ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #4 : Second Tale : ก้อนหินสีแดง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      7
      19 ก.ย. 58

     

















    เดี๋ยวสิคุณ! หยุดก่อนได้มั้ย!

               

                เด็กหนุ่มตะโกนแข่งกับแรงลมและเสียงก่นด่าของชาวบ้าน หางตาเห็นผู้คนในตลาดวิ่งหลบของที่ล้มระเนระนาดกันวุ่นวาย แต่ชายคนนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมิหนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม ลอเฟย์จึงได้แต่หันไปผงกศีรษะขอโทษขอโพยอย่างลวกๆ ด้านหลังกลุ่มคนที่เหมือนนักเลงยังคงวิ่งตามไม่หยุด เมื่อวิ่งพ้นบริเวณตลาดเจ้าของเรื่องก็พาเขาลัดเลาะไปตามซอกซอยต่างๆ ก่อนจะฉุดร่างสูงโปร่งเข้าไปในตรอกแคบ อาศัยประตูไม้เก่าๆไม่น่าสังเกตุเป็นที่บังตา

                “.........”

                พอจะเปิดปากถามมือของอีกฝ่ายก็รีบกดน้ำหนักปิดทันที ลอเฟย์ทำท่าจะประท้วงแต่เพราะแขนที่ล็อกศรีษะของเขาไว้แน่นทำให้ทำอะไรไม่ได้นักนอกจากยกมือขึ้นแกะมือของคนที่เอาแต่เงียบ หากแต่มือกร้านกลับไม่กดแน่นจนปวดเพียงแค่ลงน้ำหนักพอดีๆไม่หลวมและไม่แน่นจนเกินไป

     

                ดวงตาสีน้ำตาลไหม้มองเหมือนจะปรามพลางยกนิ้วขึ้นแตะปากเป็นสัญลักษณ์ให้เงียบ เสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ค่อยๆดังขึ้นก่อนที่ขบวนชายฉกรรจ์ที่ไล่ตามมาเมื่อครู่จะผ่านไป ลมเบาๆพรูเฉียดศีรษะไป เดาได้ว่าคนที่ลอเฟย์คาดว่าโจรหนุ่มคงกำลังถอนหายใจ

     

                “ฟู่ เกือบไปนะเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับปล่อยร่างในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ ลอเฟย์ผงะอ้าปาก รีบหลังไปชิดกำแพงที่ไม่ได้เพิ่มที่ว่างระหว่างพวกเขามากนัก เมื่อครู่เขารู้ตัวแล้วว่าสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้จึงรีบงับริมฝีปากลงไม่ตะโกนเรียกความช่วยเหลือ แม้ว่าหัวใจจะเต้นถี่น่าเป็นห่วงสุขภาพก็ตาม ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตัดสินใจสำรวจฝ่ายตรงข้าม

     

     เขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าภายใต้เสื้อคลุมปอนๆคงมีมัดกล้ามกำยำ ใบหน้าคมสันตามแบบชายทั่วไปแต่มีแววอ่อนโยนบวกกับดวงตาที่ไม่แข็งกร้าวและมุมปากยกยิ้มดูเผินๆเหมือนไม่น่ามีอันตราย

               

                “ขอโทษทีที่ลากเธอมานะ แล้วที่ชนไปนี่เจ็บรึเปล่า?”ร่างสูงใหญ่ถามราวกับคนรู้จักมักคุ้นกัน มือหนายกขึ้นมาคล้ายจะสัมผัสตัว ทำเอาลอเฟย์ชะงักด้วยความฉงนและตกใจ ก่อนส่ายหน้าน้อยๆทั้งที่ดวงตาเบิกกว้างเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่เขาค่อนข้างรู้สึกผิดกับคนในตลาดไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็คงจะระลึกได้จึงยิ้มเจื่อนๆ

     

                “คุณ....เป็นใคร?”ลอเฟย์เริ่มถามอย่างลังเล ใจเต้นระส่ำระสาย เขาน่าจะถามว่าชายคนนี้พาเขามาทำไมมากกว่า แต่บางทีคนเราก็ยังไม่ค่อยอยากรู้ความจริงในเรื่องร้ายๆแบบนี้แหล่ะ ชายร่างสูงใหญ่มองหน้าเขาด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะตอบอย่างเป็นมิตร ข้าชื่อไนทริคแล้วเธอล่ะ?”

