คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : 44th Tale : เส้นทางสู่เลแรงก์
ความมืดครอบครองอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็ถูกขับไล่จากแสงเทียนที่พร้อมใจกับสว่างขึ้น
ย้อมห้องที่ถูกตกแต่งอย่างดีด้วยสีส้มละมุนตา
เพียงแต่ว่าเมื่อมองผ่านเกราะโปร่งสีที่มีสีน้ำเงินเข้ม
และยังถูกทหารสี่คนที่มึอาวุธครบมือเฝ้าไม่ห่าง
ความงดงามของสถาปัตยกรรมก็ออกจะจืดจางลงไปบ้าง ห้วงมฤตยูของซิลอยด์หายไปแล้ว
แต่ผลลัพธ์ของมันยังคงอยู่กับคนในอ้อมแขนของเขา รีเวฟ์ก้าพิงตัวอย่างเหนื่อยอ่อน
เวทมนตร์รักษาทำงานดีที่สุดเท่าที่มันจะทำได้สำหรับบาดแผลร้ายแรงในตัวหล่อน
“แผนภูมินั้นมีอายุเกือบ 500 ปี
มันจึงยากที่จะถูกค้นพบ เวลาที่ดาวสามดวงเรียงกันเป็นเส้นตรงในคืนเดือนมืด
ประตูวาเนอร์จะคลายผนึก
แต่ว่ามันก็ยังต้องการแอซปริมาณมหาศาลในการเปิด....”หล่อนกุมหน้าอกที่ปวดร้าวของตน
“เราไม่คิดว่าแอซไพรส์ระดับ 2 จะสามารถทำได้โดยลำพัง”
แต่ถ้าเป็นแอซไพรส์หลายคนล่ะ?
หากว่าซิลอยด์สามารถหาวิธีดึงแอซออกมาได้จากความลับของผลึกฟ้าล่ะ?
เขานึกในใจพลางชำเลืองมองใบหน้าขาวซีดของรีเวฟ์ก้า
พี่ชายแท้ๆของเธอจะเป็นหนึ่งในคนที่สังเวยพลังของตัวเองเพื่อซิลอยด์หรือเปล่า?
หรือว่าราฟรีนจะมีค่ากับเขามากกว่านั้นกัน?
ไม่มีใครแม้แต่เด็กสาวที่รู้ว่ามีอะไรคั่นกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน
อุปกรณ์ส่งสัญญาณกระพริบไฟอ่อนแสง
ลอเฟย์แอบเอามันมาซุกไว้บนตัก หลบจากสายตาของทหารที่เฝ้าอยู่
สมแล้วที่เป็นรุ่นดัดแปลงพิเศษจากยูลิสท์ ใช้เวลาไม่นานมันก็กลับมาทำงานอีกครั้ง
เสียงร้อนรนของอโฟรเดสดังแผ่วเบาออกมา “เฮ้!
นายหายไปไหนกันเจ้าบ้า”ถ้าฟังไม่ผิดเหมือนจะได้ยินเสียงปืนคู่ของแม่คุณด้วย
“ผมเจอปัญหาอยู่ทางทิศเหนือครับ เมื่อครู่บังเอิญเจอราฟรีนด้วย
ดูเหมือนว่าเราจะช้ากว่าพวกเขาก้าวหนึ่ง”
“นั่นมันชัดเจนอยู่แล้วเฟ้ย
สิ่งที่ฉันอยากรู้คือเกิดอะไรขึ้นต่างหาก”คราวนี้เป็นเสียงโหยหวนแฮะ
ยูโธเปียจะได้จารึกฝีไม้ลายมือของมือปืนอันดับหนึ่งในน่านฟ้ากลางก็วันนี้
“ซิลอยด์จะเปิดประตูวาเนอร์ มีแอซไพรส์บางส่วนอยู่ฝั่งเดียวกับเขาด้วย
แต่ตอนนี้ผมกับดัชเชส เอ่อ...ติดอยู่ในอาณาเขตน่ะครับ ท่านหญิงบาดเจ็บหนัก
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณไม่ได้อยู่ในเขตแรงโน้มถ่วงใช่ไหม?”
“ฉันยังวิ่งไปไม่ไกลขนาดนั้น”หล่อนสบถเคล้าเสียงเปรี้ยงปร้างอีกหลายนัด
ได้ยินคำตอบแรกเขาก็โล่งใจ แต่ว่าประโยคถัดมานี่สิชวนให้หงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้
“ฉันจะไปช่วยนายก่อนก็แล้วกันเจ้าเบื๊อก”....ในสายตาคุณผมเป็นคนยังไงนะ? “นี่คุณใช้กระสุนหรือ?
อย่าฆ่าใครนะครับ!”
