ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #41 : 39th Tale : สู่งานเต้นรำ (ครบ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 241
      3
      15 ก.ค. 58




    “ไม่มี! ไม่มี! ไม่มี!!

    เสียงเกรี้ยวกราดสะท้อนกังวานไปทั่วทางเดินที่เงียบงันและมืดสลัวในหอคอยนักปราชญ์ มันระเบิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้อาณาเขตส่วนตัวของหมาปราชญ์มิเรียน โมบริค เบื้องหลังประตูไม้หน้าใหญ่ที่ปิดสนิทกั้นความอยากรู้อยากเห็นและสายตาของโลกภายนอกเอาไว้ มีเพียงเสียงแก้วตกแตกกระจายเป็นเครื่องยืนยันถึงพายุร้ายที่ยังไม่สงบตัว

    มิเรียนทุบกำปั้นลงกับโต๊ะทำงานที่ประดับจอแสดงผลหลากหลายซ้อนทับกันเป็นชั้น เกือบทั้งหมดของมันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวอักษรกำกับ และที่กลางของหมู่แสงสีฟ้าปรากฏสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่สุด ประทับด้วยตรารูปปีกคาดทับเหนือลัญจกรณ์ด้านขวา...มันคือตราของกองทัพหลวง

    ไปได้แค่นี้งั้นหรือ? ไซเรนหนีรอดใต้ปีกของทวิเทพแล้วสินะ? ดวงตาเหลือกถลึงใส่สัญลักษณ์เบื้องหน้า แผ่รังสีเข้มข้นรุนแรงเสียจนกระแสเวทมนตร์ทั้งหลายวุ่นวายสับสนด้วยแอซที่เกรี้ยวกราดของมหาปราชญ์

    “บัดซบ!!

    มวลอากาศในห้องแปรผันดุจธรณีพิโรธ เสียงคำรามเสียดแก้วหูและยาวนานดังขึ้นอย่างเงียบงันเบื้องหลังกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าของหอคอยนักปราชญ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่แห่งความลับ....

    .......

    แม้ว่าดวงอาทิตย์จะลาจากขอบฟ้าไปหลายชั่วโมง นำพาวันแรกของการสอบประดับยศเข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมด้วยแสงไฟที่ค่อยๆดับลงในมหานครแห่งแอสการ์ด บานหน้าต่างนับร้อยราวกับฝูงหิ่งห้อยที่เปล่งแสงในความมืด หนึ่งในดวงแสงเล็กๆที่ยังคงสว่างจ้าคือหน้าต่างของหอแพทย์ชั้นนอกที่ภายในห้องถูกบรรจุด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของผู้จับจองเพียงคนเดียว

    “....แล้วก็ไรซ์น่ะขี้เกียจจนแกล้งตกรอบแรกเลยโดนเฉดหัวมานั่งกับพวกเรา”

     “ว่าแต่นายเถอะ ...คุยกับเฮเลนแล้วหรือยัง?”ลอเฟย์อาศัยจังหวะที่เพื่อนซี้หยุดหายใจเป็นตัวขัด หลังจากเจ้าตัวแกล้งทำหูทวนลมไปหลายรอบ ปารีสที่กำลังเล่าเหตุการณ์ฉากต่อฉากอย่างเมามันถูกความเงียบเข้าครอบงำอย่างฉับพลัน สีหน้าเจื่อนๆเสมองไปทางอื่นราวกับไม่อยากจะเห็นสายตาเบื่อหน่ายติดจะคาดคั้นจากดวงตาสีน้ำเงินเข้ม

    “...คะ...คุยอะไรกันเล่า”

    “ก็อะไรนั่นล่ะที่ฉันอยากรู้ นายชอบเฮเลนไม่ใช่เหรอ?”

    “จะบ้าหรือไงฟะ!!!!

    เสียงตวาดก้องไปตามทางเดินเล่นเอาผู้ป่วยในห้องอื่นๆพากันอุดหูอย่างรำคาญใจ เด็กหนุ่มผมดำมองใบหน้าที่แดงก่ำเลิ่กลั่กนั้นแล้วเลิกคิ้วขึ้น

    “ฉันเข้าใจผิดเหรอ?”

    “แหงสิ!! ไอ้เรื่องความรักเนี่ยนะ มันต้องเป็นอะไรที่.....”หนุ่มโอลิมปัสลุกขึ้นมานั่งบนเตียง มือทั้งสองข้างคลำไปในอากาศคล้ายกำลังตั้งสมาธิอย่างหนัก ภายใต้การรอคอยอย่างสงบของแอซไพรส์ผมสีดำ

    “ที่...?”ลอเฟย์เอียงคอ

    “อย่างเช่นว่านายต้องอยากเห็นคนๆนั้นมีความสุข อยากเห็นหน้าเขาทุกวัน อยากรู้เรื่องของเขาเยอะๆ อยากทำให้เขายิ้ม อะไรประมาณนั้นต่างหาก โลกเป็นสีชมพูน่ะเข้าใจไหม?!”ปารีสชี้เป้าด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พาให้คนฟังคิดตามไปด้วย

    “ปารีสนายรู้ได้ยังไง?”คนหัวดีแย้ง เรื่องพื้นฐานแบบนั้นไม่จำเป็นต้องชอบพอกันก็ได้นี่นา “แต่ไม่ใช่ว่านายอยากให้เฮเลนเป็นแบบนั้นหรอกหรือ?”

    “มันต่างกันเฟ้ยมันต่างกัน! ของแบบนี้มันต้องรู้สึกเองสิ จะมีเขียนไว้ได้ยังไงล่ะ?”เจ้าของดาบยักษ์แยกเขี้ยว ก่อนจะคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายช่วยคิดไปในตัว “ไม่เชื่อนายลองคิดดูว่ามีใครคนไหนที่ทำให้นายใจเต้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ หรือว่าอยากให้เขาส่งยิ้มให้ แบบพิเศษน่ะพิ-เศษ วับๆแวมๆบ้างก็ได้ แค่นี้ใครๆก็คิดได้ทั้งนั้นล่ะน่า...”

    หนุ่มผมดำหลับตาลงชั่วครู่ นึกสะระตะกับคำถามของปารีสอย่างไม่จริงจังนัก

    ใจเต้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้....

    อยากเห็นรอยยิ้ม....

    อยากรู้เรื่องราว....ส่วนใหญ่มันก็ตอบได้หลายคนอยู่ แต่ไม่มีใครที่เขารู้สึกสนใจเป็นพิเศษแม้แต่เจ้าแห่งความลับอย่างยูลิสท์ก็เถอะ

    วับๆแวมๆ?