               

    สถานการณ์ที่แปลกประหลาดกลับไม่อันตรายยิ่งทำให้เด็กหนุ่มงงงวยขึ้นไปอีก “...ลอเฟย์”เสียงเขาตอบอย่างแผ่วเบา ไนทริคฟังแล้วยิ้มบางๆ นึกชื่นชมในความใจเย็นของคนตรงหน้า

               

    “ชื่อแปลกดีนี่ คุณแม่ตั้งให้หรือ?”น้อยคนนักที่จะมีชื่อเป็นภาษานอร์สโบราณ เขาลอบสำรวจเด็กหนุ่มโดยหวังว่าจะไม่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกหวาดกลัว

    “คุณตาเป็นคนตั้งครับ...ผมไม่มีแม่”ลอเฟย์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

    แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงความเหงาล้ำลึกที่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีไม่รู้ตัว ไนทริคไม่รู้ว่าแม่ของลอเฟย์เสียชีวิตไปแล้วด้วยลูกหลงของสงครามก่อนที่คุณตาวัยชราจะเก็บเขามาดูแลในเมืองข้างๆ มือหยาบกร้านวางลงบนเส้มผมสีดำอย่างแผ่วเบาที่สุด

     

    “เป็นเด็กดีนะ”

     

    เขายิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มที่เหมือนดวงอาทิตย์ทำให้หัวใจของร่างเล็กอบอุ่น ในตอนนั้นเองกำปั้นของเขาก็อุ่นขึ้นมาด้วย ลอเฟย์แบมือออกเผยให้เห็นก้อนหินสีแดงเปล่งประกายประหลาดคล้ายกับอัญมณี เพียงแต่ไม่มีทับทิมเม็ดใดจะโปร่งใสและเป็นเหลี่ยมมุมที่แปลกตาเท่านี้ ปลายนิ้วคีบมันขึ้นมาดูใกล้อย่างสนอกสนใจ

     

    “นี่เป็นของคุณใช่ไหม?”เขาเงยหน้ามองไนทริค พบว่าอีกฝ่ายก็มองอยู่ก่อนเช่นกัน

     

    “ใช่ แต่ข้าอยากฝากไว้ก่อน”

     

    “...ดะ..เดี๋ยวสิครับ”ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง หินก้อนเล็กๆในมือดูเหมือนจะหนักขึ้นมาทันที เขานึกถึงกลุ่มนักเลงที่วิ่งไล่ตามเมื่อครู่ แต่ครั้นจะส่งคืนใหม่มือใหญ่ก็จัดการรวบกำปั้นของเขาเอาไว้อย่างเหมาะเจาะ

     

    “ข้าต้องไปทำธุระหน่อย ไว้จะมาเอาคืนทีหลังไงล่ะ”ชายหนุ่มตบหลังมือเป็นคำสัญญา “แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเป็นใคร!”ลอเฟย์โพล่งอย่างตระหนก ไนทริคไม่ได้บีบมือสักนิดแต่เขากลับขยุกขยิกไม่ได้เลย

     

    “ไม่ต้องห่วง! หน้าตาดีอย่างพี่ชายไม่มีทางเป็นคนร้ายไปได้อยู่แล้ว!”พ่อยอดชายฉีกยิ้มเห็นฟันขาว พลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ขนาดเธอยังไม่กลัวเลยนี่ ถ้าตอนแรกฉันเป็นโจรเรียกค่าไถ่เธอจะทำยังไง?”ฟังดูเหมือนถามเล่นๆ แต่เขากลับสนใจคำว่าของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย

     

    ลอเฟย์ไม่เคยเจอเหตุการณ์ชุลมุนถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกมาตั้งแต่เริ่มด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อตั้งสติดีๆเขากลับพบว่าไนทริคมีอะไรบางอย่างที่ดูไม่เหมือนคนทั่วไป โครงร่างสูงกำยำน่าเกรงขามมากกว่าเทอะทะ ครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับตัวเขาก็สามารถกะแรงได้อย่างพอดีจนน่าคิดว่าควรจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับการใช้ทักษะจำพวกนี้

     

