คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : 18th Tale : ร่มไม้ที่มีความลับ
“....เก้าสิบ....เก้าสิบเอ็ด...เก้า..สิ..สอง”เสียงหอบสั่นเล็ดรอดไรฟันที่ขบกันแน่น
ลอเฟย์คำรามพลางเค้นแรงเฮือกต่อไปเพื่อดันตัวขึ้นจากพื้น
แขนทั้งสองปวดหนึบจนแทบชากระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังต้องกัดฟันขืนข้อศอกที่ปวดแปลบจากการลงโทษของไฮเกลให้พยุงร่างกายที่ถูกทับด้วยแรงกดกว่าสามสิบกิโลกรัมให้เคลื่อนไหวต่อไป ดวงตาสีน้ำเงินเข้มฝืนเปลือกตามองไปข้างหน้าผ่านเม็ดเหงื่อที่ไหลชุ่มอย่างยากลำบาก
พวกนั้นวิ่งผ่านไปอีกรอบแล้ว เช่นเดียวกับการลังทัณฑ์ของเขาที่ยังไม่สิ้นสุด
เด็กหนุ่มมองแอ่งน้ำขนาดใหญ่ด้านล่างของตนเองที่สะสมมาจากหยาดเหงื่อซึ่งไหลจนเส้นผมสีรัตติกาลชุ่มโชก
“.....หนึ่ง...ร้อย...”
พลั่ก!
“อีกยี่สิบ!”เสียงของไฮเกลตวาดขึ้นพร้อมกับแรงกระทืบที่กลางหลัง
แทบทำให้ทั้งร่างทรุดลงไปนาบพื้นหากเขาไม่เกร็งข้อมือเตรียมรับความโหดร้ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนี้
“.....หนึ่ง....สอง......สา....”เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบที่ตัวเองวนมาเริ่มต้นอีกครั้งจนท้องฟ้าดับแสงลง
เขาได้ยินเสียงลากขาอันเหนื่อยอ่อนของลูกกองคนอื่นๆผ่านไป
“ยี่สิบ.....”เมื่อสิ้นเสียงระโหยร่างกายของเขาก็ร่วงลงกระแทกพื้นราวกับวัตถุไร้ชีวิต
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดนอกจากแผ่นหลังที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงจากการหายใจ
ดวงตาหรี่แสงแทบมองไม่เห็นอะไรอีกจนกระทั่งปลายรองเท้าหนังเริ่มขยับ
“นี่เป็นโทษฐานที่แกขัดคำสั่งของข้า
ที่ของแกคือในกองชุดเกราะกับผ้าขี้ริ้ว! เจ้าระดับ 0! แกทำให้ข้าขายหน้ามาก...”อัศวินกระชากลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
เห็นได้ชัดว่าการลงโทษหยุดลงก่อนที่ไฮเกลจะพอใจ “...แต่หลังจากนี้
แก! แกจะได้เข้าฝึกในกองพันอัศวินสมปรารถนา
เอาชีวิตเล็กๆของแกให้รอดก็แล้วกันไลน์สเตรนจ์
นี่เป็นโอกาสที่แกจะได้จูบลาเพื่อนรักแล้วอย่างไร เอาให้สะอาดเอี่ยมด้วยล่ะ!”ริมฝีปากแสยะโค้งดูน่าขยะแขยงขึ้นไปอีก
บางอย่างถูกเขวี้ยงปะทะใบหน้าซีดเซียวอย่างแรง
ก่อนที่มันจะไกลกลิ้งลงไปกองอยู่ข้างๆศีรษะ เป็นผ้าขี้ริ้วผืนเดิมที่โดนยัดใส่มือในวันแรก
ดูจากที่มันกระทบใบหน้าเขาเมื่อครู่คาดว่าความปรานีของไฮเกลคงสิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง
“ไปขอบคุณลอร์ดอีดริกท์แล้วกันเจ้าโง่!”ชายวัยกลางคนตวัดเสียงกรรโชกอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าจากไปด้วยฝีเท้ากระทืบพื้น
ลอเฟย์ยังไม่สามารถบริหารสมองให้คิดถึงคำเตือนของไฮเกลในตอนที่ปอดของเขายังกระหายอากาศอย่างตะกรุมตะกราม
อุณภูมิรอบตัวเริ่มลดต่ำลงกลายเป็นหนาวเย็นเมื่อเม็ดเหงื่อแห้งจับผิวกาย
ดวงตาได้แต่เหม่อมองไปบนฟ้าตรงๆขณะที่ความปวดเสียดไล่ขึ้นมาทีละน้อย
“.....พระจันทร์ขึ้นแล้วรึ?”เสียงแหบลึกเปรยกับตนเอง
ดวงจันทร์กลมโตส่องสว่างที่กลางฟ้าบอกเวลาที่ล่วงเลยมายาวนานของการลงโทษ เขาอยากจะหลับไปเสียตอนนี้
แต่กล้ามเนื้อที่เต้นตุบด้วยความทรมานเป็นเครื่องบ่งบอกถึงตอนเช้าที่แสนทารุณหากเขายังละเลยหน้าที่เดิมในคืนสุดท้าย
“...หะหะ”เด็กหนุ่มหัวเราะแห้ง
ก่อนจะเก็บผ้าผืนเล็กแล้วมุ่งตรงไปยังคลังอาวุธที่คุ้นเคยอย่างเชื่องช้า ความคิดบางอย่างแล่นในหัวของเขาราวกับมีคนพูดพล่าม
ความรู้สึก
แต่เป็นครั้งแรกที่เสียงกรีดร้องของร่างกายจะดังกว่าจิตใจ
จนเขาไม่อาจจับอะไรที่ตามที่ตนรำพึงในศีรษะอย่างล่องลอย
ชุดเกราะสำหรับฝึกซ้อมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งไฮเกลคงจะลืมไปว่าวันนี้ยังคงเป็นการซ้อมโดยไม่ใส่เครื่องป้องกัน
