ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #46 : 43th Tale : เปิดกระดาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 105
      2
      17 ก.ย. 58




    ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่เย็นชืดออกจากใบหน้า ดวงตาของเขาหรี่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นกว่าครั้งก่อน สิ่งปลูกสร้างปริศนาที่มอดไหม้ถูกสีดำอนธกาลจากเปลวเพลิงละเลงจนพังพินาศ คล้ายซากกระดูกขนาดใหญ่ที่หักระเนระนาด บ้านหลังที่สี่ย่อยยับยิ่งกว่าหลังอื่นๆในหุบเขากษัตริย์

    “มันถูกเผา”ยูลิสท์สรุป เขาเงยหน้าขึ้นมองเส้นสีขาวของท้องฟ้าที่ผ่านเลยมาเกินครึ่งวัน ไล่ลงมาจนถึงความมืดมิดที่พวกตนเผชิญอยู่ ในหุบเขาลึกที่หนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเกิดเปลวไฟได้โดยธรรมชาติ “วัสดุพวกนี้มีส่วนคล้ายกับโลหะอยู่มาก ต้องใช้อุณหภูมิสูงติดต่อกันเป็นเงลานานถึงจะหลอมได้ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเผาให้กลายเป็นถ่านเลย.....”เขาลูบซากเขม่าที่ร่วงกร่อนลงสู้พื้นเพียงสัมผัสที่แผ่วเบา

    “มีคนเผามันด้วยเวทมนตร์”

    ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างคล้ายกับกล่องขนาดใหญ่ ข้างในไม่เหลือร่องรอยอะไรมากนักนอกจากก้อนถ่านที่เกิดจากเขม่าจับตัวกันจนแข็ง แต่ยังพอมองเค้าโครงที่ถูกแบ่งสัดส่วนของมันได้

    “มันอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”อัลเธียมองไปรอบๆ เหมือนกับจุดล่าสุด เขาพยายามหาเบาะแสเท่าที่จะคงเหลืออยู่

    “ถ้าดูความเสื่อมโทรมของโลหะที่เหลือรอดในจุดแรกก็เดาได้ว่าหลายร้อยปี แต่ถ้าอ้างอิงจากตำแหน่งของพวกมันที่ถูกจารึกในมหาวิหารซาเฟียก็อาจเป็นหลายพันปี....”นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเช็ดมือกับชายเสื้อคลุมที่ขมุกขมัวของตน เมื่อเห็นสายตาที่อีกคนมองมาจึงพ่นลมหายใจ

    “อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้ายังไม่แก่พอจะเคยเห็นเหล็กที่ผุมาถึงพันปีหรอก”

    “แต่หลักร้อยปีก็ยังพอเห็นอยู่บ้างกระมัง?”อัศวินหนุ่มจงใจพูดลอยๆ ดูเหมือนเขาจะมีลางสังหรณ์ที่ดีไม่น้อยที่เดียว....

    “เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเข้าวัยกลางคนแล้ว”รอยยิ้มกระชากใจสาวพาดกว้างบนใบหน้าหล่อเหลาแทนคำตอบ สตาเฟลล์มองหน้าเพื่อนร่วมภารกิจแล้วก็เลิกสนใจไป ปล่อยให้ยูลิสท์น้อยใจอยู่ฝ่ายเดียว

    “....เจ้านี่เย็นชาเหมือนกับยูโธเปียจริงๆ”เขาประชดด้วยน้ำเสียงที่น่าประเคนฝ่ามือให้ “เอาเป็นว่าที่แห่งนี้ดูจะเก่าแก่จนเรียกว่าโบราณสถานได้แล้.....” ขายาวนึกจะก้าวไปหยอกล้อกับพ่อคนหน้าบูดต่อ แต่ว่าดันเท่าหนักไปนิดจนพาตัวเองทะลุพื้นที่ผุพังลงไปถึงด้านล่าง

    “............!!”สมองสั่งให้ชักขาตัวเองกลับขึ้นมาอย่างว่องไวก่อนที่จะได้ลงพื้นที่พิสูจน์ความมืดมิดด้านล่าง เขาขยับตัวอย่างรวดเร็วไม่เสียชื่ออดีตกองพันรัตติกาลที่ถูกเรียกกลับมาปฏิบัติงานปัจจุบัน

    “วาอินนา?”อัลเธียย้อนกลับมาพร้อมด้วยกลุ่มดวงไฟที่ลอยอยู่ข้างตัว เขาก้มลงมองหลุมที่ปรากฏขึ้นกะทันหันอย่างระมัดระวัง แสงไฟจากผลึกไหลเวียนเหนือศีรษะส่องกระทบประกายวาววับบางอย่างข้างใต้ มันเล็กจิ๋วเสียยิ่งกว่าหิ่งห้อย ทว่ากับคมกล้าดุจเพชรเจียระไน ยูลิสท์ไม่รอช้าโยนผลึกไหลเวียนลูกหนึ่งลงไป

    “นี่มัน....”