    “ผมคิดว่าคุณคงไม่ใช่น่ะครับ”คำตอบหมายความตามนั้นจริงๆ ที่สำคัญคือเมื่อครู่ที่มือของอีกฝ่ายสัมผัสตัว ผิวเนื้อแข็งกระด้างกลับไม่หยาบกร้านเหมือนคนใช้แรงงานที่คนเติบโตในชนบทอย่างลอเฟย์คุ้นเคยดี ใบหน้าของไนทริคสะอาดสะอ้านแม้จะสวมเสื้อคลุมปอนๆ สิ่งเดียวที่น่าสะดุดตาคือห่อผ้ายาวที่ชายหนุ่มสะพายติดหลัง และอาจจะรวมถึงคำพูดจาในสำเนียงแปลกๆนี้ด้วย

     

    ลางสังหรณ์บอกว่าเขาเป็นคนดี และลอเฟย์ก็อยากจะเชื่ออย่างนั้น

     

     “เพราะข้าหล่อใช่มั้ยล่ะ?”เจ้าของพฤติกรรมเกือบๆโจรยิ้มยิงฟันเห็นเขี้ยวเล็กๆน่ารักที่มุมปาก ถ้าเกรซมาเห็นคงหลงเสน่ห์พี่ชายอารมณ์ดีแบบนี้เป็นแน่ ถึงจะมีพี่ชายอารมณ์เย็นอยู่คนหนึ่งแล้วก็เถอะ

     

    โอเคหนุ่มน้อย ข้าต้องไปแล้วล่ะนะ เอาไว้เจอกันคราวหน้าข้าจะเลี้ยงเหล้าเป็นไง?”มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีดำจนยุ่งเหยิงภายใต้เสียงประท้วงเล็กๆ กว่าที่ลอเฟย์จะปาดเส้นผมทั้งหมดออกจากวิสัยทัศน์ของตัวเองได้แผ่นหลังของไนทริคและห่อผ้าทรงยาวก็ห่างออกไปไกลอย่างน่าประหลาดใจ

     

     อ้อ ลืมบอกไปเก็บมันไว้ให้ดีล่ะอย่าให้ใครเห็นเชียว ข้าอาจจะไม่ใช่คนร้าย แต่ไอ้นั่นน่ะข้าขโมยมาชายหนุ่มโผล่หน้าออกมาจากทางแยกด้วยรอยยิ้มทะเล้น ก่อนจะผลุบหายเข้าไป

     

    ไนทริค!”ลอเฟย์รีบรุดตาม แต่สิ่งพบเบื้องหน้ามีเพียงพื้นที่ว่างเปล่าเล็กๆหน้ากำแพงที่เป็นทางตันของตึกสูงทึบ ไม่มีวี่แววของเจ้าของชื่อแม้แต่เงา

     

    เขาหายไปที่ไหนกัน? เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาอย่างจนมุม แล้วเลื่อนสายตากลับมาหยุดที่ของในมือตนเอง เจ้าก้อนหินสีแดงกลิ้งเกลือกอย่างสบายใจในอุ้งมือของเขา ดันไปรับของโจรเข้าซะแล้ว และคนที่ขโมยของมาอีกทีคงไม่บอกต้องบอกว่าเป็นโจรแน่นอน! ร่างโปร่งชะงักพลางถอนหายใจ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มไล่มองถึงยอดตึกหกชั้นและกำแพงตันสามด้าน

     

     “พี่!เสียงแหลมที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างของเกรซยืนพักมือบนเข่าแต่ไม่วายเงยหน้ามองในตรอกเก่า ลอเฟย์โผล่หน้าออกมาไม่ทันไรก็โดนน้องสาวกระโดดงับเข้าให้อย่างจัง

     

    โอ้ย! เกรซพี่เจ็บนะเสียงทุ้มกว่าประท้วง แต่เกรซยังคงกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนลูกลิง

    โอดินเป็นพยาน! หนูวิ่งตามพี่เป็นชั่วโมง พี่เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย? แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงวิ่งมาแบบนั้น เจ้าคนนั้นไปไหนแล้ว น่าจะเอามาเขกหัวสั่งสอนสักที!”เด็กหญิงตัวเล็กถึงจะหอบหายใจยังยิงคำถามรัวจนตอบไม่ทัน