    ลอเฟย์ขมวดคิ้วชั่วครู่ พลันสมองอันแสนฉับไวดันจินตนาการภาพที่ไม่ควรจะคิดเสียได้!

    “...มะ...มันคงต่างกันสินะ ฮ่าๆๆ!”เขาหัวเราะด้วยใบหน้าซีดเผือด นั่นสินะ มันคงไม่ใช่ความรักอยู่แล้วล่ะ! เขาเองก็ยังรักชีวิตของตัวเองอยู่นี่นา! ดวงตาสีน้ำเงินเข้มหลุบมองซ้ายขวาเลิกลั่ก

    แต่ไหงมันขึ้นภาพอโฟรเดสมาได้ล่ะเนี่ย!?

    “เห็นไหมเล่า? ฮ่าๆๆๆ!”คงเพราะพวกเขาเอาแต่หัวเราะเสียงแห้งกันมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตุว่าสีหน้าของคู่สนทนานั้นทั้งตระหนกและแข็งค้างพอๆกัน แทบจะไม่ต้องเดาว่าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นในสมองอีกก้อนหนึ่งซึ่งใช้เวลาประมวลช้าไปร่วมหลายเดือน...และพึ่งกระจ่างเมื่อครู่

    “ฮ่าๆๆ ฮะ....ฮ้าว...ว”ปารีสเปลี่ยนเป็นหาวหวอด ร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบันกำลังเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างหนักหน่วง มันคืบคลานอย่างว่องไวเสียจนเปลือกตาร่วงลงมาก่อนจะได้พูดประโยคสุดท้ายให้ดีๆเสียอีก

    “ให้ตายเถอะ...ง่วงซะแล้วสิ..”หมีป่าตัวใหญ่เซื่องเซาลงทันตา

    “นอนเถอะน่า เดี๋ยวจาเวิร์ดก็เข้ามาดุให้อีกหรอก”เจ้าของเรือนผมสีดำเอ็ดยิ้มๆ มองเพื่อนสนิทที่ไหลลงไปนอนแผ่หลาบนเตียงพยาบาลอย่างเงียบงัน เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาให้เข้าที่หลังจากจัดท่าทางของร่างกายที่ประดับผ้าพันแผลเสียทั่วให้นอนหลับได้สบาย

    “....ฟรี้”

    มนต์สะกดไม้ตายยังคงทำงานได้ดีเสมอ ต้องขอบคุณยูลิสท์ที่เป็นผู้ริเริ่ม เขาแตะมือลงที่ต่างหูเพื่อหยุดการทำงานของมันก่อนที่ทุกชีวิตในศูนย์พยาบาลจะหลับเป็นตายกันหมด

    “ฝันดีล่ะปารีส หวังว่านายคงไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงที่ไหนอีกหรอกนะ”เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้เฝ้าไข้ที่ถูกลากมาข้างเตียงนอน ทิ้งรอยยิ้มสุดท้ายให้เป็นของฝาก ก่อนจะเดินออกไปยังทางเดินที่ตนเองคุ้นเคย ลอเฟย์อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นแอซไพรส์อีกคนที่พึ่งกล่าวถึงไปหมาดๆ คุณหมอคนเก่งยืนรออยู่ริมกำแพง ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาไม่มีแววง่วงงุนปรากฏให้เห็นสมกับตำแหน่งยอดนักปราชญ์ที่ดูไม่ขัดกับตัวอย่างแรง เพียงแค่จาเวิร์ดขยับก็สลัดละอองเวทมนตร์ที่เกาะติดเหมือนฝุ่นเรืองแสงออกจนหมด

    “ข้ากำลังจะเข้าไปดูปารีสสักหน่อย แต่คงไม่ต้องแล้วกระมัง?”

    ....คุณเนี่ยมีสัมผัสที่เจ็ดหรือยังไงนะ เขาคิดในใจ

    “ถือว่าผมช่วยงานแล้วกันครับ”

    “ไปดีมาดีล่ะ”หัวหน้าศูนย์แพทย์ยิ้มในระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะร่วงหล่นไปในหลุมมิติที่นำพาไปยังปลายทางของจุดนัดหมาย

    นั่นคือประตู 38 ของไบฟรอสท์

    ลมเย็นฉ่ำทักทายผิวแก้มของเขาเป็นอย่างแรกเมื่อรูปทรงกลมโตของดวงจันทร์โผล่พ้นออกมาที่ปลายทาง เส้นผมสีเงินยวงสะท้อนเป็นประกายสีขาวนวลตาตัดกับเครื่องแบบสีแดงเข้มที่หญิงสาวสวมใส่ บนลานส่งตัวที่เงียบเหงาของสะพานไบฟรอสท์มีเพียงหัวหน้ากองพันรัตติกาลและผู้มาเยือนเท่านั้น

    “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

    แอซไพรส์รุ่นเยาว์เป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน เครื่องแบบสีอ่อนของกองทัพหลวงค่อยๆสลายไปตามกระแสลมราวกับเม็ดทราย เผยให้เห็นเนื้อผ้าสีดำสนิทและตรารูปดวงจันทร์ที่หน้าอกด้านซ้าย ร่างสูงเพรียวหันมามองด้วยสายตาคมกริบอันเป็นเอกลักษณ์

    “ตรงเวลาดีนี่”ไนคก์ทักพลางโยนกล่องทรงยาวรีให้ ภายในคือจดหมายที่ม้วนอย่างเรียบร้อยสวยงามและเหนือขึ้นไปมีวัตถุที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำวางอยู่ในกล่องบุนวมเข้ากับรูปทรงของมัน ...ศิลาผนึกอสูร

    “ภารกิจจากหน่วยปฏิบัติการคือตรวจสอบผนึกทางตอนใต้ของน่านฟ้ายูโธเปีย ถึงจะบอกว่าเป็นน่านฟ้าเหนือก็เถอะ แต่มันอยู่ค่อนไปทางโอลิมปัสเสียมากกว่า”

    “เก็บเอาไว้ทีหลังสินะครับ”

    เขาจัดทุกอย่างกลับลงไปในกล่องเหมือนเดิม ดวงตาจ้องตรงมายังหญิงสาวที่เป็นความลับของนครลอยฟ้า รอยยิ้มปีศาจของหล่อนไม่ทำให้เขาหวั่นใจอีกต่อไป มันนำมาซึ่งความลุ้นระทึกที่แตกต่างกัน

    “อย่าลืมว่าภารกิจที่แท้จริงของนายก็คือการสืบหาจุดประสงค์ของซิลอยด์แห่งเลแรงก์ หากมันเป็นอันตรายต่อลัสท์เทรลก็จงกำจัดเสีย นายจะเข้าไปในฐานะองครักษ์จากลัสท์เทรลของดัชเชสรีเวฟ์ก้า หล่อนจะให้ความช่วยเหลือเมื่อถึงยูโธเปีย....เอานี่ให้ทาเลสซาไป”ลอเฟย์รับของอีกชิ้นกลางอากาศ หน้าตาคร่าวๆของมันไม่ต่างจากศิลาผนึกอสูรมากนัก เพียงแต่แผ่ไอเย็นประหลาดที่ทำให้รัศมีรอบข้างบิดเบี้ยวไป เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบต่างหูคู่นั้นออกมาดูใกล้ๆ

    “นี่มันศิลาผนึกอสูรนี่ครับ?”

