ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #38 : 36th Tale : รางวัลของผู้ปราชัย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 235
      3
      27 มิ.ย. 58







    “บ้าเอ๊ย!!

    แรงพลิกเฮือกสุดท้ายผลักปลายแส้ของอลิซาให้พลาดเป้าออกไป ทว่าไม่อาจหนีกระแสไฟฟ้าที่แล่นพล่านผ่านผิวดาบของตนได้ ปารีสกัดฟันแน่นจนแนวกรามปวดระบม เสียงร้องของเฮเลนดังอยู่เบื้องหลัง ทั้งอื้ออึงและลนลานเกินกว่าจะเข้าใจ

    “อลิซา!!

    วาร์ลเลนดีดตัวขึ้นแทบจะทันทีที่เพื่อนร่วมหน่วยจู่โจมอย่างไม่ไว้หน้า ความบ้าคลั่งของหล่อนละเลงสนามประลองอย่างไม่มีความปรานีใดๆ

    “หุบปากซะมัวร์เธ!!”เสียงตวาดกระชากเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าอสรพิษ ผลักให้เจ้าของชื่อต้องชะงักถอยโดยไม่รู้ตัว “เพราะความอ่อนหัดของนายไม่ใช่หรือ หน่วยของเราถึงต้องแพ้!!” คำต่อว่าของหล่อนกระหึ่มลั่นเหมือนสายฟ้าในมือ เป็นโชคร้ายของปารีสที่ความเป็นห่วงของฝ่ายคู่แข่งกลายเป็นน้ำมันราดลงบนกองไฟ

    อดีตผู้เข้าประลองนัดก่อนหน้าสิ้นคำจะเถียง สายตาที่สมาชิกหน่วยสิบห้าคนอื่นร่วมมองมายังเป็นยิ่งกว่าคำยืนยัน แม้จะมีความกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีแอซไพรซ์คนไหนเอ่ยปากห้ามอลิซา

    “นายคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน? คิดว่าเจ้าหนูนี่รับเคราะห์จากใครกัน? ถ้านายไม่กระแดะทำตัวเป็นคนดีจนเกินไป...ฉันก็คงไม่ต้องมาเก็บกวาดขยะให้แบบนี้!!

    เปรี้ยง!! กระแสไฟฟ้าระเบิดอาณาเขตที่พื้นจนแทบแหลกลาน สีม่วงของของมันแปรเปลี่ยนเป็นม่วงแดงในที่สุด

    “แล้วในตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเลวเพราะฉันเก่งกว่าและจะทำให้หน่วยชนะงั้นหรือ ชัยชนะที่นายเองก็ได้ประโยชน์ไปด้วยทั้งที่เอาแต่ถ่วงความเจริญ?! เพราะเจ้าเด็กนี่เสียสมาธิไปเองในสนามที่เดิมพันความเป็นตายนี่น่ะหรือ!? นี่เป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร พวกแกถึงได้ทำตัวทุเรศแบบนี้!!

    ไม่ว่าใครที่ได้ฟังก็ต่างขนลุกชัน เสียงคำรามของหล่อนดังกังวานไม่ต่างจากศาสตราคู่กายที่กระหน่ำซ้ำราวกับห่าฝน นัยน์ตาของชายหนุ่มสะท้อนภาพร่างโชกเลือดที่ตั้งรับอย่างร่อแร่ของปารีส ในใจของเขาระบมด้วยความจริงส่วนหนึ่งที่หล่อนกล่าวอ้างออกมา สมาชิกคนหนึ่งที่นั่งดูอยู่เงียบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยตั้งแต่ต้นเปรยออกมา เป็นคำพูดที่ไม่ช่วยให้เขาทำใจได้มากขึ้นเลย

    “อลิซาทำถูกแล้ว แม้จะเกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่มันก็เข้าใจได้ที่หล่อนจะโมโห พวกเราต่างก็ต้องสู้เพื่อตัวเองกันทั้งนั้น....”