“ไม่ได้ฆ่าโว้ย!”ทางนั้นแยกเขี้ยว
อโฟรเดสระบายอารมณ์กับกลุ่มทหารที่อยู่สุดปลายทาง อาวุธของหล่อนได้เปรียบอย่างยิ่งในสมรภูมิจำกัด
ปืนยังถือเป็นอาวุธที่ใหม่เกินว่าน่านฟ้าโบราณแห่งนี้จะรับมือทัน
“ฉันไม่คุ้นเส้นทางในปราสาท นายมีอะไรที่สร้างเสียงเฉพาะได้ไหม?
อย่างพวกโลหะหรืออะไรที่เคาะได้น่ะ?”หล่อนเอี้ยวตัวหลบ
ก่อนจะพลิกตัวเตะจนกระโปรงที่สวมอยู่พับซ้อนกันเป็นทบ
ของที่สร้างเสียงเฉพาะได้....เขานึกอยู่ชั่วครู่ก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
รูปทรงที่คุ้นเคยสัมผัสโดนฝ่ามือ “มันอาจจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียว
แต่ผมว่ามันน่าจะง่ายกว่าเอาดาบเคาะพื้นนะครับ”ลอเฟย์ยกนกหวีดของเกรซขึ้นจรดริมฝีปาก
มันทอดเสียงร้องยาวกังวานไปทั่วห้อง ออกไปถึงทางเดิน และสะท้อนไปทั่วปราสาทจนถึงโสตของแอซไพรส์จากแดนโพ้นทะเลในพริบตา
“ได้ยินล่ะ”ศีรษะของหล่อนหันไปตามทิศทางที่แผ่วเบาแทบจางหายในอากาศ
ทว่าคมชัดอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของคำสาปมรณะ ร่างบางมุ่งหน้าไปตามที่ตนสังหรณ์ทันที
“เฮ้ย!
เจ้าหยุดสักทีได้ไหม?”แอซไพรส์ที่เป็นผู้เฝ้าเดินมาเคาะกำปั้นนเกราะสีน้ำเงินกระเพื่อมไหว
สีหน้าของเขาหงุดหงิดอย่างยิ่ง “ลอร์ดเบลิช”รีเวฟ์ก้าจำได้ทันที
เจ้าของชื่อพ่นลมอย่างไม่สบอารมณ์
เขาเป็นขุนนางคนเดียวที่ถูกราฟรีนทิ้งไว้ที่นี่โดยบังเอิญ
ทั้งๆที่ควรจะได้ไปทำอะไรที่สำคัญกว่านี้แท้ๆ เจ้าตัวคิดอย่างรำคาญใจ
“ข้าขอสั่งให้เจ้าหยุดมันเดี๋ยวนี้เลยเจ้าคนแอสการ์ด!”
ทว่าคนในกรงขังยังแกล้งทำหูทวนลมต่อไป
ในเมื่อเขาไม่ได้มากจากแอสการ์ดนี่ “เจ้านี่กวนโมโหจริงๆ!”เบลิชนึกอย่างกระชากหน้ามนๆนั่นมาสั่งสอนสักที
แต่ติดที่อาณาเขตของผู้เป็นนายทำงานได้ดีเกินทน
“ทำไมท่านถึงเข้าข้างท่านพี่ล่ะคะ?”ดัชเชสแห่งเลแรงก์เอ่ยถามเสียงแข็ง เรียกความสนใจจากเขาได้ในที่สุด
“ทำไมหรือ....? อืม
มันไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายได้ง่ายๆหรอกนะท่านหญิง
ท่านเองก็เถอะทำไมถึงไม่โอนอ่อนตามพี่ชายไปเล่า
ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้”เขาลดตัวลงนั่งในระดับเดียวกับเด็กสาว
รีเวฟ์ก้าไม่คาดฝันถึงปฏิกิริยาที่ง่ายดายเช่นนี้ “สิ่งที่ลอร์ดซิลอยด์จะกระทำน่ะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกนะ
กลับกันมันยิ่งใหญ่มากต่างหาก
มันจำนำอุดมการณ์ของแอซไพรส์หัวใหม่ไปสู่ยุคที่ศิวิไลซ์!”เขาเสยผมด้านหน้าขึ้น
ในดวงตาลุกโชนด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นและศรัทธา
หากถามว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรล่ะก็...ลอเฟย์เพิ่งนึกออกว่าเขาดูเหมือนฟิลิป
“กระผมเองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในก้าวแห่งประวัติศาสตร์นี้ด้วย
แม้จะเป็นหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลัก
แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากลอร์ดราฟรีนโดยตรง!”เด็กหนุ่มปล่อยให้อีกฝ่านสาธยายต่อไปตามใจชอบขณะเฝ้าสังเกตุสิ่งต่างๆรอบตัว