จึงมีเพียงกองดาบที่กลิ้งอยู่ที่พื้นเท่านั้น
ลอเฟย์นึกขอบคุณความโชคดีอันน้อยนิดของตน
เขาสายตาไปตามแท่งผลึกที่ระเกะระกะไปทั่วห้อง
ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ว่างเหมือนปกติ
อัลเธีย สตาร์เฟลล์มองตอบเขาผู้เหลือกตาด้วยความประหลาดใจด้วยดวงตาสีน้ำตาลไหม้
นิ่งสงบและลึกล้ำเช่นเคย
ในวงแขนของอัศวินหนุ่มมีดาบสีเงินคู่ใจพาดอยู่กับผ้าสีขาวในอีกมือ
ร่างโปร่งทรุดนั่งพิงผนังในอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมประจำของเขา
ภารกิจประจำวันที่เคยเป็นปรกติค่อยเริ่มๆขึ้นในความเงียบงัน เวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่าที่ทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรสามารถเปลี่ยนความทรงจำเป็นเพียงความฝัน
ในตอนเช้าที่ดวงตะวันมิได้ทักทายผ่านหมู่แมกไม้
สายลมที่สัมผัสผิวกายไม่เย็นชื่นและหอมด้วยกลิ่นฟาง
ราตรีไม่จูบลาด้วยแสงเทียนและความอบอุ่นของผ้านวมที่ฝั่งตรงข้ามยังมีน้องสาวคนเล็กหลับใหลอยู่
เขานึกถึงเซท ชายที่แสนดีผู้เป็นเครื่องยืนยันของความเลือนรางตลอดเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา
ความทรงจำอันล้ำค่าและคนผู้เดียวที่สามารถพูดได้ว่ารู้จักเขาอย่างแท้จริง
คนผู้นั้นที่เติบโตและจะดับสูญตามกระแสของกาลเวลาเช่นเดียวกับกราเซีย
ทั้งสองจะเป็นอย่างไร? เขาอยากรู้เหลือเกิน อยากรู้หลังจากที่ตนจากมาแล้ว ฉับพลันลอเฟย์รู้สึกว่ากำแพงที่รองรับแผ่นหลังและพื้นหินที่ประทับร่างช่างหนาวเย็น
แสบผิวเสียและเสียดไปถึงหัวใจ จนอยากเอามือโอบกอดตัวเอง
ราวกับเขาเป็นเพียงสิ่งเล็กๆในกรงหินที่เย็นเยือกขนาดมหึมาที่บีบให้ตัวตนของเขาหดลง
ในกรงที่มีชื่อว่าลัสท์เทรล
“พอได้แล้วกระมัง”เสียงหนึ่งฉุดเขาขึ้นจากห้วงความคิด
ลอเฟย์สะบัดหัว
มองดาบผลึกในมือที่ถูกขัดจนมันวาวแล้ววางมันรวมกับกองดาบที่เสร็จสิ้นทั้งหมด
เด็กหนุ่มมองไปยังร่างของไนท์ ออฟ วีนัสที่ยังคงอยู่ที่เดิม
บนม้าหินที่ริมผนังอีกฝั่งด้วยท่าทางสง่างามที่ดูเหมือนจะอยู่ในลมหายใจ
“ขอบคุณที่เตือนครับ”เสียงของเขาแหบไปเล็กน้อยจากความทารุณของอากาศที่เสียดแทงในระหว่างลงโทษ
อีกฝ่ายเพียงแค่ส่งเสียง อืม เป็นการตอบรับเหมือนเคย อาจเพราะลอเฟย์ไม่น่าสนใจไปมากกว่าศาสตราในมือที่เจ้าของของมันเช็ดถูอย่างถะนุถนอม
อิริยาบถที่ผ่อนคลายของอัลเธียเป็นสิ่งที่แปลกตา
ดูราวกับว่าเขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งที่เป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นไปที่บานประตูและออกไปสู่ทางเดินของตึกใหญ่
เสียงทุ้มลึกก็รั้งเขาไว้ สร้างความประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าที่ลานฝึก”เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
คำพูดของลอร์ดอัลเธียทำให้ลอเฟย์เผลอเกร็งขึ้นชั่วขณะ
แว่บหนึ่งดวงตาคู่นั้นจ้องตรงมาที่ไพลินสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับวันแรกของการทดสอบ
“ผมเองก็ไม่เคยเห็นคุณที่นี่...”ใบหน้าขาวซีดของคนใกล้จะหมดแรงคือความงุนงงอย่างแท้จริง
“วันนี้ดาบของข้ามีรอย
ที่นี่คงเป็นที่เดียวที่มีอุปกรณ์พวกนี้กระมัง”ว่าแล้วชายหนุ่มกลับมาเช็ดคราบสกปรกจากใบดาบเหมือนเดิม
ความเงียบที่ย้อนกลับมากระตุ้นให้เขาตอบคำถามที่แฝงอยู่ในประโยคแรกสุดของบทสนทนา
เด็กหนุ่มมองปลายเท้าของตนเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่หนักแน่นนัก
“จากที่ถามนั่น...ผมไม่ได้รับอนุญาติเข้าร่วมฝึกครับ” หากแต่พรุ่งนี้มันมันจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว
เขาเปรยต่อในใจที่ไม่รับรู้ถึงความยินดีแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะ?”