    “ดูอีกชิ้นให้ดีเสียก่อน”

    เขาทำตามที่หล่อนสั่ง แสงสีเทาอมฟ้าสะท้อนกับสีทึมทะมึนของแร่ทรงกลม แรงดึงดูดคล้ายแม่เหล็กเกาะติดกับผิวหนังของเขาจนรู้สึกจั๊กจี้ เครื่องประดับต่างสีทั้งสองชิ้นส่งแรงดูดดึงกันเบาบาง ดวงตาสีเข้มมองวัตถุในกล่องสี่เหลี่ยมใบจิ๋ว ข้อสันนิษฐานหลุดออกมาในเวลาไม่นานนัก

    “ผนึกแอซงั้นหรือ?”

    “ของจำเป็นสำหรับไซเรนเบลเว บอกให้อุทิศชีวิตใช้หนี้ซะล่ะ”รอยยิ้มของหล่อนเหยียดกว้างแทนคำยืนยันและบ่งบอกราคาอันสุดประเมินค่าของเจ้ากล่องใบนี้ที่พาให้มือสั่นสะท้านขึ้นมาเฉียบพลัน และชวนขนลุกขึ้นมาอีกเมื่อนึกว่าต้องถ่ายทอดคำพูดของผู้หญิงที่น่ากลัวเป็นล้นพ้นให้ผู้หญิงอีกคนที่น่ากลัวแทบไม่แพ้กัน

                “พวกเขาไปถึงหรือยังครับ?”ลอเฟย์เก็บต่างหูลงในกระเป๋าที่คาดด้านหลังและทำใจไปตายดาบหน้ากับข้อความของไนค์

                “ตามความเร็วของมังกรน่าจะถึงก่อนหน้านี้ราวสองชั่วโมง เวลาที่น่านฟ้าเหนือต่างจากเรา กว่าที่นายจะไปถึงก็คงเป็นเวลาใกล้รุ่งเช้า ฉันตัดการสื่อสารของสายข่าวของซิลอยด์ทั้งหมดดังนั้นเขาน่าจะได้รับจดหมายตามที่เขียน รวมทั้งเรื่องที่นายมีผลึกฟ้าก็ยังไม่ลือไปไกลถึงยูโธเปีย”

    “ดัชเชสแห่งเลแรงก์ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับยูโธเปียด้วยอำนาจของเสนาบดีแห่งลัสท์เทรลสินะครับ”เด็กหนุ่มทวนข้อความที่ถูกแปลงอย่างระมัดระวังจากหัวหน้ากองพันรัตติกาล ตั้งแต่เมื่อคืนที่พวกเขาทั้งสองทำงานหนักจากการพบปะกับท่านหญิงแห่งทวีปเหนือจนสามารถจัดการธุระต่างๆให้ลงตัวได้ทันเวลา ต่างจากเขาที่หน้ามืดเต็มทน ร่างของไนค์ยังตระหง่านทรงพลังและน่าเกรงขามแม้จะไม่ได้หลับตาลงนานถึง 48 ชั่วโมง

    “ส่วนทางอีลิจาก็รับสาสน์ฉบับจริงของราชันย์เหนือ พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่มีทางที่จะรู้นอกเหนือไปจากกำแพงนี้ แต่ก็อย่านิ่งนอนใจไป อย่างไรซิลอยด์ก็เป็นหอกข้างแคร่ของเสนาบดีจอมเจ้าเล่ห์มาได้ตั้งนาน เป็นไปได้ว่าเขาอาจคาดเดาการแฝงตัวของเราได้”

    หล่อนก้าวนำไปยังวงแหวนที่ตั้งฉากขนานกับพื้น มันทำด้วยโลหะสีเงินฝังด้วยผลึกสีฟ้าอ่อนเป็นเส้นยาวตามแนวโค้ง เลยออกจากขอบลานส่งไปคือหมู่เมฆที่เรียงตัวกันเหมือนกับพรมผืนหนาสีเข้ม แสงฟ้าอมเขียววิ่งเป็นเส้นวูบวาบอยู่เบื้องล่างคล้ายกับดาวตกที่ไปมาหาสู่กันอย่างรักใคร่

    “ขบวนเดินทางไม่ได้ใช้ไบฟรอสท์สายตรง ด้วยประตูนี้จะพาพวกนายไปถึงปราสาทเวอร์ดันซาในยูโธเปีย คงจะพอเหมาะกับการสมทบ ครั้งนี้จะไม่เหมือนคราวก่อนที่นายขึ้นมาด้วยสัญญาณฉุกเฉิน การเดินทางจะกินเวลาประมาณสามชั่วโมง ตั้งสมาธิให้ดีๆล่ะ”

    “แปลว่ามีใครไปกับผมหรือครับ?”เขาหยุดยืนข้างหลังหล่อน พลางชะโงกหน้าออกไปยังทะเลเมฆที่เคลื่อนตัวอ้อยอิ่ง

    “สามนาฬิกา ทักทายรุ่นพี่ด้วยล่ะ”

    ลอเฟย์หันขวับไปยังทิศทางที่ปรากฏร่างของผู้มาเยือนคนสุดท้ายอย่างเงียบงัน ปกเสื้อสีน้ำเงินบนตัวเขาประดับปีกสีทองสมฐานะกับชายเสื้อยาวกรอมเข่า เรือนผมยาวสลวยที่ถูกมัดตามมีตามเกิดเปลี่ยนมารวบตึงในทรงหางม้าที่กลางศีรษะด้านหลังต่างหูหน้าตาแพงระยับที่ข้างเดียวกับดวงตาสีฟ้ากระจ่างนอกผ้าพันแผล

    “พันตรีวาอินนาจะไปกับนายด้วย”

    “..............................”