    เสียงอัสนีบาตของวิเวนเดลดึงความสนใจจากปะรำพิธีให้มากลับมาที่สนามย่อยที่สองอีกครั้ง จากตอนแรกที่ดูเป็นนัดประลองธรรมดาๆ ทั้งลักษณะการต่อสู้ก็ไม่น่าตื่นตาอะไร เป็นนักดาบบ้าพลังคนหนึ่งซึ่งมีอยู่ดาษดื่นกับหญิงสาวที่สวยครบสูตรคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้อาณาเขตเวทมนตร์แทบจะอัดแน่นด้วยฝุ่น ควัน และประกาบแปลบปลาบจนเห็นเป็นทรงสี่เหลี่ยม

    “คนชื่อมัวร์เธนี่คือคู่ประลองนัดก่อนของแม่ราชสีห์หรือเปล่า?”ซิกกันสะกิดใจถามเพื่อนรักที่มีเอกสารประจำมือ

    “คนนั้นแหล่ะ”พันโทฮาเกนยืนยัน

    “ถ้าเป็นฉันจะไม่ต่อว่าแค่นั้นแน่ๆ....”ไม่ทันที่วิมป์จะปรามพันเอกผู้มีริมฝีปากเป็นอาวุธเอก เสียงหัวเราะทุ้มหนักแน่นของทวิเทพก็แทรกขึ้นก่อน

    “ฮ่าๆๆ นี่ล่ะนะสนามประลอง ออกจะน่าสงสารอยู่ แต่ที่นี่ความยุติธรรมคือความแข็งแกร่ง ไม่มีใครเหยียดหยามที่อ่อนแอ แต่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ.....ไม่เอาน่าฮาเกน เชื่อมือศูนย์แพทย์ของเราบ้างสิ”รอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อน ขณะที่สายตาจับจ้องแอซไพรซ์ที่ใครๆก็เชื่อว่าความพ่ายแพ้กำลังจะมาเยือน

    หากเป็นในเวลาปกติ ปารีสจะต้องหยอกล้อต่อคำหวานไปบ้างแล้ว แต่ในช่วงเวลาที่สายฟ้ากระหน่ำราวกับถูกต้อนอยู่ในใจกลางของพายุและครึ่งตัวอาบด้วยเลือดแทนเหงื่อนั้นค่อนข้างจะหาจังหวะต่อคำยากสักหน่อย เขาพยายามต้านการโมตีเหนือชั้นอย่างเต็มที่ แม้ว่าสภาพแขนเดียว ตาเดียวของตนจะใกล้หมดวาระลงเต็มที

    อสรพิษขาวคว้าดาบคาตารอสได้เต็มๆ! แรงกระชากเหนี่ยวร่างของเขาไปด้านหน้าพร้อมกับประแสไฟที่พุ่งมาตามสายแส้อย่างรวดเร็ว ปารีสรู้แจ้งในใจ ความคิดนั้นพุ่งมาดุจกระสุน นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาที่จะลืมตาในสนามแห่งนี้!

    เจอนัดนี้ไปเราไม่รอดแน่!!

    เขาฝืนใจยกแขนซ้ายขึ้นช่วยเหวี่ยงอาวุธคู่ใจ สู้กับความเจ็บปวดเกินบรรยายที่กัดกร่อนไหล่จนสะเก็ดเลือดหลุดกระเซ็น แอซทุกสายไหลไปผสานที่ผลึกพสุธา การเคลื่อนไหวของเขาเดิมพันไว้กับรอยแตกที่อลิซาเป็นผู้สร้างไว้บนพื้นสนาม ประกายสีม่วงสะท้อนในดวงตา ก่อนที่แสงสว่างจ้าของเวทมนตร์ขั้วตรงข้ามจะพุ่งชนรุกไล่กันปารีสหวดดาบลงไปเต็มแรง สู่พื้นหินที่เป็นธาตุแข็งของตนเอง!

    anáil domhain!!

                เวทมนตร์ที่เข้มข้นระเบิดขึ้นโดยที่อลิซาไม่ทันตั้งตัว มันชะล้างกระแสไฟฟ้าจากอสรพิษขาวไล่มายังร่างของหล่อน มือเรียวกระชากแส้หลุดออกจากการกักขังของคาตารอส เหนือกว่าความคาดหมาย...น้ำหนักที่ปลายทางขาดหายไป!! ร่างของหญิงสาวเซถดถอยไร้การตั้งตัว ในอากาศเบื้องบนมีเส้นแส้ที่ขาดรุ่งริ่งมอดไหม้ด้วยแรงไฟกระกระแสไฟฟ้าของตนเอง

                แส้ของหล่อนขาดแล้ว!!

