คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : 45th Tale : ดวงดาวนำทาง
“ผมคิดว่าถ้าให้เลือกคุณกับอีลิจา
ผมยอมเลือกเสนาบดีดีกว่าครับ”ลอเฟย์ตอบไปอีกทาง
“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้อะไรเกี่ยวกับผมเยอะ”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยมากกว่า”ซิลอยด์ขำ
“มองดูตรงนี้”เขาหงายฝ่ามือขึ้น ปรากฏก้อนน้ำแข็งรวมตัวขึ้นในอากาศ
มันลอยอ้อยอิ่งอยู่บนนั้น “มันคืออะไร?”
“น้ำแข็งก้อนหนึ่ง”
“ถูกต้อง เป็นน้ำแข็งธรรมดาเท่านั้น
เจ้าเห็นเป็นเช่นนั้นไม่มีทางเป็นอื่นไปได้”เขากำมือจนมันสลายกลับไปเป็นละออง
“แล้วตอนนี้เล่า?”
“ไม่มีสิ่งใด”
“งั้นหรือ?”ซิลอยด์เลิกคิ้ว “มีสิ่งหนึ่งอยู่
เพียงแต่เจ้ามองไม่เห็นมัน”เขาคลี่มืออกให้ไอเย็นไหลผ่านร่องนิ้ว
“อากาศ...เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าโลกใบนี้ของเรา อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“คุณตั้งใจจะเปิดฉากด้วยเกมปรัชญางั้นหรือครับ?”กองพันรัตติกาลถาม
หนึ่งในสิ่งที่เขาแสนเกลียดและไม่ถนัดเป็นอย่างมากก็คือวิชาปรัชญา
ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มคงต้องทุ่มปัญญาทั้งหมดในการเดิมพันกับมัน
“มันง่ายกว่าที่จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
เพราะเจ้าคงจิตนาการไม่ออกว่าโลกที่ไม่ใช่โลกของโอดินนั้นเป็นอย่างไร
ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องการให้ใครเห็น ไม่เรียกร้องสายตา
แต่ยังคงอยู่แม้จะไร้สีสัน เจ้าจะรับรู้มันยามเมื่อได้สัมผัส เมื่อชีวิตขึ้นอยู่กับมัน
ดั่งการหายใจ....หากว่าขาด...ก็จึงจะรู้ว่าใกล้ความตาย”
“แค่กๆ!!”อโฟรเดสสำลักเมื่อแรงกดบริเวณแผ่นหลังเพิ่มขึ้นจนปอดไม่อาจรับอากาศ
แต่ก่อนที่คนผมดำจะไปถึงตัว ซิลอยด์โบกมือคลายเทพฤทธิ์ทิ้งไป
“ผมสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่าคุณไปรู้เข้าได้ยังไง?”ลอเฟย์ยิ้มเคร่งเครียด
ไรผมปรากฏเม็ดเหงื่อซึม ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ตอบคำถาม
ส่วนหนึ่งของจิตใจของเขาหวนย้อนกลับไปในอดีตและได้มองเห็นเงาที่ชัดเจนของตนในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น
คำถามที่ครั้งหนึ่งเขาเคยอ้อนวอน ซิลอยด์ทอดสายตาลงต่ำ
ชั่วขณะเดียวแต่ทุกก็เล่นย้อนกลับมาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย
หากว่าชีวิตมีชะตาที่ไม่อาจเปลี่ยนผัน
ชีวิตของซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ก็ถูกกำหนดด้วยดวงดาวสามดวง
ดวงแรกมาเยือนในคืนที่สุกสกาว
ดั่งพลุไฟนับร้อยจุดเฉลิมฉลองแก่ท้องนภาที่มืดมิดให้สว่างจ้าด้วยแสงสีแดง
มันคือคืนที่เจ้าชายแห่งยูโธเปียถือกำเนิด