    แสงสีน้ำเงินเรืองประกาย มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วก้อยของเขา ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่อยู่นอกผ้าพันแผลเพ่งมองไม่ละสายตา ถ้อยคำแผ่วเบาจากปากตนเองพาให้เลือดในกายเย็นเฉียบยิ่งกว่าลมหนาวที่กัดเซาะผิวกาย

    “นี่คือผลึกฟ้า”

    ซิลอยด์ได้ผลึกฟ้าไปแล้ว!

    “วาอินนา เราจะไปต่อหรือเปล่า?”อัลเธียสลับสายตาไปยังใบหน้าซีดเผือดของแอซไพรส์จากลัสท์เทรล ดวงตาที่มักจะสายแววขี้เล่นอยู่เสมอหมุนกลับมาหาเขา มันเต็มไปด้วยความร้อนรนและน่าหวาดหวั่น บางอย่างในตัวแอซไพรส์นี้ไม่เหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอีกต่อไป

    “ไม่สำคัญ พวกมันคงถูกเผาเหมือนๆกัน สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือรีบกลับไปที่เวอดันซาร์เพื่อรายงานเรื่องนี้ ...เราช้ากว่าซิลอยด์ก้าวหนึ่งเสียแล้ว”น้ำเสียงทุ้มกล่าวคล้ายไม่เร่งร้อน ทว่าขาดซึ่งชีวิตชีวา ร่างสูงหันหลังกลับไปยังมังกรของตนด้วยความเร็วที่พัดเส้นผมสีทองสว่างปลิวสยาย

    ไนท์ ออฟ วีนัสเพิ่งรู้สึกว่า มีบางอย่างในตัวของยูลิสทา วาอินนาที่เขาไม่อาจขัดขืนได้

    มังกรบินเหินทะยานกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าสีขาวจัดจ้าของนครที่ปกคุลมด้วยความหนาวเย็น ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาเกินความจำเป็น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มผมทองไม่อาจเก็บข้อสงสัยเอาไว้ได้

    “หากถึงเวลาจำเป็น ท่านหญิงจะสามารถขัดบัญชาลอร์ดซิลอยด์ได้หรือ?”ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักรีเวฟ์ก้าก็จะสามารถรู้ได้ในเวลาไม่นานว่าหล่อนผูกพันธ์กับพี่ชายของตนมากแค่ไหน ทุกอย่างที่หล่อนรักและเทิดทูนอยู่ในกระแสเสียงที่มักจะกล่าวถึงผู้เป็นพี่อยู่เนืองๆ

    อัลเธียที่เป็นอัศวินประจำตัวของเด็กสาวย่อมรู้ดีกว่าใครเพื่อน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงอ้าปากตอบคำถาม ทว่าเพียงพยางค์แรกที่คิดจะเปล่งเสียง มวลเมฆรอบตัวก็พัดถลาผ่านร่างไปอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกพายุหอบใหญ่ดันหายจนพวกเขาต้องก้มลงกอดคอมังกรที่ซวนเซเสียหลักอย่างตื่นตระหนก เมื่ออากาศรอบตัวกลับสู่สเถียรภาพพร้อมๆกับวิถีการบินที่มั่นคงกว่าเดิม อัศวินหนุ่มก็โงศีรษะขึ้นสำรวจ

    ภาพที่อยู่ไกลออกไปคล้ายว่าเลือนลางแต่ก็พาให้ไม่นึกอยากเชื่อสายตาตนเอง

    “วาอินนา...ควัน!”เจ้าของชื้อเสยผมที่ตีกลับมาปรกใบหน้าของตนเองอย่างลวกๆ ภาพของนครลอยฟ้าที่อยู่ห่างออกไปจนเล็กเพียงฝ่ามือกลับมีกลุ่มควันสีดำสวยขึ้นย้อมท้องฟ้าเหนือยูโธเปียให้เป็นสีเทาขมุกขมัว

    “เกิดอะไรขึ้น?!

    ในคราวนี้ไม่ต้องรอให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตอบ ทั้งสองพุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดแข่งกับเวลาที่พระอาทิตย์จะหันหน้าลงสู่ผืนดิน....เผื่อว่าทุกสิ่งจะยังทันการณ์ ยูลิสท์กัดฟันอย่างเจ็บใจ ไม่เคยมีครั้งไหนที่คนอย่างเขาจะคำนวณทุกสิ่งผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน

    “หะหะ หัวหน้า..ดูท่าว่าครั้งนี้พวกเราจะสายไปก้าวหนึ่งจริงๆ...”

     

    สีแดง

    มันเจิดจ้าและทรงพลัง เผาไหม้ด้วยความรวดเร็วเกินกง่าจะหลบหนีทัน ในที่สุดมันก็กลืนกินเขา ในระหว่างนั้นมีเสียงตะโกนก้องคล้ายหัวใจสลาย และทุกอย่างก็หายไปในความว่างเปล่า

    แสงสว่างรำไรแตะเปลือกตาชวนให้จั๊กจี้ ภาพที่มองลอดเส้นขนตาของตนเองยังสว่างไสวเกินจะจับต้องได้ ไม่นานกรอบของหน้าต่างและผ้าม่านกำมะหนี่ก็ประทับในคลองจักษุ ลอเฟย์ตะแคงโลกของเขาขึ้นด้วยศีรษะที่หนักอึ้ง ไม่นานสีส้มที่ฉูดฉาดก็กลายเป็นภาพท้องฟ้ายามเย็น