น่าแปลก...คนพวกนี้ไม่ใช่คนเลวหรือถูกสั่งการมา แต่กลับเชื่อถือซิลอยด์อย่างจริงใจ
“อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้คืออะไรกันครับ?”เขาแกล้งทำตาเป็นประกาย
“พูดถูกใจกระผมจนได้ เจ้าคนแอสการ์ด!”เบลิชลุกขึ้นเชิดหน้า “นั่นก็คือองค์ความรู้จากวาเนอร์ยังไงล่ะ
ลองคิดดูสิว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่อาจรู้
บางทีสิ่งที่อยู่หลังประตูนั่นอาจจะเป็นเครื่องนำพาเราไปสู่อนาคตที่สดใสก็ได้! ยูโธเปียแห่งนี้เก่าแก่และมีแต่กลิ่นของความชรา
พวกเราไม่ต้องการใช้ชีวิตที่เหลือไปกับแบบแผนเดิมๆจนถึงวันตายหรอกนะ”
“นั่นคือคติประจำใจของพวกคุณงั้นหรือ?”ตอนที่ราฟรีนจะจากไป
ริมฝีปากของเขาพูดบางสิ่งที่ลอเฟย์อ่านไม่ออก
คาดว่าน่าจะเป็นรหัสลับที่ใช่กันในกลุ่มผู้ปฏิวัติ
“ฉลาดไม่เบานี่เจ้าหนุ่มแอสการ์ด
แต่มันไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะเข้าใจได้หรอกนะ”เบลิชคุยจมูกยืด
“....คุณเองก็เป็นวายร้ายประเภทสาธยายทุกอย่างที่รู้เหมือนกันนะครับ”
“ยังไงพวกเจ้าก็ไม่มีทางออกไปได้อยู่แล้วนี่
อาณาเขตนี้สร้างจากอาวุธลับที่แข็งยิ่งกว่าเพชรของลอร์ดซิลอยด์
พวกกระผมก็มีกันคนละชิ้น
ไม่อย่างนั้นคงเอาชีวิตไม่รอดจากห้วงอากาศเมื่อครู่หรอก”เขาเท้าสะเอว
“ทำไมกระผมถึงต้องมานั่งเฝ้าแบบนี้ด้วยนะ นี่มันน่าเบื่อสิ้นดีเล-“
“ในเมื่อมันน่าเบื่อนักก็ลงไปนอนเล่นซะหน่อยสิ!”เสียงแหลมแหวกอากาศราวกับนกเหยี่ยวกรีดร้อง
มันฟาดเปรี้ยงลงมาพร้อมห่ากระสุน เบลิชหันไปพบกับร่างที่ล้มลงของสองในสี่ทหารยาม
ใบหน้าของเขาซีดเผือดและยิ่งตื่นตะลึงเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นร่างของผู้มาใหม่
“ท่านหญิงคาตาร่า!”คู่เต้นรำคนสวยของเขายืนจังก้าโดยยังมีกลุ่มควันฟุ้งในอากาศ
“อย่าขัดขืนเลยครับ กระผมไม่อยากทำร้ายหญิงสาวที่งดงามเช่นท่า-“ ทหารที่เหลือพุ่งมาจากด้านหลังของขุนนางหนุ่ม
ทว่าพูดไม่ทันขาดคำผู้หญิงคนนั้นก็ยกปืนยาวขึ้นมาในแนวราบ ดวงตาสีน้ำผึ้งเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าสายฟ้า
“อย่าเรียกฉันว่าท่านหญิงนะเฟ้ย!”อโฟรเดสยิงนัดเดียวก็อัดแอซไพรส์ชั้นเลวกระเด็นไปด้วยคลื่นเสียงระดับสุดยอดของหล่อน
เอวบางหมุนพาตัวประชิดเบลิชที่แตกตื่นกับดาบในมือจนมันทิ่มออกไปไม่รู้เหนือรู้ใต้
ร่างบางถกกระโปรงที่หล่อนไม่มีเวลาถอดเพื่อยกขาเรียวเตะเสยคางจนฝ่ายเหนือหงายหลังในดอกเดียว
หากว่านั่นยังไม่สาแก่ใจของนางมารร้ายคนที่สอง
หล่อนเขี่ยดาบราคาแพงหลุดจากมือผู้ใช้ที่โหล่ยโทยแล้วกระทืบลงเต็มแผ่นหลังจากร่างที่กำลังจะลุกต้องร่วงลงไปกระแทกพื้นหินเย็นยะเยือก
อูย ท่าทางคางจะแตก ลอเฟย์มองแล้วสูดปากเบาๆกับลีลาร้อนแรงของคู่หูที่แม้แต่เขายังแทบต้องหยอดน้ำข้าวต้มมาแล้วหลายรอบ
ไซเรนเบลเวพักหายใจได้สองสามครั้งก็ได้ฤกษ์สลัดชุดกระโปรงที่แสนเกะกะออก
เผยให้เห็นเรียวขาปราดเปรียวในเครื่องแบบทหารสีขาวสะอาด
ปืนคู่ถูกเก็บลงที่ซองใต้สะโพกอย่างพอเหมาะเจาะ
“เปล่าประโยชน์!