“คงเพราะ..ผมเป็นระดับ
0 ล่ะมั้ง?”แม้อยากจะตอบไปตามตรง
แต่ประโยคง่ายๆกลับยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด ระดับ 0 ที่ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นอัศวินแห่งลัสท์เทรล
ความสามารถที่ไม่อาจชิงชัยกับใครได้
หากดันทุรังเข้าไปตอแยก็คงไม่พ้นต้องจะได้ตายเข้าสักวัน
ทั้งหมดนั่นเหมือนกำแพงที่กั้นระหว่างเขากับแอซไพรส์เหล่านั้น
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าสงสัย”น้ำเสียงของอัลเธียยังคงหนักแน่นและนิ่งสงบ
หากแต่ในตอนนี้ดวงตาของเขาละจากดาบในมือมายังร่างของเด็กหนุ่มผมดำที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อะไรที่คุณสงสัยล่ะครับ?”
“ไม่มีใครห้ามไม่ให้เจ้าพยายาม
ทำไมถึงยอมทำตามที่คนพวกนั้นตีกรอบเอาไว้เล่า เจ้าละทิ้งความฝันง่ายเหลือเกิน”สายตาที่พุ่งตรงมาทำให้ลอเฟย์อึดอัด
ไม่ใช่ความอึดอัดไม่สบายใจ แต่เป็นความอึดอัดที่ละอายใจในตน
.....หากแต่ด้วยสิ่งใดกัน? ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสบกลับไปแม้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สั่นคลอน ความฝัน...?
ใช่สินะ พวกเขาทุกคนล้วนมาที่นี่ด้วยอุดมการณ์
ความฝันอันยิ่งใหญ่
ไม่แปลกที่เขาจะถูกมองว่าเป็นคนขี้แพ้ที่ทนกับชีวิตเล็กๆในคลังอาวุธ
เท่านั้นก็คงจะแย่เพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากคนอื่นรู้เข้าถึงสาเหตุจริงๆของเขาเล่า? ตอนนั้นแค่คำว่าแย่คงจะไม่พอสำหรับคนที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกอย่างเขา
ความฝันที่อยากจะเป็นแค่คนธรรมดา มันกลับส่งเขามาอยู่ในที่ที่ไม่เคยคาดคิด จากล่ามแปลหนังสือคนหนึ่งขึ้นมาเป็นอัศวิน
หากนี่คือฝันคงเป็นฝันร้ายแน่ๆ
“การเป็นอัศวินไม่ใช่ความฝันของผม”เขาตอบได้เพียงเท่านั้นก็ต้องเบือนสายตาหนีจากอีกฝ่าย
อัลเธียเงียบไปชั่วอึดใจ “เช่นนั้น เจ้าอยู่ที่นี่ทำไม?”ดวงตาสีน้ำตาลไหม้คมขึ้นแต่ไม่ถึงกับกร้าว น่าเศร้าที่คำตอบของเขาก็เป็นสิ่งที่อัศวินหนุ่มไม่คาดคิดเช่นกัน
“โชคชะตาเล่นตลกล่ะมั้ง...?”ลอเฟย์หัวเราะแห้งๆกับสิ่งที่ตนเองคิดตั้งแต่วินาทีที่เกือบถูกพิพากษาจากคนทั้งเมือง
ในความเงียบยิ่งทำให้เขารู้สึกอ่อนด้อยกับความไร้ค่าของตน
ตัวเขาผุดลุกขึ้นหวังจะเดินหนีจากบรรยากาศที่น่าอึดอัด
ทว่าคราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียง
แอซไพรส์จากยูโธเปียคว้ามือของเขาเอาไว้ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะผ่านหน้าไป
ร่างที่ถูกรั้งชะงักเหลียวมองใบหน้าที่จริงจังกว่าทุกครั้ง
“โชคชะตาไม่เคยต่อรองกับใคร
หากมันได้เลือกเส้นทางนี้ให้เจ้า...”
สัมผัสของมือข้างนั้นหยาบแต่ไม่กระด้าง
มั่นคงแต่ไม่ทิ่มแทง มันคือมือของผู้จับศาสตราซึ่งมอบความรู้สึกที่มั่นคงและปลอดภัย
“เจ้าก็ต้องเดิน”
ไนท์ ออฟ วีนัสกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
...ทั้งหมดของลอเฟย์ล้วนแต่ถูกมองออกจนหมดสิ้น กับสิ่งที่มองไม่เห็นจะโกหกอย่างไรก็ได้
แต่เพียงแค่ท่วงท่าฟันดาบที่ง่กเงิ่นของเด็กผอมแห้งคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะรู้คำตอบ
“....ถึงมันจะไม่ใช่ทางที่ผมไม่อยากเดินงั้นหรือ?”เขาหลุบตามองมือของอัลเธียที่ยึดเอาไว้อยู่เหมือนกันต้องการให้คำพูดเหล่านั้นซึมเข้าไปในร่างกายที่อ่อนแรง ถึงจะเป็นทางที่แสนโชคร้ายรึ?
“ทางทุกสายจะสำคัญอย่างไรหากไม่เดินต่อ”อัลเธียกล่าวเพียงเท่านั้นก็ปล่อยมือ
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนพร้อมกับดาบคู่ใจ ผ่านร่างที่ยังเพรียวบางและยังไม่เติบใหญ่ ก่อนจากไปในเงามืดของทางเดินที่ไม่มีแสงไฟ “เกียรติยศนั้นไม่ได้วัดจากสิ่งใดนอกจากความกล้าหาญ
ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นเทือกเขาใหญ่หรือก้อนกินเพียงก้อนเดียวก็ตาม”
ทิ้งลอเฟย์ไว้กับความหมายที่ไม่ใช่คำตอบหรือคำถาม เสียงฝีเท้าของอัลเธียจากไปไกลแล้ว หากแต่ร่างของเขายังคงไม่ขยับเขยื้อน
ถ้อยคำเมื่อครู่แทรกลึกลงไปในช่องว่างที่เคยมีบางสิ่งหยุดชะงัก
มันถูกสะกิด....และบางอย่างกำลังร้องอยู่ในห้วงคำนึงที่ลึกที่สุดของเขา
“เป็นไงบ้าง?”
