ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #48 : 45th Tale : ดวงดาวนำทาง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 78
      2
      21 ก.ย. 58




     “ผมคิดว่าถ้าให้เลือกคุณกับอีลิจา ผมยอมเลือกเสนาบดีดีกว่าครับ”ลอเฟย์ตอบไปอีกทาง “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้อะไรเกี่ยวกับผมเยอะ”

    “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยมากกว่า”ซิลอยด์ขำ “มองดูตรงนี้”เขาหงายฝ่ามือขึ้น ปรากฏก้อนน้ำแข็งรวมตัวขึ้นในอากาศ มันลอยอ้อยอิ่งอยู่บนนั้น “มันคืออะไร?”

    “น้ำแข็งก้อนหนึ่ง”

    “ถูกต้อง เป็นน้ำแข็งธรรมดาเท่านั้น เจ้าเห็นเป็นเช่นนั้นไม่มีทางเป็นอื่นไปได้”เขากำมือจนมันสลายกลับไปเป็นละออง “แล้วตอนนี้เล่า?”

    “ไม่มีสิ่งใด”

    “งั้นหรือ?”ซิลอยด์เลิกคิ้ว “มีสิ่งหนึ่งอยู่ เพียงแต่เจ้ามองไม่เห็นมัน”เขาคลี่มืออกให้ไอเย็นไหลผ่านร่องนิ้ว “อากาศ...เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าโลกใบนี้ของเรา อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”

    “คุณตั้งใจจะเปิดฉากด้วยเกมปรัชญางั้นหรือครับ?”กองพันรัตติกาลถาม หนึ่งในสิ่งที่เขาแสนเกลียดและไม่ถนัดเป็นอย่างมากก็คือวิชาปรัชญา ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มคงต้องทุ่มปัญญาทั้งหมดในการเดิมพันกับมัน

    “มันง่ายกว่าที่จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เพราะเจ้าคงจิตนาการไม่ออกว่าโลกที่ไม่ใช่โลกของโอดินนั้นเป็นอย่างไร ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องการให้ใครเห็น ไม่เรียกร้องสายตา แต่ยังคงอยู่แม้จะไร้สีสัน เจ้าจะรับรู้มันยามเมื่อได้สัมผัส เมื่อชีวิตขึ้นอยู่กับมัน ดั่งการหายใจ....หากว่าขาด...ก็จึงจะรู้ว่าใกล้ความตาย”

    “แค่กๆ!!”อโฟรเดสสำลักเมื่อแรงกดบริเวณแผ่นหลังเพิ่มขึ้นจนปอดไม่อาจรับอากาศ แต่ก่อนที่คนผมดำจะไปถึงตัว ซิลอยด์โบกมือคลายเทพฤทธิ์ทิ้งไป

    “ผมสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่าคุณไปรู้เข้าได้ยังไง?”ลอเฟย์ยิ้มเคร่งเครียด ไรผมปรากฏเม็ดเหงื่อซึม ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ตอบคำถาม ส่วนหนึ่งของจิตใจของเขาหวนย้อนกลับไปในอดีตและได้มองเห็นเงาที่ชัดเจนของตนในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น คำถามที่ครั้งหนึ่งเขาเคยอ้อนวอน ซิลอยด์ทอดสายตาลงต่ำ ชั่วขณะเดียวแต่ทุกก็เล่นย้อนกลับมาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย

    หากว่าชีวิตมีชะตาที่ไม่อาจเปลี่ยนผัน ชีวิตของซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ก็ถูกกำหนดด้วยดวงดาวสามดวง ดวงแรกมาเยือนในคืนที่สุกสกาว ดั่งพลุไฟนับร้อยจุดเฉลิมฉลองแก่ท้องนภาที่มืดมิดให้สว่างจ้าด้วยแสงสีแดง มันคือคืนที่เจ้าชายแห่งยูโธเปียถือกำเนิด เสียงร้องแห่งชีวิตดังกึกก้องไม่ต่างจากอัสนีปลุกเครื่องดนตรีและเสียงอวยพรให้ดังระงมจนกลบความหนาวเย็นของเหมันต์นคร ซิลอยด์ในวัยเด็กยืนเคียงข้างบิดาผู้เป็นลอร์ดแห่งเลแรงก์ในเวลานั้น ทั้งตื่นเต้นและกระตือรือร้นจะที่ได้ยลโฉมหน้าของเด็กทารก

    ทว่าช่วงเวลาแห่งความยินดีคงอยู่ได้ไม่นานเมื่ออาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนในรูปของลูกไฟสีแดงฉานที่ลุกโชน ดวงดาวพุ่งตรงมาลงมา ทำลายอาณาเขตของนครลอยฟ้าจนพินาศ เศษแก้วที่ร่วงหล่นเหล่านั้นสะท้อนในดวงตาอ่อนวัย รอบข้างเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าจะมองตามทัน ซิลอยด์ถูกแรงของบิดาดึงไป