ไม่มีใครทำลายอาณาเขตนี้ได้ทั้งนั้น!”เบลิสส่งเสียงอู้อี้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
เขาดูยับเยินขึ้นมากนับตั้งแต่วินาทีที่อโฟรเดสปรากฎตัวซึ่งก็คือไม่กี่วินาทีก่อนเท่านั้น
เด็กหนุ่มอดสงสารไม่ได้ขณะลุดขึ้นปัดชุดของตนเอง ก่อนจะเดินมาหน้ากำแพงใสสีน้ำเงิน
“ว่ายังไง?”มือปืนพระกาฬแยกเขี้ยวถาม
ได้รับเสียงอืมยาวๆในลำคอเป็นคำตอบ อันที่จริงเขาเองก็สงสัยอยู่นานเหมืนกัน
แต่จากสมการต่างๆที่คำนวณเอาในหัวแล้ว...ลอเฟย์ยกมือขึ้นทาบเกราะบาง
แสงสีน้ำเงินที่เข้มข้นยิ่งกว่าลุกโชนขึ้นจากเบื้องลึกในกาย มันแรงกล้าเสียจนคนที่อยู่ใกล้ต้องหรี่ตา
ว่าแล้วเขาก็ลองใช้ปลายนิ้วชี้เคาะหนึ่งครั้ง
เคาะอีกแล้วก็เคาะ...รอยร้าวเท่าหยากไย่ขนาดเล็กปรากฏและลุกลามไปทั่ว อาณาเขตแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี!
รีเวฟ์ก้าเบิ่งมองด้วยสายตาเหลือเชื่อไม่ต่างจากเบลิชที่เหลือกมองเศษเล็กๆร่วงหล่นในอากาศเหมือนกับหิ่งห้อยที่ค่อยๆสลายไปอย่างสิ้นหวัง
“แหม
บังเอิญว่าผมออกมาได้น่ะครับ”ใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มร่าพลางเอามือลูบต้นแก้เก้อ
“ยังไงของเทียมก็ไม่สู้ของแท้สินะ”ดวงตาสีน้ำผึ้งมองมือขวาที่เปล่งแสงสีน้ำเงิน
“ไม่เสียชื่อที่เป็นโล่สุดแกร่งนะครับ ใช้เคาะกำแพงก็ได้เหมือนกัน”ลอเฟย์ยิ้มแฉ่ง
“ให้ตายเถอะ
เสียแรงเปล่าชะมัด”อโฟรเดสส่งเสียงจิ๊ดังๆ “ยังไงท่านหญิงก็เคลื่อนที่ไม่ได้
แถมคุณก็เป็นพวกหลงทิศ ผมรอตรงนี้น่ะง่ายกว่า”
“แกว่าใครหลงทิศกันห้ะ!”หนึ่งนัดเข้าที่หน้าผาก
เล่นเอาเขาหน้าหงายไปเลย ในความมึนงงเขาได้ยินเสียงเด็กสาวกรี๊ดอยู่เบื้องหลังพร้อมๆ
ถ้าเขามองเห็นก็จะได้พบสีหน้าซีดจนม่วงของเบลิชด้วย
“เสียแล้วซ่อมไม่ได้นะครับ”เขาค่อยๆก้มหน้ากลับมาพร้อมกับภาพเส้นผมสีน้ำตาลที่มอดไหม้ไปราวกับกระดาษติดไฟ
กลายเป็นสีดำสนิทดุจราตรีไม่ต่างจากเครื่องแบบที่สวมใส่
ตราพระจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นข้างใต้เครื่องหม่ยสามเหลี่ยมของกองทัพหลวงที่สลายไป
“จริงๆแล้วผมไม่ได้มาจากแอสการ์ดหรอกครับ อ๊ะ แต่ทางไวยากรณ์ถือว่าพูดถูกนะครับ”ในเมื่อเขานั่งมังกรบินมาจากลัสท์เทรลจริงๆนี่นะ ลอเฟย์ในสภาพเดิมย่อตัวลงตรงหน้าแอซไพรส์ผู้หมดสภาพ
“ข้อความที่ผมไม่เข้าใจคืออะไรเหรอครับ?”
ทีแรกเบลิชส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายและปฏิญาณความภักดีต่อลอร์ดแห่งเลแรงก์จนกระทั่งหนึ่งในสองปืนคู่เจาะรูบนพื้นห่างจากศีรษะของเขาไปแค่เซนติเมตรเดียว
“กระผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วมันแปลว่าอะไร! แต่มันใช้แทนความหมายของการเริ่มต้นใหม่!”เขาละล่ำละลั่กท่ามกลางสายตาครุ่นคิดและรอคอยของดวงตาสีน้ำเงิน
“ L-Let there be light, for the
darkness shall gone....”