เบเนดิกต์เป็นคนแรกที่เดินมาหาเขาหลังจากศีรษะดำๆโผล่เข้าไปในกองพัน
ลอเฟย์ยังมีสีหน้าเหยเกอยู่บ้างแต่ด้วยฝีมือของคุณหมอชั้นเซียนทำให้ร่างกายที่ไม่ต่างจากก้อนดินน้ำมันที่ถูกบี้กลับมามีแรงวิ่งได้ในชั่วข้ามคืน
แม้ว่าส่วนต่างๆจะยังเจ็บจี้ดอยู่บ้างก็ตาม
“ฉันซาบซึ้งกับการแพทย์บนแอสการ์ดมากจริงๆ”เด็กหนุ่มจากฟอร์ลีหัวเราะเบาๆ ในขณะที่ใบหน้ากลมเบ้ปากอีกครั้ง “ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันได้ยินว่านายจะมาฝึกกับพวกเรา”คำว่าพวกเราทำให้เขาถอนใจเล็กน้อยกับเส้นแบ่งบางๆที่เบเนดิกต์คงจะยังไม่รู้ตัว
“ใครบอกนายล่ะ?”ลอเฟย์เฉกลับไปเพราะแม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจในคำตอบ
“ไฮเกลน่ะสิ
เขาให้ฉันเอานี่มาให้นายด้วย”แอซไพรส์จากเอริเชี่ยนยืนของในมือให้
ทันทีที่รับมาแขนที่ยังเจ็บระบมอยู่ก็ทรุบฮวบอย่างไม่ทันตั้งตัว
ดาบเล่มเล็กที่ทำจากเหล็กสีหม่นหนักแทบสามเท่าของดาบผลึกที่เขาเคยถือ
“เขามาแล้วหรือ?”ลอเฟย์หันมองไปด้านขวาที่อีกฝ่ายบุ้ยหน้าไป
หวังว่าจะเห็นคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาคิ้วขมวดได้ขนาดนี้
และวินาทีแรกที่เห็นรอยยิ้มของไฮเกลเขาก็รู้เลยว่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
พี่เลี้ยงไม่มีทางยิงเขาจนถึงตายด้วยความเร็วยี่สิบลูกกระสุนต่อหนึ่งนาที
การถือดาบที่ยิ่งกว่าคำว่าถ่วงคงไม่ทำให้เขาถึงตาย
การซ้อมดาบของแอซไพรซ์ครึ่งกองต่อหนึ่งก็คงไม่ทำให้เขาถึงตาย
การลงโทษโดยมีเครื่องถ่วงน้ำหนักเมื่อคืนก็ไม่ทำให้เขาถึงตาย
และหวังว่า....การฝึกเช่นนี้ทุกวันก็คงจะไม่ทำให้เขาถึงตายเช่นกัน
“เริ่ม!”สัญญาณบ่งบอกดังขึ้น
ชีวิตในลานฝึกของเขาก็เริ่มขึ้นตามไปด้วย พร้อมกับคำพูดของอัลเธียที่
แม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจเข้าอีกแม้แต่เหลือบตามองแต่ถ้อยคำนั้นยังคงดังในหัวอยู่เสมอ
“เจ้าก็ต้องเดิน”
“พระจันทร์ขึ้นอีกแล้ว”
เด็กหนุ่มรำพึง
เหม่อมองไปยังดวงจันทร์กลมโตที่เงินที่มีขนาดใหญ่โตกว่ายามมองจากพื้นดิน รัศมีนวลตาของมันอาบไล้ยอดปราสาทลัสท์เทรลที่อยู่ไกลๆ
จนเปล่งประกายละออตาเหมือนภาพฝัน ร่างที่นอนนิ่งบนพื้นหินของลานฝึกขยับตัวเล็กน้อย
สัมผัสกับความเจ็บแปลบที่เริ่มกลายเป็นสิ่งคุ้นเคย วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่สถิติการวิดพื้นของเขาได้รับการจารึกใหม่อีกครั้ง
แม้แต่โวลดายน์ยังเคยพูดว่าไม่มีใครผ่านการลงโทษชนิดนี้มาโชกโชนเท่าลอเฟย์อีกแล้ว
เขาสู้อุตส่าห์ล้มคู่ประลองได้เป็นครั้งที่สาม
แต่ดูเหมือนสมรรถภาพร่างกายจะอำนวยให้ได้แค่นั้น
เด็กหนุ่มจึงต้องทนถูกปู้ยี่ปู้ย้ำต่อจนครบเจ็ดรอบ
รวมๆแล้ววันนี้เขาฝึกคู่ไปถึงสิบรอบเลยทีเดียว
ลอเฟย์เดินทอดน่องไปตามระเบียงที่นำไปสู่ทางเดินหลักในหน่วยทหาร
แสงสว่างริบหรี่ของเทียนสีขาวบริสุทธิ์เล่นเงาวูบวานบนผนัง
สายลมเย็นชักชวนให้เขาเดินออกไปสู่สวนขนาดใหญ่ที่เคยมาเยือนในวันแรกสุด
ภาพเหตุการณ์ที่เขาวิ่งตามจดหมายของไนทริคและห้องสอบที่หนึ่งร้อยยี่ปิดแปดยังคงแจ่มชัด ซุ้มไม้ที่ไว้หลบรัศมีของดวงอาทิตย์ในยามนี้ดูทึบทึมเป็นหย่อมๆ
มองไกลๆก็เหมือนกอหญ้าเล็กๆ
ส่วนที่เขาอยู่คือกำแพงชั้นนอกของลัสท์เทรลที่เป็นศูนย์รวมกิจการในแขนงต่างๆซึ่งขึ้นตรงกับแอสการ์ดอย่างเป็นทางการ
เปรียบได้กับเมืองขนาดย่อมที่เหมือนกลไกในการขับเคลื่อนแอสดาร์ด
ลึกเข้าไปอีกเลยกำแพงสีขาวที่เขากำลังมองผ่านระเบียงไปนั้นคือ ‘อินเนอร์ไชร์’ สถาปัตยกรรมที่งดงามน่าประทับใจของเหล่าแอซไพรส์ชั้นปกครองอวดสายตาคนด้านล่างด้วยโครงสร้างที่เหมือนภูเขาของลัสท์เทรล
เป็นเขตชั้นในซึ่งมีกฏเข้มงวดและแหล่งรวมของนักปกครองในระบบต่างๆ