                ชัยชนะแรกของเขามาในช่วงเวลาที่ร่างกายไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว แต่กระนั้นก็ไม่ห้ามกองเชียร์ของหน่วยสิบสี่ให้กระโดดโลดเต้นด้วยความโล่งอก แม้ว่าหินใหญ่จะยังตั้งมั่นอยู่ในใจก็ตาม

                “พึ่งจะรู้วันนี้นี่แหล่ะว่าหมอนั่นใช้เวทมนตร์ได้ดีขนาดนั้น”เปโตรเห็นยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

                “นี่เรียกว่าดีแล้วหรือ? ควรใช้เวลารวบรวมสมาธิน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”ยูลิสท์หน้าบึ้งอยู่คนเดียว ทว่าก็ยังปรบมือให้เป็นพิธี จะมีก็แต่ลอเฟย์ที่สังเกตว่ามุมปากเม้มสนิทของเขาคล้ายจะบุ๋มเป็นรอยยิ้ม แต่เด็กหนุ่มผมดำก็ไม่ได้เอ่ยทักแต่อย่างใด

                ช่วงเวลาพักให้หายใจหายคอดำเนินอยู่ไม่นาน อลิซามองซากอาวุธที่ตนเคยใช้ด้วยสายตาที่ยากจะอ่านว่าตกตะลึงหรืออาลัยอาวรณ์ แต่สายตาที่ช้อนกลับมาบอกได้ชัดเจนว่าปารีสไม่ได้ถอนเขี้ยวเล็บใดๆของหล่อนออกไปเลย กลับกัน....ดวงตาเย็นชาคู่นั้นยิ่งน่าหวาดกลัวกว่าใบมีด

                 “láng….láng....láng.....lángเรียวแขนสองข้าวกางออก สมมาตรสวยงาม ริมฝีปากแทบไม่ต้องใช้เวลาในการกล่าวมนตร์ ลูกไฟขนาดเท่าคบเพลิงสี่ลูกก็หมุนวนอยู่เหนือฝ่ามือ

                “โอดินท่านเล่นตลกแล้ว...”

                สบถได้เพียงเท่านั้นอุณหภูมิร้อนระอุก็พุ่งเข้าใส่ราวกับอุกกาบาต เขาเมินเฉยความเจ็บแสบที่เข้าใกล้การด้านชาของตนเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของร่างกายส่วนรวม มันแยกเขี้ยวเข้าใส่จนยากที่จะกันด้วยแรงกายสถานเดียว

                “Dia Vennet!!”มวลน้ำก่อกำเนิดขึ้นกลางอากาศเท่าที่เวลาจะอำนวย มันรวมตัวกันพุ่งปะทะลูกไฟของอลิซาเกิดเป็นม่านไอน้ำโอบคลุมทั่วบริเวณ ยังไม่ทันที่ความชื้นจะสลายตัวปารีสก็ได้รู้ว่าตนเองหลงกลเข้าเสียแล้ว!

                “Tria Jylist!!!(อัสนีบาต)”

    “ปารีส!!

    สีแดงแต่งแต้มภาพรวมที่ขาวสะอาดของโคลอสเซียม ลอเฟย์พุ่งตัวประชิดขอบระเบียงที่ขวางกั้นอัฒจรรย์และอาณาเขตของสนามประลอง อาวุธของอีกฝ่ายที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจู่โจมกลับอย่างแสบสันต์ ประกายสายฟ้าโชนแสงแว่บวาบ เสียงแตกตัวของมันดังประสานกับเสียงคำรามของแอซไพรซ์หนุ่ม!

