คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : 43th Tale : เปิดกระดาน
ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่เย็นชืดออกจากใบหน้า
ดวงตาของเขาหรี่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นกว่าครั้งก่อน
สิ่งปลูกสร้างปริศนาที่มอดไหม้ถูกสีดำอนธกาลจากเปลวเพลิงละเลงจนพังพินาศ
คล้ายซากกระดูกขนาดใหญ่ที่หักระเนระนาด ‘บ้าน’หลังที่สี่ย่อยยับยิ่งกว่าหลังอื่นๆในหุบเขากษัตริย์
“มันถูกเผา”ยูลิสท์สรุป
เขาเงยหน้าขึ้นมองเส้นสีขาวของท้องฟ้าที่ผ่านเลยมาเกินครึ่งวัน
ไล่ลงมาจนถึงความมืดมิดที่พวกตนเผชิญอยู่
ในหุบเขาลึกที่หนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเกิดเปลวไฟได้โดยธรรมชาติ
“วัสดุพวกนี้มีส่วนคล้ายกับโลหะอยู่มาก
ต้องใช้อุณหภูมิสูงติดต่อกันเป็นเงลานานถึงจะหลอมได้
ไม่ต้องพูดถึงขั้นเผาให้กลายเป็นถ่านเลย.....”เขาลูบซากเขม่าที่ร่วงกร่อนลงสู้พื้นเพียงสัมผัสที่แผ่วเบา
“มีคนเผามันด้วยเวทมนตร์”
ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างคล้ายกับกล่องขนาดใหญ่
ข้างในไม่เหลือร่องรอยอะไรมากนักนอกจากก้อนถ่านที่เกิดจากเขม่าจับตัวกันจนแข็ง
แต่ยังพอมองเค้าโครงที่ถูกแบ่งสัดส่วนของมันได้
“มันอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”อัลเธียมองไปรอบๆ
เหมือนกับจุดล่าสุด เขาพยายามหาเบาะแสเท่าที่จะคงเหลืออยู่
“ถ้าดูความเสื่อมโทรมของโลหะที่เหลือรอดในจุดแรกก็เดาได้ว่าหลายร้อยปี
แต่ถ้าอ้างอิงจากตำแหน่งของพวกมันที่ถูกจารึกในมหาวิหารซาเฟียก็อาจเป็นหลายพันปี....”นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเช็ดมือกับชายเสื้อคลุมที่ขมุกขมัวของตน
เมื่อเห็นสายตาที่อีกคนมองมาจึงพ่นลมหายใจ
“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ
ข้ายังไม่แก่พอจะเคยเห็นเหล็กที่ผุมาถึงพันปีหรอก”
“แต่หลักร้อยปีก็ยังพอเห็นอยู่บ้างกระมัง?”อัศวินหนุ่มจงใจพูดลอยๆ
ดูเหมือนเขาจะมีลางสังหรณ์ที่ดีไม่น้อยที่เดียว....
“เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเข้าวัยกลางคนแล้ว”รอยยิ้มกระชากใจสาวพาดกว้างบนใบหน้าหล่อเหลาแทนคำตอบ
สตาเฟลล์มองหน้าเพื่อนร่วมภารกิจแล้วก็เลิกสนใจไป
ปล่อยให้ยูลิสท์น้อยใจอยู่ฝ่ายเดียว
“....เจ้านี่เย็นชาเหมือนกับยูโธเปียจริงๆ”เขาประชดด้วยน้ำเสียงที่น่าประเคนฝ่ามือให้
“เอาเป็นว่าที่แห่งนี้ดูจะเก่าแก่จนเรียกว่าโบราณสถานได้แล้.....”
ขายาวนึกจะก้าวไปหยอกล้อกับพ่อคนหน้าบูดต่อ
แต่ว่าดันเท่าหนักไปนิดจนพาตัวเองทะลุพื้นที่ผุพังลงไปถึงด้านล่าง
“............!!”สมองสั่งให้ชักขาตัวเองกลับขึ้นมาอย่างว่องไวก่อนที่จะได้ลงพื้นที่พิสูจน์ความมืดมิดด้านล่าง
เขาขยับตัวอย่างรวดเร็วไม่เสียชื่ออดีตกองพันรัตติกาลที่ถูกเรียกกลับมาปฏิบัติงานปัจจุบัน
“วาอินนา?”อัลเธียย้อนกลับมาพร้อมด้วยกลุ่มดวงไฟที่ลอยอยู่ข้างตัว
เขาก้มลงมองหลุมที่ปรากฏขึ้นกะทันหันอย่างระมัดระวัง แสงไฟจากผลึกไหลเวียนเหนือศีรษะส่องกระทบประกายวาววับบางอย่างข้างใต้
มันเล็กจิ๋วเสียยิ่งกว่าหิ่งห้อย ทว่ากับคมกล้าดุจเพชรเจียระไน
ยูลิสท์ไม่รอช้าโยนผลึกไหลเวียนลูกหนึ่งลงไป
“นี่มัน....”