เสียงร้องแห่งชีวิตดังกึกก้องไม่ต่างจากอัสนีปลุกเครื่องดนตรีและเสียงอวยพรให้ดังระงมจนกลบความหนาวเย็นของเหมันต์นคร
ซิลอยด์ในวัยเด็กยืนเคียงข้างบิดาผู้เป็นลอร์ดแห่งเลแรงก์ในเวลานั้น
ทั้งตื่นเต้นและกระตือรือร้นจะที่ได้ยลโฉมหน้าของเด็กทารก
ทว่าช่วงเวลาแห่งความยินดีคงอยู่ได้ไม่นานเมื่ออาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนในรูปของลูกไฟสีแดงฉานที่ลุกโชน
ดวงดาวพุ่งตรงมาลงมา ทำลายอาณาเขตของนครลอยฟ้าจนพินาศ
เศษแก้วที่ร่วงหล่นเหล่านั้นสะท้อนในดวงตาอ่อนวัย
รอบข้างเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าจะมองตามทัน ซิลอยด์ถูกแรงของบิดาดึงไป
“หลบ! หาที่หลบ!”มีเสียงตะโดนตั้งขึ้น
ก่อนที่แสงสว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์จะระเบิดกลืนกินทุกสิ่ง
ชั่วขณะนั้นเขามองเห็นแต่แสงสีขาวโพลน เมื่อเส้นเลือนรางเริ่มเกาะตัวเป็นวัตถุ
ภาพที่เขาเห็นคือนิยามของความวินาศ แอซไพรส์ส่วนหนึ่งชักอาวุธของตนออกมา
เข้าห้ำหั่นกับพวกเดียวกันอย่างโหดร้าย ท่ามกลางความชุนละมุนนั้นคือเสียงกรีดร้องและท่วงทำนองที่ก่อตัวจากโลหิต
“กบฏ!”เงาของแอซไพรส์ผู้นั้นเป็นสีดำทะมึนดุจความลึกไล้อันไร้ที่สิ้นสุด
นัยน์ตาของเขาโชนแสงสีแดงฉานไม่ต่างจากดาวหางที่พุ่งลงสู่นครลอยฟ้า
แสงสีของเวทมนตร์ระเบิดปะทะกันตระการตานัก เพียงแต่ว่ามันมากับรังสีฆ่าฟันที่พร้อมปลิดชีวิตอย่างไม่เลือกหน้า
“ลอร์ดบาเรียน! นำจดหมายฉบับนี้ไปยังวาเนอร์”ชายคนหนึ่งรี่เข้าหา
ในมือยัดซองกระดาษสีขาวให้ผู้เป็นบิดารักษาไว้อย่างดี “ท่านรูเวน ฝ่าบาทล่ะ?”เขาถามมือขวาของราชาแห่งยูโธเปีย
“ฝ่าบาทปลอดภัยดี”รูเวนตอบเพียงเท่านั้น เสียงร้องระงมเรียกให้เขาไปที่อื่น
นั่นเป็นครั้งแรกที่ดวงตาของเด็กชายได้เห็นโลหิตไหลนอง
เศษซากของร่างกายที่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร
เขาละสายตาไม่ได้ดั่งมีมือปีศาจจับศีรษะเอาไว้
แขนรู้สึกได้ถึงแรงลากจูงอย่างรีบเร่ง
ร่างของเขานั่งลงบนหลังมังกรขนาบท้ายด้วยบิดา
ทั้งคู่ออกโบยบินท่ามกลางหมู่ดาวตกที่พุ่งเต็มท้องฟ้า
การมาถึงของดวงดาวสีแดงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น อุกาบาตรอีกนับร้อยกำลังสาดเทใส่ยูโธเปียราวกับห่าฝนที่น่าพรั่นพรึง
ไม่มีใครทันคิดว่าผู้ใดหรืออะไรที่เหิมเกริมอยู่กระทำการเช่นนี้
ซิลอดย์เอี้ยวคอกลับไปยังซาเฟียที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบ
ร่างสีดำยืดยาวดุจเงาจากแสงเทียนกำลังเติบโตขึ้น
“โยธาน!”เขารู้ได้ในทันที
“หันกลับมา
หน้าที่ของเราไม่ได้อยู่ที่นั่น”บาเรียนกระชับบังเหียนมังกรบินในมือ ฝ่าสายหมอกและพายุร้าย
แสงไฟของเลแรงก์อยู่ไกลออกไป ปรากฏเลือนรางคล้ายดวงหิ่งห้อย
หัวใจของเขาอยากลอยไปที่นั้น ในหอดูดาวที่มีร่างของดาราพยากรณ์ประทับอยู่
“ท่านแม่จะปลอดภัยไหม?”