    “ไง”

    ยูลิสท์เอ่ยทักเด็กหนุ่มที่ยืนตากลมในสีหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตาสีน้ำเงินเข้มทั้งสองข้างเบิกกลมจนดูเหมือนไพลินเม็ดโต ท่าทีเอื่อยเฉื่อยของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มกลับมาขี้เล่นกระฉับกระเฉงอีกครั้ง

    “ไหนคุณเคยบอกผมว่าคุณไม่ใช่คนของกองพันรัตติกาลนี่ครับ?”เจ้าของเรือนผมสีดำถามพ่อคนหล่อที่ยืนเกาคางอย่างมีมาด...แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

    “ไม่ได้โกหกนี่ ตอนนั้นข้าลาออกไปแล้ว”

    “ครั้งล่าสุดที่เห็นก็คือตอนที่ให้ไปทำงานในหอคอยนักปราชญ์แล้วติดใจจนมายื่นใบลาออก”ไนคก์เปรยขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่เหลือบมามองแม้แต่หางตา ส่วนเจ้านที่เก่าก็ได้แต่ยิ้มร่าในแบบที่ลอเฟย์รู้ว่าเป็นการยิ้มกวนประสาทแทนการตอบรับ เรื่องราวในอดีตของสองแอซไพรส์รุ่นใหญ่คงจบลงได้ไม่ดีนัก แต่เมื่อมองสายตาที่ทอดถอนใจของชายหนุ่ม เขาก็พอจะรู้ว่ายูลิสท์ยังใส่ใจหัวหน้าคนเก่าซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งปัจจุบันอีกครั้งอยู่ไม่น้อย

    “คุณเคยเป็นพันตรีเลยเหรอเนี่ย?”แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าฝีมืออย่างยูลิสท์นั้นยากที่จะถูกจำกัดอยู่ในระดับล่าง

    “ข้าไม่เคยมียศจริงๆแบบเจ้าหรอก นี่แค่ติดให้ดูน่าเชื่อถือน่ะ เราเป็นถึงองครักษ์ของดัชเชสแห่งเลแรงก์เชียวนะ พันตรีไลน์สเตรนจ์”ใบหน้าหล่อเหลาขยิบตาให้ “อา....จริงสิพึ่งจะนึกขึ้นได้ ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วยนะ”อดีตนักวิทยาศาสตร์เวทมนตร์ล้วงเสื้อของตนเอง ก่อนที่วัตถุทรงกลมจะพุ่งฉิวออกมาชนหน้าผากมนของเด็กหนุ่มอย่างจัง!

    “โอ๊ย!”ลอเฟย์เบิกตามองอุปกรณ์สอดแนมตัวเก่าเจ้าเดิมจากการฝึกคู่มหาประลัยที่กำลังบินวนอย่างตื่นเต้นเต็มที่ คราวนี้มันมีจะงอยปากกับหางจิ๋วหลิวเพิ่มมาจนดูเหมือนลูกนกอ้วนพี

    “รุ่นปรับปรุงใหม่ ถ่ายทอดภาพและคลื่นได้ด้วยนะ”ชายหนุ่มภูมิใจกับฝีมือของตนเองเต็มที่ในขณะที่เจ้านกตัวกลมร่อนลงมาเกาะบนไหล่ของโจทก์เก่า....ท่าทางจะยังเคืองที่เด็กหนุ่มเคยบีบจนมันระเบิดคามือ

    “ฉันฝังผลึกคู่สะท้อนกับเวทมนตร์กำกับไว้แล้ว พอไปถึงยูโธเปียก็เชื่อมวงแหวนเวทย์เข้ากับช่องสัญญาณของบันทึกความทรงจำด้วยล่ะ”หญิงสาวละออกจากขอบลานมายังหน้าซุ้มแผงควบคุม

    “ช่องไหนล่ะครับ?”เขาถามขณะพยายามจับวัตถุที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตเข้ามาเก็บไว้ในกระเป๋าหลัง

    “ช่องของนายก็ได้”ไนค์ตอบอย่างเฉยเมยราวกับเป็นเรื่องทั่วๆไป หล่อนยังง่วนกับการเคลื่อนนิ้วไปตามหน้าจอสีฟ้าที่ถูกเขียนข้อมูลใหม่เพื่อปลอมแปลงบันทึกการใช้งาน วงแหวนตัวเลขเคลื่อนหมุนวนอยู่รอบเครื่องแบบสีแดงเข้มราวกับปราการเล็กๆ บันทึกความทรงจำหมายเลข 72 ที่ไนค์ถือเป็นช่องประจำตัวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    เทียบกันแล้วช่อง 00 ของเขาจะใช้กับเจ้านกบ้านี่ได้หรือเปล่านะ? ลอเฟย์อดจะสงสัยไม่ได้เมื่อจับมันยัดเก็บได้ในที่สุด

    “สามชั่วโมงเหรอ...ก็ยังถือว่าได้นอนบ้างนะ”ยูลิสท์ก้าวมาประกบข้างรุ่นน้องคนเดียวในกองพันรัตติกาล แสงสีฟ้าอาบร่างของพวกเขาคล้ายกับทักทาย จวบจนผลึกคู่ขนานเปล่งแสงจ้าเติมเต็มเส้นวงกลมที่ซุ้มประตูจนเชื่อมประสานกัน

    เป็นสัญญาณว่าเวลาของการทำใจใกล้จะจบลงเต็มที เขาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด สายลมยามค่ำคืนชวนให้นึกถึงกลิ่นทะเล ไม่ต่างจากความคิดที่ล่องลอยไปถึงจุดสิ้นสุดเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำสมาธิอย่างที่ไนคก์เคยสอน

    “สัญญาที่ฉันเคยให้ไว้ในวันนั้น ถือว่าสะสางกันแล้วนะ”

    เสี้ยวหน้าที่เย็นชาของหล่อนหันมามองแทนคำจากลา มุมปากหยักเป็นรอยยิ้มที่ยากจะหาได้จากปีศาจสาวแห่งลัสท์เทรล ก่อนที่ร่างเพรียวระหงจะถอยออกไป ณ วินาทีนั้นชีพจรของเขาเต้นถี่รัวเมื่อแสงสีฟ้าสว่างจ้าพุ่งเข้าหาราวกับมือที่จะกระชากร่างของพวกเขาหายไปในพริบตา มันเล็ดลอดเข้ามายังเปลิอกตาที่ค่อยๆปิดลงพร้อมกับไอเย็นชื่นดุจสายน้ำที่โอบล้อมกระเพื่อม ห่อหุ้มให้หลับไหล และตอนนั้นเอง...เขาก็ล่องลอยเข้าสู่สะพานไบฟรอสท์ สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในห้วงภวังด์ก่อนโลกทั้งใบจะดับวูบลงคือเสียงสั่งการของหัวหน้ากองพันรัตติกาล

    “....ปลายทางเวอร์ดันซา ยูโธเปีย!