    “หลบ! หาที่หลบ!”มีเสียงตะโดนตั้งขึ้น ก่อนที่แสงสว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์จะระเบิดกลืนกินทุกสิ่ง ชั่วขณะนั้นเขามองเห็นแต่แสงสีขาวโพลน เมื่อเส้นเลือนรางเริ่มเกาะตัวเป็นวัตถุ ภาพที่เขาเห็นคือนิยามของความวินาศ แอซไพรส์ส่วนหนึ่งชักอาวุธของตนออกมา เข้าห้ำหั่นกับพวกเดียวกันอย่างโหดร้าย ท่ามกลางความชุนละมุนนั้นคือเสียงกรีดร้องและท่วงทำนองที่ก่อตัวจากโลหิต

    “กบฏ!”เงาของแอซไพรส์ผู้นั้นเป็นสีดำทะมึนดุจความลึกไล้อันไร้ที่สิ้นสุด นัยน์ตาของเขาโชนแสงสีแดงฉานไม่ต่างจากดาวหางที่พุ่งลงสู่นครลอยฟ้า แสงสีของเวทมนตร์ระเบิดปะทะกันตระการตานัก เพียงแต่ว่ามันมากับรังสีฆ่าฟันที่พร้อมปลิดชีวิตอย่างไม่เลือกหน้า

    “ลอร์ดบาเรียน! นำจดหมายฉบับนี้ไปยังวาเนอร์”ชายคนหนึ่งรี่เข้าหา ในมือยัดซองกระดาษสีขาวให้ผู้เป็นบิดารักษาไว้อย่างดี “ท่านรูเวน ฝ่าบาทล่ะ?”เขาถามมือขวาของราชาแห่งยูโธเปีย “ฝ่าบาทปลอดภัยดี”รูเวนตอบเพียงเท่านั้น เสียงร้องระงมเรียกให้เขาไปที่อื่น

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ดวงตาของเด็กชายได้เห็นโลหิตไหลนอง เศษซากของร่างกายที่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร เขาละสายตาไม่ได้ดั่งมีมือปีศาจจับศีรษะเอาไว้ แขนรู้สึกได้ถึงแรงลากจูงอย่างรีบเร่ง ร่างของเขานั่งลงบนหลังมังกรขนาบท้ายด้วยบิดา ทั้งคู่ออกโบยบินท่ามกลางหมู่ดาวตกที่พุ่งเต็มท้องฟ้า การมาถึงของดวงดาวสีแดงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น อุกาบาตรอีกนับร้อยกำลังสาดเทใส่ยูโธเปียราวกับห่าฝนที่น่าพรั่นพรึง ไม่มีใครทันคิดว่าผู้ใดหรืออะไรที่เหิมเกริมอยู่กระทำการเช่นนี้ ซิลอดย์เอี้ยวคอกลับไปยังซาเฟียที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบ ร่างสีดำยืดยาวดุจเงาจากแสงเทียนกำลังเติบโตขึ้น

    “โยธาน!”เขารู้ได้ในทันที

    “หันกลับมา หน้าที่ของเราไม่ได้อยู่ที่นั่น”บาเรียนกระชับบังเหียนมังกรบินในมือ ฝ่าสายหมอกและพายุร้าย แสงไฟของเลแรงก์อยู่ไกลออกไป ปรากฏเลือนรางคล้ายดวงหิ่งห้อย หัวใจของเขาอยากลอยไปที่นั้น ในหอดูดาวที่มีร่างของดาราพยากรณ์ประทับอยู่

    “ท่านแม่จะปลอดภัยไหม?”

    “พวกเราได้ปฏิญาณแล้วว่าจะรับใช้นายแห่งอีเซอร์ นางต้องพยายามอย่างเต็มที่ในศึกของตนเอง”

    บนลานหินอ่อนทรงกลมของหอคอยสูง บนพื้นมีผลึกไหลเวียนฝังเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยม อกาธารีบวิ่งขึ้นมาโดยสวมเสื้อคลุมยาวเพียงตัวเดียว ใบหน้าหวานะลุนของนางปรากฏความแตกตื่นเมื่อต้องพบกับฝนดาวตกสีแดงฉาน ไกลออกไปมีฝูงมังกรของนครเหนือคอยทำลายเศษหินไม่ให้ตกลงสู่โลกเบื้องล่าง ดวงตาหลบลงพักหนึ่งจึงเปิดขึ้น มันส่องแสงสรขาวสว่างไร้ลูกตาดำ ตำแหน่งดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าต่างปรากฏในคลองจักษุ