    นี่เราเผลอหลับไปหรือนี่? เมื่อครู่ใช่ดาวหางสีแดงในวิหารซาเฟรยหรือเปล่า? เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งตัวตรงพลางขยี้ตา หลังที่ปวดเมื่อยเป็นหลักฐานชั้นดีไม่ต่างจากหนังสือที่ถูกเขานอนทับบี้แบน อา....ขอโทษนะ เขาปิดมันลงเพื่อดัดรูปทรงของหนังสือเก่าแก่ให้เข้าที่อีกครั้ง

    “ตื่นแล้วหรือคะ?”เสียงใสทักมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ร่างของดัชเชสแห่งเลแรงก์นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวบุนวม ทว่าข้างๆกลับเป็นกองหนังสือหลายเล่มและยังมีม้วนกระดาษกองอยู่บนตักอีกจำนวนหนึ่ง ความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ดวงตาของเขาจะปิดคือการขุดค้นแผนภูมิดาราที่อีกฝ่ายเป็นผู้รายงานเกี่ยวกับการเรียงตัวที่แปลกประหลาดเมื่อคืน

    “ขอโทษนะครับที่ผมเผลอหลับไป”เขารีบหันไปก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราเองก็แอบงีบไปตอนสายๆเหมือนกัน”รีเวฟ์ก้าป้องปากหัวเราะ

    “ยูลิสท์กับอัลเธียยังไม่กลับมาหรือครับ?”ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ เด็กสาวมองออกไปด้านนอก จุดพร่างพรายริบหรี่คือดวงดาวที่รอเวลาฉายแสงหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หล่อนมองหาดาวทั้งสามดวงที่ติดตรึงในความนึกคิด

    “...แล้วอโฟรเดส?”

    เขาหันมองตามทิศทางที่นิ้วเรียวเล็กชี้ไป พบร่างปราดเปรียวนอนหลับบนเก้าอี้ยาวอีกตัวหนึ่ง อโฟรเดสนอนตะแคงห่อตัวภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ของตนเอง แขนเรียวใช้ต่างหมอนส่วนอีกข้างเหยียดยาวออกไปราวกับเสือดาวตัวเขื่อง ลอเฟย์อดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองภาพที่หาดูยากของคู่หู เพราะเธอมักจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขาเสมอในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต้องฝึกทรหดด้วยกัน เสียงลมหายใจที่ไม่สบายหูนักทำให้เด็กหนุ่มต้องถอดเสื้อนอกของตนเองคลุมทับไหล่บางอีกชั้นหนึ่ง

    “เห็นบอกว่างานเต้นรำเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ”

    “อโฟรเดสอดนอนไม่ค่อยเก่งหรอกครับ เรื่องทนหนาวก็ด้วย”เธอมาเกิดที่แอตแลนติสย่อมไม่ชินกับอากาสหนาวเย็นเป็นธรรมดา

    “พันตรีไลน์สเตรนจ์ล่ะ ไม่หนาวหรือ?”เวก้าถามเมื่อเห็นเขาเหลือแค่เสื้อนอกตัวเดียว

    “ผมเกิดที่น่านฟ้ายูโธเปีย ค่อนข้างชินอยู่แล้วครับ แต่ยังไงบนนี้ก็หนาวไม่ใช่เล่นเลย”ลอเฟย์ยกมือลูบหลังคอตนเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ “อันที่จริงผมยังเป็นร้อยตรีอยู่เลยครับ”เขาสารภาพต่อขณะเปิดประตูให้เด็กสาวออกไปข้างนอก ตอนนี้เวอดันซาร์ที่ขาวโพลนด้วยหิมะถูกย้อมด้วยสีส้มของแสงแดดในยามเย็นราวกับผืนผ้าใบที่ถูกแต่งแต้ม การออกมายืดเส้นยืดสายช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ไม่น้อย เขาปล่อยสมองให้พักเหนื่อยด้วยการล่องลอยไปกับบทสนทนา เขาเล่าถึงเรื่องราวบนพื้นพิภพที่ทำให้ดัชเชสสาวตื่นเต้น

    “ถึงจะอยู่บนนี้แต่เราเองก็ไม่มีเพื่อนมากนัก ไม่สิเพราะอยู่บนนี้ต่างหาก แอซไพรส์ที่เป็นเด็กมีน้อยและเราเองก็มีผมสีดำ”ลอเฟย์ไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของหล่อนอย่างเต็มที่ แต่จากเวลาเล็กน้อยในลัสท์เทรลที่เขาต้องถูกรางวัลเพราะสีผมอัปมงคลในความเชื่อของวัฒนธรรมแอซไพรส์ ก็ทำให้เขามีความเป็นพวกเดียวกับหล่อนอยู่บ้าง “แต่ก็มีท่านพี่ทั้งสองที่ดีกับเรา”รีเวฟ์ก้าเงยหน้าขึ้นยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเหงาหงอยเล็กน้อย อ้อ เขาเพิ่งรู้ว่าหล่อนมีพี่สองคน