แสงสีน้ำเงินเรืองประกาย
มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วก้อยของเขา ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่อยู่นอกผ้าพันแผลเพ่งมองไม่ละสายตา
ถ้อยคำแผ่วเบาจากปากตนเองพาให้เลือดในกายเย็นเฉียบยิ่งกว่าลมหนาวที่กัดเซาะผิวกาย
“นี่คือผลึกฟ้า”
ซิลอยด์ได้ผลึกฟ้าไปแล้ว!
“วาอินนา
เราจะไปต่อหรือเปล่า?”อัลเธียสลับสายตาไปยังใบหน้าซีดเผือดของแอซไพรส์จากลัสท์เทรล
ดวงตาที่มักจะสายแววขี้เล่นอยู่เสมอหมุนกลับมาหาเขา
มันเต็มไปด้วยความร้อนรนและน่าหวาดหวั่น
บางอย่างในตัวแอซไพรส์นี้ไม่เหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอีกต่อไป
“ไม่สำคัญ พวกมันคงถูกเผาเหมือนๆกัน
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือรีบกลับไปที่เวอดันซาร์เพื่อรายงานเรื่องนี้
...เราช้ากว่าซิลอยด์ก้าวหนึ่งเสียแล้ว”น้ำเสียงทุ้มกล่าวคล้ายไม่เร่งร้อน
ทว่าขาดซึ่งชีวิตชีวา
ร่างสูงหันหลังกลับไปยังมังกรของตนด้วยความเร็วที่พัดเส้นผมสีทองสว่างปลิวสยาย
ไนท์ ออฟ วีนัสเพิ่งรู้สึกว่า
มีบางอย่างในตัวของยูลิสทา วาอินนาที่เขาไม่อาจขัดขืนได้
มังกรบินเหินทะยานกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าสีขาวจัดจ้าของนครที่ปกคุลมด้วยความหนาวเย็น
ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาเกินความจำเป็น
แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มผมทองไม่อาจเก็บข้อสงสัยเอาไว้ได้
“หากถึงเวลาจำเป็น
ท่านหญิงจะสามารถขัดบัญชาลอร์ดซิลอยด์ได้หรือ?”ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักรีเวฟ์ก้าก็จะสามารถรู้ได้ในเวลาไม่นานว่าหล่อนผูกพันธ์กับพี่ชายของตนมากแค่ไหน
ทุกอย่างที่หล่อนรักและเทิดทูนอยู่ในกระแสเสียงที่มักจะกล่าวถึงผู้เป็นพี่อยู่เนืองๆ
อัลเธียที่เป็นอัศวินประจำตัวของเด็กสาวย่อมรู้ดีกว่าใครเพื่อน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงอ้าปากตอบคำถาม
ทว่าเพียงพยางค์แรกที่คิดจะเปล่งเสียง มวลเมฆรอบตัวก็พัดถลาผ่านร่างไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับถูกพายุหอบใหญ่ดันหายจนพวกเขาต้องก้มลงกอดคอมังกรที่ซวนเซเสียหลักอย่างตื่นตระหนก
เมื่ออากาศรอบตัวกลับสู่สเถียรภาพพร้อมๆกับวิถีการบินที่มั่นคงกว่าเดิม
อัศวินหนุ่มก็โงศีรษะขึ้นสำรวจ
ภาพที่อยู่ไกลออกไปคล้ายว่าเลือนลางแต่ก็พาให้ไม่นึกอยากเชื่อสายตาตนเอง
“วาอินนา...ควัน!”เจ้าของชื้อเสยผมที่ตีกลับมาปรกใบหน้าของตนเองอย่างลวกๆ
ภาพของนครลอยฟ้าที่อยู่ห่างออกไปจนเล็กเพียงฝ่ามือกลับมีกลุ่มควันสีดำสวยขึ้นย้อมท้องฟ้าเหนือยูโธเปียให้เป็นสีเทาขมุกขมัว
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ในคราวนี้ไม่ต้องรอให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตอบ
ทั้งสองพุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดแข่งกับเวลาที่พระอาทิตย์จะหันหน้าลงสู่ผืนดิน....เผื่อว่าทุกสิ่งจะยังทันการณ์
ยูลิสท์กัดฟันอย่างเจ็บใจ
ไม่เคยมีครั้งไหนที่คนอย่างเขาจะคำนวณทุกสิ่งผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน
“หะหะ หัวหน้า..ดูท่าว่าครั้งนี้พวกเราจะสายไปก้าวหนึ่งจริงๆ...”
สีแดง
มันเจิดจ้าและทรงพลัง
เผาไหม้ด้วยความรวดเร็วเกินกง่าจะหลบหนีทัน ในที่สุดมันก็กลืนกินเขา
ในระหว่างนั้นมีเสียงตะโกนก้องคล้ายหัวใจสลาย และทุกอย่างก็หายไปในความว่างเปล่า
แสงสว่างรำไรแตะเปลือกตาชวนให้จั๊กจี้
ภาพที่มองลอดเส้นขนตาของตนเองยังสว่างไสวเกินจะจับต้องได้
ไม่นานกรอบของหน้าต่างและผ้าม่านกำมะหนี่ก็ประทับในคลองจักษุ ลอเฟย์ตะแคงโลกของเขาขึ้นด้วยศีรษะที่หนักอึ้ง
ไม่นานสีส้มที่ฉูดฉาดก็กลายเป็นภาพท้องฟ้ายามเย็น
นี่เราเผลอหลับไปหรือนี่?