    ดัชเชสแห่งเลแรงก์ลากดาวที่ดับแสงดวงหนึ่งลงมา บังคับให้มันชนกับอุกาบาตรลูกใหญ่จนมอดไหม้ไปทั้งคู่ เชื่อมต่อจุดเล็กสีขาวบนท้องฟ้าให้เป็นตาข่ายและดึงพวกมันลงมาปกคุลมนครลอยฟ้า อาณาเขตดาราปกป้องยูโธเปียจากความพินาศ หญิงสาวงอตัวลงซบกันขอบกระเบียงอย่างอ่อนแรง ประจุแห่งชีวิตในร่างกำลังมอดไหม้ดั่งแสงของดวงดาวที่ลุกโชนเพียงครู่และริบหรี่ลง

    “เจ้าคือดาราพยากรณ์ของอีเซอร์งั้นหรือ?”เสียงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงแหลมสูงของสตรียังคงเยาว์วัยและแฝงด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเป็นใคร?”อกาธายืดตัวขึ้น มองไม่เห็นผู้ใด ฉับพลันดาวหางสีแดงพุ่งฉิวมายังลานหิน ห่างจากร่างที่ไหวหลบทันเพียงไม่กี่ฝ่ามือ

    เสียงหัวเราะระเบิดพร้อมกับเศษซากก้อนหินร้อนระอุ “ฮ่า ฮ่าๆๆ ผู้คนเรียกขานข้าว่าธิดาเทพแห่งอังนิฮา”ใบหน้าแสยะยิ้มกรีดกรายในเปลวเพลิงสีแดง “เทพธิดาของปีศาจงั้นหรือ? น่าตลกจริง”นางปาดแผลที่พวงแก้มจนรอยเลือดเปื้อนชัด “เพียงเพราะมนุษย์ยกย่องพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า มิไม่ได้หมายความพวกเจ้าเป็นเช่นนั้นหรอกอีเซอร์”เปลวไฟตอบ

     “ในเมื่อเจ้าขัดความสำราญของข้า ข้าจะทำให้เจ้าพินาศไปก่อนยูโธเปีย!

    “ท่านพ่อ นั่นระเบิด!”เด็กชายชี้กลับไปยังหอคอยสูงตระหง่านของตระกูลเลแรงก์ แสงสีแดงรุมเร้าดุจแมลงพุ่งเข้าใส่น้ำหวาน มันรวมตัวกันเปล่งแสงจ้าเหมือนดวงอาทิตย์กลางห้วงรัตติกาล หากแต่เป็นตะวันสีแดง “ซิลอยด์อย่าวอกแว่ก!”บาเรียนตวาด แสงสว่างที่ห่างตายิ่งทำให้เขาร้อนรน ผู้ถือสารโยกมังกรบินหลบดวงหางดวงขึ้นที่พุ่งลงมา เป็นเหตุให้ร่างเล็กที่กำลังหมุนตัวกลับมาลื่นไถลตกจากหลังมังกร!

    “ซิลอยด์!”ผู้เป็นพ่อร้องเสียงหลงท่ามกลางห่าฝนทอแสง เสียงร้องของลูกชายดังโหยหวน “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร เทพฤทธิ์ของข้า...!”มันหายลับไปในห้วงอากาศดังคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายตะครุบกลืนเข้าไปในทะเลหมอกสีดำ บาเรียนกัดฟัน เขารู้ว่าบุตรชายมีความสามารถในการควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ตั้งแต่เด็ก วินาทีที่จะพุ่งทะยานตามลงไปก็ถูกขัดขวางด้วยปีศาจในคราบดวงดาวอีกครั้ง เสียงกัมปนาทที่อยู่รอบกายเป็นดั่งคำเตือนจากรูเวน

    นำจดหมายฉบับนี้ไปยังวาเนอร์

    เขาพุ่งทะยานไปสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขาเลแรงก์ทันที

    “หวววววววววววา!!”เสียงกรีดร้องแหวกอากาศสีเทาทะมึนให้เป็นสองส่วนขณะที่ร่างเล็กร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง แอซก่อตัวเป็นแสงสีฟ้ารอบตัวเพื่อพยุงแรงโน้มถ่วงที่กำลงฉุดกระชากอย่างไร้ปราณีให้เบาบางลง ซิลอยด์หลับตาปี๋ประสานสองมือของตนไว้ที่หน้าผาก เขาร่วงผ่านความเย็นยะเยือกของหุบเขาและกิ่งก้านพฤกษาที่สร้างความเจ็บปวด ทว่าเด็กน้อยก็ยังไม่หยุดที่จะภาวนา

    “เบาลงสิ เบาลงอีก!”เขาตะโกน ไม่กล้าเปิดตาดูว่าตนเองอยู่ใก้ลพื้นมาแค่ไหน ตราบจนร่างกระแทกกับหินที่เย็นเฉียบอย่างแรง ราวกับความรู้สึกที่เคยมีถูกดึงหลายไปในครั้งเดียว ไม่นานเขาก็มองเห็นแต่ความมืดมิดและรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นร้อนของโลหิตในกาย...กำลังไหลทะลักออกมา ในความมึนงงนั้น ดวงแสงสีฟ้าสว่างขึ้นกลางความมืด มันเป็นจุดเล็กเท่าลูกแก้ว แล้วตามด้วยดวงไฟต่างๆ จนรอบกายถูกปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าที่มีรูปทรงประหลาดมากมาย เขาพยายามเอี้ยวคอมองสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงหวีดสูงคล้ายเครื่องจักรคำราม วินาทีนั้นทุกอย่างก็สว่างไสว

