเป็นมากกว่าสิ่งไหนๆ”ดวงตาสีเทามองดูร่องรอยจากการประลองที่ยังคงเด่นชัด แล้วเลื่อนไปยังสีหน้างุนงงของปารีส “ความตั้งใจที่ไม่ท้อถอยและความมุ่งมั่นที่จะเสียสละและปกป้องคนอื่นๆนั่นแหล่ะคือแก่นแท้ที่ทำให้คนเรามีความเข้มแข็ง”

    ภาพที่เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงสู่พื้นสนามเป็นสัญญาณสุดท้ายที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกอีกฝ่าย “เหนือสิ่งอื่นใด...เจ้ามีจิตใจที่ไม่ยึดติดในความแข็งแกร่ง มันเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่อาจทำได้”สีหน้าที่ปลดความกังวลใจขึ้นสู่ท้องฟ้าในวันนั้น ซ้อนทับกับใบหน้ายู่ยี่ที่อยู่ไม่ห่างไป ไนทริคหัวเราะกับท่าทางที่พยายามกลั้นสะอึกไว้เต็มที่

    “อะไรกันหน้าย่นไปหมดแล้ว คำตอบของฉันล่ะ?”

    “ตะ ตกลงครับ!”ปารีสเบะริมฝีปากที่ย้อยต่ำจนคงมู่ทู่ นี่แหล่ะ วันนี้แหล่ะที่เขาร้องไห้ซาบซึ้งใจอย่างลูกผู้ชายที่แท้จริง ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นซดรวดเดียวหมด “ผมจะพยายามให้เหนือกว่าคนที่เก่งที่สุดในหน่วยให้ได้! ไม่สิต้องเหนือกว่ายอดขุนพลของลัสท์เทรลเลย!

                   “คนไหนกันล่ะนั่น?”ไนทริคหัวเราะร่วน แหม....ไม่แน่ใจว่ายอดขุนพลที่ยืนอยู่ข้างนอกจะเก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจังหรือเปล่านะ? ถ้าซิกกันอยู่ล่ะก็สงสัยจะมีการรับน้องแน่ๆ กระนั้นถึงพันเอกฟรอลิทจะไม่อยู่ พลตรีวิทป์ก็ได้หันไปเล่นพนันกับเพื่อร่วมสถานะเรียบร้อยแล้ว

                   “อ่า...มันอาจจะฟังดูประหลาด แต่คนๆนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์เวทมนตร์น่ะครับ เป็นผู้ดูแลหน่วยของพวกเราแล้วก็เป็นคนสอนวิชาต่างๆให้พวกผมด้วย ชื่อของเขาคือยูลิสทา วาอินนาคนที่ผมยาวๆสีทองน่ะ”เด็กหนุ่มเล่าอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่ทวิเทพฝ่ายขวาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มประดับมุมปาก ดวงตาสีเทาเป็นประกายที่ยากจะหยั่ง

                   “เป็นชื่อที่ดูเข้ากับเขาดีไม่ใช่เหรอ?”

                   “นั่นเพราะเจ้าบ้านั่นมันหล่อซะขนาดนั้นน่ะสิ! ถึงจะน่าเจ็บใจก็เถอะแต่มันเป็นแอซไพรส์ที่เกิดมาสมบูรณ์แบบอย่างกับสวรรค์สร้างเลยทีเดียว แต่นิสัยกลับตรงกันข้ามสิ้นดีแถมยังหน้าม่อด้วยนะผมจะบอกให้!

                    นะ....หน้าม่อ?

                   “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ!!”ไนทริคระเบิดเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่โดยไม่เกรงใจผู้ป่วยห้องไหนๆทั้งสิ้น มันดังลั่นจนแทบจะกลเสียงอื่นจนมิดเลยทีเดียว ชาวหนุ่มปาดน้ำตาด้วยความยากลำบาก เมื่อนึกถึงคำวิจารณ์ที่ลูกศิษย์หมาดๆของเขายื่นให้คนที่ไม่อยู่ตรงนี้ก็หยุดขำไม่ได้

                   “อะ...เอ่อ...คือ?”ปารีสอยากจะขัดจังหวะ ดูเหมือนว่าภาพพจน์บางอย่างที่น่าเลื่อมใสของเทพนักรบในอุดมคติของเขาจะมลายหายไปแล้ว

                   “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ ยังไงก็อย่าลืมไปบอกเจ้าตัวแบบนั้นด้วยล่ะ”อยากรู้จริงๆว่าจะทำหน้าแบบไหน

                   “เคยบอกไปแล้วครับ”

                   “งั้นเหรอๆ”ร่างสูงยังคงยิ้มกว้างจนตาตี่ เขาวางมือหยาบกร้านลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเฉดเดียวกับตนแล้วขยี้ให้สบายมือ เป็นเรี่ยวแรงที่ทำเอาหัวของปารีสหมุนโคลงไปเลย

                   “เล่าเรื่องของนายมาอีกเยอะๆสิ ให้ฉันได้รู้จักลูกศิษย์คนแรกของตัวเองดีขึ้นสักหน่อย”

                   “....ท่านแม่ทัพ”

                   “เอ้า เรียกอาจารย์สิเจ้าเด็กนี่!