    ใจเย็นก่อน พี่ตอบไม่ทันนะคนเป็นพี่ก้มตัวลูบไหล่เบาๆ สัมผัสแข็งๆทำให้เกรซฉวยมือพี่ชายมาดู นี่อะไรน่ะ ของคนเมื่อกี้เหรอ?”หินสีแดงที่ไนทริคบอกว่าเป็น ของโจร แม้ว่าจะยังคงโปร่งใส่ แต่พออยู่ในมือของเด็กหญิงแล้วประกายของมันกลับดูทึมทึบกว่าครั้งแรกที่เห็น

     

    ลอเฟย์กระพริบตา ดูเหมือนเขาจะตาฝาดไป

     

    “เขาไม่ได้เอาคืนไปน่ะ”ว่าแล้วก็เก็บมันลงไปในกระเป๋าภายใต้สายตากังวลใจของเกรซ “พี่คะ เราทิ้งมันไว้ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ?”เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกลัวว่าพี่ชายผู้แสนบอบบางจะตกอยู่ในอันตราย คนขี้โรคอย่างลอเฟย์จะเอาตัวรอดได้อย่างไรกัน?

     

    ลอเฟย์ถอนหายใจยาว เขานึกถึงใบหน้าของไนทริคแล้วพลันเกิดความรู้สึกขัดแย้งบางอย่างขึ้น “พี่คงต้องเอาไปคืนเจ้าของแล้วล่ะ ทิ้งไว้ตรงนี้อาจจะมีใครหยิบไปอีกก็ได้” เขาตัดสินใจโกหกเกรซเป็นครั้งแรก

     

    “เฮอะ! จับได้คาหนังคาเขา!”เสียงตะโกนแทรกขึ้นแยกสองพี่น้องออกจากกัน ฟิลิปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตรอก ที่ซึ่งเขาแอบซ่อนมานานโดยไม่ให้ใครรู้ตัว

    ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุด มีคนเห็น!

     “เจ้าคนเมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ? เห็นว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ซะด้วย สงสัยแกจะซวยแล้วล่ะเด็กชายทำท่าจุ๊ปาก

    “.......”ลอเฟย์เผยอริมฝีปากจะตอบ หากแต่เสียงแหลมๆข้างตัวดังขึ้นเสียก่อน

    “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันนั่นแหล่ะย่ะ!

                “อย่าโกหกไปหน่อยเลยแกเป็นพวกเดียวกันชัดๆ!

     อย่ามามั่วใส่พี่ฉันนะยะ เจ้าจิ้งจกปิ้ง!”เกรซออกแรงสะบัดเต็มที่ หวังว่าถ้าหลุดจากแขนที่ไม่ค่อยแข็งแรงของลอเฟย์เมื่อไหร่จะตะบันหน้าที่แสนหมั่นไส้เอาให้เป็นรอยช่วนสักอาทิตย์

     นะ...นี่เธอว่าใครเป็นจิ้งจกห้ะ!”ฝ่ายฟิลิปได้ยินฉายาที่ถูกตั้งให้ลับๆมานานถึงกับหลุดมาดคุณชายที่เจ้าตัวเดินอวดไปทั่ว

    ก็นายน่ะสิเจ้าซีด! จิ้งจกย่าง! หัวทองเหลืองฝอยขัดหม้อ! พี่ฉันจะเป็นโจรได้ยังไง นายอิจฉาก็ว่ามาเถอะ!”คำปรามาสต่างๆเท่าที่สมองจะรังสรรค์ได้ทันถูกลำเลียงออกมาจากปากเกรซผู้ขึ้นชื่อว่าถ้าโกรธขึ้นมาโอดินก็หยุดไม่ได้ และแน่นอนว่ามีหรือลอเฟย์ผู้นี้จะหยุดได้...?

     “ของที่แกขโมยมาถ้าเอาไปถามกับเศรษฐีคนนั้นแกต้องถูกจับแน่ ฉันเป็นพยานได้ว่าแกเป็นคนขโมย! คนจนๆอย่างแกพูดไปใครจะเชื่อ!”แม้จะเป็นการตอบโต้ที่ถูกพ่นออกมาโดยไม่ทันคิดของเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบดี แต่ลอเฟย์กลับต้องขมวดคิ้วกับความจริงในประโยคนั้น ถึงอย่างไรฟิลิปก็เป็นคุณหนูของตระกูลพัลลิแกน คราวนี้ชีวิตสงบสุขของเขาอาจจะถึงคราวจบเห่แล้วก็เป็นได้ สีหน้ากังวลใจของลอเฟย์ทำให้เด็กชายยิ่งได้ใจ