เมื่อครู่ใช่ดาวหางสีแดงในวิหารซาเฟรยหรือเปล่า?
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งตัวตรงพลางขยี้ตา
หลังที่ปวดเมื่อยเป็นหลักฐานชั้นดีไม่ต่างจากหนังสือที่ถูกเขานอนทับบี้แบน
อา....ขอโทษนะ เขาปิดมันลงเพื่อดัดรูปทรงของหนังสือเก่าแก่ให้เข้าที่อีกครั้ง
“ตื่นแล้วหรือคะ?”เสียงใสทักมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง
ร่างของดัชเชสแห่งเลแรงก์นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวบุนวม ทว่าข้างๆกลับเป็นกองหนังสือหลายเล่มและยังมีม้วนกระดาษกองอยู่บนตักอีกจำนวนหนึ่ง
ความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ดวงตาของเขาจะปิดคือการขุดค้นแผนภูมิดาราที่อีกฝ่ายเป็นผู้รายงานเกี่ยวกับการเรียงตัวที่แปลกประหลาดเมื่อคืน
“ขอโทษนะครับที่ผมเผลอหลับไป”เขารีบหันไปก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
เราเองก็แอบงีบไปตอนสายๆเหมือนกัน”รีเวฟ์ก้าป้องปากหัวเราะ
“ยูลิสท์กับอัลเธียยังไม่กลับมาหรือครับ?”ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ
เด็กสาวมองออกไปด้านนอก จุดพร่างพรายริบหรี่คือดวงดาวที่รอเวลาฉายแสงหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
หล่อนมองหาดาวทั้งสามดวงที่ติดตรึงในความนึกคิด
“...แล้วอโฟรเดส?”
เขาหันมองตามทิศทางที่นิ้วเรียวเล็กชี้ไป
พบร่างปราดเปรียวนอนหลับบนเก้าอี้ยาวอีกตัวหนึ่ง
อโฟรเดสนอนตะแคงห่อตัวภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ของตนเอง
แขนเรียวใช้ต่างหมอนส่วนอีกข้างเหยียดยาวออกไปราวกับเสือดาวตัวเขื่อง ลอเฟย์อดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองภาพที่หาดูยากของคู่หู
เพราะเธอมักจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขาเสมอในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต้องฝึกทรหดด้วยกัน
เสียงลมหายใจที่ไม่สบายหูนักทำให้เด็กหนุ่มต้องถอดเสื้อนอกของตนเองคลุมทับไหล่บางอีกชั้นหนึ่ง
“เห็นบอกว่างานเต้นรำเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ”
“อโฟรเดสอดนอนไม่ค่อยเก่งหรอกครับ
เรื่องทนหนาวก็ด้วย”เธอมาเกิดที่แอตแลนติสย่อมไม่ชินกับอากาสหนาวเย็นเป็นธรรมดา
“พันตรีไลน์สเตรนจ์ล่ะ
ไม่หนาวหรือ?”เวก้าถามเมื่อเห็นเขาเหลือแค่เสื้อนอกตัวเดียว
“ผมเกิดที่น่านฟ้ายูโธเปีย
ค่อนข้างชินอยู่แล้วครับ แต่ยังไงบนนี้ก็หนาวไม่ใช่เล่นเลย”ลอเฟย์ยกมือลูบหลังคอตนเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ
“อันที่จริงผมยังเป็นร้อยตรีอยู่เลยครับ”เขาสารภาพต่อขณะเปิดประตูให้เด็กสาวออกไปข้างนอก
ตอนนี้เวอดันซาร์ที่ขาวโพลนด้วยหิมะถูกย้อมด้วยสีส้มของแสงแดดในยามเย็นราวกับผืนผ้าใบที่ถูกแต่งแต้ม
การออกมายืดเส้นยืดสายช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ไม่น้อย
เขาปล่อยสมองให้พักเหนื่อยด้วยการล่องลอยไปกับบทสนทนา
เขาเล่าถึงเรื่องราวบนพื้นพิภพที่ทำให้ดัชเชสสาวตื่นเต้น
“ถึงจะอยู่บนนี้แต่เราเองก็ไม่มีเพื่อนมากนัก