และหากผ่านอินเนอร์ไชร์เข้าไปอีกชั้น ณ
จุดสูงสุดของใจกลางอาณาเขตอันกว้างขวางของลัสท์เทรล
ปราสาทลัสท์เทรล
หอคอยสีขาวสูงตระหง่าน
ดูราวกับอยู่ห่างออกไปเท่าขอบฟ้าแต่ก็ใกล้เสียจนแทบเอื้อมมือไปสัมผัส ที่ประทับของมหาเทพโอดินและราชวงศ์อีเซอร์
แอซไพรส์ในหมู่แอซไพรส์ มือเรียวทาบทับเงาของปราสาทที่สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง
แม้ว่าอยู่บนแผ่นฟ้าเดียวกันก็ยังไม่อาจรู้สึกเท่าเทียม ลัสท์เทรลก็เหมือนกับโอดิน
เป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาแต่ยังสงสัยในการคงอยู่ของมัน
โอดินมีจริงหรือไม่? เขาเคยถามจากไนทริค “....ท่านอยู่ตรงนั้นสินะ”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอดสายตาไปยังปราสาทหลังงาม
สายลมยามค่ำคืนช่วยพัดชำระล้างความปวดแสบที่ถ่วงร่างกายให้หนัก
เติมปอดด้วยอากาศบริสุทธิ์จนความเจ็บแสบหายไปเป็นปลิดทิ้ง
อุณภูมิเย็นสบายชวนให้เขาอยากละลายไปกับมันจนกว่าจะรู้ตัวเขาก็เดินออกมาตึกไกลลิบ
บริเวณนี้ดูเหมือนจะมุมอับของส่วนนอก
เพราะนอกจากหญ้าที่ขึ้นสม่ำเสมอจะเริ่มรกและปรากฏทางเดินหินเก่าๆที่เคยเห็นแค่ในปีกพยาบาลซึ่งจาเวิร์ดยืนยันว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เก่าที่สุด
ยังมีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด แสงจันทร์ที่ส่องลอดช่องว่างของใบไม้และตกกระทบลงบนพื้นเป็นจุดเล็กๆเรืองแสง
ทำให้หนทางตรงหน้าดูน่าพิศวงขึ้นไปอีก
เขาเดินตามก้อนหินที่ถูกกลบด้วยดินและหญ้าเข้าไปเรื่อยๆ
สู่ปลายทางที่ปกคลุมด้วยมนต์ขลัง
ฝีเท้าของเขาหยุดลงพร้อมๆกับลมหายใจที่ชะงักไปชั่วขณะ ลอเฟย์เบิกตากว้างกับสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
“.......ว้าว”
ซากกำแพงหินอ่อนถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยนานาพัน
เสาต้นใหญ่สลักเสลาอย่างประนีต
ประดับด้วยดอกไม้สีอ่อนที่ทอดลำต้นเกี่ยวกระหวัดต่อไปยังโครงหลังคาซึ่งเปิดให้แสงจันทร์ส่องผ่านช่องว่างลงมายังพื้นหินฝังด้วยกระเบื้องหลากสีในลวดลายอ่อนช้อยที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูสูงส่งสวยงาม
ที่ใจกลางสุดของหลักฐานแห่งกาลเวลาปรากฏเสาหินเรียบๆทรงสูงซึ่งประทับตราที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
ตั้งตระหง่านเหนือแท่นทรงสามเหลี่ยมยกสูงจากพื้น
อักษรรูนของมหาเทพโอดิน
สัญลักษณ์ของปีกแห่งผืนนภาที่มนุษย์และเทวาสักการะมานับหมื่นปี
ที่แห่งนี้เคยเป็นวิหารของเทพโอดิน
เหมือนกับโบถส์และศาสนสถานต่างๆที่โลกเบื้องล่าง
ร่องรอยเรือนรางที่ผนังจารึกตำนานต่างๆในภาพวาดที่แปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นจิตรกรคนใดทำ
แม้ลัสท์เทรลจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่สูงค่าและวิทยาการ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานี้กลับดูมั่นคงกว่า
ตราตึงและเต็มไปด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์ราวกับโลกอีกใบหนึ่งที่คงอยู่นิรันดิ์ข้ามผ่านกาลเวลามาหลายพันปี
ราวกับสรวงสวรรค์ ลอเฟย์เปรยในใจ
เขาไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอนสักเท่าไหร่ แต่ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเช่นนั้น
แม้ว่าจะอยู่ในสรวงสวรรค์แล้วก็ตามที
คิดดูแล้วก็ตลกอยู่บ้างที่มีโบถส์มาตั้งอยู่ในอาณาเขตของโอดินแบบนี้
เหมือนกับการตั้งกระโจมในรั้วบ้านยังไงยังงั้น
ฉับพลันปลายเท้าก็สะดุดเข้ากับรากไม้
“เหวอๆ!”ร่างกายเซเสียการทรงตัวล้มคว่ำไปเต็มๆ! ลอเฟย์มึนหัวตึบอยู่พักหนึ่งกว่าจะเค้นเสียงออก
...ทว่าเสียงที่ออกมากลับไม่ใช่เสียงของเขานี่สิ!
“โอ้ยย!”