    “ปารีสยอมแพ้ซะเถอะ!!”เฮเลนกรีดร้อง น้ำเสียงของเธอแตกพร่า แต่ไม่มีคำพูดใดแทรกเข้าไปในสติที่หลงเหลืออยู่ของเขา มันยากแม้แต่จะมองตรงไปข้างหน้า ภาพของอลิซาสั่นเลือนรางเป็นระยะ ล้อมกรอบด้วยสีดำมืดสนิท ปารีสไม่สามารถฝืนร่างที่ไร้ประสาทสัมผัสให้ยืนหยัดต่อไปได้ สองเข่าร่วงกระทบพื้น เหลือเพียงแขนขวาที่ยังยึดดาบคู่ใจต่างที่มั่น

    วิเวนเดลไม่ขยับตัว เธอคงรอดูท่าทีว่าเขาจะล้มลงไปเองหรือต้องให้เธอลงมืออีก คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางความวุ่นวายที่ซาตัวลงเสียงหัวเราะดังขึ้น

    “ฮ่าๆ....”

    “ขำอะไร?”

    “คนสวย เธอเคยลงแข่งมาก่อนหรือเปล่า?”แม้แต่ปารีสก็ยังไม่แน่ใจว่าตนเองพูดอะไรออกไป ในเวลาที่ร่างกายของเขากำลังจะหมดแรง แต่จิตใจกลับปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มค่อยฉาบทับลงบนริมฝีปาก แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่จะประกาศความปราชัย แต่ตนก็รู้ดีในใจ มันน่าเจ็บใจนักที่คิดว่าต้องเสียท่าให้ยูลิสท์เห็น

    ทว่ามีบางอย่างอยู่ที่นี่ บางอย่างที่เขาพึ่งเคยสัมผัส สิ่งนั้นอยู่กับคำตอบของอลิซา

    “เคยอยู่แล้ว!”แรกสุดหล่อนไม่คิดตอบ แต่ความสงสัยที่แอบซ่อนอยู่ก็เอาชนะทิฐิ

    “บาดเจ็บบ้างไหม?”

    “....แน่นอน”

    หล่อนเข้ากองพันสัประยุทธ์ตั้งแต่อายุยี่สิบ เลื่อนตำแหน่งขึ้นจากหน่วยท้ายสุดจนถึงหน่วยสิบห้า ทุกห้าปี...ต้องบาดเจ็บ สาหัสบ้างไม่สาหัสบ้างตามแต่มหาเทพจะเห็นใจ สิ่งเหล่านี้ถึงไม่พูดออกมาปารีสก็ยังเข้าใจได้ เพราะมันสถิตย์อยู่ในดวงตาคู่งามที่เปี่ยมด้วยพลัง อลิซา วิเวนเดลเป็นแอซไพรซ์ที่มีดวงตาของนักสู้อย่างแท้จริง

    ผู้หญิงที่บอบบางขนาดนั้น ยังต้องต่อสู้สุดชีวิตบนสนามประลองที่โหดร้ายขนาดนี้เพื่อชัยชนะ ไม่ว่าเบื้องหลังของมันคืออะไร

    “ฉันเองก็อยากชนะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ากลัวคนดูถูกหรอกนะ...ถึงจะเคยมาแล้วก็เถอะ แต่ก็เพื่อเพื่อนคนหนึ่งด้วยล่ะ” เขาคงจะเป็นคนบ้าเลือดจริงๆที่รู้สึกพอใจกับการต่อสู้ พอใจที่ได้พบคู่ต่อสู้ที่ทุ่มเทเพื่อสมรภูมิ

    ทุกคนต่อสู้กันก็เพื่อเหตุผลทั้งนั้น การที่หล่อนเอาจริงเอาจังกับมันมาก คงเป็นเพราะเหตุผลนั้นสำคัญกับหล่อนมากเช่นกัน อลิซาปรายตามองคู่ประลองที่ไม่เหลือสภาพตอบโต้อีก ฝ่ามือทั้งสองข้างหงายขึ้น ก่อประกายสายฟ้าแล่นพล่านไปทั่ว ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หล่อนนึกอยากพูดออกมา

    “เคยมีคนบอกว่ากองพันสัประยุทธ์ไม่ใช่ที่ของผู้หญิงกับเวทมนตร์ นายเองก็เหมือนพวกนั้นที่หาได้ทั่วๆไป....”

    ทั้งสนามประลองต่างกลั้นหายใจ ในการเคลื่อนไหวสุดท้ายที่จะชี้เป็นตายของสนามที่สอง หล่อนคงจะเป็นผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตในสายตาของแอซไพรซ์เหล่านั้น แต่คนที่รอคอยมันอยู่อย่างแท้จริงกลับยิ้มออกมา!?