“พวกเราได้ปฏิญาณแล้วว่าจะรับใช้นายแห่งอีเซอร์
นางต้องพยายามอย่างเต็มที่ในศึกของตนเอง”
บนลานหินอ่อนทรงกลมของหอคอยสูง
บนพื้นมีผลึกไหลเวียนฝังเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยม
อกาธารีบวิ่งขึ้นมาโดยสวมเสื้อคลุมยาวเพียงตัวเดียว
ใบหน้าหวานะลุนของนางปรากฏความแตกตื่นเมื่อต้องพบกับฝนดาวตกสีแดงฉาน
ไกลออกไปมีฝูงมังกรของนครเหนือคอยทำลายเศษหินไม่ให้ตกลงสู่โลกเบื้องล่าง
ดวงตาหลบลงพักหนึ่งจึงเปิดขึ้น มันส่องแสงสรขาวสว่างไร้ลูกตาดำ
ตำแหน่งดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าต่างปรากฏในคลองจักษุ
ดัชเชสแห่งเลแรงก์ลากดาวที่ดับแสงดวงหนึ่งลงมา
บังคับให้มันชนกับอุกาบาตรลูกใหญ่จนมอดไหม้ไปทั้งคู่
เชื่อมต่อจุดเล็กสีขาวบนท้องฟ้าให้เป็นตาข่ายและดึงพวกมันลงมาปกคุลมนครลอยฟ้า
อาณาเขตดาราปกป้องยูโธเปียจากความพินาศ
หญิงสาวงอตัวลงซบกันขอบกระเบียงอย่างอ่อนแรง
ประจุแห่งชีวิตในร่างกำลังมอดไหม้ดั่งแสงของดวงดาวที่ลุกโชนเพียงครู่และริบหรี่ลง
“เจ้าคือดาราพยากรณ์ของอีเซอร์งั้นหรือ?”เสียงหนึ่งดังขึ้น
มันเป็นเสียงแหลมสูงของสตรียังคงเยาว์วัยและแฝงด้วยความเย้ยหยัน
“เจ้าเป็นใคร?”อกาธายืดตัวขึ้น มองไม่เห็นผู้ใด ฉับพลันดาวหางสีแดงพุ่งฉิวมายังลานหิน
ห่างจากร่างที่ไหวหลบทันเพียงไม่กี่ฝ่ามือ
เสียงหัวเราะระเบิดพร้อมกับเศษซากก้อนหินร้อนระอุ
“ฮ่า ฮ่าๆๆ ผู้คนเรียกขานข้าว่าธิดาเทพแห่งอังนิฮา”ใบหน้าแสยะยิ้มกรีดกรายในเปลวเพลิงสีแดง
“เทพธิดาของปีศาจงั้นหรือ? น่าตลกจริง”นางปาดแผลที่พวงแก้มจนรอยเลือดเปื้อนชัด “เพียงเพราะมนุษย์ยกย่องพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า
มิไม่ได้หมายความพวกเจ้าเป็นเช่นนั้นหรอกอีเซอร์”เปลวไฟตอบ
“ในเมื่อเจ้าขัดความสำราญของข้า
ข้าจะทำให้เจ้าพินาศไปก่อนยูโธเปีย!”
“ท่านพ่อ นั่นระเบิด!”เด็กชายชี้กลับไปยังหอคอยสูงตระหง่านของตระกูลเลแรงก์
แสงสีแดงรุมเร้าดุจแมลงพุ่งเข้าใส่น้ำหวาน มันรวมตัวกันเปล่งแสงจ้าเหมือนดวงอาทิตย์กลางห้วงรัตติกาล
หากแต่เป็นตะวันสีแดง “ซิลอยด์อย่าวอกแว่ก!”บาเรียนตวาด
แสงสว่างที่ห่างตายิ่งทำให้เขาร้อนรน ผู้ถือสารโยกมังกรบินหลบดวงหางดวงขึ้นที่พุ่งลงมา
เป็นเหตุให้ร่างเล็กที่กำลังหมุนตัวกลับมาลื่นไถลตกจากหลังมังกร!
“ซิลอยด์!”ผู้เป็นพ่อร้องเสียงหลงท่ามกลางห่าฝนทอแสง
เสียงร้องของลูกชายดังโหยหวน “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร เทพฤทธิ์ของข้า...!”มันหายลับไปในห้วงอากาศดังคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายตะครุบกลืนเข้าไปในทะเลหมอกสีดำ
บาเรียนกัดฟัน เขารู้ว่าบุตรชายมีความสามารถในการควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ตั้งแต่เด็ก วินาทีที่จะพุ่งทะยานตามลงไปก็ถูกขัดขวางด้วยปีศาจในคราบดวงดาวอีกครั้ง
เสียงกัมปนาทที่อยู่รอบกายเป็นดั่งคำเตือนจากรูเวน
นำจดหมายฉบับนี้ไปยังวาเนอร์
เขาพุ่งทะยานไปสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขาเลแรงก์ทันที
“หวววววววววววา!!”เสียงกรีดร้องแหวกอากาศสีเทาทะมึนให้เป็นสองส่วนขณะที่ร่างเล็กร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง
แอซก่อตัวเป็นแสงสีฟ้ารอบตัวเพื่อพยุงแรงโน้มถ่วงที่กำลงฉุดกระชากอย่างไร้ปราณีให้เบาบางลง
ซิลอยด์หลับตาปี๋ประสานสองมือของตนไว้ที่หน้าผาก
เขาร่วงผ่านความเย็นยะเยือกของหุบเขาและกิ่งก้านพฤกษาที่สร้างความเจ็บปวด ทว่าเด็กน้อยก็ยังไม่หยุดที่จะภาวนา
“เบาลงสิ เบาลงอีก!”เขาตะโกน
ไม่กล้าเปิดตาดูว่าตนเองอยู่ใก้ลพื้นมาแค่ไหน
ตราบจนร่างกระแทกกับหินที่เย็นเฉียบอย่างแรง
ราวกับความรู้สึกที่เคยมีถูกดึงหลายไปในครั้งเดียว
ไม่นานเขาก็มองเห็นแต่ความมืดมิดและรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นร้อนของโลหิตในกาย...กำลังไหลทะลักออกมา
ในความมึนงงนั้น ดวงแสงสีฟ้าสว่างขึ้นกลางความมืด มันเป็นจุดเล็กเท่าลูกแก้ว
แล้วตามด้วยดวงไฟต่างๆ จนรอบกายถูกปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าที่มีรูปทรงประหลาดมากมาย
เขาพยายามเอี้ยวคอมองสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงหวีดสูงคล้ายเครื่องจักรคำราม วินาทีนั้นทุกอย่างก็สว่างไสว
“Project GOD synchronizing”
เขานอนอยู่ท่ามกลางวิหารโบราณที่ทุกอย่างเป็นสีขาวตัดกับเถาวัลย์และไม้เลื้อยที่เกาะอยู่ตามผนังและเสารูปทรงแปลกตา
จอภาพสีฟ้ามีแต่ตัวหนังสือที่ไม่เคยเห็น
ด้านข้างมีแท่นหินใหญ่กองระเกะระกะอยู่กับเชือกเส้นหนาหลายม้วน
“DNA matching 4% Body damage 67% Curing session
operates”
เสียงคนมาจากไหนกัน? กำลังพูดอะไรอยู่?