“ภาษาวาเนอร์”คนผมดำกระพริบตา
“นายรู้ไหมว่าแปลว่าอะไร?”คนข้างบนส่งสายตางุนงงมาให้ ขณะนั่งลงมัดตัวหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการณ์ที่ดิ้นไปมาเหมือนดักแด้
“ผมพึ่งเริ่มฝึกน่ะครับ
คนที่รู้ก็คงจะเป็นยูลิสท์”เขานึกถึงคนที่มักจะโผล่มาได้จังหวะเสมอๆ “ถ้าเจ้านั่นโผล่มาตอนนี้
ฉันยอมติดหนี้พนันนายหนหนึ่งเลย”อโฟรเดสเองก็รู้ความคิดนั้นจากที่คลุกคลีในหน่วยสิบสี่มานาน
คนผมดำรับคำด้วยรอยยิ้ม และ....พูดถึงพ่อมด
“พ่อมดก็มา”ลอเฟย์เลิกคิ้ว
ออกจะตะลึงเล็กน้อยในครั้งนี้ที่อดีตนักวิทยาศาสตร์โผล่มาได้ตรงเวลาจริงๆ
สองหนุ่มต่างสีผมมาในสภาพสะบักสะบอม
อัลเธียหอบหายใจแต่ก็ยังเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม
ในขณะที่ยูลิส์เดินทอดน่องพักจากการวิ่งหลายกิโล ในมือถือบางอย่างที่ดูเหมือนเชิงเทียนยาวมาด้วย
ทั้งสองมีเหงื่อไหลชุ่มโชกทั้งที่อากาศบนนี้หนาวเย็น
ดวงตาสีน้ำเงินสังเกตเห็นคราบสกปรกสีแดงแล้วหรี่ตาลง
ดูท่าว่า...เขาจะมาถึงจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ
อัศวินหนุ่มสบตาเขาเมื่อเดินผ่านแล้วดึงชายเสื้อของตนเองปิดส่วนที่เปื้อนคราบเลือดก่อนจะเข้าไปประคองร่างของดัชเชสแห่งเลแรงก์
“สิ่งที่เราเจอในมิดการ์ดไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่แฮะ
ดูเหมือนซิลอยด์จะไม่หวงผลึกฟ้าเอาเสียเลย”ยูลิสท์หยุดยืนข้างรุ่นน้องในกองพัน
“สิ่งที่ข้าพอประเมินได้จากซากโบราณสถานที่ถูกเผาอยู่ใต้ก้นเหวก็คือพวกมันมาจากวาเนอร์”
“เมื่อครู่ผมพึ่งได้รหัสภาษาวาเนอร์มาอีกชุด
ท่าทางซิลอยด์จะพบอะไรเข้าจริงๆ”พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน “ในนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สังเคราะห์ผลึกฟ้าอยู่ด้วย
ดูเหมือนวาเนอร์จะมีวิทยาการที่สามารถทำความเข้าใจโครงสร้างของแอซไพรส์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”ร่างสูงหยุดครู่หนึ่ง
“บางทีมันอาจจะรู้ไปถึงจุกกำเนิดของแอซไพรส์ด้วยก็ได้”เรียกดวงตากลมโตสีน้ำเงินเข้มให้หันไปมอง
“ข้าติดต่อหัวหน้าของเราแล้ว นี่เป็นภารกิจระดับ 6 นางเล่นกำชับไว้แบบห้ามล้มเหลวเลยล่ะ”
“เรามีสิทธิ์ล้มเหลวด้วยหรือครับ?”เด็กหนุ่มหัวเราะประชด
ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปทุกที อโฟรเดสโยนเบลิชไปไว้ในห้องเก็บของ
ขณะที่หล่อนเดินผ่านไปเขาก็แอบกระซิบ
“คุณติดหนี้พนันผมหนหนึ่งแล้วนะครับ”ได้ครับคำตอบเป็นการตบไหล่จนหน้าคว่ำทีหนึ่ง
อัลเธียใช้เวทมนตร์รักษารีเวฟ์ก้าจนพอเดินเหินได้
ใบหน้าที่ขาวกระจ่างของหล่อนยังคงซีดเซียว แต่ริมฝีปากสีชมพูเริ่มกลับมามีรอยยิ้มบ้างแล้ว
“เราจะไปที่หอดูดาว
ถ้าเป็นที่นั่นเราจะพอทำอะไรได้บ้าง
ในบันทึกเก่าๆน่าจะมีแผนภูมิดาราที่ใช้แก้วิกฤตนี้ได้”หล่อนอธิบายภายใต้สายตาเป็นห่วงของอัศวินประจำตัว
“เจ้าไม่ควรฝืนตัวเอง” มือบางจับลงที่ข้อมือเขา เวก้าส่ายหน้าเบาๆ “เพราะเป็นท่านพี่