    “ฮ่าฮ่าๆ เคยมีนักเวทมนตร์คนหนึ่งสอนฉัน ว่าความเชื่อแบบนั้นเป็นเรื่องที่โง่มาก”

    ขออีกสักทีเถอะ ไหนๆก็คงจะโดนไอ้หน้าหล่อหัวเราะเยาะเอาแล้ว ให้มันลดลงสักเรื่องหนึ่งก็ยังดี แอซทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ เปล่งแสงจ้าจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันไหลมารวมกันดั่งแม่น้ำสายใหญ่ ภายใต้สองมือที่กำแน่นรอบด้ามดาบคาตารอส ปารีสค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นราวกับบาดแผลต่างๆนั้นเป็นเพียงของประดับ

    domhaina vogte....”แอซไพรซ์หนุ่มสูดลมหายใจที่คุกกรุ่นด้วยไอระอุ ระหว่างที่ประกายสายฟ้าคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วในระยะห่างของพวกเขา เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงร้องของเฮเลน

    skærme

    แปดเมตร...ห้าเมตร

    มันไม่ใช่ว่าเขาจะเสียดายที่ต้องแพ้...แต่การต้องยอมแพ้ทั้งที่ยังเหลือแรงอยู่ มันน่าหดหู่ใจเสียยิ่งกว่า แม้แต่เวทมนตร์ที่เสริมกันเข้าไป เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยว่ามันใช้การได้หรือเปล่า

    skærme

    สามเมตร

    ถ้าหากไหนๆคิดจะสู้แล้ว....

     “skærme

    “ตั้งท่ายังกับหวดกระสอบทรายแบบนั้น เจ้าบ้านั่นคิดจะทำอะไรเนี่ย!!?”ไรซ์ยกมือขยุ่มผมฟูฟ่องของตัวเองด้วยความสิ้นหวัง มองดูเพื่อนเก่าที่มีสภาพเหมือนผ้าขี้ริ้ว แม้แต่ลอเฟย์ที่คุ้นเคยกับเชิงดาบของปารีสก็ยังตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

    หนึ่งเมตร

    “ฮ่าห์!!!

    อันที่จริงวินาทีนั้นไหล่ซ้ายเจ็บปวดราวกับกล้ามเนื้อจะฉีกออกจากกัน เสียงลั่นของกระดูกที่อยู่ผิดที่ผิดทางยังดังในหู เขาเพียงคิดแค่ว่า...เหวี่ยงออกไปให้สุดแรง แม้ว่าร่างกายจะไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว ดาบยักษ์เรืองแสงจ้าด้วยเวทมนตร์อันแข็งแกร่ง ผลึกสีส้มที่มอดแสงกลับกระพริบติดขึ้นมาอีกครั้ง มีเวลาไม่ถึงวินาทีที่ปารีสเหวี่ยงดาบออกจากการตั้งท่า เมื่อแสงสีม่วงอ่อนรวมตัวกันดั่งลูกกระสุนที่กะพุ่งทะลวงในคราวเดียว!

    “ก็ควรจะทำให้มันสุดแรงเกิดไปเลย!!

    พื้นครูดเป็นทางยาวจากปลายดาบที่ลากสะบัดขึ้นกลางอากาศ เสียงกระหึ่มกึกก้องของการปะทะมาพร้อมแสงระเบิดจ้าจากเวทมนตร์ที่ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด! ปารีสกัดฟันคำราม แรงเสียดจากอัสนีเริ่มระเบิดเป็นสะเก็ดไฟสีขาวแปลบปลาบ แขนทั้งสองข้างดันกระสุนอัสนีของที่ปะทะกับโล่เหนือผิวดาบถึงสี่ชั้น เกล็ดหินเริ่มเกาะกุมด้านหน้าของลูกไฟสีม่วง

                ...นี่แหล่ะคือ จิตวิญญาณนักสู้ของเขา!

                “เอ้า ฉัน คืน ให้!!

    ท่ามกลางความตะลึงของผู้ชมทั้งสนาม ปารีส หวด ลูกไฟนั้นกลับไปด้วยแรงเปล่าๆ!

    “เฮ้ย!!!