ไม่สิเพราะอยู่บนนี้ต่างหาก แอซไพรส์ที่เป็นเด็กมีน้อยและเราเองก็มีผมสีดำ”ลอเฟย์ไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของหล่อนอย่างเต็มที่
แต่จากเวลาเล็กน้อยในลัสท์เทรลที่เขาต้องถูกรางวัลเพราะสีผมอัปมงคลในความเชื่อของวัฒนธรรมแอซไพรส์
ก็ทำให้เขามีความเป็นพวกเดียวกับหล่อนอยู่บ้าง “แต่ก็มีท่านพี่ทั้งสองที่ดีกับเรา”รีเวฟ์ก้าเงยหน้าขึ้นยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่ดูเหงาหงอยเล็กน้อย อ้อ เขาเพิ่งรู้ว่าหล่อนมีพี่สองคน
“อันที่จริง
เมื่อก่อน....ท่านพี่ซิลอยด์ไม่ได้เป็นแบบนี้”หล่อนเว้นวรรคเป็นเวลานาน
“ท่านอาจจะคิดว่าเราไม่ถูกกัน แต่ความจริงแล้วเรารักท่านพี่มาก จึงต้องพยายามหยุดเขาให้ได้”ดวงตาสีฟ้าซีดเซียวฉายแววมุ่งมั่นที่ไม่มีวันถอยกลับ
ชวนให้พันตรีจำเป็นต้องแปลกใจ แต่ครู่หนึ่งก็หรี่ตาลง
นั่นสินะ...คนเรามักจะดื้อดึงเพราะรักไม่น้อยไปกว่าเกลียดชัง
“ผมเชื่อว่าลอร์ดซิลอยด์เองก็คงเอ็นดูท่านหญิงมาก”ร่างที่สูงกว่าหันไปส่งยิ้มเป็นกำลังใจ
และเขายังคิดแบบนั้นจริงๆจากทุกสิ่งที่ได้เห็นมาเมื่อวาน
บางทีที่ซิลอยด์ส่งน้องสาวของตนไปยังนครหลวง
อาจจะเป็นเพราะไม่ต้องการที่จะสู้กับหล่อนก็ได้ อย่างไรก็ตาม....หล่อนกลับมาแล้วและกำลังยิ้มขอบคุณอีกด้วย
“จุดหมายวันนี้ค่อนข้างจะพิเศษ เราคิดว่าจะรอพันตรีวาอินนาก่อน
แต่เกรงว่าถ้ามัวแต่รอคงไม่ทันเลยชวนท่านออกมาก่อน”ส่วนอโฟรเดสนั้นดูน่าสงสารเกินกว่าจะถูกปลุกให้ตื่น
เมื่อถามดูว่าจะไปที่ไหน ก็ได้รับคำตอบที่ต้องเลิกคิ้วอย่างแรง
“เราจะไปหาราชันย์เหนือ
ท่านเซียนนาค่ะ”ไม่น่าเล่าเราถึงได้เดินเข้าหาใจกลางเวอร์ดันซาร์
ออกห่างจากปราสาทหลังเล็กของสาวน้อยเวก้าไกลโขอยู่ “เราอยากรีบไปพบพระองค์
แต่หอคอยลมหนาวของท่านไม่ใช่ที่ที่จะเดินไปได้อย่างไม่ผิดสังเกต”ดังนั้นคณะเดินทางที่พึ่งมาถึงในวันแรก
หนำซ้ำยังสวมชุดเต้นรำอย่างเป็นทางการจึงไม่ควรเดินเรียงแถวกันเข้าไปสินะ
บางทีหล่อนน่าจะรอยูลิสท์กลับมาก่อนจริงๆ
ลอเฟย์รู้สึกตื่นเต้น
กระเพาะของเขาเต้นเป็นจังหวะและยังปวดหนึบเล็กน้อย
เขาไม่เคยพบเทพราชันย์หรือแอซไพรส์ระดับ 1 มาก่อน
ไม่ต้องย้อนความว่าไม่กี่สัปดาห์ก่อนเด็กหนุ่มยังสงสัยว่าเทพโอดินประจำน่านฟ้าของตนนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
และกลับมาสนอกสนใจกับคำถามนี้อีกครั้ง
เขามองไปรอบๆตัวและพบตนเองยืนอยู่บนทางเดินกึ่งระเบียงที่เปิดด้านข้างให้เห็นทัศนียภาพโดยรอบ
ฝั่งตรงข้ามคือปราสาทกลางของเวอดันซาร์
ด้านล่างเป็นล่านโล่งๆและดาดฟ้าที่ลดหลั่นกันลงไป
ล้วนแต่ปกคลุมด้วยสีขาวที่ถูกระบายเป็นส้ม หอคอยลมหนาวอยู่ห่างออกไป
คล้ายกับวัลฮัลลาในปราสาทลัสท์เทรลที่สูงจนมองเห็นไม่ถนัด
ฉับพลันเสียงระเบิดก็ดังขึ้น!
มันสะเทือนรุนแรงจนพื้นใต้เท่าสั่นระริก ดังถล่มทลายจนต้องเอามืดอุดหู
ดวงตาสีน้ำเงินมองไปรอบๆและจับกลุ่มควันโขมงได้ทางทิศเหนือที่ห่างพวกเขาไปสุดแผ่นดิน
เกิดอะไรขึ้นที่อีกฝั่งของปราสาทหลังมหึมานี้!?
