ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #20 : 18th Tale : ร่มไม้ที่มีความลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 495
      4
      30 ก.ย. 58





    “....เก้าสิบ....เก้าสิบเอ็ด...เก้า..สิ..สองเสียงหอบสั่นเล็ดรอดไรฟันที่ขบกันแน่น ลอเฟย์คำรามพลางเค้นแรงเฮือกต่อไปเพื่อดันตัวขึ้นจากพื้น แขนทั้งสองปวดหนึบจนแทบชากระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังต้องกัดฟันขืนข้อศอกที่ปวดแปลบจากการลงโทษของไฮเกลให้พยุงร่างกายที่ถูกทับด้วยแรงกดกว่าสามสิบกิโลกรัมให้เคลื่อนไหวต่อไป ดวงตาสีน้ำเงินเข้มฝืนเปลือกตามองไปข้างหน้าผ่านเม็ดเหงื่อที่ไหลชุ่มอย่างยากลำบาก พวกนั้นวิ่งผ่านไปอีกรอบแล้ว เช่นเดียวกับการลังทัณฑ์ของเขาที่ยังไม่สิ้นสุด เด็กหนุ่มมองแอ่งน้ำขนาดใหญ่ด้านล่างของตนเองที่สะสมมาจากหยาดเหงื่อซึ่งไหลจนเส้นผมสีรัตติกาลชุ่มโชก

                “.....หนึ่ง...ร้อย...

                พลั่ก!

                อีกยี่สิบ!”เสียงของไฮเกลตวาดขึ้นพร้อมกับแรงกระทืบที่กลางหลัง แทบทำให้ทั้งร่างทรุดลงไปนาบพื้นหากเขาไม่เกร็งข้อมือเตรียมรับความโหดร้ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนี้

    “.....หนึ่ง....สอง......สา....เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบที่ตัวเองวนมาเริ่มต้นอีกครั้งจนท้องฟ้าดับแสงลง เขาได้ยินเสียงลากขาอันเหนื่อยอ่อนของลูกกองคนอื่นๆผ่านไป

                “ยี่สิบ.....เมื่อสิ้นเสียงระโหยร่างกายของเขาก็ร่วงลงกระแทกพื้นราวกับวัตถุไร้ชีวิต ไม่มีการเคลื่อนไหวใดนอกจากแผ่นหลังที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงจากการหายใจ ดวงตาหรี่แสงแทบมองไม่เห็นอะไรอีกจนกระทั่งปลายรองเท้าหนังเริ่มขยับ

     “นี่เป็นโทษฐานที่แกขัดคำสั่งของข้า ที่ของแกคือในกองชุดเกราะกับผ้าขี้ริ้ว! เจ้าระดับ 0! แกทำให้ข้าขายหน้ามาก...อัศวินกระชากลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าการลงโทษหยุดลงก่อนที่ไฮเกลจะพอใจ “...แต่หลังจากนี้ แก! แกจะได้เข้าฝึกในกองพันอัศวินสมปรารถนา เอาชีวิตเล็กๆของแกให้รอดก็แล้วกันไลน์สเตรนจ์ นี่เป็นโอกาสที่แกจะได้จูบลาเพื่อนรักแล้วอย่างไร เอาให้สะอาดเอี่ยมด้วยล่ะ!”ริมฝีปากแสยะโค้งดูน่าขยะแขยงขึ้นไปอีก บางอย่างถูกเขวี้ยงปะทะใบหน้าซีดเซียวอย่างแรง ก่อนที่มันจะไกลกลิ้งลงไปกองอยู่ข้างๆศีรษะ เป็นผ้าขี้ริ้วผืนเดิมที่โดนยัดใส่มือในวันแรก ดูจากที่มันกระทบใบหน้าเขาเมื่อครู่คาดว่าความปรานีของไฮเกลคงสิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง

                “ไปขอบคุณลอร์ดอีดริกท์แล้วกันเจ้าโง่!”ชายวัยกลางคนตวัดเสียงกรรโชกอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าจากไปด้วยฝีเท้ากระทืบพื้น

                ลอเฟย์ยังไม่สามารถบริหารสมองให้คิดถึงคำเตือนของไฮเกลในตอนที่ปอดของเขายังกระหายอากาศอย่างตะกรุมตะกราม อุณภูมิรอบตัวเริ่มลดต่ำลงกลายเป็นหนาวเย็นเมื่อเม็ดเหงื่อแห้งจับผิวกาย ดวงตาได้แต่เหม่อมองไปบนฟ้าตรงๆขณะที่ความปวดเสียดไล่ขึ้นมาทีละน้อย

                “.....พระจันทร์ขึ้นแล้วรึ?”เสียงแหบลึกเปรยกับตนเอง ดวงจันทร์กลมโตส่องสว่างที่กลางฟ้าบอกเวลาที่ล่วงเลยมายาวนานของการลงโทษ เขาอยากจะหลับไปเสียตอนนี้ แต่กล้ามเนื้อที่เต้นตุบด้วยความทรมานเป็นเครื่องบ่งบอกถึงตอนเช้าที่แสนทารุณหากเขายังละเลยหน้าที่เดิมในคืนสุดท้าย “...หะหะเด็กหนุ่มหัวเราะแห้ง ก่อนจะเก็บผ้าผืนเล็กแล้วมุ่งตรงไปยังคลังอาวุธที่คุ้นเคยอย่างเชื่องช้า ความคิดบางอย่างแล่นในหัวของเขาราวกับมีคนพูดพล่าม

                ความรู้สึก

                แต่เป็นครั้งแรกที่เสียงกรีดร้องของร่างกายจะดังกว่าจิตใจ จนเขาไม่อาจจับอะไรที่ตามที่ตนรำพึงในศีรษะอย่างล่องลอย ชุดเกราะสำหรับฝึกซ้อมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งไฮเกลคงจะลืมไปว่าวันนี้ยังคงเป็นการซ้อมโดยไม่ใส่เครื่องป้องกัน จึงมีเพียงกองดาบที่กลิ้งอยู่ที่พื้นเท่านั้น ลอเฟย์นึกขอบคุณความโชคดีอันน้อยนิดของตน เขาสายตาไปตามแท่งผลึกที่ระเกะระกะไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ว่างเหมือนปกติ