                   “ครับ! อาจารย์!”ปารีสยกมือขึ้นทำความเคารพอย่างแข็งขัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ตนอยากพูด“จะว่าไปเหล้านี่อร่อยมากๆเลยครับ ผมไม่เคยดื่มมาก่อนเลย”

                   “ถ้านายชอบก็ดีแล้วล่ะ เป็นของท้องถิ่นที่มาจากเมืองเล็กๆทางเหนือของมิดการ์ดน่ะ”ไนทริคคะยั้นคะยอเติมเหล้าให้อีกฝ่าย “ฉันตั้งใจเอามาเลยนะ”

    เพราะว่าการได้รู้รสเหล้าของบ้านเกิดสหายรักน่ะ เป็นภารกิจอย่างหนึ่งของลูกผู้ชาย แต่คงยังไม่ถึงเวลาบอกกระมัง? ข้าเองก็ยังไม่ได้เจอเจ้าสักครั้งเลยนี่นะ ลอเฟย์ เขาคิดพลางจิบสุราที่ได้มาจากบาร์ในฟอร์ลีเมื่อครึ่งปีก่อน.....รีบๆมาหาข้าล่ะเจ้าเด็กน้อย

     “ดีล่ะ! นายอยู่คนเดียวคงเบื่อสินะ งั้นวันนี้ฉันจะอุทิศให้กับการสนทนาของเราก็แล้วกัน เอ้าชน!

    หารู้ไม่ว่าหลังจากได้ยินประโยคนั้นฮาเกนก็ต้องส่งข้อความไปบอกเลขานุการส่วนตัวของท่านแม่ทัพแห่งกองทัพภาคนภาให้ยุบภารกิจทั้งหมดในตารางงานของวันนั้นพร้อมด้วยเสียงโวยวายที่ขู่ว่าจะเพิ่มงานมากขึ้นสองเท่าในวันรุ่งขึ้น

     

    ..................................

     

    “ฮัดเช่ย!”เสียงจามสั้นๆดังขัดจังหวะความเงียบที่กดดันการทำงานของเจ้าของสถานที่ อัลเธียหันไปมองเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาที่ถูกประกอบขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความสวยงามด้วยสีหน้ากึ่งรำคาญ

    “จะมาเป็นหวัดตอนนี้ก็ช้าไปแล้วพันตรีวาอินนา”

    “นั่นปากหรือน่ะ?”ปลายสายถามกลับด้วยน้ำเสียงลื่นไหลทว่าตัวจริงดูหงุดหงิดอยู่ไม่ใช่น้อย สงสัยจะมีใครนินทาหรือเปล่านะ? “เจออะไรมีประโยชน์บ้างไหมท่านหญิง?”

    “พูดว่าเจอปัญหาจะดีกว่านะคะ.....”เวก้าพูดอย่างกระท่อนกระแท่นเมื่อหล่อนต้องเว้นจังหวะหายใจ รอบกายถูกถมด้วยม้วนตำราแผ่กระจายเต็มพื้นหินอ่อนจนแทบจะมองไม่เห็นวงแหวนดาราที่มีตัวหล่อนเป็นศูนย์กลาง “อีกไม่นานดวงดาวทั้งสามจะเรียงกันเป็นเส้นตรง เราพยายามดึงวิถีของดาวดวงล่างสุดออกมา แต่ปรากฏว่ามีค่ายกลดาราศาสตร์โอบล้อมมันเอาไว้”

    “แล้วนั่นหมายความว่าอะไร?”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว กระนั้นก็ยังรัวมือลงบนแผงควบคุมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น แสงริบหรี่ของพวกมันยังคงทำงานไม่ขาดตกบกพร่อง

    “หมายความว่าเราต้องแก้สิ่งนี้ก่อน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะนี่ก็มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว”เด็กสาวกล่าวเสียงใสเพื่อคลายกังวล ดวงตาสีอ่อนเพ่งมองที่อักขระบนพื้นศิลา

    “สมแล้วที่เป็นดาราพยากรณ์ ดูเหมือนว่าซิลอยด์ก็มีบางสิ่งที่ไม่เก่งกาจเท่าท่านหญิงสินะ”คำชมแทบทำให้หล่อนตัวลอย รีเวฟ์ก้าปัดมือไปมาเป็นพัลวันทั้งๆที่คนพูดก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้า “มะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ!”ก่อนหยิบม้วนตาขึ้นมาดูให้แน่ใจ

    “หลังจากนี้ข้าจะตามไปสมทบกับลอเฟย์ล่ะนะ อาณาเขตในปราสาทก็เรียบร้อยหมดแล้...”

    ตุบ!

    “ท่านหญิง?”

    “เวก้า?”