    Project GOD synchronizing

    เขานอนอยู่ท่ามกลางวิหารโบราณที่ทุกอย่างเป็นสีขาวตัดกับเถาวัลย์และไม้เลื้อยที่เกาะอยู่ตามผนังและเสารูปทรงแปลกตา จอภาพสีฟ้ามีแต่ตัวหนังสือที่ไม่เคยเห็น ด้านข้างมีแท่นหินใหญ่กองระเกะระกะอยู่กับเชือกเส้นหนาหลายม้วน

    DNA matching 4% Body damage 67% Curing session operates

    เสียงคนมาจากไหนกัน? กำลังพูดอะไรอยู่? ซิลอยด์เห็นบางอย่างที่เหมือนแขนขาขยับไปมาอยู่ด้านบน มันอาบแสงสีฟ้าเหมือนกับแอซลงบนตัวเขา คราวแรกเขาพยายามขยับหนี แต่ด้วยสังขารที่เกินจะฝืนทำให้ต้องหอบหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงที่เหมือนแมลงของพวกมัน

    “เธอเป็นใครเหรอ...?”เขาเอ่ยถาม แต่ก็ไม่มีเสียงผู้หญิงตอบกลับมาอีก ซิลอยด์ใจเต้นระทึก สักพักความอบอุ่นก็โอบรัดท่อนขาที่บาดเจ็บและแผ่ขยายามายังร่างกายที่ไร้ความรู้สึก ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงแขนขากลับมาขยับได้อีกครั้ง “นี่มัน.....”เขาปัดเศษเลือดสีดำที่แห้งกรังออกไป เผยให้เห็นผิวเรียบไร้บาดแผลของตน “Curing completed

    “เธอ เธอทำได้ยังไง!?”เด็กหนุ่มผวาลุกขึ้นยืน รอบกายเขามีแต่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาสำรวจรอบตัว ใช้มือลูบไปตามแท่นหินเย็นชืดเหล่านั้น มองเห็นแผงวงจรที่คล้ายกับนวัตกรรมของน่านฟ้ากลางยู่ด้านบน หรือว่านี่อาจเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของแอสการ์ด เงยหน้ามองก็เห็นบนเพดานมีรูโหว่ขนาดเล็กที่เขาตกลงมาอย่างบังเอิญ

    “ข้าต้องไปแล้ว....”เขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่จากมา ซิลอยด์อาศัยเทพฤทธิ์ของตนกระโดดขึ้นไปบนเพดาน ภายนอกมันถูกปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียวค้ำและคลุกฝุ่นจนเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่ง ดูกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงแห่งอีเซอร์ เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ และเริ่มใช้ฝ่ามือเล็กๆเกาะเกี่ยวขึ้นไปตามร่องหิน เขาต้องกลับขึ้นไปบนนั้น ต้องกลับขึ้นไปให้ได้

                 ร่างของมารดานอนนิ่งแท่นศิลาที่แกะสลักจากหินอ่อนชั้นดี ผิวกายของนางเย็นเฉียบและใบหน้าหวานละมุนซีดเซียว เด็กชายเนื้อตัวมอมแมมยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างเย็นชืด ใบหน้าของเขานิ่งสนิทเกินกว่าจะคาดเดาได้ ซิลอยด์ไม่อาจละสายตาไปจากผู้เป็นแม่ ราวกับหากเผลอมองไปทางอื่น นางจะอันตธานหายไป เขาไม่จากไปไหนและไม่รู้สึกง่วงแม้เวลาจะเลยผ่านหลายคืนวัน เด็กชายมองเนิ่นนานเท่าที่จะมองได้ตราบจนวินาทีสุดท้าย

    ร่างของมารดาถูกลำเลียงไปยังระเบียงที่เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ของดาราพยากรณ์ แสงของดาวเหนือส่องลงมายังร่างไร้ชีวิต และพานางขึ้นไปเพื่อหลอมรวมกับหมู่ดวงดาว ซิลอยด์ส่งเสียงในคอเป็นอึกแรก เขาวิ่งตามละอองสีเงินที่ลอยอยู่ในอากาศ ไขว่คว้าร่างของอกาธาที่กำลังสลายไป เสียงกรีดร้องบาดหัวใจผู้มาร่วมพิธีศพ บาเรียนต้องกอดเขาเอาไว้ที่สุดปลายระเบียง รั้งร่างของลูกชายที่ผวาเอื้อมมือออกไป หวังจะแตะส่วนหนึ่งของผู้เป็นแม่แม้เพียงนิดเดียว ละอองแสงเย็นตาสัมผัสปลายนิ้วสกปรกดั่งหยดน้ำตาที่ร่วงหล่น ก่อนที่หมู่ละอองดาวจะลอยหายไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล จากไปและไม่กลับมาอีกชั่วนิรันดิ์

    “ฮือออ ฮือออออออออ!!