    ซิกกันที่เงียบขรึมมาโดยตลอดเบิกตาอ้าปากกว้าง เช่นเดียวกับรองแม่ทัพเอสเทลที่ไม่อาจห้ามปากของตนเองได้อีกต่อไป ไม่ต่างจากทุกคนที่ยังเปิดตาและหายใจ งานนี้แก้วสุราร่วงจากมือทวิเทพทั้งที่ยังมีเหล้าชั้นดีล้นปรี่

    “ปารีสนายบ้าไปแล้ว!!

    ตูม! กองฝุ่นระเบิดฟุ้งอย่างไม่ไว้หน้านักเวทมนตร์ที่เป็นผู้กางอาณาเขต เส้นผมสีทองปลิวว่อนในอากาศ อลิซาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ร่างของคู่ประลองที่สะบักสะบอมยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ทั้งจริงใจและกวนประสาท รอยไถเป็นทางยาวที่พื้นสนามยังคงมีควันคุกกรุ่น หากเมื่อครู่เธอหลบการโจมตีของตนเองที่ถูกดีดกลับมาด้วยความเร็วเท่าตัวไม่ทัน วิเวนเดลอาจต้องบาดเจ็บสาหัส! ดวงตาที่ยังถลึงกว้างเหลือบไปมองปอยผมขาดสะบั้นจนหมดทรงสวยของตน

    “หึ นายคิดว่ามันจะโดนฉันอย่างนั้นหรือ?”

    “ต่อให้โดน ผลการประลองครั้งนี้ก็คงเหมือนเดิม”เขารู้ดี เพราะสำหรับตอนนี้ เพียงแค่ยืนก็ยากลำบากจนเจียนน้ำตาร่วงแล้ว ปารีสยิ้มแห้งๆคล้ายเป็นการยิ้มกับตนเอง “แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ดีใจมากกว่า...ที่มันไม่โดน”

    อลิซาชะงักไป

    “มัวเธร์มันก็น่าหมั่นไส้ชะมัด แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจหรอกนะ เธอสู้สุดตัวก็เพราะเป็นนักสู้ใช่ไหมล่ะ? ฉันเองก็ไม่อยากทำร้ายเธอ....มันเป็นตัวเลือกของความเป็นสุภาพบุรุษล่ะมั้ง?”

    “ไร้สาระ...”หล่อนเถียงได้เพียงเท่านั้นก็ต้องตะลึงงันไม่รู้จะต่อความใด เมื่อปารีสโยนดาบทิ้งเสียดื้อๆ ร่างของเขาเหยียดยาวคล้ายบิดขี้เกียจ ก่อนจะล้มตึงลงบนพื้นต่างเตียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!

    “เอาเถอะ ยังไงมันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ...มาหามฉันไปด้วยล่ะพวกแก”แอซไพรซ์หนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองพรรคพวกยังที่นั่งของหน่วยสิบสี่ ที่พากันเอามือทาบอกพลางตะโดนร้องแรกแหกกระเชิงกันเป็นแถว เสียงผู้ชมที่ทั้งโห่ไล่และชื่นชมอลิซาทำให้เขาฟังไม่ถนัด แต่ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าไรซ์ต้องสาปส่งอยู่แน่ๆ ลอเฟย์เองก็รัวริมฝีปากอะไรไม่รู้อยู่กับเจ้ายูลิสท์ปที่เผื่อแผ่หางตามองเหมือนจะ เหมือนจะ...เป็นห่วง? ส่วนเฮเลนกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

    “ร้องทำไมยัยบ้า...ฉันสิน่าจะร้องกว่าอีก”

    สุดท้าย....เราก็ไม่เท่เลยแฮะ

    “นายนี่เป็นพวกบ้าพลังขนานแท้เลยนะ”อลิซากล่าวออกมาในที่สุด

    “มีคนบอกแบบนั้นอยู่บ่อยๆน่ะ”เขายิงฟันตอบคิดว่าจะเก็บไว้เป็นคำชมเชย แม้เบื้องหน้าจะมองเห็นแต่ท้องฟ้า ลมพัดเย็นชวนหลับชะมัด “น่าเสียดายที่แพ้...แต่ฉันไม่ค่อยเสียดายที่แพ้เธอ ขอบใจมากนะอลิซา”