    ม้วนกระดาษหนักอึ้งในมือซีดเซียวกลิ้งตกลงกับพื้นราวกับของไร้ค่า ส่งเสียงหนักทึบทึมลอดเข้าไปในหูของผู้ฟัง อัศวินหนุ่มเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่นิ่งชะงักไปก็ยังอดเอ่ยปากทักขึ้นไม่ได้ ความเงียบที่ไม่กดดันอย่างเมื่อครู่ดำเนินมาถึงจุดที่มันเปลี่ยนเป็นสำเนียงของความน่าสะพรึงกลัว

    “........ไม่ได้”เสียงที่ลอยตามลมแผ่วเบาและหวีดหวิวคล้ายเสียงสะอื้นของเด็ก อัลเธียเดินอ้อมพื้นที่รกระเกะระกะไปอย่างร้อนใจ เพื่อพบกับสีหน้าซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษของดัชเชสแห่งเลแรงก์

    “....เราทำไม่ได้”

    “ท่านหญิงเกิดอะไรขึ้น!?”เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารร้อนรนจนราวกับว่าจะขยับสิ่งนั้นด้วยตนเอง ทว่ามันก็ยังฟังดูห่างไกลจากสถานการณ์ตรงหน้าอยู่เช่นนั้น

    “มีอะไรผิดปกติหรือไง?”ชายหนุ่มหันมองกองเอกสารและแผนภูมิดาราที่ถูกใช้งานจนคร่ำครึกด้วยสายตาสับสน “ด้วยความสามารถของเจ้า มันไม่น่ามีอะไรผิดนี่?”

    “...........”เวก้ากลืนก้อนแข็งในลำคอพร้อมๆกับหยดน้ำที่เอ่อคลออยู่รอบดวงตา “วิชาดาราศาสตร์เป็นความเชี่ยวชาญของยูโธเปีย เพราะเราเป็นดินแดนที่ใกล้ท้องฟ้ามากที่สุดจึงสามารถใช้ประโยชน์จากแรงดึงดูดของดวงดาวได้มากกว่าใคร .....ในนั้นยังมีวิชาที่ใช้พลังงานของดวงดาวเพื่อทดแทนพลังงานต่างๆในตัวแอซไพรส์ แต่ว่า....”หล่อนกำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือที่ไร้รอยขีดข่วน ดวงตาเบียดแน่นเมื่อเสียงตะโกนด้วยความเจ็บใจและสิ้นหวังดังกรรโชก

    “มันก็มีศาสตร์ต้องห้ามที่ผูกชีวิตของตนเองเข้ากับดวงดาวด้วยเหมือนกัน! ถ้าเรากำจัดดาวดวงนั้นล่ะก็....คนคนนั้นก็จะตายไปด้วยนะคะ!

    “จะบอกว่าซิลอยด์มีตัวประกันหรือเนี่ย?”ยูลิสท์บีบขมับของตนอย่างเหนื่อยล้า “จะให้เทียบความสำคัญของหนึ่งชีวิตกับสถานการณ์ตอนนี้น่ะมัน...........”

    “วาอินนา!”อัลเธียสวน “เรื่องนั้นข้าเองก็เข้าใจดี แต่ว่าถ้าจำเป็นต้องทำแล้วล่ะก็...เลือดที่หลั่งก็ต้องตกลงบนมือของเวก้าน่ะสิ!”เขาสะบัดหน้าไปยังอุปกรณ์สื่อสารราวกับว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นยืนอยู่ตรงนั้น ปัญหาที่บิดม้วนจนถึงทางตัน ความไม่ลงรอยของคำตอบมีแค่เสียงหอบเหนื่อยและกลั้นสะอื้นที่ดำเนินต่อไป ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสูดหายใจก่อนจะดึงมือบางที่เต็มไปด้วยรอยช้ำสีแดงเข้มมาดู

    “อย่ากำมือแน่นแบบนั้นสิเวก้า เห็นเจ้าทำแบบนี้แล้ว ...หรือว่าคนคนนั้นจะเป็น...!?

    “ใช่......ดาวดวงนั้นคือชีวิตของท่านพี่ราฟรีน!”เสียงกัดฟันอู้อี้ที่ทั้งสั่นเครือและฟังแทบไม่ได้ศัพท์ระเบิดออกมาจากศีรษะก้มต่ำของเด็กสาว เป็นคำตอบเดียวที่ทำให้อีกฝั่งของสายทิ้งกำปั้นลงกับแผงควบคุมด้วยความเจ็บใจ

    “ให้ตายเถอะ!