.....หือ?! ความมึนเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับร่างกายที่กระเด้งตัวลุกขึ้นมองรอบๆทันที
ในเมื่อเขาอยู่คนเดียวในที่ห่างไกลชุมชนขนาดนี้ จะมีเสียงคนได้อย่างไร?
“ข้าอยู่ตรงนี้นี่!”เสียงทุ้มปนหัวเราะดังขึ้นก่อนความคิดของเขาจะเตลิดไปไกล
เมื่อก้มลงมองตามทางที่ได้ยินก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนเอกเขนกพิงกำแพงอย่างสบายอารมณ์อยู่
หัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองของเขาจึงสงบลง “เหมือนข้าจะมีชะตาให้เจ้าเหยียบนะ”ใบหน้าที่ยังคงมัวเพราะแสงสลัวของเขาคล้ายว่าจะยิ้ม
น้ำเสียงของอีกฝ่ายคล้ายว่าเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่เขากลับยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน
“ขอโทษครับ
ผมไม่คิดว่าจะมีคนอยู่”
“เรามักจะพบกันตอนไม่มีคนอยู่ตลอดเลยแฮะ”ชายแปลกหน้าเสริมขึ้น เขายันร่างขึ้นจากกำแพงปล่อยเส้นผมสีทองยาวที่ถูกป้ายพาดบ่าไหลลื่นลงมา
ตอนนั้นเองทุกอย่างในหัวลอเฟย์ก็ถูกเฉลย
“คุณบอกห้องสอบให้ผม!”
“แล้วได้ไปสอบไหมล่ะ?”เขาเห็นสีหน้าตกใจของเด็กหนุ่มแล้วก็ขำออกมาอีก
ท่าทางที่ดูสบายๆขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูเพียบพร้อมไปคนละทาง นอกจากผ้าปิดตาข้างขวาแล้วบุรุษผมสีทองยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่ดูลำลองกว่าเดิม
ปราศจากผ้าคลุมผืนยาวที่ลอเฟย์เคยเหยียบไปในวันนั้น
“ไปครับ.....”เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ
“แล้วไปเข้ากองไหนล่ะ?”อีกฝ่ายยังคงยิงคำถามอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดจะลุกขึ้นยืน
ลอเฟย์จึงตัดสินใจนั่งลงใกล้ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยภูมิใจนัก
“กองพันอัศวินครับ”
“.................”คราวนี้ชายหนุ่มปิดปากสนิท
ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่เปิดอยู่เพียงข้างเดียวมองแอซไพรส์ผมดำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ก็ถูกกลืนหายไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง เรียกได้ว่าเขาแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!”
ลอเฟย์มองร่างที่คุ้ดคู้ขำกลิ้งด้วยความสงสัย
ชักไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าสติครบถ้วนหรือเปล่าหรือเป็นเขาที่พูดอะไรพลาดไปกันแน่??
“กองพันมีเป็นร้อย
คิดยังไงไปเลือกกองพันอัศวิน ฮ่าฮ่าๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แค่เจ้าดู....ไม่เหมือนอัศวินสักนิด”เขาทำเสียงสูง ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเต็มที่ในการกลั้นหัวเราะ
ตั้งแต่พบกันมาดูเหมือนอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยอารมณ์ขันตลอดเวลาจริงๆ
“...บางทีผมอาจจะไม่ได้เลือกก็ได้ครับ”เขายิ้มฝืด “กองนั้นมันกองพันลูกคุณหนูชัดๆ อย่างเจ้าไม่น่ามีอะไรไปโอ่กับเขาเลยนะ”ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
ชัดเจนว่าเขาเป็นชายอารมณ์ดีจนไม่ระวังปากเอาเสียเลย
ในอีกความหมายหนึ่งที่พอจะตีได้คือเขาดูจนนั่นเอง.....
“คุณจำชื่อผมได้หรือครับ?”เจ้าของชื่อถามกลับอย่างประหลาดใจ
รู้สึกแปลกเล็กน้อยที่ถูกคนแปลกหน้าเรียกด้วยชื่อจริง แต่เท่าที่จำได้เขาบอกแนะนำตัวกับอีกฝ่ายไปแค่ครั้งเดียว
แถมยังเป็นระยะเวลาที่สั้นมากอีกด้วย “คิดว่าสีผมอย่างเจ้ามีสักกี่คนกันหือ?”บุรุษปริศนายิ้มเป็นการยืนยัน ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาทางลอเฟย์
น้ำเสียงทุ้มกังวานเป็นงานเป็นการขึ้น
“ข้าชื่อยูลิสท์ ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะ”
“แล้วคุณเป็นทหารหรือเปล่าครับ?”สังเกตได้ไม่ยากเลยจากความคุ้นเคยที่เขามีต่อวิธีทักทายแบบนี้ “ถูกต้อง ข้าอยู่กองพันอู้งาน”ชายหนุ่มตอบเสียงภาคภูมิ ย้ำความจริงที่ว่าตั้งแต่เจอกันมาชายหนุ่มก็เอาแต่นอน
“แต่เจ้าไม่ต้องสุภาพมากนักก็ได้
ข้าอายุไม่เท่าไหร่หรอก”ยูลิสท์ตบไหล่อย่างเป็นกันเอง