รีเวฟ์ก้าตกใจเกินจะกล่าว หล่อนรี่ไปเกาะขอบระเบียงและหันกลับไปยังทิศทางของปราสาทตัวเอง
“ทางนี้ค่ะ!”พวกเขาตัดสินใจวิ่งลัดเลาะไปตามปราสาททิศเหนือ
เป็นครั้งแรกที่ลอเฟย์นึกก่นด่าความกว้างขวางอย่างไร้ประโยชน์ของเวอดันซาร์
ระหว่างทางไม่มีแม้แต่วี่แววของสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น
“นายอยู่ที่ไหน!?”เสียงของอโฟนเดสดังผ่านเจ้านกทินจ์ที่บินรี่ตามมาด้วยความเร็วสูงสุด
คิดไม่ผิดว่าเสียงระเบิดกัมปนาทนี้ต้องปลุกไซเรนเบลเวผู้มีประสาทการฟังดีกว่าใครเพื่อน
แต่การติดต่อกลับล่าช้าเล็กน้อย
“ผมกับดัชเชสกำลังมุ่งหน้าไปจุดเกิดเหตุทิศเหนือครับ”
“ฉันจะไปสมทบ”เธอพูดแค่นั้นแล้วเสียงก็ตัดไป ระเบียงยาวที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุดถึงทางแยกที่พาพวกเขาเข้าไปยังห้องโถงที่ตกแต่งด้วยสีสันละลานตาแห่งหนึ่ง
สถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยหน้าต่างบานใหญ่ทำให้มองเห็นภายนอกได้ชัดเจน
ลอเฟย์มองออกไปข้างนอก
บางสิ่งปรากฏขึ้น
มันคล้ายกับลูกบอลที่ทำจากเหล็กสีเข้ม
โป่งพองจากด้านบนของปราสาท ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน
พริบตาเดียวก็ระเบิดเป็นวงกว้างเหมือนสนามแม่เหล็กขนาดยักษ์
ทะลุผนังและสิ่งขีดขวางต่างๆ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง
ในวินาทีนั้นรีเวฟ์ก้าเพิ่งหันมา ริมฝีปากกำลังเผยออก
ไม่เห็นสิ่งที่คืบคลานมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
“ท่านหญิ-“เสียงที่เหลือของเขาถูกกลืนหายไปในมวลหนักอึ้งของอากาศ
เด็กหนุ่มกระชากร่างบอบบางเข้ามาและพลิกตัวกำบังหล่อนเอาไว้
แสงสีน้ำเงินเข้มเรืองสว่างเป็นระลอกคลื่นที่ซัดฝั่งอย่างบ้าคลั่ง
แรงกดมหาศาลนั้นทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดใบหู เวก้ากรีดร้องออกมาจากความปวดร้าวที่บีบคั้นกะโหลกศีรษะจากภายใน
มันเกิดขึ้นและจบลงในความเงียบงัน
“ล-เฟย์ –อ-ฟ –เกิดอะไ-ขึ้-“เสียงขาดหายดังผ่านเครื่องสื่อสารที่ร่วงหล่นบนพื้น
ปีกเล็กๆของมันพยายามกระพือขึ้นลงอย่างหมดแรง
ลอเฟย์อนุมานว่าอโฟรเดสคงอยู่นอกรัศมีของอาณาเขตนี้ แม้ร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทว่าคลื่นเสียงที่ผลึกฟ้าไม่อาจป้องกันทำให้ศีรษะของเขาเต้นตุบๆแทบจะระเบิด
“อย่าเข้ามาอโฟรเดส....”เด็กหนุ่มเค้นแรงพูด
หูของหล่อนไม่มีทางทนไหว เสียงไอโขล่กเรียกให้เขาหันมาสนใจร่างในอ้อมแขน
รีเวฟ์ก้าทรุดตัวไร้เรี่ยวแรง หล่อนไอจนตัวโยนหลายครั้งก็ไม่มีวี่แววจะลุกขึ้นได้
“นี่เป็นเทพฤทธิ์ของท่านพี่
เขาควบคุมแรงโน้มถ่วง....”มือบางละออกจากริมฝีปากที่กลายเป็นสีแดงสด
เด็กหนุ่มเบิกตามองหยดเลือดที่กระเซ็นตามชุดสวยวิจิตรแล้วสังเกตเกราะพลังของตนที่ยังไม่จางหายไป
บ้าจริง!
เขาไม่สามารถป้องกันแอซที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศพวกนี้ได้
ปราการไพลินยังเป็นแค่โล่สองมิติเท่านั้น
ความคิดนี้ทำให้ต้องเงยหน้ามองจุดกำเนิดของอาณาเขต
....ซิลอยด์แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ถึงกับสร้างอาณาเขตครอบปราสาททั้งหลังได้ด้วยเวทมนตร์เฉพาะของตนเอง
“ท่านหญิง!”เขาร้องเมื่อร่างบางพยายามยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
ไหล่ของหล่อนสั่นระริก แต่ดวงตามุ่งมั่นกว่าที่เคย “อาณาเขตนี้คงอยู่ไม่นาน
เราต้องรีบไปหาท่านพี่นะคะ”หล่อยยิ้มแม้จะมีเม็ดเหงื่อผุดพราย
อวัยวะภายในคงบอบช้ำไม่น้อย กระนั้นสีหน้าของหล่อนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาสอดมือเข้าพยุงร่างบางและช่วยรับน้ำหนักที่ถ่วงแขนขา
วิชายกดาบที่ได้จากไฮเกลเริ่มเป็นประโยชน์ก็วันนี้
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว
ร่างบางก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ขณะที่เขารับร่างซวนเซเข้ามา
มันก็ปรากฏกายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สีน้ำเงิน มวลอากาศที่หนักแน่นพลันสลายไปกลายเป็นภาวะปกติ
“สีนี้มัน.....”เหมือนกับผลึกฟ้าไม่มีผิด!