    “วาอินนา ถึงข้าจะบอกให้เจ้าไปหาซิลอยด์ก็ตามที ....แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นง่ายๆหรอกนะ”ดวงตาที่ใกล้จะปิดลงเสมองร่างสูงของแอซไพรส์จากน่านฟ้ากลาง

    “อะไรกันล่ะ? เจ้านี่เป็นคนยอกย้อนหรืออย่างไร?”ยูลิสท์เท้าสะเอว

    “ยังมีการต่อสู้บางชนิด ที่ไม่มีหนทางชนะให้เลือก”สภาพปางตายของเทพลมหนาวทำได้เพียงเอียงศีรษะมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนเยาะเย้ยเท่านั้น “อย่าได้.....ลังเลง่ายๆล่ะ”

    คิดอยู่แล้วเชียวว่าระดับคู่ปรับของอีลิจา บัลดอร์ไม่น่าจะหมดไพ่ตายง่ายๆแค่นี้ อันที่จริงการคุมตัวประกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เท่าไหร่ในทางยุทธศาสตร์ แต่ใครเล่าจะคิดว่าซิลอยด์จะกล้าเอาชีวิตของผู้ที่เป็นมือขวาของตนมาเป็นเครื่องสังเวยให้น้องสาวบุญธรรมของตัวเอง

    “ซิลอยด์!!!”อัศวินหนุ่มคำราม เขาทำแบบนี้กับน้องสาวของตัวเองได้ยังไง? ทำกับเพื่อนรักของตนเองได้ยังไง? ให้พี่น้องแท้ๆมาฆ่ากันแบบนี้น่ะ... “ระหว่างคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ เจ้าจะไม่เสียดายเลยงั้นเหรอ...ซิลอยด์!!!!?

    ยูลิสท์ที่ถูกแยกออกด้วยระยะทางไม่อาจมองเห็นแผ่นหลังคุดคู้ของดาราพยากรณ์ได้ ภาพที่หล่อนเอามือเปรอะเลือดทั้งสองข้างปิดหน้านั้นเป็นสิ่งที่เขามองไม่เห็น ทั้งที่เป็นเช่นนั้นความรู้สึกเจ็บเหมือนกับหนามสะกิดที่ปรากฏขึ้นในอกก็ไม่ได้ลดน้อยลง

                   “คิดว่าจะลืมไปแล้วเชียว มันช่าง....เจ็บๆคันๆเหลือเกินนะของแบบนี้”ดวงตาสีฟ้าหลุบต่ำคล้ายสมเพชตนเองกลายๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงการติดต่อระห่างหอดาราและปราสาทเวอดันซาร์

    “เราเหลือเวลาประมาณท่าไหร่หรือ?”

    รีเวฟ์ก้าเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าด้วยหลังมือ ขณะพยายามพูดไปด้วย “ราวๆ 40 นาทีได้ค่ะ”

    “งั้นเหรอ? ระหว่างนั้นก็ลองพยายามทำอย่างอื่นดูก็แล้วกัน ข้าจะไปหาคนที่น่าจะรู้วิธีแก้มาก็แล้วกัน”เขาเปิดแผนที่เพื่อตรวจดูเส้นทางยาวเหยียดที่ตนเองต้องห้อตะบึงให้ทันในเวลาอันจำกัด นอกจากระยะทางภายในเวอดันซาร์แล้วยังมีจำนวนชั้นในหอดาราที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปอีกด้วย

    “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ขนาดดาราพยากรณ์ยังทำอะไรไม่ได้แล้วเจ้าจะไปหาใครกันล่ะ?!”อัลเธียขมวดคิ้วอย่างหนัก เสียงที่ตอบกลับมาอย่างหงุดหงิดยิ่งทำให้พวกเขาตกใจกว่าเดิมเสียอีก

    “ก็หาตัวต้นเหตุของเวทมนตร์บ้าๆนี่ ราฟรีนไงล่ะ!”พันตรีหนุ่มมัดผมยาวจรดกลางหลังเป็นมวยลวกๆ พลางจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง

    “ท่านพี่ไม่ใช่คนที่จะตามมาง่ายๆนะคะ!”ผู้เป็นน้องสาวหวีดร้องเสียงแหลม หล่อนฉวยนกสอดแนมฉบับประกอบเร่งด่วนมาจากอัศวินคู่ใจ “อีกอย่างเขาก็เป็นจอมเวทย์ด้วย จอมเวทย์เลยนะคะ!” พันตรีท่านนี้คิดผิดไปแล้วแน่ๆ!

    “ข้ารู้แล้วล่ะท่านหญิง ที่ไม่ได้พูดก่อนหน้านี้ก็เพราะเกรงใจหรอกนะ”ฝั่งนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิถอนหายใจ นิ้วเรียวเลาะคอเสื้อที่ติไว้สูงของตนเองลงเลยถึงบางส่วนของแผ่นอกที่ชุ่มด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศหนาวเย็น “แต่พี่ชายของท่านน่ะ ข้าเป็นคนซัดไปเรียบร้อยแล้ว!

    “อะไรนะคะ!!!?