    ที่นั่นอาจะมีคำตอบว่า....ท่านเป็นใคร

     

    กว่าสองชั่วโมงให้หลังที่แสงสีฟ้าจุติขึ้นเหนือท้องฟ้าที่มืดสนิทดุจทะเลหมึกของทวีปเหนือ มันเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาดั่งเรือซัดหาฝั่ง แข่งกับฝีเท้ารีบเร่งของบุคคลผู้หนึ่งในชุดคลุมขนสัตว์หนาตั้งแต่หัวจรดเท้า อากาศเย็นยะเยือกของเหมันต์นครพุ่งเข้าเกาะผิวหน้าที่ปราศจากอาภรณ์ป้องกัน

    รีเวฟก้าต้องยกมือขึ้นป้องตาเมื่อปลายทางของลำแสงจ้านั้นหยุดลงที่ซุ้มหินโบราณทรงกลมตรงหน้า มันพุ่งชนและหายวับเข้าไปในความว่างเปล่าจนสุดยาว แถบผลึกที่ฝังตัวตามแนวโค้งของประตูดูดแสงเข้าสว่างวาบเป็นระลอกคลื่น พร้อมกับร่างสองขนาดที่ต่างกันถลาลงสู่พื้นหิมะ หนึ่งในนั้นพลัดเสียหลักเกือบล้มหน้าทิ่มเพราะความลื่นที่คาดไม่ถึง

    ลอเฟย์รู้สึกตัวในลำแสงเรืองรองของไบฟรอสท์ บางอย่างเป็นตัวบอกกับเขาว่าการเดินทางที่กินเวลาสั้นๆนี้ใกล้จะถึงจุดหมายเต็มทน ร่างที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในกระแสนวลละมุนค่อยๆคืนสู่สัมผัส แรงดึงดูดไหลจากปลายเท้าถึงศีรษะก่อนที่ลมเย็นยะเยือกจะกรูเข้าทักทายและพวกเขาก็ถูกดันออกจากไบฟรอสท์ในพริบตา!

    “อา หนาว!”เสียงของยูลิสท์เป็นสิ่งที่แรกที่ได้ยิน เมื่อชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมเสริมบารมีของตนให้อยู่ในตำแหน่งที่จะปกป้องตัวเองจากสภาพอากาศได้ดีขึ้น แม้จะเลยค่อนคืนของทวีปเหนือ แต่ยูโธเปียก็ยังขาวโพลนด้วยหิมะหนาชั้น

    “ไม่ใช่เล่นเลย”เขาเห็นด้วย ก่อนจะยิ้มด้วยริมฝีปากที่ชาดิก “ดีใจที่เห็นท่าน ดัชเชส”

    “เรียกว่าเวก้าเถอะค่ะ นี่เสื้อคลุม...”บุรุษผมทองรับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลอเฟย์ยังสามารถทนอากาศอันโหดร้ายได้ด้วยเครื่องแบบชั้นดีของกองพันรัตติกาล แต่หากไม่ติดเรื่องมารยาท เขาก็คงจะเรียกหน้ากากของตนเองออกมาสวมกันลมแล้ว

    ยอดปราสาทสูงลิบลิ่วของยูโธเปียปรากฏอย่างซึมเซาในม่านเหมันต์ เหนือขึ้นไปจากบันไดหินที่ทอดเป็นทางยาวหลายชั้น เวอร์ดันซาหันหลังให้กับประตูที่ถูกลืม จุดที่พวกเขายืนอยู่นี้เปรียบเหมือนกับท่าเรือที่ไม่มีสิ่งใดรองรับนอกจากความเวิ้งว้างของห้วงนภาที่ไม่อาจหยั่งก้นบึ้ง

    “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?”

                เวก้าพยักหน้าแทนคำตอบ หล่อนนำทางไปยังมังกรเผือกที่แอบซ่อนอยู่ในไอหมอกสีขาวฟูฟ่อง ลอเฟย์นึกไปถึงวันแรกที่ตนเองมาถึงลัสท์เทรล เสียงกระพือปีกแหวกฝ่าสายลมนำพาความทรงจำเก่าๆย้อนกลับมา ยูลิสท์อดที่จะยิ้มบางๆไม่ได้เมื่อเด็กหนุ่มมองออกไปยังปีกทรงพลังของมันระหว่างที่โดยสารไปยังปราสาทของดัชเชสแห่งเลแรงก์ เค้าความไร้เดียงสาที่เลือนหายไปผุดขึ้นบนใบหน้าจนพาให้ความอ่อนเยาว์ของเขากลับมาน่าเอ็นดูอีกครั้ง

                ลูกรักของข้าโตแล้วสินะ....เจ้าของผมยาวสลวยสีทองซาบซึ้งอยู่ในใจเพียงคนเดียว....

                ไม่นานเคหาสน์หลังใหญ่ก็ปรากฏ ภายใต้การนำทางของรีเวฟ์ก้า ทั้งสองเคลื่อนที่ไปตามโถงทางเดินทรงสูงที่เป็นสภาปัตยกรรมเอกของน่านฟ้าเหนือ รูปทรงเรขาคณิตซ้อนกันเป็นลวดลายที่ซับซ้อนและน่าพิศวง

                “มีเวลาอยู่บ้างก่อนที่จะถึงเวลาเตรียมตัว เราคิดว่าน่าจะง่ายกว่าถ้าบอกพวกท่านเสียเนิ่นๆ โดยเฉพาะท่าน...ลอเฟย์”ร่างบางชะงักฝีเท้ากลางทางเดิน

                “เรื่องอะไรหรือครับ?”เขานึกทวนภารกิจซ้ำในใจ ทว่าคำตอบจากเสี้ยวหน้าขาวซีดที่หันกลับมาพาให้ความคิดต่างๆปลิวหายไปหมดสิ้น

                “ดาวหางสีน้ำเงิน”

    หล่อนยิ้มบางๆเมื่อเห็นท่าทีที่ต่างออกไปของสองสมาชิกแห่งกองพันรัตติกาล แสงไฟจากเตาผิงที่ยังคงลุกโชติช่วงโลมไล้ดึงดูดเข้าหาความอบอุ่น สายตาของหล่อนหมุนไปยังประตูที่ปรากฏเก้าอี้ชุดใหญ่ตั้งรออยู่ด้านใน

                “เรามานั่งคุยกันสักหน่อยดีหรือไม่?”