“ท่านหญิงมักจะชอบเดินเล่นในที่ที่คาดไม่ถึงเสมอ”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับการปรากฏกายอย่างกะทันหันของร่างสูงชะลูด
ดวงตาเย็นยะเยือกของเขายังคงแหลมคงไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าของเขาหันเข้าหาเงามืด
ส่งผลให้แสงแดดสีสดไล่ตามขอบผิวจนเหมือนเทียนไขเล่มหนึ่ง
ราฟรีนมาพร้อมกับแอซไพรส์อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากห้วงพลังของซิลอยด์
ในกลุ่มนั้นมีขุนนางที่ลอเฟย์พบเห็นและทำความรู้จักอย่างผิวเผินอยู่สองสามคน
“ท่านเองก็ด้วย ลอร์ดราฟรีน”กองพันรัตติกาลกล่าว
ดูท่าสิ่งที่เขากลัวจะเริ่มขึ้นแล้วจริงๆ
“ผมขอเรียนถามได้ไหมว่าพวกท่านคิดจะทำอะไรหรือครับ?”เขาถามอย่างสุภาพจนดูกวนประสาท
ราฟรีนขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ตอบในทันที
“เจ้าจะรู้เมื่อมันเสร็จสิ้น ระหว่างนั้นก็รออยู่ในนั้นไปก่อนก็แล้วกัน”
สายตาของเขามองไปยังร่างในอ้อมแขนที่ต้องยึดเกาะเสื้อสีขาวของเด็กหนุ่มอย่างสุดแรง
“ท่านจะเปิดประตูแห่งวาเนอร์สินะ?
เราเห็นแผนผังดารานี้ในม้วนตำราโบราณ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!?”ดัชเชสแห่งเลแรงก์ร้องถาม
ภายใต้สีหน้าแตกตื่นของลอเฟย์
“ข้าไม่คาดหวังอะไรน้อยกว่านี้จากดาราพยากรณ์”ชายหนุ่มกล่าวเป็นคำชม
ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มของคนตาย
“หยุดเถอะค่ะ ตอนนี้ยังพอมีเวลา...”ทว่าคำตอบต่อเสียงอ่อนระโหยเป็นเพียงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นและดวงตาที่เย็นชากว่าเดิม
เขากระหมุนตัวออกไปอีกทางโดยไม่ทิ้งข้อความใดไว้อีก
หนึ่งในลูกน้องที่มาด้วยถูกสั่งให้เฝ้ากรงขังนี้เอาไว้ “ทำไมล่ะคะ?
อย่างน้อยท่านก็ควรจะบอกเหตุผลกับเราบ้างไม่ใช่หรือ?!”เวก้ามองตาแผ่นหลังโปร่งบางที่ค่อยๆห่างออกไปด้วยดวงตารวดร้าว
“ทำไมล่ะคะ
ท่านพี่ราฟรีน!!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?!”
“ตระกูลเลแรงก์รับเธอมาเป็นบุตรบุญธรรมตอนอายุสามขวบ
ก่อนหน้านั้นพี่ชายของเวก้าคือราฟรีน ดีร์
รอนซาน”อัลเธียยืนยันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่แฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด
ทั้งสองยังมุ่งหน้าเต็มพิกัดไปยังนครลอยฟ้า
“และสำหรับเวก้าเขาก็คงยังเป็นพี่ชายของเธออยู่”
“ฉะนั้นคำถามของเจ้าที่ว่าเวก้าจะยอมเป็นปรปักษ์กับซิลอยด์หรือเปล่านั้น?