    เจ้าหล่อนไม่ตอบ และจากมุมที่ปารีสนอนแผ่หลาอยู่ก็คงมองไม่เห็น....แต่เธอก้มศีรษะให้เขา ก่อนจะหันหลังเดินออกจากสนามไปด้วยกริยากระฉับกระเฉงดังเดิม ทิ้งให้ปารีสนอนรอความช่วยเหลือจากศูนย์แพทย์เจ้าเก่า

    ขณะเดียวกันในปะรำ ทวิเทพช้อนแก้วสุราส่วนตัวที่นอนกองอยู่บนพื้นชุ่มเหล้า เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ร่างสูงกำยำลุกขึ้นมายิดเส้นยืดสาย เขาถอดเกราะไหล่หนาเตอะและผ้าคลุมเสริมบารมีที่ถูกบังคับโดยเลขานุการส่วนตัวทิ้งไปแล้ว ชายหนุ่มก้ามเฉื่อยๆไปยังขอบระเบียงซึ่งมองเห็นสนามได้ชัดกว่า แม้ว่าสนามย่อยที่สองจะยังห่างออกไปหลายสิบเมตรจนขนาดตัวของผู้เข้าประลองนั้นเล็กจ้อยไม่ต่างจากนิ้วมือ

    “ท่านครับ?”ซิกกันลองปรามเป็นการหยั่งเชิง แต่อีกฝ่ายยังเอาแต่พินิจแก้วสุราที่เป็นหนึ่งในชุดสะสมของตัวเอง ก่อนจะเงื้อแขนขึ้นเต็มที่

    “อาณาเขตแตก!!”นักเวทมนตร์สาวกรีดร้อง เมื่อมีบางสิ่งพุ่งทะลุอาณาเขตเวทมนตร์ด้านบนอย่างกระทันหัน จนเพดานทะลุเป็นรูโหว่ ความเร็วของมันยิ่งกว่าลูกอุกาบาตร รุนแรงขนาดทำลายโล่ขนาดยักษ์ได้ง่ายๆในพริบตา! ผลึกนิรภัยเปล่งแสงขึ้นพร้อมกับการตื่นตัวของแอซไพรซ์นับร้อย จนกระทั่งควันขโมงที่ข้างกายของผู้เข้าประลองจอมเคราะห์ร้ายซาลง

    ของสิ่งนั้นเป็นเศษโลหะบุบบี้ชิ้นหนึ่ง ปารีสระบายลมหายใจออกด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เขาค่อยๆยกศีรษะขึ้นพินิจอาวุธลับที่พุ่งตรงลงฝังตัวห่างจากหัวสมองของตนไปไม่กี่นิ้ว

    สิ่งนี้ดูไปดูมาก็คล้าย....แก้วเหล้า? ทันใดนั้นเสียงหัวเราะกัมปนาทก็ดังขึ้นแทนคำเฉลย มันกึกก้องจนกลบทุกสรรพเสียงในโคลอวเซียมให้เพ่งความสนใจไปยังระเบียงชั้นสูงสุดซึ่งป็นทั้งปะรำพิธีสถานเดียว

    “เจ้าหนู! ข้าขอชื่นชมเป็นการส่วนตัว ถ้าเดินได้เมื่อไหร่ก็เอาแก้วนั้นมาดื่มกับข้า!

    จากสำเนียงเงียบกริบในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องดีใจและเสียงปรบมือดังกังวานยิ่งกว่านัดไหนๆ ผู้คนต่างพากันชื่นชมความโชคดีของแอซไพรซ์ที่ขึ้นชื่อว่าโชคร้ายเป็นนิจย์ ปารีสยังไม่มีคำใดลอยผ่านเข้ามาในสมองอันว่างเปล่านอกจากเสียงหัวใจเต้นดังสนั่นราวกับกลองรบ เขาค่อยๆเอื้อมมือไปจับเจ้าแก้วทรงประหลาด ผิวโลหะที่ยังกรุ่นไอระอุจี้ปลายนิ้วไปถึงทุกส่วนที่ยังตื่นตัว เมื่อได้สติในที่สุดก็แทบจะห้ามน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลได้ยาก