ซิลอยด์เห็นบางอย่างที่เหมือนแขนขาขยับไปมาอยู่ด้านบน
มันอาบแสงสีฟ้าเหมือนกับแอซลงบนตัวเขา คราวแรกเขาพยายามขยับหนี
แต่ด้วยสังขารที่เกินจะฝืนทำให้ต้องหอบหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงที่เหมือนแมลงของพวกมัน
“เธอเป็นใครเหรอ...?”เขาเอ่ยถาม
แต่ก็ไม่มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาอีก ซิลอยด์ใจเต้นระทึก
สักพักความอบอุ่นก็โอบรัดท่อนขาที่บาดเจ็บและแผ่ขยายามายังร่างกายที่ไร้ความรู้สึก
ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงแขนขากลับมาขยับได้อีกครั้ง
“นี่มัน.....”เขาปัดเศษเลือดสีดำที่แห้งกรังออกไป
เผยให้เห็นผิวเรียบไร้บาดแผลของตน “Curing completed”
“เธอ เธอทำได้ยังไง!?”เด็กหนุ่มผวาลุกขึ้นยืน
รอบกายเขามีแต่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาสำรวจรอบตัว
ใช้มือลูบไปตามแท่นหินเย็นชืดเหล่านั้น มองเห็นแผงวงจรที่คล้ายกับนวัตกรรมของน่านฟ้ากลางยู่ด้านบน
หรือว่านี่อาจเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของแอสการ์ด
เงยหน้ามองก็เห็นบนเพดานมีรูโหว่ขนาดเล็กที่เขาตกลงมาอย่างบังเอิญ
“ข้าต้องไปแล้ว....”เขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่จากมา
ซิลอยด์อาศัยเทพฤทธิ์ของตนกระโดดขึ้นไปบนเพดาน ภายนอกมันถูกปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียวค้ำและคลุกฝุ่นจนเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่ง
ดูกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงแห่งอีเซอร์ เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
และเริ่มใช้ฝ่ามือเล็กๆเกาะเกี่ยวขึ้นไปตามร่องหิน เขาต้องกลับขึ้นไปบนนั้น
ต้องกลับขึ้นไปให้ได้
ร่างของมารดานอนนิ่งแท่นศิลาที่แกะสลักจากหินอ่อนชั้นดี
ผิวกายของนางเย็นเฉียบและใบหน้าหวานละมุนซีดเซียว
เด็กชายเนื้อตัวมอมแมมยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างเย็นชืด
ใบหน้าของเขานิ่งสนิทเกินกว่าจะคาดเดาได้ ซิลอยด์ไม่อาจละสายตาไปจากผู้เป็นแม่
ราวกับหากเผลอมองไปทางอื่น นางจะอันตธานหายไป เขาไม่จากไปไหนและไม่รู้สึกง่วงแม้เวลาจะเลยผ่านหลายคืนวัน
เด็กชายมองเนิ่นนานเท่าที่จะมองได้ตราบจนวินาทีสุดท้าย
ร่างของมารดาถูกลำเลียงไปยังระเบียงที่เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ของดาราพยากรณ์
แสงของดาวเหนือส่องลงมายังร่างไร้ชีวิต และพานางขึ้นไปเพื่อหลอมรวมกับหมู่ดวงดาว
ซิลอยด์ส่งเสียงในคอเป็นอึกแรก เขาวิ่งตามละอองสีเงินที่ลอยอยู่ในอากาศ
ไขว่คว้าร่างของอกาธาที่กำลังสลายไป เสียงกรีดร้องบาดหัวใจผู้มาร่วมพิธีศพ
บาเรียนต้องกอดเขาเอาไว้ที่สุดปลายระเบียง รั้งร่างของลูกชายที่ผวาเอื้อมมือออกไป
หวังจะแตะส่วนหนึ่งของผู้เป็นแม่แม้เพียงนิดเดียว
ละอองแสงเย็นตาสัมผัสปลายนิ้วสกปรกดั่งหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น
ก่อนที่หมู่ละอองดาวจะลอยหายไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล
จากไปและไม่กลับมาอีกชั่วนิรันดิ์
“ฮือออ ฮือออออออออ!!”