                กาลก่อนนั้นเหมันต์ของยูโธเปียเคยงดงาม ในช่วงเวลาที่มหาเทพหลับใหล ดาวเหนือกับลมหนาวมอบของขวัญเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่เซียนนา เซียร์ โซเวลล์ ราชันย์แห่งเวอร์ดันซา เซียนนานำดวงจิตไปยังมหาวิหารซาเฟีย เมื่อหิมะแรกของรุ่งอรุณตกลงกระทบ ดวงจิตนั้นก็จุติเป็นเด็กทารก นำความยินดีมาสู่ราชาเหนือ พวกเขาเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนให้แด่เจ้าชายน้อย

              ทว่าในคืนวันที่เจ็ด....ปรากฏดวงดาวสีแดงขึ้นบนท้องฟ้า มันพุ่งลงมาสู่เวอร์ดันซาและกลายเป็นปีศาจร้าย ต่อหน้าอดีตทวิเทพซ้ายในองค์มหาเทพโอดิน อสูรกายไม่อาจประคองชีวิตได้นาน แต่ในลมหายใจสุดท้าย มันสาปแช่งเจ้าชาย จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเขาตกลงสู่ความตาย

              เมื่อไร้โอดิน...เซียนนานำเจ้าชายไปที่ด่านเลแรงก์ ร้องขอต่อโครลฟอร์จูนที่อยู่อีกฝั่งให้ช่วยชีวิตอนุชา ในวันนั้นประตูที่ปิดตายก็เปิดขึ้นสนองเสียงเรียกของหนึ่งในเทพราชันย์ เหล่าเทพแห่งวาเนอร์เสนอทางรอดให้เจ้าชายแลกกับการที่พระองค์ต้องไปสู่วาเนอร์ตลอดกาล

              แม้จะโศกเศร้าแต่เซียนนาก็มอบอนุชาของตนให้แก่โครลฟอร์จูน เมื่อประตูแห่งเลแรงก์ปิดลง ก็ไม่มีแสงใดส่องสว่างถึงเวอร์ดันซาอีก น้ำตาของราชันย์เหนือหลั่งรินเกิดเป็นดวงดาวสีน้ำเงินตกลงไปสู่พื้นพิภพ นับแต่นั้นเป็นต้นมาเหมันต์ของยูโธเปียก็หนาวเหน็บ.....

    “นิทานเล่าขานมาเช่นนี้ก็จริง แต่เบื้องหลังที่เราได้ยินนั้นเป็นการอำพรางเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น”ดวงตาสีเงินทอดมองไอร้อนกรุ่นเหนือถ้วยชา เสียงใสดุจระฆังเงินของหล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังคงอยู่ในวัยเติบโต

    “เหตุร้าย?”ยูลิสท์ทวน

    “ตอนนั้นเราเองก็ยังเป็นเด็ก แต่ตามบันทึกที่หลงเหลือไม่มากนัก เมื่อราว 80 ปีก่อนมีการก่อกบฏของแอซไพรส์ชั้นรอง จากเหตุการณ์นั้นทำให้องค์ชายที่เพิ่งจุติสิ้นประชมน์ สาเหตุที่ก่อการณ์ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่แอสไพรซ์บางส่วนหนีรอดไปได้และเล่าลือกันว่าไปเข้าร่วมกับฝั่งโยธาน...”

    !!!

    “ในการผนึกร่างขององค์ชาย ท่านเซียนนาจึงเปิดประตูแห่งเลแรงก์จากฝั่งแอร์เซียเป็นครั้งแรก และจากเหตุนั้นจึงทำให้แอซของราชันย์เหนือเกือบหมดสิ้น ท่านจึงหลับใหลเหมือนกับโอดินถึงทุกวันนี้”

    “แต่เผ่าปีศาจสูญพันธุ์ไปแล้วในมหาสงครามเอทรานซีนี่ครับ?!

    “นั่นเป็นสิ่งที่เชื่อกัน แต่ไม่นานมานี้ผนึกต่างๆเริ่มเสื่อมอายุขัย...อาจเป็นไปได้ว่าโยธานกำลังฟื้นตัวก็ได้ บันทึกเกี่ยวกับเหตุร้ายนี้ก็คลุมเครือและถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่หลงเหลือแล้ว ข้อเท็จจริงจึงเป็นสิ่งที่เราไม่กล้าคาดเดา แต่อย่างไรก็ตาม...การปล่อยให้เรื่องนี้เล็ดรอดออกไปถือเป็นบาดแผลใหญ่หลวงของยูโธเปีย นิทานดวงดาวคงแต่งมาเพื่อกลบคำถามในวันนั้น”

    “ประเดี๋ยวก่อนท่านหญิง...ทั้งหมดมันเป็นความจริงถึงแค่เรื่องที่เจ้าชายสิ้นประชมน์เท่านั้น ถ้าสรุปจากเรื่องที่เหลือ...ไม่เท่ากับว่าลอเฟย์เป็นน้ำตาของเทพเซียนนาหรอกหรือ?”ชายหนุ่มขัดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่เต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียวยังต้องมัวขุ่น

    “มันเป็นไปได้ไหมครับที่จะเกิดเป็นผมเนี่ย?”เด็กหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก ในเมื่อดาวเหนือเกิดเป็นแอซไพรส์ยังฟังดูปกติ นับประสาอะไรกับเรื่องเล่า? บางทีมันอาจจะเป็นความจริงก็ได้

    “ตามหลักวิทยาศาสตร์มันต้องไม่ได้อยู่แล้ว!”อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องลางานมาสมทบในภารกิจของกองพันเก่ายิ้มร่าขัดกับคำปฏิเสธอันชัดถ้อยชัดคำ

    “เรื่องนั้นไม่มีใครรู้หรอกค่ะ”รีเวฟ์ก้ายิ้มเจื่อนๆ “แต่ว่าอย่างที่เล่าไปก่อนหน้าว่าหลักฐานในเหตุการณ์นั้นไม่ชัดเจน จึงมีการสรุปทางหนึ่งที่คิดว่าส่วนประกอบสำคัญที่หายไปอาจจะเป็นตัวดาวหางสีน้ำเงินที่หายไปก็ได้ ท่านพี่เองก็ติดตามเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ในเวลานั้นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาเหนือแล้ว บางทีเขาอาจจะรู้อยู่ก่อนว่าดวงดาวนั้นมีอยู่จริงก็ได้”