    ภาพในวันนั้นไม่เคยหายไปจากจิตใจของเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว จนร่างกายของเด็กชายล่วงเลยเข้าวัย 15 ปี อากาศหนาวเย็นของยูโธเปียไม่เคยต่างจากเดิม   แต่ประกายความมีชีวิตชีวาได้เลือนหายไปหมดแล้ว เขาเพิ่งได้เป็นขุนนางในสภาเหนือเมื่อวานนี้ ยังเป็นเพียงผู้ติดตามของบิดา แต่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกต่อไป ซิลอยด์จับมือของรูปปั้นมารดา “วันนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ?”เขาถามอย่างอ่อนโยน

    ใบหน้าที่สลักจากศิลายิ้มอย่างการุณย์ ทว่ามีวูบหนึ่งที่เขารู้สึกไปเองว่ารอยยิ้มของอกาธานั้นแฝงด้วยความเศร้าสร้อย มันเป็นเวลานั้นเองที่ดวงแสงสีขาวสว่างลอยออกมาจากหน้าผากเกลี้ยงเกลา กลายเป็นดวงดาวขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ หากย้อนคิดในเวลานี้รอยยิ้มที่โศกตรมของมารดาคงเป็นเพราะรู้ว่าดวงดาวของนางกำลังจะนำชีวิตของผู้เป็นบุตรชายไปหาโชคชะตาที่ไม่อาจถอยหนี นำเขาไปสู่บ้านหลังเล็กจ้อย ณ ปลายสุดของทวีปเหนือ ที่นั่นเขาจะได้กลายเป็นพี่ชายของเด็กหญิงคนหนึ่ง ซิลอยด์หยุดยืนหน้ารั้วไม้ที่เล็กกะทัดรัด อาภรณ์ยาวของเขากลายเป็นของที่ดูประหลาดเมื่อความเย็นยะเยือกของเหมันต์ฤดูคล้ายจะย่างกรายห่างจากที่นี่ ต้นโอ๊คใหญ่ในสวนยังคงเขียวชอุ่ม

    “เวก้า ทำไมน้องถึงไปอยู่ตรงนั้น!”เด็กชายส่งเสียงร้องเมื่อร่างเล็กจ้อยร้อยที่เขากำลังตามหายื่นหน้าออกมาจากกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่สูงเสียจนต้องเงยหน้ามอง เส้นผมสีดำขลับยุ่งเหยิงและแซมด้วยใบไม้ “นก นก”รีเวฟ์ก้าในวัยสามขวบร้องเสียงใส นายน้อยแห่งเลแรงก์หยุดมองอยู่ที่ทางเดินแคบๆที่เป็นเพียงร่องดินธรรมดา

    “ลงมาเร็วเข้า ท่านแม่บอกว่าวันนี้จะมีแขกมาหานะรู้ไหม?”เขามีเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลแดง รูปร่างผอมเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน “ลาฟีน!”ผู้เป็นพี่เหยียดแขนเพื่อที่จะรับเด็กหญิงลงมา เขากลัวว่าเธอจะพลาดหล่นลงมาบาดเจ็บ แต่ที่ไหนได้เธอกลับกระโดดเข้าใส่เขาเต็มที่

    “เวก้า! เหวออ!”อุกาบาตรลูกเล็กจู่โจมจนหงายหลัง เขากอดน้องสาวไว้แน่นขณะหลับตาปี๋เมื่อรู้ว่าร่างกำลังเสียหลักลอยอยู่กลางอากาศ ....ทว่าสิ่งที่รองรับอยู่กับเป็นสัมผัสหนานุ่มและกลิ่นหอมอ่อนๆของอบเชย มือคู่หนึ่งจับไหล่บางเฉียบของเขาไว้

    ราฟรีนเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกันใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ดวงตาสีเข้มเช่นเดียวกับเส้นผมและคิ้วดกหนาทอดมองด้วยความสนใจ เด็กหนุ่มที่ปรากฏกายสวมชุดคลุมขนสัตว์กลัดด้วยทองคำ คอเสื้อสูงติดระบายอ่อนช้อยทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสุภาพนุ่มนวล มันอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียว

    “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”ซิลอยด์ยิ้ม ผู้เป็นพี่หน้าแดงเถือก เขารีบถอยออกมาและก้มศีรษะพร้อมกับร่างเล็กจิ๋วในอ้อมแขนเหมือนอุ้มลูกแมวตัวหนึ่ง “ขะ ขะ ขอโทษครับ!”คนคนนี้ต้องเป็นแอซไพรส์ราชวงศ์อย่างแน่นอน เด็กหญิงมองร่างที่ดูผิดแผกจากบรรยากาศรอบตัวแล้วเอื้อมมือไปดึงขนหนานุ่ม

    “เวก้าอย่าเล่นแบบนี้สิ”ราฟรีนเอ็ด ก่อนที่คำถามหนึ่งจะขัดขึ้น “เวก้า...หรือว่าเด็กคนนี้คือรีเวฟ์ก้า?”แอซไพรส์ชั้นสูงเอ่ยถาม เขาใช้มือลูบปลายคางขณะมองดวยตากลมโตสีอ่อนเบื้องล่าง

    “เอ๋?”เด็กชายอุทาน “ใช่งั้นหรือ?”เขารู้ได้จากเสียงของอีกฝ่าย นายน้อยแห่งเลแรงก์จึงย่อตัวลงคุกเข่า ปล่อยให้เสื้อคลุมราคาแพงของตนกองลงบนพื้นหญ้าที่ชุ่มชื้น เขาแกะมือนุ่มนิ่มของเธอมาประคองไว้ในอุ้งมือของตน ซิลอยด์ยิ้มให้กับใบหน้าอ่อนเดียงสานั้น ยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งใด เพราะเขาได้พบเศษเสี้ยวหนึ่งของมารดาในตัวเด็กหญิงคนนี้ “ข้ามารับท่าน ดัชเชสของพวกเรา”

    “คุณนายไม่ต้องกังวล เราจะดูแลบุตรสาวของท่านอย่างดี”ซิลอยด์จูงมือเด็กหญิง ขณะกล่าวเจรจากับเจ้าของบ้านรอนซาน หญิงวัยกลางคนเจ้าเนื้อมีหน้าตาที่อ่อนล้าและเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งยินดีและเศร้าสร้อย ขณะเดียวกันก็มีแววเหนื่อยระคนโล่งใจด้วย “นายท่านรับเด็กคนนี้ไปดูแลก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้ว บ้านของเราไม่มีเงินมากนัก หากว่าตระกูลเลอรองก์สามารถอุปการะการศึกษาให้บุตรชายของดิฉันได้คงดีไม่ใช่น้อย”

    นางผ่อนลมหายใจ รู้สึกว่าเป็นโชคดีเหลือแสนที่ดวงดาวแห่งวีนัสลงมาจุติในร่างของบุตรสาวคนเล็ก แม้จะคิดถึงลูก....แต่จากนี้ไปเธอคงมีชีวิตที่ดีเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการ นางอยากให้โชคมหาศาลนี้ตกแก่บุตรชายคนโตที่เป็นความหวังของครอบครัวสักนิดก็ยังดี แน่นอนว่าตระกูลเลอรองก์ต้องเจอเหตุการณ์นี้ทุกชั่วอายุคน ซิลอยด์นึกถึงคำสั่งของบิดาที่กำชับมาอย่างเด็ดขาดในเรื่องการต่อรอง

    “ได้สิ เราจะดูแลเขาเอง”เขาตัดสินใจว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก ทว่ามันกลับเป็นตะกอนหนักอึ้งในใจของผู้ฟังที่แนบร่างอยู่หลังประตูที่เปิดแง้ม ราฟรีนไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่รีเวฟ์ก้าจะเป็นน้องสาวของเขา ....ของเขาคนเดียว ใบเบิกทางที่ได้มาด้วยการสูญเสียเธอนั้นเขาไม่ต้องการ เด็กชายยกแขนขึ้นปิดหน้าเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แม้จะโกรธแค้นโชคชะตาสักเท่าไหร่ เขาก็รู้ดีกว่ามารดาได้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว หากว่าพวกเขาร่ำรวยอีกสักนิด....ก็คงไม่ต้องเสียเวก้าไป

    เด็กหญิงเดินออกจากประตูบ้านมาตามทางดินที่คุ้นตา ทว่าสายลมและบรรยากาศในวันนี้กลับชวนหงอยเหงา เธอยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่เวก้าประจักษ์คือเธอกำลังจะต้องไปจากที่นี่

    “ฮึก.....”เสียงสะอึกทำให้คนตัวสูงหยุดเดิน เมื่อเข้าเหลียวไปมองก็พบร่างเล็กยืนห่างออกไปด้านหลัง สองมือขยำกระโปรงในมือแน่น “ท่านแม่ไม่รักเวก้าแล้ว เพราะเวก้าผมสีดำใช่ไหม?”เธอแค่นแต่ละพยางค์อย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงเครือ “ใครใครก็ไม่ชอบเวก้า เพราะเวก้าผมสีดำ”ใบหน้าของเธอก้มต่ำ แต่ยังเห็นปลายจมูกแดงก่ำและหยดน้ำร่วงเปาะแปะ ซิลอยด์ก้มลงอุ้มร่างเบาหวิวขึ้นมาในอ้อมแขน