    “.....เห็นด้วยเลยว่าเป็นจอมเวทย์จริงๆนั่นแหล่ะ”เขาเมินเสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายแล้วยัดของในมือใส่กระเป๋าเสื้อนอก

    “วาอินนา”เสียงสุดท้ายที่เล็ดลอดออกมานั้นแผ่วเบาจนผิดวิสัยเจ้าของ “ข้าจะเตือนไว้ก่อนเลยว่าต่อให้เจ้าฆ่าลอร์ดราฟรีน เจ้าก็ไม่มีทางถอนค่ายกลนี้ได้หรอก”ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเหลือบไปที่ปลายมือซึ่งยังไม่ละออกจากกระเป๋าเสื้อของตน รอยยิ้มเหยียดออกบนริมฝีปาก

    “ข้ารู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องพูดให้ท่านหญิงเสียใจเลย เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่?”น่าเสียดายที่คนคนเดียวที่มีสิทธ์ปลิดชีวิตของราฟรีนได้ กลับเป็นคนเดียวกันที่จะไม่ยอมทำเช่นนั้นเป็นอันขาด ยูลิสท์ถอนหายใจทางจมูก

    “เจ้าน่ะห่มหนังแกะชัดๆ”ก่อนที่เสียงทั้งหลายจะเงียบหายไปจริงๆ

    “เมื่อกี้พูดอะไรกันเหรอ อัลเธีย?”ร่างบางชะโงกหน้ามาจากระยะห่างที่ชายหนุ่มเดิมดุ่มๆหายไป แสงอ่อนๆจากนกสื่อสารในมือดับลงไปแล้ว สีหน้าของอัศวินแห่งทิศเหนือยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “เปล่าไม่มีอะไร”

    อีกฝั่งหนึ่งของเขตปราสาท เมื่อเปิดประตูหนังอึ้งของห้องควบคุมที่แทบจะถูกกลืนด้วยฝุ่น อากาศเย็นยะเยือกก็พัดเข้าทักทายทันที 

    “พัดมาให้เยอะๆเลย งานนี้ข้าต้องร้อนตับแตกแน่ๆ”ชายหนุ่มพึมพำอย่างหงุดหงิด ในมือของเขากระชับเชิงเทียนยาวเล่มเดิมที่ชี้ตรงไปยังกลุ่มทหารฝั่งปฏิวัติที่ออกับเต็มทางเดินพร้อมอาวุธครบมือ ถ้ารู้แบบนี้ไม่น่าวิ่งกลับมาที่เวอดันซาร์เลยแฮะ...การที่ต้องย้อนไปถึงเลแรงก์แล้วกลับไปที่หอดารานี่มันไม่ตลกเอาเสียเลย บ้าจริงๆ ข้าควรจะต้องกลับไปช่วยพวกนั้นแท้ๆ!

    “ห้ามขยับแม้แต่นิ้วเดียวเลยนะ ราฟรีน!

    เวลาที่เหลือก่อนการเรียงตัว 40 นาที

    สถานการณ์ปัจจุบัน ฝั่งรีเวฟ์ก้า – หยุดชะงัก / ฝั่งลอเฟย์ – ขาดการติดต่อ / ฝั่งยูลิสท์ – วิ่งไม่คิดชีวิต

     

    ......................................

     

    “ผมชักสงสัยขึ้นมาแล้วสิ ว่าคุณไปรู้เข้าได้ยังไง?”

    แทนคำตอบ อีกฝ่ายเหยียดยิ้มอย่างใจเย็น ในขณะที่แรงกดรอบตัวมากขึ้นทุกที แสงสีฟ้าอ่อนที่ส่องกระทบหิมะจนสว่างจ้าแทบจะทำให้เงาร่างสูงสง่านั้นเป็นเหมือนยมฑูต เสื้อคลุมสีเข้มของเขาแหวกให้มือที่สวมแหวนสีน้ำเงินเรืองรองยั้งไว้กลางอากาศ

    “ทุกสิ่งมีจุดเริ่มต้นเสมอ ความต่อเนื่องจากจุดๆนั้นจะบันทึกร่องรอยในกาลเลามาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์อย่างไรล่ะ ทว่า......มันจะถูกหรือผิดก็ขึ้นอยู่กับผู้เขียนนั้น”ซิลอยด์มือที่ปลายมือของตน ภาพของดวงตาสีเดียวกันจดจ้องผ่านหัวแหวนที่ส่องประกายเย็นยะเยือก

    “คุณจะบอกว่าประวัติศาสตร์ที่เรารู้อยู่ถึงทุกวันนี้เป็นของปลอมหรือครับ?”ลอเฟย์กระชับร่างของเพื่อนร่วมหน่วยที่ถูกเล่นงานอย่างไม่ทันตั้งตัวไว้หลังอาณาเขตสี่เหล่ยมที่เลียนแบบมาจากกล่องที่ราฟรีนใช้ขังตนเองและรีเวฟ์ก้า

    “อย่าได้ใจไปหน่อยเลยเจ้าบ้า.....ระดับฉันน่ะไม่เป็นภาระของแกหรอก”คนเจ็บแยกเขี้ยว เพียงแค่อ้าปากพูดก็กระเทือนถึงซี่โครงที่ถูกกระชากปะทะดินเมื่อครู่แล้ว

    “นั่นก็พูดยากนะ สำหรับขอบเขตการรู้ของมนุษย์และแอซไพรส์ต่างก็เชื่อถือในสิ่งที่มีหลักฐานให้มองเห็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้ามองลึกลงไปอีกในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้วล่ะก็ เจ้าจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่มีอยู่จริงมาก่อน?”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคงที่และเนิบนาบ มันไหลลื่นราวกับถูกปราศรัยซ้ำๆมาแล้วนับร้อยรอบ

    “ลองคิดง่ายๆสิว่า ว่าคนแรกที่เริ่มเขียนประวัติศาสตร์นี้ขึ้นและยังคงอยู่ต่อมาถึงทุกวันนี้ ข้ามผ่านกาลเวลาที่ข้อเท็จจริงอื่นๆซึ่งไม่ถูกส่งต่อ ได้หายไปจากการรับรู้ของมนุษย์แล้ว นั่นก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์หนึ่งเดียวได้เลยไม่ใช่หรือ?”