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสำรวจอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่
แม้ว่าดวงตาสีฟ้าครามจะฉายแววซุกซนอย่างคนขี้เล่น
แต่บุคลิกและบรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มชี้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนหนุ่มหมาดๆแน่ๆ
จากภายนอกยูลิสท์คงอายุเกือบจะสามสิบแล้ว จัดเป็นบุรุษที่ย่างเข้าวัยกลางคนได้อย่างสง่างามเลยทีเดียว
ด้วยใบหน้าหล่อเหลาระดับร้ายกาจที่ยังคงเป็นไปด้วยความอ่อนเยาว์
แม้เขาจะไม่แน่ใจถึงอายุภายในของอีกฝ่าย
แต่ลอเฟย์รู้ดีว่าตัวเขาเองก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบสามปีแล้วใต้รูปลักษณ์อ่อนปวกเปียกของเด็กอายุ
18 ปี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมถนัดแบบนี้มากกว่า”เด็กหนุ่มผมดำปฏิเสธ ถึงยังไงยูลิสท์ก็ดูแก่กว่าเขา ตัวเลขอายุคงจะมากกว่าตามไปด้วยแน่นอน
โดยปกติแล้วแอซไพรส์ธรรมดาจะมีอายุอยู่ที่หนึ่งถึงสองร้อยปี
อย่างที่ไนทริคบอกว่าเจ้าตัวหยุดโตตั้งแต่อายุ 68 ปี
“แล้วแต่เจ้า แต่ข้าจะไม่ประนีประนอมใช้คำพูดอย่างนั้นแน่ๆ”แอซไพรส์ผมทองเบ้หน้าตามประสาคนต่อต้านความเป็นระเบียบ “ไหนๆข้าก็นอนไม่หลับแล้ว เรามายืดเส้นยืดสายสักหน่อยดีกว่า”ยูลิสท์คราง ก่อนยันร่างสูงใหญ่ของตนขึ้นมาบิดขี้เกียจ
แอซไพซ์ฝึกหัดผู้รบกวนการนอนของอีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆ “ขอโทษครับ”
“เอาน่า เจ้ามาช่วยข้าเลย เราจะได้เจ๊ากัน”ยูลิสท์กวักมือเรียก
เขาโยนท่อนไม้ขนาดพอเหมาะให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนปัดกางเกงของตน
ลอเฟย์รับได้พอดีมือ มันมีขนาดพอๆกับดาบผลึกที่เขาเคยได้ถือเมื่อครึ่งเดือนมาแล้วก่อนที่จะได้เจ้าดาบเหล็กหนักอึ้งมาใช้งาน เอ่อ อย่าบอกนะว่า....
“ให้เกียรติกระผมหน่อยขอรับท่านอัศวิน”ชายหนุ่มโค้งให้ล้อเลียนภาษาลิเกของชนชั้นสูง
พร้อมไม้ยาวอีกท่อนในมือ “ฝีมือของผมเอาไปอวดใครไม่ได้หรอก”ลอเฟย์ขำกับท่าโค้งที่ดูสง่าสงามชดช้อยเสียจนตลก
แต่เขายังไม่คิดจะโชว์ความสามารถติดลบของตัวเองกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแน่นอน
ยูลิสท์หัวเราะก่อนจะเริ่มเคลื่อนที่เป็นวงกลมช้าๆ
แล้วฉับพลันเขาก็พุ่งท่อนไม้เรียวเล็กมาข้างหน้า “อัศวิน!”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มดังก้อง “ยิ่งใหญ่! ภาคภูมิใจในจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรม! คมดาบของข้าคือเกียรติยศ....”เท้าก้าวด้วยจังหวะช้าเนิบนาบ
ขัดกับการสะบัดแขนที่รวดเร็วของเขา “ฟาดฟันอริด้วยคุณธรรม! อัศวินผู้สูงส่ง!”
เขาเลียนแบบท่าเก็บดาบของพวกอัศวินยศสูงจนลอเฟย์อดขำออกมาไม่ได้
“ปกป้องมาตุภูมิ! โอ อัศวินผู้องอาจดั่งราชสีห์!”เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม
ใช้ปลายไม้ปัดให้ท่อนไม้ในมือเรียวหงายขึ้น ไขว้กันเหมือนกับดาบ “ทำไมดาบของเจ้าจึงเล็กนักล่ะอัศวิน!”เขาทิ่มปลายไม้ใส่ช่วงคอของลอเฟย์
มันรวดเร็วและกระชั้นใกล้เสียจนแอซไพรส์ผมดำต้องยกอาวุธชั่วคราวในมือตนขึ้นมาปัดป้อง
“ไหนล่ะเกราะสีเงินของเจ้า! ดาบที่ขัดจนมันวับเสียจนฟันอะไรไม่ได้!”ชานหนุ่มทำสีหน้าจริงจังจนกระทั่งทั้งสองเริ่มหัวเราะ
ก่อนที่การรุกรับของท่อนไม้จะต่อเนื่องกันเป็นจังหวะ
“แล้วยังผ้าคลุมที่เหล่าเทพธิดายังต้องอายนั่นอีก!”การขยับตัวรวดเร็วขึ้น
ยูลิสท์รุกคืบได้มากกว่าด้วยประสบการณ์และร่างกลายที่คล่องแคล่ว
เขาไม่ต้อนเด็กหนุ่มจนมุมเพื่อให้ลอเฟย์ตั้งรับได้
อาศัยความชำนาญจากการฝึกและความเร็วที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตน
ไม่นานเด็กหนุ่มก็สามารถแทงกลับไปได้บ้าง
คำล้อเลียนและเสียงหัวเราะเงียบลง
พวกเขาไม่หลบสายตาซึ่งกันและกัน ประกายของความสนุกสนานฉายชัด
ลอเฟย์ขยับไปตามท่วงท่าที่ต่อเนื่ององอาจของอัลเธียในความทรงจำ
ทุกการฟาดฟันต้องตามด้วยการปะทะกับที่ลงตัวของไม้อีกท่อน
พวกเขาผลัดกันรุกตัวในอีกฝ่ายก่อนจะถอยตั้งหลักราวกับการเต้นรำ