ภาพในวันนั้นไม่เคยหายไปจากจิตใจของเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
จนร่างกายของเด็กชายล่วงเลยเข้าวัย 15 ปี
อากาศหนาวเย็นของยูโธเปียไม่เคยต่างจากเดิม
แต่ประกายความมีชีวิตชีวาได้เลือนหายไปหมดแล้ว
เขาเพิ่งได้เป็นขุนนางในสภาเหนือเมื่อวานนี้ ยังเป็นเพียงผู้ติดตามของบิดา
แต่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกต่อไป ซิลอยด์จับมือของรูปปั้นมารดา “วันนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ?”เขาถามอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าที่สลักจากศิลายิ้มอย่างการุณย์
ทว่ามีวูบหนึ่งที่เขารู้สึกไปเองว่ารอยยิ้มของอกาธานั้นแฝงด้วยความเศร้าสร้อย
มันเป็นเวลานั้นเองที่ดวงแสงสีขาวสว่างลอยออกมาจากหน้าผากเกลี้ยงเกลา
กลายเป็นดวงดาวขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ
หากย้อนคิดในเวลานี้รอยยิ้มที่โศกตรมของมารดาคงเป็นเพราะรู้ว่าดวงดาวของนางกำลังจะนำชีวิตของผู้เป็นบุตรชายไปหาโชคชะตาที่ไม่อาจถอยหนี
นำเขาไปสู่บ้านหลังเล็กจ้อย ณ ปลายสุดของทวีปเหนือ
ที่นั่นเขาจะได้กลายเป็นพี่ชายของเด็กหญิงคนหนึ่ง ซิลอยด์หยุดยืนหน้ารั้วไม้ที่เล็กกะทัดรัด
อาภรณ์ยาวของเขากลายเป็นของที่ดูประหลาดเมื่อความเย็นยะเยือกของเหมันต์ฤดูคล้ายจะย่างกรายห่างจากที่นี่
ต้นโอ๊คใหญ่ในสวนยังคงเขียวชอุ่ม
“เวก้า ทำไมน้องถึงไปอยู่ตรงนั้น!”เด็กชายส่งเสียงร้องเมื่อร่างเล็กจ้อยร้อยที่เขากำลังตามหายื่นหน้าออกมาจากกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่สูงเสียจนต้องเงยหน้ามอง
เส้นผมสีดำขลับยุ่งเหยิงและแซมด้วยใบไม้ “นก นก”รีเวฟ์ก้าในวัยสามขวบร้องเสียงใส
นายน้อยแห่งเลแรงก์หยุดมองอยู่ที่ทางเดินแคบๆที่เป็นเพียงร่องดินธรรมดา
“ลงมาเร็วเข้า
ท่านแม่บอกว่าวันนี้จะมีแขกมาหานะรู้ไหม?”เขามีเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลแดง
รูปร่างผอมเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน “ลาฟีน!”ผู้เป็นพี่เหยียดแขนเพื่อที่จะรับเด็กหญิงลงมา
เขากลัวว่าเธอจะพลาดหล่นลงมาบาดเจ็บ แต่ที่ไหนได้เธอกลับกระโดดเข้าใส่เขาเต็มที่
“เวก้า! เหวออ!”อุกาบาตรลูกเล็กจู่โจมจนหงายหลัง
เขากอดน้องสาวไว้แน่นขณะหลับตาปี๋เมื่อรู้ว่าร่างกำลังเสียหลักลอยอยู่กลางอากาศ
....ทว่าสิ่งที่รองรับอยู่กับเป็นสัมผัสหนานุ่มและกลิ่นหอมอ่อนๆของอบเชย
มือคู่หนึ่งจับไหล่บางเฉียบของเขาไว้
ราฟรีนเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกันใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย
ดวงตาสีเข้มเช่นเดียวกับเส้นผมและคิ้วดกหนาทอดมองด้วยความสนใจ
เด็กหนุ่มที่ปรากฏกายสวมชุดคลุมขนสัตว์กลัดด้วยทองคำ
คอเสื้อสูงติดระบายอ่อนช้อยทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสุภาพนุ่มนวล มันอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียว
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”ซิลอยด์ยิ้ม ผู้เป็นพี่หน้าแดงเถือก
เขารีบถอยออกมาและก้มศีรษะพร้อมกับร่างเล็กจิ๋วในอ้อมแขนเหมือนอุ้มลูกแมวตัวหนึ่ง “ขะ
ขะ ขอโทษครับ!”คนคนนี้ต้องเป็นแอซไพรส์ราชวงศ์อย่างแน่นอน เด็กหญิงมองร่างที่ดูผิดแผกจากบรรยากาศรอบตัวแล้วเอื้อมมือไปดึงขนหนานุ่ม