    “ไม่มีใครชอบเวก้าแล้ว”เธอปล่อยโฮ ใบหน้ากลมขึ้นสีเหมือนลูกมะเขือเทศที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำพราว “แต่ข้าชอบเวก้านะ”เด็กหนุ่มลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีรัตติกาล “ข้าอยู่จะอยู่กับเจ้าเอง ต่อไปนี้เจ้าเป็นน้องสาวของซิลอยด์แห่งเลแรงก์”เขาปล่อยให้เธอดึงเสื้อคลุมที่เลอะคราบน้ำมูกและน้ำตา เสียงร้องไห้ “เป็นรีเวฟ์ก้า ดัชเชสแห่งเลแรงก์”เขารู้ว่าคำพูดที่ยากเกินไปเหล่านี้ไม่สามารถบรรเทาความโศกเศร้าของเธอได้ ซิลอยด์กอดแผ่นหลังเล็กกระจ้อยร้อยแนบตัว ปล่อยให้เสียงร่ำไห้ที่บาดลึกกังวานต่อไป สองพี่น้องไม่เพิ่งได้พบหน้ากันเดินไปช้าๆ มีเพียงอ้อมกอดของพี่ชายคนใหม่ที่เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจ

    ดาวดวงที่สองได้นำเขาไปพบกับแอซไพรส์สองคนที่จะเป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาตลอดไป มันพาเด็กหญิงกลับสู่เลแรงก์ ที่สถิตของดาราพยากรณ์ ที่ซึ่งจะเป็นสถานจารึกชีวิตทั้งหมดของซิลอยด์ เลอรองก์ เดอ เลแรงก์ และเริ่มหมุนเส้นด้ายแห่งชะตากรรมที่ใช้เวลาถักทอถึง 3 ปีเพื่อนำเขาไปยังราวระเบียงในเขตการศึกษาชั้นล่างของปราสาทเวอดันซาร์ ที่ๆชายหนุ่มไม่เคยคิดจะมาเยือน และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเดินผ่านตรงนั้น

     “เดี๋ยวก่อน”เสียงเรียบเฉยทว่าทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ซิลอยด์หันกลับไปมองแผ่นหลังเพรียวลมที่ตนเรียกเอาไว้ มีความคุ้นเคยบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขา เส้นผมยาวประบ่าของอีกฝ่ายไม่ได้รวบ มันเป็นสีน้ำตาลแดงล้อกับประกายแดด เมื่อหันมาลอร์ดแห่งเลแรงก์ก็เอ่ยปาก

    “เจ้าคือพี่ชายของรีเวฟ์ก้า”เขาประหลาดใจที่ได้พบอีกฝ่ายอีกครั้ง เด็กชายในความทรงจำที่มีดวงตาเศร้าสร้อยคนนั้นกลายเป็นเด็กหนุ่มในชุดบันฑิต เค้าโครงเปลี่ยนไปบ้าง แต่ใบหน้าขาวซีดยังติดจะซูบผอม ตั้งแต่วันนั้นราฟรีนก็เข้าศึกษาในเวอร์ดันซาร์ หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญ นักเรียนตัวเล็กๆอย่างเขาไม่ควรมีโอกาสได้พบกับขุนนางชั้นสูงแม้แต่น้อย

    “ราฟรีนขอรับ”เจ้าของชื่อก้มศีรษะให้แก่ผู้มีพระคุณ สายตาลอบมองร่างสูงในเสื้อคลุมยาวสีเทาอ่อน ยังคงกลัดด้วยทองคำเหมือนเดิมหากแต่นายน้อยตระกูลเลอรองก์เติบโตเป็นชายหนุ่มแล้ว เส้นผมสีเข้มหนาถักเป็นเปียตามแบบแอซไพรส์ชั้นสูงของยูโธเปีย ครอบด้วยเครื่องทองประดับเพชรสีเขียว

                “ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้างครับ?”เขาอดจะถามไม่ได้ เขาจินตนาการภาพของเด็กหญิงจอมซนในอาภรณ์สูงค่าเช่นนี้ไม่ออก “นางเป็นเด็กฉลาด ทุกคนในปราสาทชอบนางมาก”ซิลอยด์ยิ้ม น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำกว่าเดิม ช่วงเวลา 3 ปีไม่มากไม่น้อยเกินไปในการปรับตัว รีเวฟ์ก้าเมื่อตอนนี้ไม่ขี้แยเหมือนในอดีต เด็กหญิงสดใสร่าเริง ไม่นานก็กลายเป็นดนตรีในความเงียบเหงาของปราสาทเลแรงก์ บางคราวก็ไพเราะเพราะพริ้ง บางคราวก็แผดเสียงลั่น บางคราวก็อ่อนหวานนนุ่มละมุน ช่วยทำให้บาเรียนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังภรรยาจากไป

    “นางคิดถึงเจ้าเสมอ”

                “กระผมก็คิดถึงนาง”ราฟรีนตอบคำ รอยยิ้มเศร้าสร้อยประดับริมฝีปาก “เช่นนั้น ข้าพาเจ้าไปเยี่ยมรีเวฟ์ก้าจะดีหรือไม่?”