                อัลเธีย สตาร์เฟลล์มองตอบเขาผู้เหลือกตาด้วยความประหลาดใจด้วยดวงตาสีน้ำตาลไหม้ นิ่งสงบและลึกล้ำเช่นเคย ในวงแขนของอัศวินหนุ่มมีดาบสีเงินคู่ใจพาดอยู่กับผ้าสีขาวในอีกมือ

                ร่างโปร่งทรุดนั่งพิงผนังในอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมประจำของเขา ภารกิจประจำวันที่เคยเป็นปรกติค่อยเริ่มๆขึ้นในความเงียบงัน เวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าที่ทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรสามารถเปลี่ยนความทรงจำเป็นเพียงความฝัน ในตอนเช้าที่ดวงตะวันมิได้ทักทายผ่านหมู่แมกไม้ สายลมที่สัมผัสผิวกายไม่เย็นชื่นและหอมด้วยกลิ่นฟาง ราตรีไม่จูบลาด้วยแสงเทียนและความอบอุ่นของผ้านวมที่ฝั่งตรงข้ามยังมีน้องสาวคนเล็กหลับใหลอยู่

                เขานึกถึงเซท ชายที่แสนดีผู้เป็นเครื่องยืนยันของความเลือนรางตลอดเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา ความทรงจำอันล้ำค่าและคนผู้เดียวที่สามารถพูดได้ว่ารู้จักเขาอย่างแท้จริง คนผู้นั้นที่เติบโตและจะดับสูญตามกระแสของกาลเวลาเช่นเดียวกับกราเซีย ทั้งสองจะเป็นอย่างไร? เขาอยากรู้เหลือเกิน อยากรู้หลังจากที่ตนจากมาแล้ว ฉับพลันลอเฟย์รู้สึกว่ากำแพงที่รองรับแผ่นหลังและพื้นหินที่ประทับร่างช่างหนาวเย็น แสบผิวเสียและเสียดไปถึงหัวใจ จนอยากเอามือโอบกอดตัวเอง ราวกับเขาเป็นเพียงสิ่งเล็กๆในกรงหินที่เย็นเยือกขนาดมหึมาที่บีบให้ตัวตนของเขาหดลง ในกรงที่มีชื่อว่าลัสท์เทรล

                “พอได้แล้วกระมังเสียงหนึ่งฉุดเขาขึ้นจากห้วงความคิด ลอเฟย์สะบัดหัว มองดาบผลึกในมือที่ถูกขัดจนมันวาวแล้ววางมันรวมกับกองดาบที่เสร็จสิ้นทั้งหมด เด็กหนุ่มมองไปยังร่างของไนท์ ออฟ วีนัสที่ยังคงอยู่ที่เดิม บนม้าหินที่ริมผนังอีกฝั่งด้วยท่าทางสง่างามที่ดูเหมือนจะอยู่ในลมหายใจ

    ขอบคุณที่เตือนครับเสียงของเขาแหบไปเล็กน้อยจากความทารุณของอากาศที่เสียดแทงในระหว่างลงโทษ อีกฝ่ายเพียงแค่ส่งเสียง อืม เป็นการตอบรับเหมือนเคย อาจเพราะลอเฟย์ไม่น่าสนใจไปมากกว่าศาสตราในมือที่เจ้าของของมันเช็ดถูอย่างถะนุถนอม อิริยาบถที่ผ่อนคลายของอัลเธียเป็นสิ่งที่แปลกตา ดูราวกับว่าเขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งที่เป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย  เขาลุกขึ้นไปที่บานประตูและออกไปสู่ทางเดินของตึกใหญ่ เสียงทุ้มลึกก็รั้งเขาไว้ สร้างความประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง

    ข้าไม่เคยเห็นเจ้าที่ลานฝึกเขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คำพูดของลอร์ดอัลเธียทำให้ลอเฟย์เผลอเกร็งขึ้นชั่วขณะ แว่บหนึ่งดวงตาคู่นั้นจ้องตรงมาที่ไพลินสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับวันแรกของการทดสอบ

     “ผมเองก็ไม่เคยเห็นคุณที่นี่...ใบหน้าขาวซีดของคนใกล้จะหมดแรงคือความงุนงงอย่างแท้จริง

    วันนี้ดาบของข้ามีรอย ที่นี่คงเป็นที่เดียวที่มีอุปกรณ์พวกนี้กระมังว่าแล้วชายหนุ่มกลับมาเช็ดคราบสกปรกจากใบดาบเหมือนเดิม ความเงียบที่ย้อนกลับมากระตุ้นให้เขาตอบคำถามที่แฝงอยู่ในประโยคแรกสุดของบทสนทนา เด็กหนุ่มมองปลายเท้าของตนเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่หนักแน่นนัก

    จากที่ถามนั่น...ผมไม่ได้รับอนุญาติเข้าร่วมฝึกครับ หากแต่พรุ่งนี้มันมันจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว เขาเปรยต่อในใจที่ไม่รับรู้ถึงความยินดีแม้แต่น้อย

    ทำไมล่ะ?”

    คงเพราะ..ผมเป็นระดับ 0 ล่ะมั้ง?แม้อยากจะตอบไปตามตรง แต่ประโยคง่ายๆกลับยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด ระดับ 0 ที่ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นอัศวินแห่งลัสท์เทรล ความสามารถที่ไม่อาจชิงชัยกับใครได้ หากดันทุรังเข้าไปตอแยก็คงไม่พ้นต้องจะได้ตายเข้าสักวัน ทั้งหมดนั่นเหมือนกำแพงที่กั้นระหว่างเขากับแอซไพรส์เหล่านั้น

     “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าสงสัยน้ำเสียงของอัลเธียยังคงหนักแน่นและนิ่งสงบ หากแต่ในตอนนี้ดวงตาของเขาละจากดาบในมือมายังร่างของเด็กหนุ่มผมดำที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน

    อะไรที่คุณสงสัยล่ะครับ?”