    พูดไม่ออกเลยล่ะสิ! ถ้าถูกจับได้จะเป็นยังไงน้า อาจจะติดคุกสักสิบปีหรืออาจจะสามสิบปีโทษฐานล่วงเกินแอซไพรส์ หรืออาจจะถูกตัดมือ ยังมีเรื่องค่าปรับอีกฟิลิปทำท่าครุ่นคิดเหมือนขุนนางแก่ๆที่ชอบเอามือลูบคาง ท่าทางที่ลนลานเมื่อครู่กลับมาจองหองอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าถือไพ่เหนือกว่า

     

    “นายสู้พี่ลอเฟย์ไม่ได้สักอย่างขนาดกลอนง่ายๆยังท่องผิด จะโกหกได้เนียนหรือไง?”เกรซที่หน้าตาบึ้งตึงอยู่แล้วแทบจะกลายเป็นนางมาร เธอแขวะจุดตายของอีกฝ่ายที่บังเอิญได้ผล...เมื่อฟิลิปหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่ตอนบ่ายที่ตนเองถูกหักหน้าต่อหน้าลูกชาวบ้านนับสิบเพียงเพราะการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมดำที่ครูเฒ่าไว้วางใจ

     

    งั้นมาแข่งกันมั้ยล่ะ! อีกสามวันจะเป็นเทศกาลฉลองฤดูเก็บเกี่ยวถ้าพี่ชายแกกล้าพนันกับฉัน ฉันจะยังไม่บอกใคร! ใครที่เอาหินปีศาจในถ้ำเชิงผาออกมาได้เป็นผู้ชนะ ถ้าฉันชนะแกต้องเอาหนังสือมาให้ฉัน!

    ถ้ำเชิงผางั้นรึ? ลอเฟย์ได้ยินชื่อที่ถูกเอ่ยถึงแล้วต้องรีบอ้าปากห้าม ทว่าแม้แต่ความเร็วในการเถียงของเขาก็ยังแพ้เกรซที่สวนขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน

    ได้! แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องยืนยันความบริสุทธิ์ของพี่ลอเฟย์! ตกลงไหมล่ะ?!”เด็กสองคนปะทะกันด้วยทิฐิที่ไม่ยอมแพ้กันและกัน เปลวไฟคุกกรุ่นอยู่ในแววตาทั้งสองใกล้ถึงจุดระเบิด จนกระทั่งฟิลิปเป็นฝ่ายเดิหนีไปโดยมีเกรซโวยวายด่าทอด้วยฉายาแปลกประหลาด

    แล้วเธอจะเสียใจ!

     

    เกรซอาจจะไม่เสียใจเท่าไหร่นักกับเรื่องนี้ แต่ลอเฟย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังกล้าพูดพออกมาเต็มปากเต็ม

    คำเลยว่าเขารู้สึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆแล้ว

               
    “เฮ้อ......เกรซ....”

    เด็กหญิงหันมามองด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่ในดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตารื้นอยู่ด้วย หัวใจของผู้เป็นพี่ถึงกับชะงัก เขาเก็บคำสั่งสอนเอาไว้ในใจเมื่อร่างเล็กโผเข้ากอดเอวแน่น ศีรษะซุกไซ้กับเสื้อของเด็กหนุ่มจนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด ลอเฟย์ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ร้อนจัดนั้นโดยไม่สนใจความเปียกชื้นบนเสื้อของตนเอง

    “....ฮึก.....พี่ต้องชนะนะคะ”เกรซส่งเสียงอู้อี้

    ความอดทนที่เด็กคนหนึ่งพยายามรักษามานานวัน มันแตกสลายลงไปแล้วเมื่อคนที่เธอรักที่สุดต้องถูกเหยียดหยาม  เมื่อเขาเข้าใจความรู้สึกนั้นจึงย่อตัวลงกอดน้องสาวให้แน่นขึ้น น้ำเสียงเย็นชื่นเหมือนสายน้ำกระซิบที่ข้างหูของร่างเล็กเบาๆ

    “เรากลับบ้านกันนะ”

    “อืม!