    “...แต่ว่าดันตกลงไปเป็นแอซไพรส์นี่สิ”ยูลิสท์นวดขมับแทนเจ้าของเรื่องที่นั่งเท้าคางด้วยสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับสติสตังหลุดออกจากร่างไปหมดแล้ว

    “ถ้าเช่นนั้นท่านหญิงก็รู้อยู่ก่อนว่าลอร์ดซิลอยด์ตามหาดาวหางสีน้ำเงินตามตำนาน?”ลอเฟย์ตัดสินใจผลักเรื่องของตนเองออกไปก่อน เพราะถึงอย่างภารกิจที่ได้รับมาก็มีความสำคัญมากกว่าจะปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเฉยๆ

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่พักหลังพฤติกรรมของท่านพี่เริ่มเบี่ยงประเด็นไปที่มิดการ์ด ซึ่งความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดยังแตกออกไปได้อีกหลายทาง แต่ที่เราสังหรณ์ใจไม่ดีนัก...ท่านจะว่าเราคิดมาไปเองก็ได้....”เด็กสาวยกนิ้วเรียวขึ้นแตะริมฝีปาก ใบหน้าของหล่อนดูไม่ดีนัก ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น  

    “.....แต่เราเกรงว่าจะเกิดสงครามในมิดการ์ด”

    สงครามหรือ? ดวงตาสีน้ำเงินเบิกมอง พริบตานั้นความเงียบก็ทิ้งตัวลงปกคลุมบรรยากาศที่หนาแน่นของค่ำคืนเย็นยะเยือก

    “นั่นไม่ได้อยู่ในภารกิจของพวกเรา”ยูลิสท์ถอนหายใจ เหยียดหลังไปหาพนักพิงบุนวมอย่างเกียจคร้าน

    “ยูลิสท์!

    “หรือต่อให้มันจะเกิด...ตอนนี้มันก็ยังไม่เกิดอยู่ดี เราควรพุ่งเป้าไปที่การทดลองของซิลอยด์ที่เกี่ยวโยงกลับผลึกฟ้าก่อน หากมันจะเป็นสาเหตุของสงคราม เราก็อาจหยุดมันได้ตั้งแต่ตอนนี้....กังวลในเรื่องที่นอกเหนือจากภารกิจ...”ชายหนุ่มบิดแขนที่เมื่อยล้า รอยยิ้มยังคงประดับมุมปากทรงสเน่ห์ของเขา แต่ดวงตาที่เหลือบมามองคู่หูไม่ปรากฏแววปรานีเท่าไหร่นัก

    “จะกลายเป็นความสูญเปล่าเอานะ”

    ลอเฟย์ระบายลมหายใจ แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องยอมรับในเหตุผลของแอซไพรส์ที่มีประสบการณ์มากกว่า เหนือสิ่งอื่นใด....จิตใจของเขาไขว้เขวมากเกินไป เจ้าของเรือนผมสีดำใช้ปลายนิ้วโป้งที่ประสานกันอยู่นวดเปลือกตา

    “คงต้องเริ่มจากซาเฟียสินะครับ...”เขาสรุป เงยหน้าขึ้นมองรีเวฟ์ก้าที่ผงกศรีษะเป็นคำตอบ

    “มหาวิหารเป็นพื้นที่ปิดตายมาตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่ด้วยความสามารถของท่านอาจจะสามารถฝ่าอาณาเขตเข้าไปได้โดยไม่เป็นที่สังเกต ...ทว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรุ่งสาง เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นในคืนนี้”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกดัชเชส เราจะเริ่มปฏิบัติการกันพรุ่งนี้ ....อืมม”บุรุษผมทองอดกลั้นความอยากที่จะหาวขณะยืดตัวบนเก้าอี้นวมราวกับแมว “อีกอย่าง หากไม่ได้พบหน้าท่านลอร์ดเสียหน่อย ข้าคงไม่สบายใจนัก”ยูลิสท์เผยยิ้มมากเล่ห์ ชวนให้น่าถอนหายใจกับความคิดสุดบรรเจิดที่อาจก่อตัวขึ้นแล้วในสมอง เด็กสาวพยักเห็นด้วย

    “พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องเข้าพบท่านพี่กับสภาเหนืออย่างเป็นทางการ ถือว่าเริ่มต้นจากตอนนั้นก็แล้วกัน”

    กำหนดการณ์พาให้ใจของแอสไพรซ์ระดับ 0 เตลิดด้วยความกังวลระคนตื่นตัว อีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงวันใหม่ ลอเฟย์เดินไปยังห้องพักของตัวเองด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น

    พบซิลอยด์งั้นหรือ? เขารู้อยู่แล้วว่าการพบปะจะต้องมาถึง แต่มันก็ยังทำใจไม่ง่ายนักที่จะพบกับชายที่ตามล่าตนเองมาตลอดและยังเป็นบุคคลที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินไปถามหาง่ายๆอีกด้วย  

    ด้ามจับเย็นเฉียบของบานประตูปลุกความคิดของเขาจากกระแสที่ล่องลอย บางทีการนอนพักสักสองสามชั่วโมงคงจะดีกว่า มือข้างที่ว่างปิดปากหาวหวอดขณะที่ลมระลอกใหม่จากด้านในพัดเข้าตีหน้าเป็นการทักทาย กลิ่นของไม้โอ๊คเก่าและอบเชยม้วนตัวอ้อยอิ่ง ยังมีความเย็นอีกสายที่แตกต่างออกไป เขากระพริบตาก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก

    “...อโฟรเดส?”