    “อันที่จริง เมื่อก่อน....ท่านพี่ซิลอยด์ไม่ได้เป็นแบบนี้”หล่อนเว้นวรรคเป็นเวลานาน “ท่านอาจจะคิดว่าเราไม่ถูกกัน แต่ความจริงแล้วเรารักท่านพี่มาก จึงต้องพยายามหยุดเขาให้ได้”ดวงตาสีฟ้าซีดเซียวฉายแววมุ่งมั่นที่ไม่มีวันถอยกลับ ชวนให้พันตรีจำเป็นต้องแปลกใจ แต่ครู่หนึ่งก็หรี่ตาลง นั่นสินะ...คนเรามักจะดื้อดึงเพราะรักไม่น้อยไปกว่าเกลียดชัง

    “ผมเชื่อว่าลอร์ดซิลอยด์เองก็คงเอ็นดูท่านหญิงมาก”ร่างที่สูงกว่าหันไปส่งยิ้มเป็นกำลังใจ และเขายังคิดแบบนั้นจริงๆจากทุกสิ่งที่ได้เห็นมาเมื่อวาน บางทีที่ซิลอยด์ส่งน้องสาวของตนไปยังนครหลวง อาจจะเป็นเพราะไม่ต้องการที่จะสู้กับหล่อนก็ได้ อย่างไรก็ตาม....หล่อนกลับมาแล้วและกำลังยิ้มขอบคุณอีกด้วย

    “จุดหมายวันนี้ค่อนข้างจะพิเศษ เราคิดว่าจะรอพันตรีวาอินนาก่อน แต่เกรงว่าถ้ามัวแต่รอคงไม่ทันเลยชวนท่านออกมาก่อน”ส่วนอโฟรเดสนั้นดูน่าสงสารเกินกว่าจะถูกปลุกให้ตื่น เมื่อถามดูว่าจะไปที่ไหน ก็ได้รับคำตอบที่ต้องเลิกคิ้วอย่างแรง

    “เราจะไปหาราชันย์เหนือ ท่านเซียนนาค่ะ”ไม่น่าเล่าเราถึงได้เดินเข้าหาใจกลางเวอร์ดันซาร์ ออกห่างจากปราสาทหลังเล็กของสาวน้อยเวก้าไกลโขอยู่ “เราอยากรีบไปพบพระองค์ แต่หอคอยลมหนาวของท่านไม่ใช่ที่ที่จะเดินไปได้อย่างไม่ผิดสังเกต”ดังนั้นคณะเดินทางที่พึ่งมาถึงในวันแรก หนำซ้ำยังสวมชุดเต้นรำอย่างเป็นทางการจึงไม่ควรเดินเรียงแถวกันเข้าไปสินะ บางทีหล่อนน่าจะรอยูลิสท์กลับมาก่อนจริงๆ

    ลอเฟย์รู้สึกตื่นเต้น กระเพาะของเขาเต้นเป็นจังหวะและยังปวดหนึบเล็กน้อย เขาไม่เคยพบเทพราชันย์หรือแอซไพรส์ระดับ 1 มาก่อน ไม่ต้องย้อนความว่าไม่กี่สัปดาห์ก่อนเด็กหนุ่มยังสงสัยว่าเทพโอดินประจำน่านฟ้าของตนนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ และกลับมาสนอกสนใจกับคำถามนี้อีกครั้ง เขามองไปรอบๆตัวและพบตนเองยืนอยู่บนทางเดินกึ่งระเบียงที่เปิดด้านข้างให้เห็นทัศนียภาพโดยรอบ ฝั่งตรงข้ามคือปราสาทกลางของเวอดันซาร์ ด้านล่างเป็นล่านโล่งๆและดาดฟ้าที่ลดหลั่นกันลงไป ล้วนแต่ปกคลุมด้วยสีขาวที่ถูกระบายเป็นส้ม หอคอยลมหนาวอยู่ห่างออกไป คล้ายกับวัลฮัลลาในปราสาทลัสท์เทรลที่สูงจนมองเห็นไม่ถนัด

    ฉับพลันเสียงระเบิดก็ดังขึ้น! มันสะเทือนรุนแรงจนพื้นใต้เท่าสั่นระริก ดังถล่มทลายจนต้องเอามืดอุดหู ดวงตาสีน้ำเงินมองไปรอบๆและจับกลุ่มควันโขมงได้ทางทิศเหนือที่ห่างพวกเขาไปสุดแผ่นดิน เกิดอะไรขึ้นที่อีกฝั่งของปราสาทหลังมหึมานี้!? รีเวฟ์ก้าตกใจเกินจะกล่าว หล่อนรี่ไปเกาะขอบระเบียงและหันกลับไปยังทิศทางของปราสาทตัวเอง

    “ทางนี้ค่ะ!”พวกเขาตัดสินใจวิ่งลัดเลาะไปตามปราสาททิศเหนือ  เป็นครั้งแรกที่ลอเฟย์นึกก่นด่าความกว้างขวางอย่างไร้ประโยชน์ของเวอดันซาร์ ระหว่างทางไม่มีแม้แต่วี่แววของสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น