     

    ทั้งสองพี่น้องค่อยเดินกลับไปตามทางพร้อมด้วยสัมภาระต่างๆที่ฝากเอาไว้ เกรซจับมือพี่ชายข้างหนึ่งพลางฮัมเพลงพื้นบ้านที่เด็กๆรู้จักดี ในใจของลอเฟย์ล่องลอยไปสู้ความสงสัยที่ไม่มีใครตอบได้ หินก้อนนั้นกลิ้งอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา

     

    เขาควรจะทำอย่างที่เกรซบอก หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะไม่เกิดเรื่องอื่นๆขึ้น แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของไนทริค...เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กหนุ่มเชื่อในเสียงที่ไม่มีอยู่จริงนอกจากในจิตใจของตนเอง

     

    บางที...บางที อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้....

     

     หลังจากลากสังขารพายัยตัวเล็กลับมาถึงบ้านได้ก็ทำเอาหมดแรงไปหมด มือเรียวปัดฝุ่นบนปกหนังสือออกแล้วดันมันเข้าไปในตู้เก็บอย่างเป็นระเบียบ แสงสีส้มอ่อนๆเทียนไขในถ้วยแก้วอาบไล้เสี้ยวหน้าเหน็ดเหนื่อยที่ดูผ่อนคลายผิดกับเมื่อตอนเย็นลิบลับ เมื่อจัดข้าวของทุกอย่างหมดแล้วก็เหลือเพียงสิ่งเดียว

    ลอเฟย์หยิบหินสีแดงออกมาดูอีกครั้ง เหลี่ยมมุมของมันล้อเสียงเทียนราวกับผลึกแก้วที่เกาะตัวกันนับพันชิ้น โปร่งใส แต่กลับดูแข็งกระด้างกว่าหินอื่นๆ ทำไมในตอนนั้นเมื่อเกรซรับไปเขาจึงเห็นมันกลายเป็นก้อนหินธรรมดาไปได้นะ?

     

     มีอะไรไม่สบายใจรึ?”ซุ่มเสียงที่บ่งบอกถึงอายุของผู้พูดดังขึ้นด้านหลังตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆของประตูไม้เก่า ใบหน้าอ่อนวัยยิ้มให้ชายชราที่ยืนพิงกรอบประตูต่างไม้ค้ำ

     

     ไม่มีอะไรหรอกครับคุณตา ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

     

    เจ้านั่นแหล่ะนั่งทำอะไรอยู่ดึกดื่นป่านนี้แล้วแม้จะออกเชิงดุ แต่น้ำเสียงแหบแห้งนั้นแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย ร่างที่สูงวัยตามกาลเวลาทรุดนั่งลงบนขอบเตียงของหลานสาว ใบหน้าของเกรซยามหลับดูเหมือนเทพธิดาตัวน้อยจนอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะเบาๆ

     

    วันนี้ได้ข่าวว่ามีเรื่องในเมืองงั้นหรือ?”พลางจ้องมองใบหน้ายามหลับของผู้เป็นหลาน ประกายในดวงตาฝ้าฟางเต็มไปด้วยความรัก

     

    ก็นิดหน่อยครับ....หางเสียงเบาลงเล็กน้อย แม้ว่าจะสัญญากันไว้แล้วที่จะปิดเรื่องของชายปริศนา รวมทั้งการท้าพนันของฟิลิปเอาไว้เป็นความลับ แต่เกรซก็ยังอดไม่ได้ที่จะเล่าถึงการผจญภัยย่อมๆในตลาดให้ผู้เป็นตาฟังเหมือนเช่นทุกครั้งที่กลับจากชั้นเรียนในโบถส์

     

    ไม่ใช่ว่ายัยหนูอาละวาดหรอกรึ?”คนอายุมากกว่าถามอย่างรู้ทัน นั่นก็ด้วยครับ เล่นเสียผมหมดแรงเลย ตอนเด็กๆไม่เห็นจะซนแบบนี้ลอเฟย์จ้องมองใบหน้าที่แตกต่างกับตนที่ทำให้คิดถึงใครอีกคนลางๆ

    หลานคุณตาที่เขาเคยได้พบแค่ตอนเด็กๆ รูปร่างของอีกฝ่ายคลุมเครือนัก ในความทรงจำก็ดูลางเลือนเหลือเกิน เด็กชายที่สูงพอๆกับเกรซ เด็กคนนั้นจะหน้าเหมือนเกรซหรือเหมือนเขา หรืออาจจะไม่เหมือนเลยทั้งสองคน

     