“เวก้าอย่าเล่นแบบนี้สิ”ราฟรีนเอ็ด
ก่อนที่คำถามหนึ่งจะขัดขึ้น “เวก้า...หรือว่าเด็กคนนี้คือรีเวฟ์ก้า?”แอซไพรส์ชั้นสูงเอ่ยถาม
เขาใช้มือลูบปลายคางขณะมองดวยตากลมโตสีอ่อนเบื้องล่าง
“เอ๋?”เด็กชายอุทาน “ใช่งั้นหรือ?”เขารู้ได้จากเสียงของอีกฝ่าย
นายน้อยแห่งเลแรงก์จึงย่อตัวลงคุกเข่า
ปล่อยให้เสื้อคลุมราคาแพงของตนกองลงบนพื้นหญ้าที่ชุ่มชื้น
เขาแกะมือนุ่มนิ่มของเธอมาประคองไว้ในอุ้งมือของตน
ซิลอยด์ยิ้มให้กับใบหน้าอ่อนเดียงสานั้น ยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งใด เพราะเขาได้พบเศษเสี้ยวหนึ่งของมารดาในตัวเด็กหญิงคนนี้
“ข้ามารับท่าน ดัชเชสของพวกเรา”
“คุณนายไม่ต้องกังวล
เราจะดูแลบุตรสาวของท่านอย่างดี”ซิลอยด์จูงมือเด็กหญิง
ขณะกล่าวเจรจากับเจ้าของบ้านรอนซาน หญิงวัยกลางคนเจ้าเนื้อมีหน้าตาที่อ่อนล้าและเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
ทั้งยินดีและเศร้าสร้อย ขณะเดียวกันก็มีแววเหนื่อยระคนโล่งใจด้วย “นายท่านรับเด็กคนนี้ไปดูแลก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้ว
บ้านของเราไม่มีเงินมากนัก
หากว่าตระกูลเลอรองก์สามารถอุปการะการศึกษาให้บุตรชายของดิฉันได้คงดีไม่ใช่น้อย”
นางผ่อนลมหายใจ
รู้สึกว่าเป็นโชคดีเหลือแสนที่ดวงดาวแห่งวีนัสลงมาจุติในร่างของบุตรสาวคนเล็ก
แม้จะคิดถึงลูก....แต่จากนี้ไปเธอคงมีชีวิตที่ดีเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการ
นางอยากให้โชคมหาศาลนี้ตกแก่บุตรชายคนโตที่เป็นความหวังของครอบครัวสักนิดก็ยังดี แน่นอนว่าตระกูลเลอรองก์ต้องเจอเหตุการณ์นี้ทุกชั่วอายุคน
ซิลอยด์นึกถึงคำสั่งของบิดาที่กำชับมาอย่างเด็ดขาดในเรื่องการต่อรอง
“ได้สิ เราจะดูแลเขาเอง”เขาตัดสินใจว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก
ทว่ามันกลับเป็นตะกอนหนักอึ้งในใจของผู้ฟังที่แนบร่างอยู่หลังประตูที่เปิดแง้ม
ราฟรีนไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่รีเวฟ์ก้าจะเป็นน้องสาวของเขา ....ของเขาคนเดียว
ใบเบิกทางที่ได้มาด้วยการสูญเสียเธอนั้นเขาไม่ต้องการ
เด็กชายยกแขนขึ้นปิดหน้าเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แม้จะโกรธแค้นโชคชะตาสักเท่าไหร่
เขาก็รู้ดีกว่ามารดาได้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว
หากว่าพวกเขาร่ำรวยอีกสักนิด....ก็คงไม่ต้องเสียเวก้าไป
เด็กหญิงเดินออกจากประตูบ้านมาตามทางดินที่คุ้นตา
ทว่าสายลมและบรรยากาศในวันนี้กลับชวนหงอยเหงา
เธอยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
แต่สิ่งหนึ่งที่เวก้าประจักษ์คือเธอกำลังจะต้องไปจากที่นี่
“ฮึก.....”เสียงสะอึกทำให้คนตัวสูงหยุดเดิน
เมื่อเข้าเหลียวไปมองก็พบร่างเล็กยืนห่างออกไปด้านหลัง สองมือขยำกระโปรงในมือแน่น “ท่านแม่ไม่รักเวก้าแล้ว
เพราะเวก้าผมสีดำใช่ไหม?”เธอแค่นแต่ละพยางค์อย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงเครือ “ใครใครก็ไม่ชอบเวก้า
เพราะเวก้าผมสีดำ”ใบหน้าของเธอก้มต่ำ
แต่ยังเห็นปลายจมูกแดงก่ำและหยดน้ำร่วงเปาะแปะ
ซิลอยด์ก้มลงอุ้มร่างเบาหวิวขึ้นมาในอ้อมแขน
“ไม่มีใครชอบเวก้าแล้ว”เธอปล่อยโฮ ใบหน้ากลมขึ้นสีเหมือนลูกมะเขือเทศที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำพราว
“แต่ข้าชอบเวก้านะ”เด็กหนุ่มลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีรัตติกาล “ข้าอยู่จะอยู่กับเจ้าเอง
ต่อไปนี้เจ้าเป็นน้องสาวของซิลอยด์แห่งเลแรงก์”เขาปล่อยให้เธอดึงเสื้อคลุมที่เลอะคราบน้ำมูกและน้ำตา
เสียงร้องไห้ “เป็นรีเวฟ์ก้า ดัชเชสแห่งเลแรงก์”เขารู้ว่าคำพูดที่ยากเกินไปเหล่านี้ไม่สามารถบรรเทาความโศกเศร้าของเธอได้
ซิลอยด์กอดแผ่นหลังเล็กกระจ้อยร้อยแนบตัว ปล่อยให้เสียงร่ำไห้ที่บาดลึกกังวานต่อไป
สองพี่น้องไม่เพิ่งได้พบหน้ากันเดินไปช้าๆ
มีเพียงอ้อมกอดของพี่ชายคนใหม่ที่เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจ
ดาวดวงที่สองได้นำเขาไปพบกับแอซไพรส์สองคนที่จะเป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาตลอดไป
มันพาเด็กหญิงกลับสู่เลแรงก์ ที่สถิตของดาราพยากรณ์
ที่ซึ่งจะเป็นสถานจารึกชีวิตทั้งหมดของซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ และเริ่มหมุนเส้นด้ายแห่งชะตากรรมที่ใช้เวลาถักทอถึง
3 ปีเพื่อนำเขาไปยังราวระเบียงในเขตการศึกษาชั้นล่างของปราสาทเวอดันซาร์
ที่ๆชายหนุ่มไม่เคยคิดจะมาเยือน และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเดินผ่านตรงนั้น
“เดี๋ยวก่อน”เสียงเรียบเฉยทว่าทรงอำนาจเอ่ยขึ้น
ซิลอยด์หันกลับไปมองแผ่นหลังเพรียวลมที่ตนเรียกเอาไว้ มีความคุ้นเคยบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขา
เส้นผมยาวประบ่าของอีกฝ่ายไม่ได้รวบ มันเป็นสีน้ำตาลแดงล้อกับประกายแดด เมื่อหันมาลอร์ดแห่งเลแรงก์ก็เอ่ยปาก
“เจ้าคือพี่ชายของรีเวฟ์ก้า”เขาประหลาดใจที่ได้พบอีกฝ่ายอีกครั้ง
เด็กชายในความทรงจำที่มีดวงตาเศร้าสร้อยคนนั้นกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดบันฑิต เค้าโครงเปลี่ยนไปบ้าง
แต่ใบหน้าขาวซีดยังติดจะซูบผอม ตั้งแต่วันนั้นราฟรีนก็เข้าศึกษาในเวอร์ดันซาร์ หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญ
นักเรียนตัวเล็กๆอย่างเขาไม่ควรมีโอกาสได้พบกับขุนนางชั้นสูงแม้แต่น้อย
“ราฟรีนขอรับ”เจ้าของชื่อก้มศีรษะให้แก่ผู้มีพระคุณ
สายตาลอบมองร่างสูงในเสื้อคลุมยาวสีเทาอ่อน ยังคงกลัดด้วยทองคำเหมือนเดิมหากแต่นายน้อยตระกูลเลอรองก์เติบโตเป็นชายหนุ่มแล้ว
เส้นผมสีเข้มหนาถักเป็นเปียตามแบบแอซไพรส์ชั้นสูงของยูโธเปีย ครอบด้วยเครื่องทองประดับเพชรสีเขียว
“ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้างครับ?”เขาอดจะถามไม่ได้
เขาจินตนาการภาพของเด็กหญิงจอมซนในอาภรณ์สูงค่าเช่นนี้ไม่ออก “นางเป็นเด็กฉลาด
ทุกคนในปราสาทชอบนางมาก”ซิลอยด์ยิ้ม น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำกว่าเดิม ช่วงเวลา 3 ปีไม่มากไม่น้อยเกินไปในการปรับตัว
รีเวฟ์ก้าเมื่อตอนนี้ไม่ขี้แยเหมือนในอดีต เด็กหญิงสดใสร่าเริง
ไม่นานก็กลายเป็นดนตรีในความเงียบเหงาของปราสาทเลแรงก์ บางคราวก็ไพเราะเพราะพริ้ง
บางคราวก็แผดเสียงลั่น บางคราวก็อ่อนหวานนนุ่มละมุน ช่วยทำให้บาเรียนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังภรรยาจากไป
“นางคิดถึงเจ้าเสมอ”
“กระผมก็คิดถึงนาง”ราฟรีนตอบคำ
รอยยิ้มเศร้าสร้อยประดับริมฝีปาก “เช่นนั้น ข้าพาเจ้าไปเยี่ยมรีเวฟ์ก้าจะดีหรือไม่?”