    “นายอยู่ที่ไหน!?”เสียงของอโฟนเดสดังผ่านเจ้านกทินจ์ที่บินรี่ตามมาด้วยความเร็วสูงสุด คิดไม่ผิดว่าเสียงระเบิดกัมปนาทนี้ต้องปลุกไซเรนเบลเวผู้มีประสาทการฟังดีกว่าใครเพื่อน แต่การติดต่อกลับล่าช้าเล็กน้อย “ผมกับดัชเชสกำลังมุ่งหน้าไปจุดเกิดเหตุทิศเหนือครับ”

    “ฉันจะไปสมทบ”เธอพูดแค่นั้นแล้วเสียงก็ตัดไป ระเบียงยาวที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุดถึงทางแยกที่พาพวกเขาเข้าไปยังห้องโถงที่ตกแต่งด้วยสีสันละลานตาแห่งหนึ่ง สถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยหน้าต่างบานใหญ่ทำให้มองเห็นภายนอกได้ชัดเจน ลอเฟย์มองออกไปข้างนอก

    บางสิ่งปรากฏขึ้น

    มันคล้ายกับลูกบอลที่ทำจากเหล็กสีเข้ม โป่งพองจากด้านบนของปราสาท ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน พริบตาเดียวก็ระเบิดเป็นวงกว้างเหมือนสนามแม่เหล็กขนาดยักษ์ ทะลุผนังและสิ่งขีดขวางต่างๆ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง ในวินาทีนั้นรีเวฟ์ก้าเพิ่งหันมา ริมฝีปากกำลังเผยออก ไม่เห็นสิ่งที่คืบคลานมาจากอีกฝั่งหนึ่ง

    “ท่านหญิ-“เสียงที่เหลือของเขาถูกกลืนหายไปในมวลหนักอึ้งของอากาศ เด็กหนุ่มกระชากร่างบอบบางเข้ามาและพลิกตัวกำบังหล่อนเอาไว้ แสงสีน้ำเงินเข้มเรืองสว่างเป็นระลอกคลื่นที่ซัดฝั่งอย่างบ้าคลั่ง แรงกดมหาศาลนั้นทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดใบหู เวก้ากรีดร้องออกมาจากความปวดร้าวที่บีบคั้นกะโหลกศีรษะจากภายใน

    มันเกิดขึ้นและจบลงในความเงียบงัน

    “ล-เฟย์ -เกิดอะไ-ขึ้-“เสียงขาดหายดังผ่านเครื่องสื่อสารที่ร่วงหล่นบนพื้น ปีกเล็กๆของมันพยายามกระพือขึ้นลงอย่างหมดแรง ลอเฟย์อนุมานว่าอโฟรเดสคงอยู่นอกรัศมีของอาณาเขตนี้ แม้ร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าคลื่นเสียงที่ผลึกฟ้าไม่อาจป้องกันทำให้ศีรษะของเขาเต้นตุบๆแทบจะระเบิด

    “อย่าเข้ามาอโฟรเดส....”เด็กหนุ่มเค้นแรงพูด หูของหล่อนไม่มีทางทนไหว เสียงไอโขล่กเรียกให้เขาหันมาสนใจร่างในอ้อมแขน รีเวฟ์ก้าทรุดตัวไร้เรี่ยวแรง หล่อนไอจนตัวโยนหลายครั้งก็ไม่มีวี่แววจะลุกขึ้นได้ “นี่เป็นเทพฤทธิ์ของท่านพี่ เขาควบคุมแรงโน้มถ่วง....”มือบางละออกจากริมฝีปากที่กลายเป็นสีแดงสด

    เด็กหนุ่มเบิกตามองหยดเลือดที่กระเซ็นตามชุดสวยวิจิตรแล้วสังเกตเกราะพลังของตนที่ยังไม่จางหายไป บ้าจริง! เขาไม่สามารถป้องกันแอซที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศพวกนี้ได้ ปราการไพลินยังเป็นแค่โล่สองมิติเท่านั้น ความคิดนี้ทำให้ต้องเงยหน้ามองจุดกำเนิดของอาณาเขต ....ซิลอยด์แข็งแกร่งขนาดไหนกัน? ถึงกับสร้างอาณาเขตครอบปราสาททั้งหลังได้ด้วยเวทมนตร์เฉพาะของตนเอง

    “ท่านหญิง!”เขาร้องเมื่อร่างบางพยายามยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไหล่ของหล่อนสั่นระริก แต่ดวงตามุ่งมั่นกว่าที่เคย “อาณาเขตนี้คงอยู่ไม่นาน เราต้องรีบไปหาท่านพี่นะคะ”หล่อยยิ้มแม้จะมีเม็ดเหงื่อผุดพราย อวัยวะภายในคงบอบช้ำไม่น้อย กระนั้นสีหน้าของหล่อนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาสอดมือเข้าพยุงร่างบางและช่วยรับน้ำหนักที่ถ่วงแขนขา วิชายกดาบที่ได้จากไฮเกลเริ่มเป็นประโยชน์ก็วันนี้

    ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างบางก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ขณะที่เขารับร่างซวนเซเข้ามา มันก็ปรากฏกายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สีน้ำเงิน มวลอากาศที่หนักแน่นพลันสลายไปกลายเป็นภาวะปกติ

    “สีนี้มัน.....”เหมือนกับผลึกฟ้าไม่มีผิด!