     “เกรซบอกว่าตาเฒ่าที่โบถส์ให้เจ้าช่วยงานตาเฒ่านั้นหมายถึงอาจารย์ของเกรซผู้เป็นนักบวชชรา ด้วยอายุอานามที่ใกล้เคียงกันชายชราทั้งสองจึงพอรู้จักมักจี่กันบ้างตั้งแต่วัยหนุ่ม

     

    ....อ้อ แค่เรื่องแปลหนังสือนิดหน่อยเท่านั้นล่ะครับ”ลอเฟย์ตอบอย่างเคอะเขิน

    “ฮ่าๆ ตาเฒ่าเองก็แก่แล้วสินะ”ชายชราหัวเราะเบาเมื่อนึกถึงสหายที่เห็นกันมายาวนาน “เอ้า รีบนอนเสีย เดี๋ยวสุขภาพเจ้าจะเป็นอะไรไปชายแก่ละสายตาจากหลานสาวคนเล็ก ความอาทรที่ไม่เคยบิดบังในดวงตาที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเป็นสิ่งที่ลอเฟย์ตื้นตันใจเสมอ

     

    เขาปีนขึ้นไปบนเตียงหลังเล็กของตน เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีกับความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตรต้องขดตัวเพื่อไม่ให้ขาหลุดออกไปนอกเตียง ไม่ลืมที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดอย่างที่เคยชินเมื่อยามเป็นเด็กที่มักจะป่วยไข้และนอนซมอยู่เสมอ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างเรือนลาง

     

    โรคประจำตัวของเขาหายไปตั้งแต่อายุสิบขวบ และเขาก็ไม่เคยคิดถึงมันอีกเลย หากเล่าให้คุณตาฟังว่าวันนี้เขาออกวิ่งเป็นครั้งแรกชายชราจะทำหน้าอย่างไรนะ?

     

    ลอเฟย์มองไปที่เตียงฝั่งตรงข้าม เขายิ้มให้ใบหน้ายามหลับของเกรซแล้วปิดตาลง ตัดสินใจลืมหินก้อนนั้น การพนันและไนทริคไป...

     

    ....

     

    ...

     

    ..

     

    แสงสีน้ำเงินแตกตัวออกในความมืดมิด ราวกับม่านอ่อนนุ่มที่ค่อยๆร่อนตัวลงคลุมผืนฟ้ายามราตรี มันโอบอุ้มสิ่งที่อยู่ข้างในอย่างเงียบงันและแผ่วเบา สะเก็ดดวงดาวล่องลอยในอากาศ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกลมพัดหายไป

     

    แว่วเสียงหัวเราะ

     

    กลิ่นไอของหญ้าแห้งและนาข้าว เด็กสองคนวิ่งไล่จับกันใต้แสงแดดสีทอง เสียงหัวเราะใสเจื้อยแจ้วของพวกเขาล้อกับกอหญ้า เกรซชี้ชวนให้เด็กชายมองมา แต่แสงจ้าทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา

     

    ...........

     

    .......

     

     

    .....

     

    ...

     

     

     “ท่านปู่ เจ้านั่นจะต้องแอบติดสินบนแน่ๆ!”ฟิลิปกระชากเสียงด้วยความหงุดหงิด จนแม้แต่สาวใช้ที่คอยเอาใจยังต้องพากันหลบเพราะรู้นิสัยเสียของคุณหนูคนนี้ดียิ่งกว่าอะไร

     

    จากที่หลานเล่ามาเขาก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?ผู้เป็นปู่ส่ายหน้าน้อยๆ นึกสงสารหลานชายที่โดนเอาเปรียบในชั้นเรียน แต่ด้วยความที่เป็นนักบวชชั้นกลางจึงไม่สามารถเข้าข้างได้เต็มที่ ในสายตาของไพเซล พัลลิแกนหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาถูกเด็กชาวบ้านหยามเหยียดเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจยิ่ง

     

    แต่กระนั้น การที่ชาวบ้านธรรมดาๆจะมีเงินติดสินบนได้ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดสำหรับตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย

     

    “แต่อาจารย์เรียกมันเป็นส่วนตัว แถมยังให้ยัยเกรซอยู่ด้วย!