เราจึงต้องพยายาม
อัลเธียควรจะไปกับพันตรีวาอินนา...”ไม่ขาดคำร่างบางก็สำลักเลือดที่คั่งค้างในร่างของตนเอง
“สภาพแบบนี้เจ้ายังจะพูดอีกหรือ!”ชายหนุ่มรับร่างเบาหวิวเอาไว้
“วางใจเถอะท่านหญิง ในเมื่อซิลอยด์จะเปิดประตูแห่งวาเนอร์
ข้าก็จะตรงไปที่ด้านเลแรงก์ รับรองว่าไม่หลงทางแน่นอน”ยูลิสท์ยิ้ม
เขามองตากับคนผมเทาเป็นหลักประกัน
ในนั้นมีทั้งความลำบากใจและไม่ไว้วางใจผสมปนเปกัน อัลเธียระบายลมหายใจออกมา
“ข้าจะไปกับเวก้า”
“เรื่องใช้กำลังให้เป็นทางนี้แล้วกัน ยังไงเสียพวกข้าก็ไม่ถนัดด้านเวทมนตร์อยู่แล้ว”พันตรีวาอินนาพยักหน้าพลางชายตามองไปที่สองสมาชิกที่คนหนึ่งก็โดนสาป อีกคนก็ผลาญแอซเป็นโล่ไปเสียแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะเหอะๆดังมาจากนางเงือกตัวแสบ เจ้าของดาบกรันเตพยักหน้าเบาๆ จากฝีมือที่ร่วมทางกันมาน่าจะทำให้วาอินนารอดตัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง
“ฝากพวกเจ้าด้วย”
ลอเฟย์รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาทางเขา มันดูเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน เด็กหนุ่มยิ้มให้อดีตเพื่อนร่วมกองพันในวันนี้ที่พวกเขาได้ร่วมมือกัน “แล้วค่อยเจอกัน” อีกฝ่ายทิ้งคำตอบไว้ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง เสียงของการต่อสู้ดังเป็นระยะ แต่ไม่มีเวลาให้เหลียวหลังมอง พวกเขาต่างก็มุ่งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังที่สุดโดยมีชีวิตของฝั่งตนเองเป็นเดิมพัน
เอาล่ะ...หากดูจากจำนวนทหารนับไม่ถ้วนที่พวกเขาตะลุยผ่านมา ยูลิสท์ก็ไม่แปลกใจที่ ณ วิหารย่อยซึ่งเป็นประตูเข้าสู่เลแรงก์จะมีผู้ขัดขวางรออยู่อีก ทว่าร่างที่ยืนรออยู่อย่างสงบเพียงหนึ่งเดียวกลับเป็นคนที่เขาต้องหลุดอุทานเบาๆว่า “โอ้” ยูลิสท์ไม่คิดว่าเขาจะเจอราฟรีน และลอเฟย์ก็ยิ่งหนักใจที่เจออีกฝ่ายเป็นหนที่สองของวัน
“ตามหลักการแล้วเจ้าควรจะอยู่บนๆกว่านี้ไม่ใช่หรือ?”ชายหนุ่มผมทองชี้นิ้วขึ้นสูง
“ข้าชอบความสะดวกสบายน่ะ”เขาตอบ เสียงลมหวีดหวิวข้างนอกเป็นเครื่องชี้แจงได้ดี
“แปลว่าผ่านเจ้าไปก็ปลอดโปร่งโล่งสบายเลยน่ะสิ?”
“ถ้าผ่านได้ก็ใช่”ราฟรีนยิ้ม ใบหน้าของเขายามสะท้อนแสงเงาสีส้มและฟ้ายิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ หัวหน้าทีมน่านฟ้ากลางหยุดคิดครู่หนึ่ง โชคดีที่เขาเอาหอกของหารยามที่เก็บได้ระหว่างทางมาใช้แทนเชิงเทียนอันเก่า “ลอเฟย์ เจ้ากับทาเลสซาล่วงหน้าไปก่อน”
“แล้วนายล่ะ?”ไซเรนเบลเวเลิกคิ้ว
“ข้าจะรีบตามไป”เขาดันหลังเด็กหนุ่มผมดำเบาๆ “ไม่ได้ทำให้นายดูเท่ขึ้นหรอกนะ”อโฟรเดสฉวยแขนข้างหนึ่งของลอเฟย์ แล้วลากไปอีกทางหนึ่ง “ข้าน่ะเท่สำหรับลอเฟย์ก็พอแล้ว”อดีตนักวิทยาศาสตร์หนุ่มส่งจูบให้รุ่นน้องในสังกัดจนเด็กหนุ่มหน้าแดงแปร๊ด