    “ฮ่าๆๆๆฮ่าๆๆๆ!!”แอซไพรซ์หนุ่มลุกขึ้นมานั่งทั้งที่สังขารยังกรอบ ในมือถือถ้วยเหล้าที่ได้กำนัลมาจากเทพนักรบแห่งนครลอยฟ้า กระแสที่อบอุ่นและรุ่มร้อนหลั่งไหลในอกจนต้องหัวเราะออกมาดังๆ จนกระทั่งหน่วยพยาบาลซึ่งเป็นเพื่อนๆของตนเองวิ่งมาถึง

    “ตาบ้า! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่านายจะบาดเจ็บ!!”เฮเลนขบุ้มปกเสื้อที่เละเทะไม่มีชิ้นดีให้ยับยู่ยี่ขึ้นไปอีก

    “เอาน่า นี่มันคุ้มจะตายไป!”ไรซ์พยายามลากตัวเด็กสาวที่งอแงไม่เลิกออกห่างจากร่างผ้าขี้ริ้วของปารีส ขณะที่เปโตรต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการพยุงตัวไม่ให้เขาร้องอู้อาออกมา

    “นั่นสิ ทวิเทพ! ทวิเทพชมนายเองเลยนะ!” ต่างคนต่างแย่งกับพูดขณะที่พยุงร่างผู้ปราชัยแต่ชนะใจคนดูกลับขึ้นไป แก้วเหล้าในมือยังร้อนฉ่าเป็นสิ่งเตือนความจำ ปารีสพูดอะไรไม่ออกได้แต่กำมันแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

    ร่างของยูลิสท์ยืนรอที่ปลายทาง ปรบมือให้กับลูกหน่วยที่พ่ายสนามอย่างจริงใจ นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ปารีสรู้สึกว่ารอยยิ้มของบุรุษผมทองค่อยน่ามองขึ้นมาบ้าง

    “เก่งมาก”

    “เออ”

    เขายักคิ้วตอบรอยยิ้มที่จริงใจและกวนประสาทน้อยลงตามประสาตน ก่อนจะโดนจาเวิร์ดเขกหัวดังเปรี้ยง

    ขณะนั้นหลายสายตายังจับจ้องไปยังจุดที่ปรากฏเงาร่างของเทพนักรบอยู่ไกลลิบ แม้ว่าร่างนั้นจะหายลับไปแล้วก็ตาม

    ลอเฟย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น มันคงยากที่จะหาคนที่หัวเราะได้ดังกังวานเช่นนี้ วูบหนึ่งขณะที่หนึ่งในสองเทพปกครองยืนอยู่ เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตรงมาเป็นการท้าทาย ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้ากองพันรัตติกาล มันก็ใช้เวลาไม่นานที่เขาจะเข้าใจลึกซึ้งถึงเหตุผลของไนทริคที่เคยสั่งว่าห้ามอ้างชื่อนี้ขึ้นมาลอยๆ

    ก็นะ...ไนทริค ลูเฮมไฮม์มันเป็นชื่อของทวิเทพขวานี่นา

    “หน่วยสิบสี่ ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ กรุณาลงสู่สนามประลอง”

    ----------------------------------------------


    **แอบมาแก้บทให้ปารีสหน่อย ความขี้เกียจเข้าสิงจนลืมเขียนโมเม้นท์ดีๆให้ฮีอีกแล้ว555

    เขียนไปชักเริ่มจิ้นปารีสกับยูลิสท์แล้วนะเนี่ย



    ใครเดาว่าไนทริคเป็นทวิเทพก็ถูกต้องค่า 

    มีใครคิดว่าปารีสจะชนะบ้าง 5555 ฮีช่างเป็นคนที่โชคร้ายอะไรเช่นนี้ เหมือนปารีสจะมีธีมดวงซวยติดตัวไปแล้ว

    ถ้าได้อลิซาเป็นแฟนคงซวยหนักกว่านี้ แต่สองคนนี้คงไม่ได้กิ๊กกันค่ะ เพราะปารีสกำหนดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะให้คู่กับใคร

    ในที่สุดก็ถึงตาพระเอกที่แสนจะจืดจางและโดนขโมยซีนอย่างต่อเนื่อง เมื่อสองสามวันก่อนคิดขึ้นมาจริงๆเลยนะว่าควรเปลี่ยนให้ปารีสเป็นพระเอกแทนดีมั้ย 55555555 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×