    ไม่มีใครห้ามไม่ให้เจ้าพยายาม ทำไมถึงยอมทำตามที่คนพวกนั้นตีกรอบเอาไว้เล่า เจ้าละทิ้งความฝันง่ายเหลือเกิน”สายตาที่พุ่งตรงมาทำให้ลอเฟย์อึดอัด ไม่ใช่ความอึดอัดไม่สบายใจ แต่เป็นความอึดอัดที่ละอายใจในตน .....หากแต่ด้วยสิ่งใดกัน? ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสบกลับไปแม้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สั่นคลอน ความฝัน...?

    ใช่สินะ พวกเขาทุกคนล้วนมาที่นี่ด้วยอุดมการณ์ ความฝันอันยิ่งใหญ่ ไม่แปลกที่เขาจะถูกมองว่าเป็นคนขี้แพ้ที่ทนกับชีวิตเล็กๆในคลังอาวุธ เท่านั้นก็คงจะแย่เพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากคนอื่นรู้เข้าถึงสาเหตุจริงๆของเขาเล่า? ตอนนั้นแค่คำว่าแย่คงจะไม่พอสำหรับคนที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกอย่างเขา ความฝันที่อยากจะเป็นแค่คนธรรมดา มันกลับส่งเขามาอยู่ในที่ที่ไม่เคยคาดคิด จากล่ามแปลหนังสือคนหนึ่งขึ้นมาเป็นอัศวิน หากนี่คือฝันคงเป็นฝันร้ายแน่ๆ

    การเป็นอัศวินไม่ใช่ความฝันของผมเขาตอบได้เพียงเท่านั้นก็ต้องเบือนสายตาหนีจากอีกฝ่าย อัลเธียเงียบไปชั่วอึดใจ เช่นนั้น เจ้าอยู่ที่นี่ทำไม?”ดวงตาสีน้ำตาลไหม้คมขึ้นแต่ไม่ถึงกับกร้าว น่าเศร้าที่คำตอบของเขาก็เป็นสิ่งที่อัศวินหนุ่มไม่คาดคิดเช่นกัน

    โชคชะตาเล่นตลกล่ะมั้ง...?”ลอเฟย์หัวเราะแห้งๆกับสิ่งที่ตนเองคิดตั้งแต่วินาทีที่เกือบถูกพิพากษาจากคนทั้งเมือง ในความเงียบยิ่งทำให้เขารู้สึกอ่อนด้อยกับความไร้ค่าของตน ตัวเขาผุดลุกขึ้นหวังจะเดินหนีจากบรรยากาศที่น่าอึดอัด ทว่าคราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียง แอซไพรส์จากยูโธเปียคว้ามือของเขาเอาไว้ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะผ่านหน้าไป ร่างที่ถูกรั้งชะงักเหลียวมองใบหน้าที่จริงจังกว่าทุกครั้ง

    โชคชะตาไม่เคยต่อรองกับใคร หากมันได้เลือกเส้นทางนี้ให้เจ้า...

    สัมผัสของมือข้างนั้นหยาบแต่ไม่กระด้าง มั่นคงแต่ไม่ทิ่มแทง มันคือมือของผู้จับศาสตราซึ่งมอบความรู้สึกที่มั่นคงและปลอดภัย

                “เจ้าก็ต้องเดิน

    ไนท์ ออฟ วีนัสกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ...ทั้งหมดของลอเฟย์ล้วนแต่ถูกมองออกจนหมดสิ้น กับสิ่งที่มองไม่เห็นจะโกหกอย่างไรก็ได้ แต่เพียงแค่ท่วงท่าฟันดาบที่ง่กเงิ่นของเด็กผอมแห้งคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะรู้คำตอบ

    “....ถึงมันจะไม่ใช่ทางที่ผมไม่อยากเดินงั้นหรือ?”เขาหลุบตามองมือของอัลเธียที่ยึดเอาไว้อยู่เหมือนกันต้องการให้คำพูดเหล่านั้นซึมเข้าไปในร่างกายที่อ่อนแรง ถึงจะเป็นทางที่แสนโชคร้ายรึ?

    ทางทุกสายจะสำคัญอย่างไรหากไม่เดินต่ออัลเธียกล่าวเพียงเท่านั้นก็ปล่อยมือ ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนพร้อมกับดาบคู่ใจ ผ่านร่างที่ยังเพรียวบางและยังไม่เติบใหญ่ ก่อนจากไปในเงามืดของทางเดินที่ไม่มีแสงไฟ เกียรติยศนั้นไม่ได้วัดจากสิ่งใดนอกจากความกล้าหาญ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นเทือกเขาใหญ่หรือก้อนกินเพียงก้อนเดียวก็ตาม

    ทิ้งลอเฟย์ไว้กับความหมายที่ไม่ใช่คำตอบหรือคำถาม เสียงฝีเท้าของอัลเธียจากไปไกลแล้ว หากแต่ร่างของเขายังคงไม่ขยับเขยื้อน ถ้อยคำเมื่อครู่แทรกลึกลงไปในช่องว่างที่เคยมีบางสิ่งหยุดชะงัก

    มันถูกสะกิด....และบางอย่างกำลังร้องอยู่ในห้วงคำนึงที่ลึกที่สุดของเขา

     

                เป็นไงบ้าง?”