“เอ๋? แต่กระผม...”
“หรือว่าเจ้าไม่ว่าง?”ซิลอยด์เลิกคิ้ว
“ว่างขอรับ”
“งั้นเจ้าก็ตามข้ามา
นางต้องหายงอนข้าแน่ๆ”เจ้าของเส้นผมสีเข้มยิ้ม เดินนำไปยังทางที่ราฟรีนไม่คุ้นเคย ผ่านหลายชั้นที่เขาไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน
จวบจนถึงปราสาทหลังเล็กของดัชเชสแห่งเลแรงก์ที่เป็นหอสมุดและโรงเรียนขนาดย่อมสำหรับผู้คนในหอดารา
เสียงเจื้อยแจ้วดังดุจระฆังเงิน มันลอดออกจากจากประตูไม้บานหนาที่สลักลวดลายวิจิตร
ซิลอยด์ผลักประตูเข้าไปพบร่างของว่าที่ดาราพยากรณ์กระโดดโลดเต้นอยู่บนกองหมอน
พื้นที่รอบๆมีม้วนตำรากองอยู่
“อะแฮ่ม”พี่ชายคนโตของตระกูลเลอรองก์ส่งเสียง
เรียกสายตาใส่ซื่อของเด็กหญิงที่ทิ้งตัวนั่งพับเพียบจนกระโปรงป่องเป็นทรงกลม “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเรียนหนังสือเสียอีก”
“เรายังเคืองท่านพี่อยู่นะ”เธอหันหน้าไปทางอื่น
สรรพนามที่เธอใช้สร้างความแปลกใจแก่คนที่แอบฟัง “งั้นหรือ? แย่เลยนะ...ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย”เธอยังคงไม่หันมา
“แหม ขอโทษทีทำให้เสียเวลานะ
เดี๋ยวข้าจะพาเจ้ากลับก็แล้วกัน ราฟรีน”ซิลอยด์หันตัวออกจากห้อง
หวังจะได้ยินเสียงร่ำร้องของน้องสาว
ทว่ากลับผิดคาดเมื่อแรงกระแทกจากด้านหลังพุ่งใส่ทำเอาเขาถึงกับเซ
รีเวฟ์ก้าวิ่งหน้าออกมาด้วยใบหน้าเหยเก มันจะยิ่มก็ไม่ใช่ คล้ายจะร้องไห้ก็ไม่เชิง
อารมณ์หลากหลายสะท้อนในดวงตาสีเดียวกันของผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ เมื่อร่างเล็กกระโดดเข้ากอดจนทั้งสองล้มไปหาร่างสูงสง่าของนายน้อยแห่งเลอรองก์พร้อมกัน
“ข้ารู้สึกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก....”ซิลอยด์ถอนหายใจ
ยกแขนสองข้างของตนเองโอบแผ่นหลังแคบของเด็กหนุ่มตรงหน้าไปจนถึงชุดกระโปรงฟู่ฟ่าของคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ไม่เหลือมาดผู้ดี
“ราฟรีน ราฟรีน!”รีเวฟ์ก้าแผดเสียงร้องลั่น เธอไม่เรียกชื่อเขาว่าลาฟีนอีกแล้ว เด็กหนุ่มไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆของตนได้
จึงซุกศีรษะเข้าหาเส้นผมสีดำขลับที่ประดับด้วยเครื่องเงินราคาแพงเกินกว่าเขาจะนึกถึง
“ท่านพี่มาอีกได้ไหม?”เด็กหญิงดึงชายเสื้อของพี่ชายแท้ๆ
เขาส่งสายตาไปถามผู้ที่มีสิทธิ์ในเป็นพี่ของเธอย่างถูกต้อง “เอาสิ
ถ้าต่อไปเจ้าอยากมาก็มาได้เลย”ซิลอยด์พยักหน้า สร้างเสียงหัวเราะใส “เวก้าชอบให้พวกท่านอยู่ด้วยกัน
อยากให้พี่ชายสองคนอยู่กับเวก้าตลอดไปเลย!”
---------------------------------------------
ซิลอยด์ตอนเด็กๆนี่โมเอะดีเหมือนกันนะ 55555 ตลกตัวเองเหมือนกันค่ะ โบราณสถานนี่ถ้าไม่ร่วงลงไปก็คงไม่เจอ เหมือนพระเอกหนังจีนที่ต้องตกหน้าผาเพื่อเจอคัมภีร์ยังไงยังงั้น
ความคิดเห็น