    “และคนคนนั้นที่คุณพูดถึงก็คือมหาเทพโอดินสินะ ข้อสันนิษฐานแบบนี้มันฟังดูเหมือนคุณสงสัยในตัวตนของพระเจ้าเลยนะครับ”

    “ข้าถูกใจเจ้าจริงๆพันตรีเกล แต่นี่คงไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้าหรออก ใช่ไหม?”ซิลอยด์หันมายิ้มขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า

    “คุณหาเจอแม้แต่โบราณสถานที่ถูกฝังไว้หลายพันปี คงไม่มีทางไม่รู้ชื่อของผมหรอกใช่ไหม?”

    “ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในที่ที่ๆแม้แต่การค้นหาของข้าก็ยากจะไปถึง”กระนั้นเขาก็ไม่ดูอนาทรร้อนใจสักเท่าไหร่เลย กลับเป็นลอเฟย์เสียเองที่ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาของอีกฝ่ายมองตรงมาอย่างรู้ทัน “หรือว่าไม่ใช่กันล่ะกองพันรัตติกาล?”

                   ปัง! เสียงกระสุนลั่นขึ้นอย่างไร้วี่แวว มันเรียกสายตาของลอร์ดแห่งเลแรงก์ให้หันมามอง ก่อนจะเบือนกลับไปทางอื่นโดยไม่สนใจลูกตะกั่วที่พุ่งตรงมาหาตน

                   “ลูกกระสุนหรือ มาไม่ถึงตัวข้าหรอกนะ”เขาโบกเมื่ออีกข้างขึ้นในอากาศ กระชากลูกกระสุนให้ร่วงลงกับพื้นและถูกแรงโน้มถ่วงบดขยี้จนเป็นผง “ถึงจะลอดสนามพลังมาได้ก็ตาม ปืนคาบศิลาแบบนั้นก็ยิงได้แต่ไม่กี่นัด......”

     

                   หางตาของเขาเห็นเส้นผมปลิวขาดในอากาศ สายลมที่เฉียดผ่านแก้มไปคมกริบราวกับใบมีดแม้ว่ายังไม่เฉือนโดน

                   “ขอโทษทีก็แล้วกัน แต่เผอิญที่ส่งให้น่ะไม่ใช่ลูกปืนหรอก ก็ปืนของฉันมันไม่ได้มีไว้ยิงลูกตะกั่วนี่นา”อโฟรเดสเล็งปืนคู่ใจที่ลั่นไกโดยไม่ส่งเสียงเตือนไปยังร่างที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวราวกับเป้านิ่งชั้นดี

    “ส่วนจะยิงได้กี่นัดน่ะ แกเก็บไปนับเอาเองเหอะ!” อาณาจักรแรงโน้มถ่วงทวีความเข้มข้นขึ้นในพริบตา แต่ภาพเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า ก่อนที่ร่างของซิลอยด์จะถูกผลักกระเด็นในพริบตาราวกับมีหมัดที่มองไม่เห็นรุมกระหน่ำเข้าใส่ บางส่วนของพลังงานล่องหนบาดเสื้อคลุมเนื้อหนาจนขาดเป็นชิ้น ชายหนุ่มสะบัดมือผ่านด้านหน้าเกิดเป็นม่านพลังสีน้ำเงินที่ถูกกระแทกจนสั่นไหว

                   “เป็นพลังที่เจ๋งดีนี่ แต่จำไว้หน่อยนะว่าแรงโน้มถ่วงน่ะไม่มีผลกับคลื่นเสียงหรอก”เจ้าของปืนคู่ลุกขึ้นมานั่งขันเข่าพลางเอามือปาดคราบเลือดที่มุมปาก ในรอยยิ้มกวนประสาทท้าทายยังมีประกายของความพิโรธอย่างแท้จริงที่ลอเฟย์ถึงกับต้องหนาวสันหลังลุกโชนอยู่

    “ฉันจะทำให้แกพล่ามต่อไปไม่ออกเลย”

                   “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็แค่ต้องทำให้ทั้งเจ้าทั้งปืนนั่น....”เป้าหมายยืดตัวขึ้นจากสภาพโซเซเสียหลัก ร่างที่คุ้มงอของเขาปรากฏรอยเปรอะภายใต้ผ้าคลุมที่ขาดวิ่น “.....แหลกเป็นผงเท่านั้นเอง”