    เบเนดิกต์เป็นคนแรกที่เดินมาหาเขาหลังจากศีรษะดำๆโผล่เข้าไปในกองพัน ลอเฟย์ยังมีสีหน้าเหยเกอยู่บ้างแต่ด้วยฝีมือของคุณหมอชั้นเซียนทำให้ร่างกายที่ไม่ต่างจากก้อนดินน้ำมันที่ถูกบี้กลับมามีแรงวิ่งได้ในชั่วข้ามคืน แม้ว่าส่วนต่างๆจะยังเจ็บจี้ดอยู่บ้างก็ตาม

    ฉันซาบซึ้งกับการแพทย์บนแอสการ์ดมากจริงๆเด็กหนุ่มจากฟอร์ลีหัวเราะเบาๆ ในขณะที่ใบหน้ากลมเบ้ปากอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันได้ยินว่านายจะมาฝึกกับพวกเราคำว่าพวกเราทำให้เขาถอนใจเล็กน้อยกับเส้นแบ่งบางๆที่เบเนดิกต์คงจะยังไม่รู้ตัว

    ใครบอกนายล่ะ?”ลอเฟย์เฉกลับไปเพราะแม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจในคำตอบ

    ไฮเกลน่ะสิ เขาให้ฉันเอานี่มาให้นายด้วยแอซไพรส์จากเอริเชี่ยนยืนของในมือให้ ทันทีที่รับมาแขนที่ยังเจ็บระบมอยู่ก็ทรุบฮวบอย่างไม่ทันตั้งตัว ดาบเล่มเล็กที่ทำจากเหล็กสีหม่นหนักแทบสามเท่าของดาบผลึกที่เขาเคยถือ

    เขามาแล้วหรือ?”ลอเฟย์หันมองไปด้านขวาที่อีกฝ่ายบุ้ยหน้าไป หวังว่าจะเห็นคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาคิ้วขมวดได้ขนาดนี้ และวินาทีแรกที่เห็นรอยยิ้มของไฮเกลเขาก็รู้เลยว่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

                พี่เลี้ยงไม่มีทางยิงเขาจนถึงตายด้วยความเร็วยี่สิบลูกกระสุนต่อหนึ่งนาที

                การถือดาบที่ยิ่งกว่าคำว่าถ่วงคงไม่ทำให้เขาถึงตาย

                การซ้อมดาบของแอซไพรซ์ครึ่งกองต่อหนึ่งก็คงไม่ทำให้เขาถึงตาย

    การลงโทษโดยมีเครื่องถ่วงน้ำหนักเมื่อคืนก็ไม่ทำให้เขาถึงตาย

                และหวังว่า....การฝึกเช่นนี้ทุกวันก็คงจะไม่ทำให้เขาถึงตายเช่นกัน

                เริ่ม!”สัญญาณบ่งบอกดังขึ้น ชีวิตในลานฝึกของเขาก็เริ่มขึ้นตามไปด้วย พร้อมกับคำพูดของอัลเธียที่ แม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจเข้าอีกแม้แต่เหลือบตามองแต่ถ้อยคำนั้นยังคงดังในหัวอยู่เสมอ

              “เจ้าก็ต้องเดิน

     

     

     

    พระจันทร์ขึ้นอีกแล้ว

    เด็กหนุ่มรำพึง เหม่อมองไปยังดวงจันทร์กลมโตที่เงินที่มีขนาดใหญ่โตกว่ายามมองจากพื้นดิน รัศมีนวลตาของมันอาบไล้ยอดปราสาทลัสท์เทรลที่อยู่ไกลๆ จนเปล่งประกายละออตาเหมือนภาพฝัน ร่างที่นอนนิ่งบนพื้นหินของลานฝึกขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสกับความเจ็บแปลบที่เริ่มกลายเป็นสิ่งคุ้นเคย วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่สถิติการวิดพื้นของเขาได้รับการจารึกใหม่อีกครั้ง แม้แต่โวลดายน์ยังเคยพูดว่าไม่มีใครผ่านการลงโทษชนิดนี้มาโชกโชนเท่าลอเฟย์อีกแล้ว

    เขาสู้อุตส่าห์ล้มคู่ประลองได้เป็นครั้งที่สาม แต่ดูเหมือนสมรรถภาพร่างกายจะอำนวยให้ได้แค่นั้น เด็กหนุ่มจึงต้องทนถูกปู้ยี่ปู้ย้ำต่อจนครบเจ็ดรอบ รวมๆแล้ววันนี้เขาฝึกคู่ไปถึงสิบรอบเลยทีเดียว

    ลอเฟย์เดินทอดน่องไปตามระเบียงที่นำไปสู่ทางเดินหลักในหน่วยทหาร แสงสว่างริบหรี่ของเทียนสีขาวบริสุทธิ์เล่นเงาวูบวานบนผนัง สายลมเย็นชักชวนให้เขาเดินออกไปสู่สวนขนาดใหญ่ที่เคยมาเยือนในวันแรกสุด ภาพเหตุการณ์ที่เขาวิ่งตามจดหมายของไนทริคและห้องสอบที่หนึ่งร้อยยี่ปิดแปดยังคงแจ่มชัด ซุ้มไม้ที่ไว้หลบรัศมีของดวงอาทิตย์ในยามนี้ดูทึบทึมเป็นหย่อมๆ มองไกลๆก็เหมือนกอหญ้าเล็กๆ

    ส่วนที่เขาอยู่คือกำแพงชั้นนอกของลัสท์เทรลที่เป็นศูนย์รวมกิจการในแขนงต่างๆซึ่งขึ้นตรงกับแอสการ์ดอย่างเป็นทางการ เปรียบได้กับเมืองขนาดย่อมที่เหมือนกลไกในการขับเคลื่อนแอสดาร์ด ลึกเข้าไปอีกเลยกำแพงสีขาวที่เขากำลังมองผ่านระเบียงไปนั้นคือ อินเนอร์ไชร์ สถาปัตยกรรมที่งดงามน่าประทับใจของเหล่าแอซไพรส์ชั้นปกครองอวดสายตาคนด้านล่างด้วยโครงสร้างที่เหมือนภูเขาของลัสท์เทรล เป็นเขตชั้นในซึ่งมีกฏเข้มงวดและแหล่งรวมของนักปกครองในระบบต่างๆ และหากผ่านอินเนอร์ไชร์เข้าไปอีกชั้น ณ จุดสูงสุดของใจกลางอาณาเขตอันกว้างขวางของลัสท์เทรล