    “ท่านหญิงมักจะชอบเดินเล่นในที่ที่คาดไม่ถึงเสมอ”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับการปรากฏกายอย่างกะทันหันของร่างสูงชะลูด ดวงตาเย็นยะเยือกของเขายังคงแหลมคงไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าของเขาหันเข้าหาเงามืด ส่งผลให้แสงแดดสีสดไล่ตามขอบผิวจนเหมือนเทียนไขเล่มหนึ่ง ราฟรีนมาพร้อมกับแอซไพรส์อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากห้วงพลังของซิลอยด์ ในกลุ่มนั้นมีขุนนางที่ลอเฟย์พบเห็นและทำความรู้จักอย่างผิวเผินอยู่สองสามคน

    “ท่านเองก็ด้วย ลอร์ดราฟรีน”กองพันรัตติกาลกล่าว ดูท่าสิ่งที่เขากลัวจะเริ่มขึ้นแล้วจริงๆ “ผมขอเรียนถามได้ไหมว่าพวกท่านคิดจะทำอะไรหรือครับ?”เขาถามอย่างสุภาพจนดูกวนประสาท

    ราฟรีนขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ตอบในทันที “เจ้าจะรู้เมื่อมันเสร็จสิ้น ระหว่างนั้นก็รออยู่ในนั้นไปก่อนก็แล้วกัน” สายตาของเขามองไปยังร่างในอ้อมแขนที่ต้องยึดเกาะเสื้อสีขาวของเด็กหนุ่มอย่างสุดแรง

    “ท่านจะเปิดประตูแห่งวาเนอร์สินะ? เราเห็นแผนผังดารานี้ในม้วนตำราโบราณ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!?”ดัชเชสแห่งเลแรงก์ร้องถาม ภายใต้สีหน้าแตกตื่นของลอเฟย์

    “ข้าไม่คาดหวังอะไรน้อยกว่านี้จากดาราพยากรณ์”ชายหนุ่มกล่าวเป็นคำชม ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มของคนตาย

    “หยุดเถอะค่ะ ตอนนี้ยังพอมีเวลา...”ทว่าคำตอบต่อเสียงอ่อนระโหยเป็นเพียงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นและดวงตาที่เย็นชากว่าเดิม เขากระหมุนตัวออกไปอีกทางโดยไม่ทิ้งข้อความใดไว้อีก หนึ่งในลูกน้องที่มาด้วยถูกสั่งให้เฝ้ากรงขังนี้เอาไว้ “ทำไมล่ะคะ? อย่างน้อยท่านก็ควรจะบอกเหตุผลกับเราบ้างไม่ใช่หรือ?!”เวก้ามองตาแผ่นหลังโปร่งบางที่ค่อยๆห่างออกไปด้วยดวงตารวดร้าว

     “ทำไมล่ะคะ ท่านพี่ราฟรีน!!

     

    “เจ้าว่าอะไรนะ?!

    “ตระกูลเลแรงก์รับเธอมาเป็นบุตรบุญธรรมตอนอายุสามขวบ ก่อนหน้านั้นพี่ชายของเวก้าคือราฟรีน ดีร์ รอนซาน”อัลเธียยืนยันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่แฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด ทั้งสองยังมุ่งหน้าเต็มพิกัดไปยังนครลอยฟ้า “และสำหรับเวก้าเขาก็คงยังเป็นพี่ชายของเธออยู่”

     “ฉะนั้นคำถามของเจ้าที่ว่าเวก้าจะยอมเป็นปรปักษ์กับซิลอยด์หรือเปล่านั้น? ข้าว่าเป็น แต่คนที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดคือราฟรีนต่างหาก”

    “ข้าชักจะปวดหัวขึ้นมาแล้ว....”หนุ่มผมทองบ่นก่อนจะถูกตัดบท “ที่ข้าบอกว่าปัญหาคือราฟรีนไม่ได้หมายถึงแค่นั้นหรอก...เดี๋ยวเจ้าจะเห็นเอง”ไนท์ ออฟ วีนัสยืดตัวขึ้นมองเงาของยูโธเปียที่อยู่ไม่ไกล ในดวงตาปรากฏแววยุ่งยากใจ

     

    “ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ลอร์ดซิลอยด์”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างอาจหาญ ภายในกรงขังสีน้ำเงินวาวเรือง แอซไพรส์ชั้นปกครองทั้งหมดนั่งประจันหน้ากันเลิ่กลั่กบนโต๊ะประชุมตัวยาว มันใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมขุนนางทั้งหลายหลังเกิดเสียงระเบิด ทว่าการรวมตัวของพวกเขาเป็นการตกหลุมพรางชิ้นใหญ่ และตอนนี้บุรุษผู้กำชะตาชีวิตของสภาเหนือก็ชนะไพ่ตาแรกอย่างสวยงาม ซิลอยด์ยืนอยู่สุดปลายของห้องประชุมที่เขาคุ้นเคย ดวงตาเฉยเมยมองเข้าไปในกล่องสีเหลี่ยมที่ตนรังสรรค์ แอซไพรส์คนหนึ่งคิดจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกแรงโน้มถ่วงที่น่ากลัวภายนอกข่มขู่ให้สงบเสงี่ยม