ข้าว่าเป็น แต่คนที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดคือราฟรีนต่างหาก”
“ข้าชักจะปวดหัวขึ้นมาแล้ว....”หนุ่มผมทองบ่นก่อนจะถูกตัดบท
“ที่ข้าบอกว่าปัญหาคือราฟรีนไม่ได้หมายถึงแค่นั้นหรอก...เดี๋ยวเจ้าจะเห็นเอง”ไนท์
ออฟ วีนัสยืดตัวขึ้นมองเงาของยูโธเปียที่อยู่ไม่ไกล ในดวงตาปรากฏแววยุ่งยากใจ
“ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ลอร์ดซิลอยด์”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างอาจหาญ
ภายในกรงขังสีน้ำเงินวาวเรือง
แอซไพรส์ชั้นปกครองทั้งหมดนั่งประจันหน้ากันเลิ่กลั่กบนโต๊ะประชุมตัวยาว
มันใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมขุนนางทั้งหลายหลังเกิดเสียงระเบิด
ทว่าการรวมตัวของพวกเขาเป็นการตกหลุมพรางชิ้นใหญ่
และตอนนี้บุรุษผู้กำชะตาชีวิตของสภาเหนือก็ชนะไพ่ตาแรกอย่างสวยงาม
ซิลอยด์ยืนอยู่สุดปลายของห้องประชุมที่เขาคุ้นเคย ดวงตาเฉยเมยมองเข้าไปในกล่องสีเหลี่ยมที่ตนรังสรรค์
แอซไพรส์คนหนึ่งคิดจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกแรงโน้มถ่วงที่น่ากลัวภายนอกข่มขู่ให้สงบเสงี่ยม
“ขึ้นอยู่กับว่าพวกท่านจะฟังหรือไม่”ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
อณูสีเทาในอากาศกำลังขยายตัวออก
มันดันเกราะป้องกันราวกับกรงเล็บที่หมายจะขย้ำเหยื่อในอุ้งมือให้แหลกเป็นชิ้นๆ
เพียงแต่ว่ามันกลับทำไม่ได้ “ระเบิดนั่นเป็นฝีมือของท่านสินะ
ทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ!”ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นชี้
“ทำไมไม่ฆ่าพวกเราเสียเลยล่ะ?”หลายๆเสียงรวมกันโจมตี
ก่อนจะพลันเงียบลงหลังจากได้รับแววตาเย็นยะเยือกเป็นของตอบแทน
“ข้าจะสังหารพวกท่านก็ย่อมได้และท่านจะเรียกการกระทำนี้ว่าเป็นการก่อกบฏก็ย่อมได้เช่นกัน...แต่ข้าไม่มีรสนิยมฆ่าคนเป็นงานอดิเรก
พวกท่านเองก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด
เหตุใดข้าจะต้อง....”เขาบีบมือส่งผลให้แรงโน้มถ่วงกดทับลงมาอีก
“พวกท่านเพียงแค่ไม่รู้เท่านั้น”
“ไม่รู้ในสิ่งใดล่ะ!”เขาได้ยินคำนั้นก็ถึงกับยิ้มออกมา
“ในหลายๆสิ่ง
ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกท่านได้เห็นและใช้สองตาของตัวเองเป็นผู้ตัดสิน”มือทั้งสองข้างกางออก
“สิทธิ์ทั้งหมดของท่านจะตัดสินให้ข้าเป็นคนผิด!
หรือถูกก็ได้ทั้งนั้น คนเราล้วนกระทำไปตามพื้นฐานความรู้ที่ตัวเองมี
สิ่งที่ข้าจะทำ...ก็เป็นแค่การเปิดวิสัยทัศน์ใหม่เท่านั้น”
“ด้วยวิธีไหนกันล่ะ?
พวกเราที่นี่ต่างก็เป็นแอซไพรส์ชั้นสูง
ท่านคิดว่าจะกักขังเราไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน?”ทั้งกรงขังนี้และอาณาเขตที่ครอบคลุมปราสาทชั้นในต่างก็กินพลังมหาศาล
แม้จะน่าตกใจที่ซิลอยด์มีฤทธิ์เหลือล้น แต่อำนาจของเขาก็ไม่มวันคงอยู่ได้นาน
ทว่า...เสียงหัวเราะต่ำระเบิดกลายเป็นความน่าสะพรึงกลัว
ลอร์ดแห่งเลแรงก์เงยหน้าคำรามอย่างแสบสันต์ เมื่อเขาก้มศีรษะลงมา
ในมือก็เผยให้เห็นของสิ่งหนึ่ง มันคือผลึกสีน้ำเงินเข้มเรืองรอง
บางคนที่เห็นก็อ้าปากค้าง บางคนยังจ้องมองอย่างสงสัย
“แล้วถ้าหากว่า....แอซทั้งหมดนี้ มันไม่มีวันหมดกันล่ะ?”เขากำผลึกฟ้าในมือก่อนที่มันจะระเบิดออกเป็นห้วงอวกาศขนาดยักษ์ในชั่วพริบตา!
ทั้งเวอดันซาร์ตกอยู่ในเขตแรงโน้มถ่วงที่หนักแน่นจนแทบจะคร่าชีวิตได้ในคราวเดียว แม้แต่แอซไพรส์ฝั่งเดียวกันที่ได้รับผลึกฟ้าประจำตนต่างหูตกใจลนลานไปกับเทพฤทธิ์ที่น่าสยดสยอง
“ซิลอยด์ เจ้า...เจ้าทำได้ยังไง!”ชายชราผู้นั้นตะลึงพรึงเพริดจนปากคอสั่น
เขาเห็นฝ่ามือที่พลิกไปมาในห้วงอากาศที่หนักราวกับตะกั่วนั้นอย่างสบายใจ
มันสวมแหวนสีเรืองแสงสีเดียวกันไว้อีกหลายวง
“เจ้าเอาผลึกนิทราของเทพราชันย์มาได้ยังไง!”