    ปราสาทลัสท์เทรล หอคอยสีขาวสูงตระหง่าน ดูราวกับอยู่ห่างออกไปเท่าขอบฟ้าแต่ก็ใกล้เสียจนแทบเอื้อมมือไปสัมผัส ที่ประทับของมหาเทพโอดินและราชวงศ์อีเซอร์ แอซไพรส์ในหมู่แอซไพรส์ มือเรียวทาบทับเงาของปราสาทที่สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง แม้ว่าอยู่บนแผ่นฟ้าเดียวกันก็ยังไม่อาจรู้สึกเท่าเทียม ลัสท์เทรลก็เหมือนกับโอดิน เป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาแต่ยังสงสัยในการคงอยู่ของมัน

    โอดินมีจริงหรือไม่? เขาเคยถามจากไนทริค “....ท่านอยู่ตรงนั้นสินะดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอดสายตาไปยังปราสาทหลังงาม

    สายลมยามค่ำคืนช่วยพัดชำระล้างความปวดแสบที่ถ่วงร่างกายให้หนัก เติมปอดด้วยอากาศบริสุทธิ์จนความเจ็บแสบหายไปเป็นปลิดทิ้ง อุณภูมิเย็นสบายชวนให้เขาอยากละลายไปกับมันจนกว่าจะรู้ตัวเขาก็เดินออกมาตึกไกลลิบ บริเวณนี้ดูเหมือนจะมุมอับของส่วนนอก เพราะนอกจากหญ้าที่ขึ้นสม่ำเสมอจะเริ่มรกและปรากฏทางเดินหินเก่าๆที่เคยเห็นแค่ในปีกพยาบาลซึ่งจาเวิร์ดยืนยันว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เก่าที่สุด ยังมีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด แสงจันทร์ที่ส่องลอดช่องว่างของใบไม้และตกกระทบลงบนพื้นเป็นจุดเล็กๆเรืองแสง ทำให้หนทางตรงหน้าดูน่าพิศวงขึ้นไปอีก

    เขาเดินตามก้อนหินที่ถูกกลบด้วยดินและหญ้าเข้าไปเรื่อยๆ สู่ปลายทางที่ปกคลุมด้วยมนต์ขลัง ฝีเท้าของเขาหยุดลงพร้อมๆกับลมหายใจที่ชะงักไปชั่วขณะ ลอเฟย์เบิกตากว้างกับสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า

    “.......ว้าว

     ซากกำแพงหินอ่อนถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยนานาพัน เสาต้นใหญ่สลักเสลาอย่างประนีต ประดับด้วยดอกไม้สีอ่อนที่ทอดลำต้นเกี่ยวกระหวัดต่อไปยังโครงหลังคาซึ่งเปิดให้แสงจันทร์ส่องผ่านช่องว่างลงมายังพื้นหินฝังด้วยกระเบื้องหลากสีในลวดลายอ่อนช้อยที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูสูงส่งสวยงาม ที่ใจกลางสุดของหลักฐานแห่งกาลเวลาปรากฏเสาหินเรียบๆทรงสูงซึ่งประทับตราที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ตั้งตระหง่านเหนือแท่นทรงสามเหลี่ยมยกสูงจากพื้น

    อักษรรูนของมหาเทพโอดิน สัญลักษณ์ของปีกแห่งผืนนภาที่มนุษย์และเทวาสักการะมานับหมื่นปี ที่แห่งนี้เคยเป็นวิหารของเทพโอดิน เหมือนกับโบถส์และศาสนสถานต่างๆที่โลกเบื้องล่าง ร่องรอยเรือนรางที่ผนังจารึกตำนานต่างๆในภาพวาดที่แปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นจิตรกรคนใดทำ แม้ลัสท์เทรลจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่สูงค่าและวิทยาการ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานี้กลับดูมั่นคงกว่า ตราตึงและเต็มไปด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์ราวกับโลกอีกใบหนึ่งที่คงอยู่นิรันดิ์ข้ามผ่านกาลเวลามาหลายพันปี

    ราวกับสรวงสวรรค์ ลอเฟย์เปรยในใจ เขาไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอนสักเท่าไหร่ แต่ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าจะอยู่ในสรวงสวรรค์แล้วก็ตามที คิดดูแล้วก็ตลกอยู่บ้างที่มีโบถส์มาตั้งอยู่ในอาณาเขตของโอดินแบบนี้ เหมือนกับการตั้งกระโจมในรั้วบ้านยังไงยังงั้น

    ฉับพลันปลายเท้าก็สะดุดเข้ากับรากไม้ เหวอๆ!”ร่างกายเซเสียการทรงตัวล้มคว่ำไปเต็มๆ! ลอเฟย์มึนหัวตึบอยู่พักหนึ่งกว่าจะเค้นเสียงออก ...ทว่าเสียงที่ออกมากลับไม่ใช่เสียงของเขานี่สิ!

    โอ้ยย!

    .....หือ?! ความมึนเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับร่างกายที่กระเด้งตัวลุกขึ้นมองรอบๆทันที ในเมื่อเขาอยู่คนเดียวในที่ห่างไกลชุมชนขนาดนี้ จะมีเสียงคนได้อย่างไร?

    ข้าอยู่ตรงนี้นี่!”เสียงทุ้มปนหัวเราะดังขึ้นก่อนความคิดของเขาจะเตลิดไปไกล เมื่อก้มลงมองตามทางที่ได้ยินก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนเอกเขนกพิงกำแพงอย่างสบายอารมณ์อยู่ หัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองของเขาจึงสงบลง เหมือนข้าจะมีชะตาให้เจ้าเหยียบนะใบหน้าที่ยังคงมัวเพราะแสงสลัวของเขาคล้ายว่าจะยิ้ม น้ำเสียงของอีกฝ่ายคล้ายว่าเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขากลับยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน

    ขอโทษครับ ผมไม่คิดว่าจะมีคนอยู่

    เรามักจะพบกันตอนไม่มีคนอยู่ตลอดเลยแฮะชายแปลกหน้าเสริมขึ้น เขายันร่างขึ้นจากกำแพงปล่อยเส้นผมสีทองยาวที่ถูกป้ายพาดบ่าไหลลื่นลงมา ตอนนั้นเองทุกอย่างในหัวลอเฟย์ก็ถูกเฉลย

    คุณบอกห้องสอบให้ผม!