     แผ่นหลังเบื้องหน้าถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมหนาไม่ต่างจากตัวอื่นๆที่เห็น ผมสีบลอนด์เข้มม้วนครึ่งศรีษะเป็นทรงเปียตามแบบยูโธเปีย เจ้าของชื่อไหวไหล่คล้ายเพิ่งตื่นจากภวังด์ ใบหน้าที่หันมามองหลบอยู่ใต้ปกเสื้อประดับลูกไม้ หล่อนนั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง

    “ทำไมคุณยังไม่นอนอีกล่ะครับ?”ท่ามกลางความเงียบงันที่แปลกประหลาด คำถามของเขาดังขึ้นและซึมซับหายไปในกำแพงหนาที่ล้อมรอบอยู่

    “แล้วนายล่ะเจ้าบ้า?”อีกฝ่ายถามกลับมาในที่สุด

    แสงแรกของเช้าวันใหม่ลืมตาตื่นหลังผ้าห่มของหมู่เมฆ ย้อมท้องฟ้าเป็นสีม่วงแดง มันทอดกายอ้อยอิ่งมายังปราสาทที่เปลี่ยวเหงาของดินแดนแห่งเหมันต์ฤดู ผ่านหน้าต่างห้องบานใหญ่ของเคหาสน์ กระทบลงสู่ผิวหน้าอ่อนละมุนของหญิงสาว ดวงตากลมโตที่หลบอยู่ในความมืดสลัวสะท้อนประกายของรุ่งอรุณ ลอเฟย์แกล้งทำเป็นไม่เห็นหยดน้ำที่กลอกกลิ้งอยู่ภายในนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้น เขาทรุดนั่งลงที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง หันหลังให้กับหน้าต่าง ปล่อยให้แสงอาทิตย์ฉายส่องบนแผ่นหลังที่มีเครื่องแบบสีดำสนิทปกคลุมกาย

    “....แพ้หรือชนะ?”เสียงที่ถามแผ่วเบาราวกระซิบ

    “ชนะ...ครับ”

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มยิ้มหลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าที่มากเกินไปทำให้สมองของเขาประมวลผลผิด ลอเฟย์ลืมนึกไปว่ามือของตนเองขยับขึ้นมาได้อย่างไร? ลืมแม้แต่จะคิดว่าอโฟรเดสจะฆ่าเขาไหมหลังจากนี้? มือที่หยาบกร้านของตนเองโอบหลังศรีษะที่ปกคุลมด้วยเส้นผมนุ่มละมุน มันค่อยๆโน้มร่างของอีกฝ่ายเข้าหาบ่าที่กว้างขึ้นตามอายุ แรงสั่นสะท้านจากใบหน้าที่ก้มต่ำของเธอทำให้เขาอดที่จะมองออกไปยังดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาไม่ได้

    “ใกล้วันใหม่แล้วนะครับ...พรุ่งนี้จะเป็นยังไงกันนะ....”

    หางเสียงเลือนหายไปในสำเนียงของลมหนาว เหลือเพียงเสียงสะอื้นเบาๆที่ถูกเก็บกักอย่างยากลำบากจากคนที่ไม่เคยเชื่อในความหมายของวันพรุ่งนี้ ลอเฟย์ปิดตาลงเพราะความง่วงงุนที่หนักหนาเกินกว่าจะต้านทาน ขณะที่ไหล่ซ้ายของเขาเปียกชุ่ม เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับเสื้อคลุมของอโฟรเดส กลิ่นหนังสัตว์อ่อนๆผสมกับไอเย็นชื่นของเรือนผมสีทองโอบกล่อม เขารู้สึกถึงมือที่ขยุ้มปกเสื้อของตัวเองและปิดตาสู่นิทรา





    --------------------

    ในที่สุดอโฟรเดสก็รอดจากการเป็นปลาแดดเดียว ด้วยเกียรติยศของนางเอกจะให้โดนขังลืมก็กระไรอยู่ 55555

    มิเรียนก็เกรียนจริงๆค่ะ และจะเกรียนมากกว่านี้แน่นอน งานขุดตัวละครเก่ากำลังจะกลับมา เขียนเองก็ลืมเองไปหมดแล้ว

    อนึ่งว่าเรื่องดาวหางสีน้ำเงินที่เล่ามาไม่มีเจตนาให้งงแต่อย่างใด เหมือนเดิมนะคะ เนื้อเรื่องจะเฉลยไปเรื่อยๆช้าเร็วขึ้นกับพล็อตเท่านั้น ก่อนหน้านี้แอบไปเขียนพล็อตรวดเดียวเพื่อให้โครงเรื่องหนักแน่นดั่งหินผามาค่ะ

    ขอบคุณคุณ LaLuZe คุณ Pinkysery คุณ Kataiyai และอีกหลายๆที่ท่านคอยให้กำลังใจเสมอนะคะ ตอนที่ยุ่งๆก็ยังอยากมาเขียนต่อให้ได้เพราะรู้สึกว่ายังมีคนรออ่านอยู่(บ้าง)ล่ะนะ ^^ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเขียนมาได้ถึงนี่ค่ะ (ฮา...) จากนี้จะพยายามปรับปรุงและเดินเรื่องให้กระชับขึ้นเรื่อยๆ 

     

    คือขอเศร้านิดนึงว่ายุคที่ผู้เขียนเติบโตมาเนี่ย มันเป็นยุครุ่งเรืองของป้า CLAMP (ซึ่งก็รุ่งนานอยู่นะ แต่เป็นช่วงกลางๆแล้วค่ะ เส้นยังไม่ชุ่ยมาก แก๊งข้ามมิติก็ยังไม่เกิด) ป้าจะมาพร้อมคอนเซ็ปต์ 3 อย่างที่มีในทุกเรื่องคือ 1 ปริศนา 2 ชอบพูดให้สงสัยแต่ไม่ยอมตอบ 3 ต้องมีพวกหมอดูหมอเดา ไม่รู้ทำไม๊ คำพยากรณ์กับเบื้องหลังตัวเอกชอบมาพร้อมกัน คือเมื่อก่อนก็สงสัยแม้ว่าเนื้อเรื่องจะแอ็ปสแตร็กโคดๆ แต่ก็ยังต้องอ่านเพื่อรอคำเฉลยของป้า แต่ดูเหมือนยุคนี้อุปกรณ์และความไวแสงของโซเชียลมันจะทำให้คนอยากรู้อะไรเร็วขึ้นแล้วสินะ ;w; นี่คงไม่ใช่ยุคของการบึ่งกลับบ้านมาเปิดคอมตื่นเต้นกับคอมเม้นท์ และออนเอ็ม เล่นแชทกลุ่มอีกต่อไป (บอกอายุมาก) 55555555555555 อนึ่งงานเขียนแรกๆที่ป้อปปิวล่ามากของเก๊าก็คือแฟนฟิคนั่นเอง (ปัจจุบันลบไปหมดแล้ว ด้วยความเลวของภาษา ฮา) แต่เห็นอ.โฮชิโนะบอกว่าจะกลับมาเขียน D.Gray-Man แล้วแจ้ะ!!!!! ไม่แน่ว่าอาจจะเปิดกรุแฟนฟิค(วายด้วย)ขึ้นมาอีกครั้ง

    ตูจะไม่รีไรท์ 3 ตอนแรกอีกล๊าวววววววววว รีกว่านี้ก็ไม่เหลืออะไรล๊าวววววววววววววววว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×