ผู้เฝ้าวิหารเพียงแต่เหลือบมอง มือผอมบางของเขาโบกในอากาศ ก่อนที่หลาวน้ำแข็งจะพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของแอซไพรส์ฝั่งลัสท์เทรล เสียงสลักปืนขยับรวดเร็ว แต่สายลมกลับไวกว่า มันพัดหอบแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นกระจายไปคนละทิศด้วยแรงหมุนที่น่ากลัว
“เรื่องของผู้ใหญ่อยู่ทางนี้”ยูลิสท์หมุนอาวุธในมือที่หุ้มด้วยเกราะเวทมนตร์ ราฟรีนยังไม่ขยับส่วนใดนอกจากสายตาที่ชำเลืองมองไปและกลับ แผ่นหลังของผู้บุกรุกวิ่งไปไกลแล้ว แรงลมเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าบุรุษตรงหน้าไม่อาจถูกละเลยได้
“สงสัยต้องรีบสังหารเจ้าก่อน”เสียงโทนเดียวพูดออกมา ในที่สุดสองมือของเขาก็ขยับพร้อมกัน วาอินนายิ้มกว้าง “เริ่มเลยไหมล่ะ?” และกลับตั้งเป็นฝ่ายหุบยิ้มเสียเองเมื่อไอเย็นรุนแรงคืบคลานเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว มันกัดกินเสียปลายนิ้วแข็งทื่อ เมื่อมองไปก็พบกับรอยยิ้มกว้างของแอซไพรส์ผู้ควบคุมน้ำแข็ง
“เริ่มตั้งนานแล้ว”
มันมีความรู้สึกตงิดใจตอนที่ราฟรีนปล่อยพวกเขาไปง่ายๆแบบนั้น และวินาทีนี้ลอเฟย์ก็รู้แล้วว่าทำไม เมื่อพวกเขาสองคนมายื่นแข็งทื่ออยู่หน้าแท่นส่งตัวของสะพานไบฟรอสต์เวอร์ชั่นแนวดิ่ง “สะพานพัง”คนผมดำกล่าวสั้นๆ “ปัดโธ่เอ๊ย!”อีกเสียงหนึ่งร้อง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองกำแพงแห่งอีเซอร์ที่สูงตระหง่ายจนหายลับเข้าไปในหมู่เมฆ แค่ช่วงกลางของมันก็เลือนรางเต็มทน
“ไม่ใช่ว่าไม่มีทาง.....”เขามองไปที่เกาะหินระเกะระกะที่ลอยลดหลั่นกันไป กระนั้นเสียงลมที่พัดแรงเสียจนโหยหวนก็เป็นคำเตือนที่ดี “........บ้า”อโฟรเดสอ้าปาก หากแต่ลอเฟย์เดินไปที่ปลายของหน้าผาเงียบๆ “อันที่จริงหัวหน้าของผมกำลังทดสอบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง”เขาก้มลงวุ่นวายกับรองเท้าของตนเอง
“ดูเหมือนจะมีประโยชน์ในเวลานี้”น้องใหม่กองพันรัตติกาลยืนขึ้น ดึงแขนของอีกฝ่ายมาคล้องหลังคอโดยไม่ลืมกำชับให้เก็บปืนๆแน่นๆ “อ่าห้ะ แล้ว?”คู่หูเลิกคิ้วถาม ทันใดนั้นเธอกลับต้องพบแรงสั่นสะเทือนที่คาดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะได้ประสบ! ราวกับมีมือกระชากขึ้นสูงลิ่วแล้วขว้างร่างกายลงมาเหมือนลูกบอล รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็ลงจอดด้วยเสียงแน่นหนักบนเกาะลอยฟ้าเกาะแรก
“เป็นยังไงบ้างครับ?”ลอเฟย์หันไปหาคนที่ยกมือปิดปากตัวเองทั้งที่ยังไม่มีเวลาได้ร้องสักแอะ “....ฉันจะอ้วก เราต้องไปอีกกี่ที”
“ก็ไม่เรื่อยๆจนกว่าจะถึงล่ะครับ”เขายิ้มให้กำลังใจ นึกถึงสมัยก่อนที่ตนเองต้องฝ่าวิกฤตนี้บ่อยๆ “งั้นขอไปอ้วกที่เกาะสุดท้ายเลยก็แล้วกัน”เป็นคำตอบ ก่อนที่แสงสีเงินจะสว่างวับๆแวมๆในคืนที่มืดมิด ไกลออกไปที่ลัสท์เทรล บนยอดปราสาทลอยฟ้าอันเป็นที่ตั้งของโดมกระจก หญิงสาวนางหนึ่งนั่งเท้าคางบนโต๊ะทำงานใหญ่ของตนเอง บนพื้นรอบเก้าอี้ของหล่อนมีแต่เส้นผมสีเงินยาวสยายแผ่ปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ....