    แล้วได้ไปสอบไหมล่ะ?”เขาเห็นสีหน้าตกใจของเด็กหนุ่มแล้วก็ขำออกมาอีก ท่าทางที่ดูสบายๆขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูเพียบพร้อมไปคนละทาง นอกจากผ้าปิดตาข้างขวาแล้วบุรุษผมสีทองยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่ดูลำลองกว่าเดิม ปราศจากผ้าคลุมผืนยาวที่ลอเฟย์เคยเหยียบไปในวันนั้น

    ไปครับ.....เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ

    แล้วไปเข้ากองไหนล่ะ?”อีกฝ่ายยังคงยิงคำถามอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดจะลุกขึ้นยืน ลอเฟย์จึงตัดสินใจนั่งลงใกล้ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยภูมิใจนัก

    กองพันอัศวินครับ

    “.................”คราวนี้ชายหนุ่มปิดปากสนิท ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่เปิดอยู่เพียงข้างเดียวมองแอซไพรส์ผมดำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกลืนหายไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง เรียกได้ว่าเขาแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเลยทีเดียว

    ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!

    ลอเฟย์มองร่างที่คุ้ดคู้ขำกลิ้งด้วยความสงสัย ชักไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าสติครบถ้วนหรือเปล่าหรือเป็นเขาที่พูดอะไรพลาดไปกันแน่??

    กองพันมีเป็นร้อย คิดยังไงไปเลือกกองพันอัศวิน ฮ่าฮ่าๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แค่เจ้าดู....ไม่เหมือนอัศวินสักนิดเขาทำเสียงสูง ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเต็มที่ในการกลั้นหัวเราะ ตั้งแต่พบกันมาดูเหมือนอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยอารมณ์ขันตลอดเวลาจริงๆ

    “...บางทีผมอาจจะไม่ได้เลือกก็ได้ครับเขายิ้มฝืด “กองนั้นมันกองพันลูกคุณหนูชัดๆ อย่างเจ้าไม่น่ามีอะไรไปโอ่กับเขาเลยนะชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ชัดเจนว่าเขาเป็นชายอารมณ์ดีจนไม่ระวังปากเอาเสียเลย ในอีกความหมายหนึ่งที่พอจะตีได้คือเขาดูจนนั่นเอง.....

    คุณจำชื่อผมได้หรือครับ?”เจ้าของชื่อถามกลับอย่างประหลาดใจ รู้สึกแปลกเล็กน้อยที่ถูกคนแปลกหน้าเรียกด้วยชื่อจริง แต่เท่าที่จำได้เขาบอกแนะนำตัวกับอีกฝ่ายไปแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นระยะเวลาที่สั้นมากอีกด้วย คิดว่าสีผมอย่างเจ้ามีสักกี่คนกันหือ?บุรุษปริศนายิ้มเป็นการยืนยัน ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาทางลอเฟย์ น้ำเสียงทุ้มกังวานเป็นงานเป็นการขึ้น

    ข้าชื่อยูลิสท์ ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะ

     “แล้วคุณเป็นทหารหรือเปล่าครับ?”สังเกตได้ไม่ยากเลยจากความคุ้นเคยที่เขามีต่อวิธีทักทายแบบนี้ ถูกต้อง ข้าอยู่กองพันอู้งานชายหนุ่มตอบเสียงภาคภูมิ ย้ำความจริงที่ว่าตั้งแต่เจอกันมาชายหนุ่มก็เอาแต่นอน  “แต่เจ้าไม่ต้องสุภาพมากนักก็ได้ ข้าอายุไม่เท่าไหร่หรอกยูลิสท์ตบไหล่อย่างเป็นกันเอง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสำรวจอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่ แม้ว่าดวงตาสีฟ้าครามจะฉายแววซุกซนอย่างคนขี้เล่น แต่บุคลิกและบรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มชี้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนหนุ่มหมาดๆแน่ๆ จากภายนอกยูลิสท์คงอายุเกือบจะสามสิบแล้ว จัดเป็นบุรุษที่ย่างเข้าวัยกลางคนได้อย่างสง่างามเลยทีเดียว ด้วยใบหน้าหล่อเหลาระดับร้ายกาจที่ยังคงเป็นไปด้วยความอ่อนเยาว์

                แม้เขาจะไม่แน่ใจถึงอายุภายในของอีกฝ่าย แต่ลอเฟย์รู้ดีว่าตัวเขาเองก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบสามปีแล้วใต้รูปลักษณ์อ่อนปวกเปียกของเด็กอายุ 18 ปี

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมถนัดแบบนี้มากกว่าเด็กหนุ่มผมดำปฏิเสธ ถึงยังไงยูลิสท์ก็ดูแก่กว่าเขา ตัวเลขอายุคงจะมากกว่าตามไปด้วยแน่นอน โดยปกติแล้วแอซไพรส์ธรรมดาจะมีอายุอยู่ที่หนึ่งถึงสองร้อยปี อย่างที่ไนทริคบอกว่าเจ้าตัวหยุดโตตั้งแต่อายุ 68 ปี

                “แล้วแต่เจ้า แต่ข้าจะไม่ประนีประนอมใช้คำพูดอย่างนั้นแน่ๆแอซไพรส์ผมทองเบ้หน้าตามประสาคนต่อต้านความเป็นระเบียบ ไหนๆข้าก็นอนไม่หลับแล้ว เรามายืดเส้นยืดสายสักหน่อยดีกว่ายูลิสท์คราง ก่อนยันร่างสูงใหญ่ของตนขึ้นมาบิดขี้เกียจ แอซไพซ์ฝึกหัดผู้รบกวนการนอนของอีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆ ขอโทษครับ

                “เอาน่า เจ้ามาช่วยข้าเลย เราจะได้เจ๊ากันยูลิสท์กวักมือเรียก เขาโยนท่อนไม้ขนาดพอเหมาะให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนปัดกางเกงของตน ลอเฟย์รับได้พอดีมือ มันมีขนาดพอๆกับดาบผลึกที่เขาเคยได้ถือเมื่อครึ่งเดือนมาแล้วก่อนที่จะได้เจ้าดาบเหล็กหนักอึ้งมาใช้งาน เอ่อ อย่าบอกนะว่า....