                   “อโฟรเดสถอยออกมา!”ร่างบางถูกกระชากปลิวไปในวินาทีเดียวกับที่พื้นดินสะเทือนราวกับมีค้อนยักษ์ทุบลงมาเต็มกำลัง พื้นที่รอบด้านที่อยู่นอกเหนือคิวบิคสีน้ำเงินยุบตัวลงในพริบตา มันยังคงไหวตัวและแหลกสลายเหมือนกับถูกบดด้วยกำปั้นนับร้อย

    “คุณนี่ซ่าจริงๆนะครับ”ลอเฟย์หอบหายใจพลางละมืออกจากคอเสื้อที่ถูกขยำจนยู่ยี่ “นายอยากฟังบรรยายต่อหรือยังไงกันล่ะ?”อโฟรเดสปาดเหงื่อเย็นเฉียบที่ไหลทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว เงาทะมึนตรงหน้าของพวกเขาช่างเป็นเทพเจ้าที่น่ากลัวจนเหมือนปีศาจอะไรเช่นนี้

                   “พลังของ นายนี่มันไว้ใจได้มากแค่ไหนกัน?”เรียกสายตาจากคนที่ยืนอยู่ให้หันลงไปมองอย่างงุนงง “ป่านนี้แล้วคุณเพิ่งมาถามหรือครับ?”

                   “ตอนนี้.....”เสียงบางอย่างสั่นระริกดังไหวในหูที่อยู่ในระดับคนปกติของลอเฟย์ มันกระทบกันอย่างไร้จังหวะและพากันระเบิดเป็นกลุ่มเสียงย่อมๆเหมือนก้อนหินแตก ดูเหมือนว่าจะมาจากรอยแตกจุดเดียวกับที่ภูเขารอบด้านนี้ ลอเฟย์มองรอยร้าวเล็กๆที่มองเห็นบนยอดหน้าผาสูงลิบของเลแรงก์ ก่อนมันจะพุ่งฉิวลงมาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าเส้นมหึมา

                   “ภูเขาจะถล่มแล้วน่ะ”

                   ครืนนนนนนนนนนนนนนนเสียงกัมปนาทระลอกใหญ่ถาโถมลงมาราวกับห่าฝนที่ปกคลุมท้องผ้าด้วยสีสกปรกของฝุ่นดินจนมองไม่เห็นทัศนียภาพ “ให้ตายเถอะโอดิน!!” ลอเฟย์ตั้งสมาธิกับการคงสภาพเกราะให้เป็นทรงสี่เหลี่ยม ถ้าถูกภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้หล่นใส่ล่ะก็ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่จะหลบให้พ้น....คราวนี้มีแต่ตายกับตายเท่านั้น! อโฟรเดสใช้มือสองข้างอุดใบหูแน่นพร้อมหลับตาจากสภาพที่ไม่ต่างจากใจกลางพายุ แรงกระแทกซ้ายขวาที่ทำให้พื้นใต้เท้าโยกสะเทือนทำให้เจ้าของอาณาเขตได้เพียงคาดเดาความพินาศย่อยยับที่รอการมองเห็น

    จวบจนสรรพเสียงรอบตัวเหลือเพียงการร่วงหล่นลงสู่พื้นดินของเม็ดฝุ่น ดวงตาสีน้ำผึ้งจึงเปิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเบื้องหลังม่านควันขุ่นหนาที่ลอยอ้อยอิ่ง คือสถาปัตยกรรมสีขาวมอซอขนาดยักษ์ หลังคาโค้งของมันทอดตัวสูงกว่าพื้นกว่าสิบเมตรลดหลั่นลงมาด้วยเสาที่ฝังผลึกแทรกซ้อนในกลไกแข็งแรง ใจกลางของทรงกลมที่ซ้อนทับด้วยวงจารึกหลายชั้นคือผลึกสีเข้มดับแสงทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่

    “นี่มันดูคล้ายๆกับประตูไบฟรอสท์ที่แอสการ์ดเลยไม่ใช่เหรอ?”ลอเฟย์ไล่สายตาที่ยังคงตื่นตะลึงไปตามรายละเอียดที่ยังคงแฝงตัวอยู่ในม่านควันอย่างรวดเร็ว “แถมบางส่วนของสิ่งนั้นยังมีกลไกที่ยังพัฒนาไม่เสร็จในลัสท์เทรลด้วยซ้ำ แต่ว่าของแบบนี้.....อยู่ในก้อนหินมานับพันปีได้ยังไง?!