“เฮ้ย!”เสียงร้องระเบิดขึ้นกลางอากาศ เมื่อร่างที่หลุดจากการกระโดดคราวนี้มีเพียงเจ้าของรองเท้ามฤตยู ปลายขาของไซเรนวูบโหวง ในวินาทีนั้นมีแค่ห้วงลมหนาวที่โอบล้อมกายเขา
“อโฟรเดส!”มือข้างหนึ่งคว้าจับไว้ทันก่อนที่ร่างของเธอจะหายไปในสายหมอก เสียงหัวใจยังเต้นถี่ด้วยเสียงที่ดังจนอื้ออึง เลยปลายเท้าไปมีแต่ความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง “มองขึ้นมาที่ผม!”ดวงตาสีน้ำผึ้งยังไหวระริก มันเบือนไปด้านบนและพบกับร่างของคู่หูที่ใช้มือที่เหลือเพียงข้างเดียวยึดก้อนหินเอาไว้ พวกเขาห้อยต่องแต่งอยู่ที่ปลายแหลมของเกาะลอยฟ้า
ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า มันติดอยู่ตรงคอ สิ่งที่ออกจากริมฝีปากบางจริงๆนั้นเป็นคำพูดที่แผ่วเบา “ลอเฟย์ อย่าปล่อยมือฉัน” ในการกระโดดอีกครั้ง ร่างบางลงสู่พื้นในอ้อมกอดที่แน่นหนาของเจ้าของชื่อ “น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกนะครับ”เขาหันใบหน้าพราวเหงื่อมาถามคนผมบลอนด์ที่อยู่ห่างกันไปกี่นิ้ว “คลื่นไส้....”ความรู้สึกรุนแรงจู่โจมเกินกว่าหล่อนจะมีเวลาคิดถึงคำตอบ
“อย่างน้อย....เราก็มาถึงเลแรงก์แล้ว”
ลอเฟย์มองเสามากมายตรงหน้า พวกมันทอดยาวไปสู่ประตูทรงกลมขนาดใหญ่ โฉมหน้าของมันคล้ายกับวิทยาการล่าสุดที่ไนคก์ครอบครอง ท่วาเป็นวิทยาการล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 1000 ปีก่อน ด้านหน้าแผ่นหินที่สลักวิถีโคจรของดวงดาวเอาไว้ยังมีร่างของคนผู้หนึ่ง ซึ่งเขารู้สึกเดจาวูอย่างมากจากเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากได้เวลาพักบ้างนะ”เด็กหนุ่มเปรยเบาๆ ไม่ต้องถามเลยว่าผู้ที่หันมานั้นจะเป็นใครไปได้ ........เขายืนอยู่ตรงนั้น สง่างามและโดดเดี่ยวเหนือสถาปัตยกรรมสีขาวที่ตัดกับเสื้อคลุมสีดำเข้มจนดูเหมือนรูปสลัก
“ราตรีสวัสดิ์ลอร์ดซิลอยด์”เพียงแค่สายตาของเขามองมา ลมหายใจก็ถูกกระชากไปหมดสิ้น อากาศรอบกายหนักราวกับตรวนที่ถ่วงล่ามขาทั้งสองข้างเอาไว้
“อ้อ แท้จริงแล้วเจ้าผมสีดำหรอกหรือ?”ซิลอยด์ยิ้มทักทาย “ข้าแปลกใจที่มีคนขึ้นมาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้ รีเวฟ์ก้าเล่า?”เขาไม่เรียกชื่อเล่นของนาง
“เธอบาดเจ็บ”
“ข้าไม่คิดว่ามันไกลถึงปราสาทดัชเชสหรอกนะ”เขากล่าวถึงห้วงแรงโน้มถ่วงของตน “เธอออกมาเดินเล่นนะครับ”
“นั่นก็...เป็นโชคร้ายนะ”เขาถอนหายใจ “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ลอเฟย์กระพริบตา คนตรงหน้าช่างเป็นบุรุษที่เดาทางได้ยากอะไรเช่นนี้ “การที่ผมจะตอบคำถามนั้นได้ คงต้องถามดูก่อนว่าท่านกำลังจะทำอะไร?” คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้หัวหน้าสภาเหนือหัวเราะลั่น เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วราวกับต้องการให้โลกทั้งใบเป็นผู้ฟัง
“หลักแหลม!”ซิลอยด์ชมด้วยรอยยิ้มกว้างที่ฉายความพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้น....”
“....!!”ลอเฟย์เห็นแสงสีน้ำเงินโชนขึ้นที่ปลายนิ้วของตน ไม่ถึงเสี้ยววินาทีแรงโน้มถ่วงของประตูแห่งเลแรงก์ก็พุ่งสูงขึ้น ฉุดกระชากทุกสิ่งลงแทบเท้า อโฟรเดสเสียหลักทรุดลงนั่งอย่างไม่เต็มใจ เธอขืนศีรษะเงยหน้าขึ้นมองด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ชายหนุ่มมองมาที่ลำแสงเจิดจ้านั้น สีหน้าเจ็บใจและร้อนรนของลอเฟย์แล้วจึงพูดขึ้น
“มาฟังคำตอบของโลกใบนี้กัน”
----------------------------------------------------
ขอถามก่อน ว่าอยากให้มาแบบนานๆทีแล้วครบตอน หรือมาเร็วๆแบบเท่าไหร่ก็เท่านั้น
เพราะบางทีมันไม่มีเวลาเขียนเยอะๆน่ะค่ะ
ความคิดเห็น