                “ให้เกียรติกระผมหน่อยขอรับท่านอัศวินชายหนุ่มโค้งให้ล้อเลียนภาษาลิเกของชนชั้นสูง พร้อมไม้ยาวอีกท่อนในมือ ฝีมือของผมเอาไปอวดใครไม่ได้หรอกลอเฟย์ขำกับท่าโค้งที่ดูสง่าสงามชดช้อยเสียจนตลก แต่เขายังไม่คิดจะโชว์ความสามารถติดลบของตัวเองกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแน่นอน

    ยูลิสท์หัวเราะก่อนจะเริ่มเคลื่อนที่เป็นวงกลมช้าๆ แล้วฉับพลันเขาก็พุ่งท่อนไม้เรียวเล็กมาข้างหน้าอัศวิน!”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มดังก้อง ยิ่งใหญ่! ภาคภูมิใจในจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรม! คมดาบของข้าคือเกียรติยศ....เท้าก้าวด้วยจังหวะช้าเนิบนาบ ขัดกับการสะบัดแขนที่รวดเร็วของเขา ฟาดฟันอริด้วยคุณธรรม! อัศวินผู้สูงส่ง!” เขาเลียนแบบท่าเก็บดาบของพวกอัศวินยศสูงจนลอเฟย์อดขำออกมาไม่ได้

    ปกป้องมาตุภูมิ! โอ อัศวินผู้องอาจดั่งราชสีห์!”เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม ใช้ปลายไม้ปัดให้ท่อนไม้ในมือเรียวหงายขึ้น ไขว้กันเหมือนกับดาบ ทำไมดาบของเจ้าจึงเล็กนักล่ะอัศวิน!”เขาทิ่มปลายไม้ใส่ช่วงคอของลอเฟย์ มันรวดเร็วและกระชั้นใกล้เสียจนแอซไพรส์ผมดำต้องยกอาวุธชั่วคราวในมือตนขึ้นมาปัดป้อง

                “ไหนล่ะเกราะสีเงินของเจ้า! ดาบที่ขัดจนมันวับเสียจนฟันอะไรไม่ได้!”ชานหนุ่มทำสีหน้าจริงจังจนกระทั่งทั้งสองเริ่มหัวเราะ ก่อนที่การรุกรับของท่อนไม้จะต่อเนื่องกันเป็นจังหวะ

    แล้วยังผ้าคลุมที่เหล่าเทพธิดายังต้องอายนั่นอีก!”การขยับตัวรวดเร็วขึ้น ยูลิสท์รุกคืบได้มากกว่าด้วยประสบการณ์และร่างกลายที่คล่องแคล่ว เขาไม่ต้อนเด็กหนุ่มจนมุมเพื่อให้ลอเฟย์ตั้งรับได้ อาศัยความชำนาญจากการฝึกและความเร็วที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตน ไม่นานเด็กหนุ่มก็สามารถแทงกลับไปได้บ้าง

    คำล้อเลียนและเสียงหัวเราะเงียบลง พวกเขาไม่หลบสายตาซึ่งกันและกัน ประกายของความสนุกสนานฉายชัด ลอเฟย์ขยับไปตามท่วงท่าที่ต่อเนื่ององอาจของอัลเธียในความทรงจำ ทุกการฟาดฟันต้องตามด้วยการปะทะกับที่ลงตัวของไม้อีกท่อน พวกเขาผลัดกันรุกตัวในอีกฝ่ายก่อนจะถอยตั้งหลักราวกับการเต้นรำ ร่างกายที่เหนื่อยล้าของลอเฟย์เบาอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าเขาจะออกท่าไปอย่างไรยูลิสท์ก็ยังโต้กลับมาได้ทุกจังหวะในท่วงท่าที่ไม่เหมือนเดิม ราวกับว่าการฟันดาบกลายเป็นสิ่งที่น่าค้นหา

    แทงให้ไกลขึ้นอีก หมุนตัวให้เร็วขึ้นอีก ก้าวขาให้พลิ้วไหวขึ้นอีก

    ทุกจังหวะทำให้เด็กหนุ่มเพลิดเพลินกับพลังในการเคลื่อนไหว เขาหมุนตัว กางแขน พลิกข้อมือราวกับร่างของอัลเธียที่เคยได้แอบดู สมาธิทั้งหมดจดจ่อไปกับท่วงท่าของคู่ซ้อมเพื่อเคลื่อนไหวให้สอดรับกันประหนึ่งการขยับแขนขาประสานไปกับจังหวะหายใจ เขาวาดเชิงดาบที่แสนหลงใหลอย่างเป็นอิสระปราศจากเสียงของไฮเกลและความวุ่นวายในลานฝึก เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าอาวุธในมือกระทบกันกี่ครั้ง เขาไม่รู้สึกถึงหยาดเหงื่อที่อาบไล้ใบหน้า

    วินาทีนั้นลอเฟย์หลงรักวิชาดาบเข้าอย่างจัง

    เจ้ามาจากยูโธเปียรึ?”ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ยูลิสท์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น คุณรู้ได้ยังไงครับ?”การที่เขามาจากน่านฟ้าเหนือมันดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ทำไมใครๆถึงรู้ไปหมดยังกับเขียนไว้บนหน้ายังไงยังงั้น เอาเป็นว่ามันไม่ได้อยู่บนหัวเจ้าก็แล้วกันชายหนุ่มไขข้อข้องใจเมื่อเห็นคิ้วสีดำขมวดมุ่น เชิงดาบของเจ้าคล้ายกับลักษณะเฉพาะของยูโธเปีย