    “เวลาที่ถูกต้องควรจะเป็น 4000 ปีของพวกเราต่างหาก”ใจกลางของหมอกสีคล้ำที่ลดระดับลงยังมีแผ่นหลังของชายคนหนึ่งยืนหยัดดูโดยไม่สะทกสะท้านต่อภาพเบื้องหน้าที่ได้กลายเป็นพื้นราบโล่งแม้แต่น้อย ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ของเขาเผยรอยยิ้มที่ผสมปนเปด้วยความรู้สึกหลากหลาย “เป็นตำแหน่งเดียวกับที่บันทึกไว้ในโฮโลแกรมพอดี หวังว่าข้าคงไม่ทำให้อะไรบุบสลายไปหรอกนะ ....ประตูแห่งวาเนอร์”

                   เขาสืบเท้าเข้าไปหามันอย่างเชื่องช้า ในแต่ละก้าวเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่ตนเองเคยจินตนาการไว้ผสมปนเปกับภาพความทรงจำที่ไหลหลั่งออกมาจวบจนรวมตัวเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ห่างจากเอื้อมมือเพียงก้าวเดียว

                   “ชิ!”อโฟรเดสยิงคลื่นกระสุนไปยังแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้า ทว่าก่อนที่มันจะถึงตัวเกราะสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นอย่างเหมาะเจาะเป็นสัญญาณที่บอกว่าคู่ต่อสู้ได้จับทางพลังของหล่อนออกแล้ว สายลมจากการปะทะทำให้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวแผ่วเบา พร้อมๆกับเสี้ยวหน้าที่หันกลับมามองโดยไม่เห็นดวงตา

                   “อย่ามาขวาง”

                   พลังอะไรกันเนี่ย!? ศีรษะของหล่อนถูกกดให้กระแทกกับพื้นหินก่อนที่ทั้งร่างจะรองรับแรงบดขยี้จากมวลอากาศที่เข้มข้นขึ้นจนรับรู้ได้ถึงความปรารถนาในการสังหารจากเจ้าของแอซเหล่านั้น ขณะที่ยังมึนงงหญิงสาวก็กระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่พร้อมกับได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงของตนปริร้าวอย่างสาหัส “บ้าเอ๊ย...หวังว่าคงจะไม่หักไปทิ่มปอดนะ”

                   “อโฟรเดส!?

                   “ตอนนี้กำลังยุ่ง ถ้าไม่มีธุระช่วยอย่าเรียกได้ไหมเจ้าบื้อ?”เจ้าของชื่อเค้นเสียงด้วยความยากลำบาก ปลายสายตาของหล่อนมองเห็นแขนที่ยันขึ้นจากพื้นของเพื่อนร่วมภารกิจ ในสภาพที่ก็ไม่ได้ดูดีไปจากตนเองนัก

    “ถึงมันจะทำอะไรผมไม่ได้ก็จริง แต่เล่นเอาลุกไม่ขึ้นแบบนี้ก็แย่นะครับ”ลอเฟย์รวมพลังเฮือกใหญ่เพื่อดันตนเองขึ้นจากท่าหมอบที่แทบกระดิกไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว ดูเหมือนว่าวิชาเก่าที่ได้ล่ำเรียนมาจะเป็นประโยชน์ในวันนี้

    “นี่มันก็เหมือนกับ......วิดพื้นซัก 1000 ครั้งเท่านั้นเอง.....”เด็กหนุ่มขยับขาที่ตอกติดพื้นของตนเองให้มั่นคง อา...ดาบของเราหักไปแล้วเมื่อครู่ คงต้องไปมือเปล่าสินะ ดวงตามองไปยังร่างในชุดแบบเดียวกันที่ถูกเส้นผมยาวสีบลอนด์เข้มปิดคลุมใบหน้า

    “ไปก่อนเถอะ ฉันนอนพักครู่เดียวเดี๋ยวก็หาย”ริมฝีปากเปื้อนคราบเลือกที่โผล่พ้นออกมาขยับอย่างอ่อนแรง วินาทีนั้นทั้งที่กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ปลายนิ้วของเขากลับขยับโดยไม่รู้ตัว เขานึกอยาก..ปาดเส้นผมพวกนั้นออกจากใบหน้าของเธอจริงๆ

    “งั้นเหรอครับ?”ลอเฟย์ยิ้มบางๆ แล้วกางอาณาเขตเอาไว้เหนือร่างของอโฟรเดส เขาจำเป็นต้องทิ้งความกังวลไปก่อน เพราะความน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่กว่ากำลังรออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว 




    ------------------------

    ส่วนนึงที่ช้าตอนแรกเลยก็คือ ซิลอยด์มันเก่งเกินไป ปั้นขึ้นมาละหาทางลงไม่ได้เลยค่ะ เป็นพลังที่โครตโกงอะไรแบบนี้ เวลาที่มีหลายๆพาทในตอนจะตั้งชื่อยาก ตั้งมันแบบนี้เลยละกันเดี๋ยวปารีสจะน้อยใจ 555555555555555555555555555

    ตนนี้กำลังคิดว่าจะปรับวิธีพูดของไนทริคให้เป็นแบบปกติด้วย เพรารู้สึกว่าคนเดียวที่เข้ากับคำว่า ข้า ที่สุดคือยูลิสท์ แต่พวกแก่ๆคนอื่นก็ไปได้อยู่ ขอคำแนะนำด้วยจ้า

    ขอไปคุ้ยสกิลการสร้างฉากต่อสู้มาจากวันพีชก่อนค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่บู๊มาก เขียนไปเขียนมานี่บู๊กันไปกี่หน้ากระดาษ เปลื้องงงงงงงงง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×