ร่างสูงใหญ่ก้าวสืบเท้าเข้ามาช้าๆ
ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่งและตื่นเต้นเป็นที่สุด
“ทุกสิ่งที่ท่านรู้และเคยรู้....จะพังทลายในวันนี้”เขากำมือจนหัวแหวนเปล่งประกาย
อำนาจที่น่ากลัวที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นเชื้อเพลิงแห่งพลังกำลังกรีดร้อง แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ร่วงหล่นสู่กาลนิทราแล้ว
ความมืดที่มาเยือนอย่างรวดเร็วนั้นยิ่งทำให้แสงสีน้ำเงินลุกโชนราวกับดวงตาของอสูรร้าย
ทว่ามันยังไม่อาจเท่าประกายในดวงตาคู่หนึ่ง
ที่จะเป็นคนเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทั้งหมด
“วันนี้ข้าจะเปิดประตูสู่วาเนอร์”
อัลเธียกระโดดลงจากหลังมังกร
ก่อนที่อุ้งเท้าของมันจะลงแตะพื้น
ตามด้วยยูลิสท์ที่กระชากอุปกรณ์สื่อสารออกมาขณะวิ่งสุดตัว
เสียงแหลมเสียดแก้วหูจู่โจมเขาทันทีที่พยายามจะติดต่อกับอีกสองคนที่ควรจะอยู่ในปราสสาทดัชเชส
เกจที่ข้อมือสั่นรวน แต่ในที่สุดก็จับสัญญาณของคนผมดำได้ก่อน ในขณะที่จุดกระพริบของไซเรนเบลเววิ่งวนอย่างสับสน
“เป็นยังไงบ้าง?”อัศวินหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า
พวกเขาวิ่งผ่านปราสาทหลังเล็กที่ว่างเปล่าออกมาทางใจกลางปราสาทหลัก
ทางข้างหน้าตรงไปสู่เขตชั้นในของแอซไพรส์ชั้นสูง
คำตอบเป็นตัวหยุดฝีเท้าที่เกือบมุ่งตรงไปทางนั้นโดยไม่รีรอ “ข้าเจอลอเฟย์แล้ว
เขาอยู่ทางทิศเหนือใกล้กับซาเฟีย ทาเลสซายังเคลื่อนที่ไม่หยุด
แต่ก็มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือเหมือนกัน”
“เวก้าอยู่ในสองจุดนี้สินะ”เจ้าของผมสีเทาสลัดผ้าคลุมกันลมที่เกะกะออก
“มุ่งไปทิศเหนือก่อน ยังไงทาเลสซาก็ต้องตามไปสมทบกับลอเฟย์แน่”นักวิทยาศาสตร์หนุ่มสรุปโดยที่อีกคนเพียงแค่พยักหน้า
ทั้งสองวิ่งไปตามทางเดินยาวที่ปรากฏเงาคนหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ยูลิสท์คิดจะตะโกนถาม
แต่ในวินาทีนั้นเอง ร่างของเขาถูกดึงให้หลบธนูที่พุ่งตรงมาแทบไม่พลาดเป้า!
“พวกนั้นเป็นทหารของซิลอยด์”อัลเธียมองเครื่องหมายและสีของชุดที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัด
เขาแนบแผ่นหลังกับกำแพงเย็นชืด
ใช้ส่วนเกินของเสาตามรายทางเป็นที่กำบังชั่วคราวขณะยื่นใบหน้าออกสำรวจ
ร่างสูงของพันตรีจากลัสท์เทรลเบียดตัวอยู่ข้างๆ ในมือไม่มีอาวุธสักชิ้น
“เจ้าน่าจะพกดาบไว้บ้าง”ไนท์ ออฟ วีนัสทักกึ่งหัวเสีย
“นี่เราต้องบู๊แล้วใช่ไหม?”พ่อคนหล่อหันมาถาม
ได้รับคำตอบสั้นๆว่า “ใช่” เขาจึงหันไปคว้าคาคบวางเทียนด้ามยาวที่เสียบอยู่ริมผนัง
ใช้ส่วนที่เป็นฐานวางเทียนต่างด้ามจับ โอ้ พอดีมือกว่าที่คิด
ต้องขอบคุณยูโธเปียที่ยังไม่คิดใช้ผลึกไหลเวียนเป็นตัวให้แสงสว่าง
“แน่ใจแล้วนะ?”ฝ่ายที่เด็กกว่าก้มมองแล้วถาม
ในมือเขากระชับดาบประจำตัวที่เริ่มแผ่ไอเย็นคุกคาม
“ข้าเป็นคนสบายๆน่ะ”ยูลิสท์ยิ้มหน้าระรื่นกับเสียงระบายลมหายใจของอีกฝ่าย
เสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ดังเข้ามาใกล้ไม่ต่างจากธนูที่แปรเปลี่ยนเป็นลูกบอลไฟขนาดย่อม
แหม คิดว่าที่นี่เขานิยมใช้น้ำแข็งกันเสียอีก...ราตรีมาถึงแล้วอย่างแท้จริง
คบไฟทั้งหมดยกเว้นอันเดียวที่ถูกขโมยไปต่างก็สว่างพรึ่บขึ้นด้วยฤทธิ์ของเวทมนตร์ อัลเธียหันมาส่งสัญญาณเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อพบกับร่างสูงสง่าที่กระโจนออกไปเร็วยิ่งกว่าเขาจะทันห้าม
พันตรีวาอินนายิ้มอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับโลหะด้ามยาวในมือ
“ไป!”
----------------------------------------------------------------------------
พี่เทพยูลิสท์กับเชิงเทียนของท่านจะเอาตัวรอดไปได้ถึงไหน
ลืมบอกไปว่าซิลอยด์กับราฟรีนนี่เป็นคู่ออฟฟิเชียลนะคะ 55555555555555555555555
ความคิดเห็น