     

    ปู่สัญญาว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ แต่ยังไงหล่อนก็เป็นหลานสาวเพื่อนเก่าของปู่มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะที่ยังฮึดฮัดไม่พอใจ ไม่ใช่แค่ยัยเกรซนะฮะ ยังมีพี่ชายของมันอีกคน

     

    ไพเซลหยุดคิดชั่วครู่หนึ่ง ปู่คงจะไม่เคยพบเขาในความทรงจำอันยาวนานของเขาไม่ปรากฏหลานชายของเซทแม้แต่น้อย แม้พวกเขาสองคนจะเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก ยิ่งภายหลังเซทย้ายไปอยู่ย่านชนบททำให้พวกเขาไม่ได้พบกันอีกเลย

     

    งั้นผมจะชี้ให้ดู! ยัยนั่นสบประมาทแอซไพรซ์ต้องโดนลงโทษสิ!

     

    ก็เพราะเป็นแอซไพรส์อย่างไรเล่าหลานรัก เทพเจ้าย่อมต้องแบ่งความรักให้มนุษย์ ตระกูลของเรามีสายเลือดอีเซอร์ที่ยิ่งใหญ่ จะถือสาหาความกับความผิดพลาดเล็กน้อยของสามัญชนได้อย่างไรชายชรายิ้มด้วยสีหน้าอ่อนโยน หากแต่คำพูดกลับยิ่งเลวร้าย ความสงสารของชายชราไม่ได้มาจากใจ ทว่ามาจากความชื่นชมในฐานะของตนเองที่บดบังความจริงนี้ไว้ในส่วนลึกของการยอมรับตนเอง หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องได้ฟังดังนั้นก็ลอบมองตากันแสดงออกถึงความรังเกียจ หนึ่งในนั้นเลื่อนสายตาไปยังร่างที่สูงไม่ถึงหน้าอกของหล่อนแล้วถอดถอนใจ

     

    หากผ้าสักผืนจะเปื้อน คงเปื้อนด้วยมือของผู้ย้อมเอง

     

                “ท่านนักบวช มีจดหมายมาขอรับ”ข้ารับใช้คนหนึ่งถือถาดสีเงินเข้ามาอย่างนอบน้อม มือเหี่ยวย่นละออกจากศีรษะของหลานชายเพื่อหยิบซองกระดาษชั้นดีขึ้นอ่าน ชื่อที่ประทับอยู่ด้านบนทำให้ดวงตาของเขาลุกวาว

     

                “หลานออกไปวิ่งเล่นเถอะ ปู่จะต้องทำงานต่อสักหน่อย”

     

                “ฮะ ท่านปู่”เด็กชายหมุนตัวออกไป โดยมีเสียงของชายชราดังแผ่วเบา “...นี่เป็นจดหมายจากท่านกิลด์แวน ข้าอยากให้.....”

     

                ฟิลิปเดินออกมาที่ตลาดเพื่อตามหาลูกสมุนทั้งสอง บ้านของเด็กชายร่างอ้วนกลมเป็นร้านขายเครื่องเขียน อีกคนผอมแห้งเป็นร้านขายเครื่องเทศ ทุกคนที่สังเกตเห็นคุณหนูตระกูลพัลลิแกนต่างก็รีบหลบทางให้เพราะกลัวจะถูกรังแก เด็กชายยืดอกอย่างพอใจจนกระทั่งถึงกลุ่มคนที่กำลังมุงบ้านหลังหนึ่งอย่างสนอกสนใจ

               

                “แปลกจริงอะไรกันนี่?”เสียงผู้หญิงร้อง

               

    “หรือจะเป็นดาวตก?”

               

    “ก้อนหินมาตกอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรนะ? ใกล้จะถึงงานเทศกาลแล้วแท้ๆ”

               

    “พอใกล้ช่วงเทศกาลก็มักจะมีอะไรแปลกๆแฮะ”พวกชาวบ้านพากันหัวเราะ ฟิลิปมองผ่านช่องว่างที่คนยืนซ้อนทับกัน เห็นก้อนหินใหญ่สีเข้มกองอยู่ในกำแพงที่ยุบเข้าไป ช่องนั้นไม่กว้างพอที่จะขยายความอะไรไปมากกว่านั้น นายน้อยแห่งพัลลิแกนแค่นจมูกกับความแตกตื่นของพวกชาวบ้านและเดินต่อไป โดยไม่รู้ว่ารอบๆหินก้อนน้อยมีรอยดำไหม้ขนาดใหญ่ราวกับเคยมีเปลวไฟลุกโชน



    -----------------------------------------------------------


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×