    "ผมมาจากน่านฟ้ายูเปียครับ แต่เป็นมิดการ์ดเด็กหนุ่มยอมรับ

    หืม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเอาวิชานี้มาจากไหนล่ะนี่?”ยูลิสท์เลิกคิ้วแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ ผมเคยเห็นคนฝึกอยู่บ่อยๆน่ะครับ มันก็เลยชินไปเองพูดไปแล้วก็รู้สึกอายอยู่บ้าง แต่เขาเองยังประหลาดใจด้วยซ้ำที่ตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่าท่ากันกระสุนของเสาพี่เลี้ยง

    มิน่าล่ะ นี่เจ้าทำผิดอยู่บ้างนะแอซไพรซ์ผมทองแนะ ร่างสูงพักเหนื่อยด้วยการช่วยลอเฟย์จับท่าทางให้ถูก เด็กหนุ่มผมดำที่มีส่วนสูงแค่ระดับคางกลายเป็นตุ๊กตาที่ถูกยูลิสท์ชักมือไปทางนู้นทางนี้ บางทีก็จริงจัง แต่บางทีชายหนุ่มก็แกล้งดึงให้เขาตัวลอยหวือ ท่าหมุนเมื่อกี้เจ้าต้องถอยเท้าข้างนี้ยันน้ำหนักไว้ถึงจะได้ผลมากกว่า

    เหวอ!

    เขาใช้ขายาวๆแทงเข่าจนร่างของลอเฟย์เซเสียหลัก ก่อนที่จะใช้แขนซ้ายที่จับข้อมือข้างเดียวกันของเด็กหนุ่มเป็นตัวนำให้ร่างกายหมุน ปลิวเหมือนหุ่นกระบอก เด็กหนุ่มต้องร้องประท้วงเป็นระยะกับวิธีสอนแบบไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจยูลิสท์ที่บทจะดึงก็ดึง จะผลักก็ผลัก

    แล้วทีนี้มือขวาเจ้าก็แทงลอเฟย์ดันแขนออกไปข้างหน้าตามคำบอกของยูลิสท์ เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้พื้นฐานของการฟันดาบที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย ท่วงท่าส่วนใหญ่จึงมีข้อผิดพลาดอยู่เยอะ ถึงพวกอัศวินจะเป็นกองพันปัญญาอ่อนก็เถอะ แต่นี่เจ้าได้อะไรมาบ้างเนี่ย?”ชายหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อกับความอ่อนแอของอัศวินฝึกหัด

    เขาต้องยอมรับว่าลอเฟย์เป็นคนมีไหวพริบและความรวดเร็วจึงสามารถเอาตัวรอดได้ดี แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวต่างๆมันบอกชัดว่าเขาแทบไม่รู้เรื่องการใช้ดาบเลยแม้แต่น้อย ฝ่ายเด็กหนุ่มผมดำเองก็ยิ้มแหยกับอดีตวิชาขัดเกราะของตนที่ไม่รู้จะเล่าให้ยูลิสท์ฟังอย่างไร

    ผมคงอ่อนซ้อมไปนะครับเขาแก้ตัวไปแกนๆ แอซไพรซ์ผมสีทองเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับใช้ความคิด เอาอย่างนี้ไหม.....เขาเอ่ยขึ้น

    ต่อจากนี้เจ้ามาซ้อมกับข้าที่นี่ เดี๋ยวข้าจะช่วยสอนให้เองเจ้าของฝีมือการสอนที่เยี่ยมยอดเสนอความคิดพร้อมรอยยิ้มแป้น แว่บหนึ่งลอเฟย์ดีใจที่จะได้วาดดาบอย่างที่ตนต้องการ หากแต่เขาคงไม่สามารถรบกวนยูลิสท์ได้ทุกคืนเป็นแน่

    ขอบคุณมากครับ แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นภาระไปสำหรับคุณ ผมไม่รู้เวลาการซ้อมที่แน่นอนในกองพันด้วยซ้ำ

    ข้าน่ะมืออาชีพด้านการอู้งานอยู่แล้ว เจ้ามาที่นี่ในคืนที่เจ้าอยากฝึกก็แล้วกัน ถ้าเราเจอกันข้าก็จะช่วยสอนให้ นี่น่ะที่งีบประจำของข้าอยู่แล้วยูลิสท์ยกนิ้วให้กับความเชี่ยวชาญด้านการนอนของตน แล้วผมจะไม่รบกวนคุณเหรอครับ?”เด็กหนุ่มถามต่ออย่างเกรงใจพบกันทีไรก็ต้องปลุกชายผมทองขึ้นมาทุกที

    เชื่อเถอะว่าวันหนึ่งๆข้าว่างจะนอนมากกว่าเจ้าถึงสามเท่าใบหน้าหล่อจัดยังคงยิ้มกว้างจนพาลให้สงสัยว่ากองพันอะไรกันที่ปล่อยให้ทหารอู้งานให้มากขนาดนี้ อ้อ! แล้วก็....ที่นี่ให้เป็นความลับของข้ากับเจ้าก็แล้วกัน เพราะเจ้ามาเจอเข้าโดยบังเอิญก็ถือว่ามีสิทธิ์จะแบ่งปันกับข้าด้วยร่างสูงค้อมตัวลงกระซิบ ก่อนจะทำท่าจุ๊ปากด้วยสายตาดุๆตามประสาคนหวงที่นอนอันแสนสงบ

    ก็ได้ครับ ผมตกลงลอเฟย์ขำทุกครั้งที่ชายหนุ่มวัยย่างเข้าเลขสามทำท่าล้อเลียนเด็กๆ

    งั้นค่อยเจอกันวันหลังล่ะลอเฟย์ ข้าจะนอนดูดาวต่อสักหน่อย เจ้าก็กลับไปนอนเถอะพูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงนอนกับรากไม้ที่คุ้นเคยทันที ก่อนจะโบกมือให้กับเด็กหนุ่มผมดำ ซึ่งลอเฟย์เองก็เพียงแค่ยิ้มให้แล้วค้อมศีรษะเป็นการบอกลา

     


    -------------------------------------------------------------------------------------------


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×