    “ขึ้นอยู่กับว่าพวกท่านจะฟังหรือไม่”ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ อณูสีเทาในอากาศกำลังขยายตัวออก มันดันเกราะป้องกันราวกับกรงเล็บที่หมายจะขย้ำเหยื่อในอุ้งมือให้แหลกเป็นชิ้นๆ เพียงแต่ว่ามันกลับทำไม่ได้ “ระเบิดนั่นเป็นฝีมือของท่านสินะ ทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ!”ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นชี้ “ทำไมไม่ฆ่าพวกเราเสียเลยล่ะ?”หลายๆเสียงรวมกันโจมตี ก่อนจะพลันเงียบลงหลังจากได้รับแววตาเย็นยะเยือกเป็นของตอบแทน

    “ข้าจะสังหารพวกท่านก็ย่อมได้และท่านจะเรียกการกระทำนี้ว่าเป็นการก่อกบฏก็ย่อมได้เช่นกัน...แต่ข้าไม่มีรสนิยมฆ่าคนเป็นงานอดิเรก พวกท่านเองก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดข้าจะต้อง....”เขาบีบมือส่งผลให้แรงโน้มถ่วงกดทับลงมาอีก “พวกท่านเพียงแค่ไม่รู้เท่านั้น”

    “ไม่รู้ในสิ่งใดล่ะ!”เขาได้ยินคำนั้นก็ถึงกับยิ้มออกมา “ในหลายๆสิ่ง ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกท่านได้เห็นและใช้สองตาของตัวเองเป็นผู้ตัดสิน”มือทั้งสองข้างกางออก “สิทธิ์ทั้งหมดของท่านจะตัดสินให้ข้าเป็นคนผิด! หรือถูกก็ได้ทั้งนั้น คนเราล้วนกระทำไปตามพื้นฐานความรู้ที่ตัวเองมี สิ่งที่ข้าจะทำ...ก็เป็นแค่การเปิดวิสัยทัศน์ใหม่เท่านั้น”

    “ด้วยวิธีไหนกันล่ะ? พวกเราที่นี่ต่างก็เป็นแอซไพรส์ชั้นสูง ท่านคิดว่าจะกักขังเราไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน?”ทั้งกรงขังนี้และอาณาเขตที่ครอบคลุมปราสาทชั้นในต่างก็กินพลังมหาศาล แม้จะน่าตกใจที่ซิลอยด์มีฤทธิ์เหลือล้น แต่อำนาจของเขาก็ไม่มวันคงอยู่ได้นาน ทว่า...เสียงหัวเราะต่ำระเบิดกลายเป็นความน่าสะพรึงกลัว ลอร์ดแห่งเลแรงก์เงยหน้าคำรามอย่างแสบสันต์ เมื่อเขาก้มศีรษะลงมา ในมือก็เผยให้เห็นของสิ่งหนึ่ง มันคือผลึกสีน้ำเงินเข้มเรืองรอง บางคนที่เห็นก็อ้าปากค้าง บางคนยังจ้องมองอย่างสงสัย

    “แล้วถ้าหากว่า....แอซทั้งหมดนี้ มันไม่มีวันหมดกันล่ะ?”เขากำผลึกฟ้าในมือก่อนที่มันจะระเบิดออกเป็นห้วงอวกาศขนาดยักษ์ในชั่วพริบตา! ทั้งเวอดันซาร์ตกอยู่ในเขตแรงโน้มถ่วงที่หนักแน่นจนแทบจะคร่าชีวิตได้ในคราวเดียว แม้แต่แอซไพรส์ฝั่งเดียวกันที่ได้รับผลึกฟ้าประจำตนต่างหูตกใจลนลานไปกับเทพฤทธิ์ที่น่าสยดสยอง

    “ซิลอยด์ เจ้า...เจ้าทำได้ยังไง!”ชายชราผู้นั้นตะลึงพรึงเพริดจนปากคอสั่น เขาเห็นฝ่ามือที่พลิกไปมาในห้วงอากาศที่หนักราวกับตะกั่วนั้นอย่างสบายใจ มันสวมแหวนสีเรืองแสงสีเดียวกันไว้อีกหลายวง “เจ้าเอาผลึกนิทราของเทพราชันย์มาได้ยังไง!” ร่างสูงใหญ่ก้าวสืบเท้าเข้ามาช้าๆ ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่งและตื่นเต้นเป็นที่สุด

    “ทุกสิ่งที่ท่านรู้และเคยรู้....จะพังทลายในวันนี้”เขากำมือจนหัวแหวนเปล่งประกาย อำนาจที่น่ากลัวที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นเชื้อเพลิงแห่งพลังกำลังกรีดร้อง แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ร่วงหล่นสู่กาลนิทราแล้ว ความมืดที่มาเยือนอย่างรวดเร็วนั้นยิ่งทำให้แสงสีน้ำเงินลุกโชนราวกับดวงตาของอสูรร้าย ทว่ามันยังไม่อาจเท่าประกายในดวงตาคู่หนึ่ง ที่จะเป็นคนเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทั้งหมด