                “เอ๋? แต่กระผม...”          

                “หรือว่าเจ้าไม่ว่าง?”ซิลอยด์เลิกคิ้ว “ว่างขอรับ”

                “งั้นเจ้าก็ตามข้ามา นางต้องหายงอนข้าแน่ๆ”เจ้าของเส้นผมสีเข้มยิ้ม เดินนำไปยังทางที่ราฟรีนไม่คุ้นเคย ผ่านหลายชั้นที่เขาไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน จวบจนถึงปราสาทหลังเล็กของดัชเชสแห่งเลแรงก์ที่เป็นหอสมุดและโรงเรียนขนาดย่อมสำหรับผู้คนในหอดารา เสียงเจื้อยแจ้วดังดุจระฆังเงิน มันลอดออกจากจากประตูไม้บานหนาที่สลักลวดลายวิจิตร ซิลอยด์ผลักประตูเข้าไปพบร่างของว่าที่ดาราพยากรณ์กระโดดโลดเต้นอยู่บนกองหมอน พื้นที่รอบๆมีม้วนตำรากองอยู่

                “อะแฮ่ม”พี่ชายคนโตของตระกูลเลอรองก์ส่งเสียง เรียกสายตาใส่ซื่อของเด็กหญิงที่ทิ้งตัวนั่งพับเพียบจนกระโปรงป่องเป็นทรงกลม “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเรียนหนังสือเสียอีก”

                “เรายังเคืองท่านพี่อยู่นะ”เธอหันหน้าไปทางอื่น สรรพนามที่เธอใช้สร้างความแปลกใจแก่คนที่แอบฟัง “งั้นหรือ? แย่เลยนะ...ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย”เธอยังคงไม่หันมา

                “แหม ขอโทษทีทำให้เสียเวลานะ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้ากลับก็แล้วกัน ราฟรีน”ซิลอยด์หันตัวออกจากห้อง หวังจะได้ยินเสียงร่ำร้องของน้องสาว ทว่ากลับผิดคาดเมื่อแรงกระแทกจากด้านหลังพุ่งใส่ทำเอาเขาถึงกับเซ รีเวฟ์ก้าวิ่งหน้าออกมาด้วยใบหน้าเหยเก มันจะยิ่มก็ไม่ใช่ คล้ายจะร้องไห้ก็ไม่เชิง อารมณ์หลากหลายสะท้อนในดวงตาสีเดียวกันของผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ เมื่อร่างเล็กกระโดดเข้ากอดจนทั้งสองล้มไปหาร่างสูงสง่าของนายน้อยแห่งเลอรองก์พร้อมกัน

                “ข้ารู้สึกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก....”ซิลอยด์ถอนหายใจ ยกแขนสองข้างของตนเองโอบแผ่นหลังแคบของเด็กหนุ่มตรงหน้าไปจนถึงชุดกระโปรงฟู่ฟ่าของคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ไม่เหลือมาดผู้ดี “ราฟรีน ราฟรีน!”รีเวฟ์ก้าแผดเสียงร้องลั่น เธอไม่เรียกชื่อเขาว่าลาฟีนอีกแล้ว  เด็กหนุ่มไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆของตนได้ จึงซุกศีรษะเข้าหาเส้นผมสีดำขลับที่ประดับด้วยเครื่องเงินราคาแพงเกินกว่าเขาจะนึกถึง

                “ท่านพี่มาอีกได้ไหม?”เด็กหญิงดึงชายเสื้อของพี่ชายแท้ๆ เขาส่งสายตาไปถามผู้ที่มีสิทธิ์ในเป็นพี่ของเธอย่างถูกต้อง “เอาสิ ถ้าต่อไปเจ้าอยากมาก็มาได้เลย”ซิลอยด์พยักหน้า สร้างเสียงหัวเราะใส “เวก้าชอบให้พวกท่านอยู่ด้วยกัน อยากให้พี่ชายสองคนอยู่กับเวก้าตลอดไปเลย!


    ---------------------------------------------

    ซิลอยด์ตอนเด็กๆนี่โมเอะดีเหมือนกันนะ 55555 ตลกตัวเองเหมือนกันค่ะ โบราณสถานนี่ถ้าไม่ร่วงลงไปก็คงไม่เจอ เหมือนพระเอกหนังจีนที่ต้องตกหน้าผาเพื่อเจอคัมภีร์ยังไงยังงั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×