    “วันนี้ข้าจะเปิดประตูสู่วาเนอร์”

    อัลเธียกระโดดลงจากหลังมังกร ก่อนที่อุ้งเท้าของมันจะลงแตะพื้น ตามด้วยยูลิสท์ที่กระชากอุปกรณ์สื่อสารออกมาขณะวิ่งสุดตัว เสียงแหลมเสียดแก้วหูจู่โจมเขาทันทีที่พยายามจะติดต่อกับอีกสองคนที่ควรจะอยู่ในปราสสาทดัชเชส เกจที่ข้อมือสั่นรวน แต่ในที่สุดก็จับสัญญาณของคนผมดำได้ก่อน ในขณะที่จุดกระพริบของไซเรนเบลเววิ่งวนอย่างสับสน

    “เป็นยังไงบ้าง?”อัศวินหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า พวกเขาวิ่งผ่านปราสาทหลังเล็กที่ว่างเปล่าออกมาทางใจกลางปราสาทหลัก ทางข้างหน้าตรงไปสู่เขตชั้นในของแอซไพรส์ชั้นสูง คำตอบเป็นตัวหยุดฝีเท้าที่เกือบมุ่งตรงไปทางนั้นโดยไม่รีรอ “ข้าเจอลอเฟย์แล้ว เขาอยู่ทางทิศเหนือใกล้กับซาเฟีย ทาเลสซายังเคลื่อนที่ไม่หยุด แต่ก็มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือเหมือนกัน”

                “เวก้าอยู่ในสองจุดนี้สินะ”เจ้าของผมสีเทาสลัดผ้าคลุมกันลมที่เกะกะออก “มุ่งไปทิศเหนือก่อน ยังไงทาเลสซาก็ต้องตามไปสมทบกับลอเฟย์แน่”นักวิทยาศาสตร์หนุ่มสรุปโดยที่อีกคนเพียงแค่พยักหน้า ทั้งสองวิ่งไปตามทางเดินยาวที่ปรากฏเงาคนหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ยูลิสท์คิดจะตะโกนถาม แต่ในวินาทีนั้นเอง ร่างของเขาถูกดึงให้หลบธนูที่พุ่งตรงมาแทบไม่พลาดเป้า!

                “พวกนั้นเป็นทหารของซิลอยด์”อัลเธียมองเครื่องหมายและสีของชุดที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัด เขาแนบแผ่นหลังกับกำแพงเย็นชืด ใช้ส่วนเกินของเสาตามรายทางเป็นที่กำบังชั่วคราวขณะยื่นใบหน้าออกสำรวจ ร่างสูงของพันตรีจากลัสท์เทรลเบียดตัวอยู่ข้างๆ ในมือไม่มีอาวุธสักชิ้น “เจ้าน่าจะพกดาบไว้บ้าง”ไนท์ ออฟ วีนัสทักกึ่งหัวเสีย

                “นี่เราต้องบู๊แล้วใช่ไหม?”พ่อคนหล่อหันมาถาม ได้รับคำตอบสั้นๆว่า “ใช่” เขาจึงหันไปคว้าคาคบวางเทียนด้ามยาวที่เสียบอยู่ริมผนัง ใช้ส่วนที่เป็นฐานวางเทียนต่างด้ามจับ โอ้ พอดีมือกว่าที่คิด ต้องขอบคุณยูโธเปียที่ยังไม่คิดใช้ผลึกไหลเวียนเป็นตัวให้แสงสว่าง

                “แน่ใจแล้วนะ?”ฝ่ายที่เด็กกว่าก้มมองแล้วถาม ในมือเขากระชับดาบประจำตัวที่เริ่มแผ่ไอเย็นคุกคาม “ข้าเป็นคนสบายๆน่ะ”ยูลิสท์ยิ้มหน้าระรื่นกับเสียงระบายลมหายใจของอีกฝ่าย เสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ดังเข้ามาใกล้ไม่ต่างจากธนูที่แปรเปลี่ยนเป็นลูกบอลไฟขนาดย่อม แหม คิดว่าที่นี่เขานิยมใช้น้ำแข็งกันเสียอีก...ราตรีมาถึงแล้วอย่างแท้จริง คบไฟทั้งหมดยกเว้นอันเดียวที่ถูกขโมยไปต่างก็สว่างพรึ่บขึ้นด้วยฤทธิ์ของเวทมนตร์ อัลเธียหันมาส่งสัญญาณเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อพบกับร่างสูงสง่าที่กระโจนออกไปเร็วยิ่งกว่าเขาจะทันห้าม พันตรีวาอินนายิ้มอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับโลหะด้ามยาวในมือ

                “ไป!


    ----------------------------------------------------------------------------


    พี่เทพยูลิสท์กับเชิงเทียนของท่านจะเอาตัวรอดไปได้ถึงไหน

    ลืมบอกไปว่าซิลอยด์กับราฟรีนนี่เป็นคู่ออฟฟิเชียลนะคะ 55555555555555555555555


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×