ร่างกายที่เหนื่อยล้าของลอเฟย์เบาอย่างเหลือเชื่อ
ไม่ว่าเขาจะออกท่าไปอย่างไรยูลิสท์ก็ยังโต้กลับมาได้ทุกจังหวะในท่วงท่าที่ไม่เหมือนเดิม
ราวกับว่าการฟันดาบกลายเป็นสิ่งที่น่าค้นหา
แทงให้ไกลขึ้นอีก
หมุนตัวให้เร็วขึ้นอีก ก้าวขาให้พลิ้วไหวขึ้นอีก
ทุกจังหวะทำให้เด็กหนุ่มเพลิดเพลินกับพลังในการเคลื่อนไหว
เขาหมุนตัว กางแขน พลิกข้อมือราวกับร่างของอัลเธียที่เคยได้แอบดู
สมาธิทั้งหมดจดจ่อไปกับท่วงท่าของคู่ซ้อมเพื่อเคลื่อนไหวให้สอดรับกันประหนึ่งการขยับแขนขาประสานไปกับจังหวะหายใจ
เขาวาดเชิงดาบที่แสนหลงใหลอย่างเป็นอิสระปราศจากเสียงของไฮเกลและความวุ่นวายในลานฝึก
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าอาวุธในมือกระทบกันกี่ครั้ง
เขาไม่รู้สึกถึงหยาดเหงื่อที่อาบไล้ใบหน้า
วินาทีนั้นลอเฟย์หลงรักวิชาดาบเข้าอย่างจัง
“เจ้ามาจากยูโธเปียรึ?”ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ยูลิสท์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “คุณรู้ได้ยังไงครับ?”การที่เขามาจากน่านฟ้าเหนือมันดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมใครๆถึงรู้ไปหมดยังกับเขียนไว้บนหน้ายังไงยังงั้น “เอาเป็นว่ามันไม่ได้อยู่บนหัวเจ้าก็แล้วกัน”ชายหนุ่มไขข้อข้องใจเมื่อเห็นคิ้วสีดำขมวดมุ่น “เชิงดาบของเจ้าคล้ายกับลักษณะเฉพาะของยูโธเปีย”
"ผมมาจากน่านฟ้ายูเปียครับ
แต่เป็นมิดการ์ด”เด็กหนุ่มยอมรับ
“หืม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเอาวิชานี้มาจากไหนล่ะนี่?”ยูลิสท์เลิกคิ้วแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ
“ผมเคยเห็นคนฝึกอยู่บ่อยๆน่ะครับ มันก็เลยชินไปเอง”พูดไปแล้วก็รู้สึกอายอยู่บ้าง แต่เขาเองยังประหลาดใจด้วยซ้ำที่ตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่าท่ากันกระสุนของเสาพี่เลี้ยง
“มิน่าล่ะ
นี่เจ้าทำผิดอยู่บ้างนะ”แอซไพรซ์ผมทองแนะ ร่างสูงพักเหนื่อยด้วยการช่วยลอเฟย์จับท่าทางให้ถูก
เด็กหนุ่มผมดำที่มีส่วนสูงแค่ระดับคางกลายเป็นตุ๊กตาที่ถูกยูลิสท์ชักมือไปทางนู้นทางนี้
บางทีก็จริงจัง แต่บางทีชายหนุ่มก็แกล้งดึงให้เขาตัวลอยหวือ “ท่าหมุนเมื่อกี้เจ้าต้องถอยเท้าข้างนี้ยันน้ำหนักไว้ถึงจะได้ผลมากกว่า”
“เหวอ!”
เขาใช้ขายาวๆแทงเข่าจนร่างของลอเฟย์เซเสียหลัก
ก่อนที่จะใช้แขนซ้ายที่จับข้อมือข้างเดียวกันของเด็กหนุ่มเป็นตัวนำให้ร่างกายหมุน
ปลิวเหมือนหุ่นกระบอก
เด็กหนุ่มต้องร้องประท้วงเป็นระยะกับวิธีสอนแบบไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจยูลิสท์ที่บทจะดึงก็ดึง
จะผลักก็ผลัก
“แล้วทีนี้มือขวาเจ้าก็แทง”ลอเฟย์ดันแขนออกไปข้างหน้าตามคำบอกของยูลิสท์
เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้พื้นฐานของการฟันดาบที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย
ท่วงท่าส่วนใหญ่จึงมีข้อผิดพลาดอยู่เยอะ “ถึงพวกอัศวินจะเป็นกองพันปัญญาอ่อนก็เถอะ
แต่นี่เจ้าได้อะไรมาบ้างเนี่ย?”ชายหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อกับความอ่อนแอของอัศวินฝึกหัด
เขาต้องยอมรับว่าลอเฟย์เป็นคนมีไหวพริบและความรวดเร็วจึงสามารถเอาตัวรอดได้ดี
แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวต่างๆมันบอกชัดว่าเขาแทบไม่รู้เรื่องการใช้ดาบเลยแม้แต่น้อย
ฝ่ายเด็กหนุ่มผมดำเองก็ยิ้มแหยกับอดีตวิชาขัดเกราะของตนที่ไม่รู้จะเล่าให้ยูลิสท์ฟังอย่างไร
“ผมคงอ่อนซ้อมไปนะครับ”เขาแก้ตัวไปแกนๆ แอซไพรซ์ผมสีทองเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับใช้ความคิด “เอาอย่างนี้ไหม.....”เขาเอ่ยขึ้น
“ต่อจากนี้เจ้ามาซ้อมกับข้าที่นี่
เดี๋ยวข้าจะช่วยสอนให้เอง”เจ้าของฝีมือการสอนที่เยี่ยมยอดเสนอความคิดพร้อมรอยยิ้มแป้น
แว่บหนึ่งลอเฟย์ดีใจที่จะได้วาดดาบอย่างที่ตนต้องการ
หากแต่เขาคงไม่สามารถรบกวนยูลิสท์ได้ทุกคืนเป็นแน่
“ขอบคุณมากครับ
แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นภาระไปสำหรับคุณ ผมไม่รู้เวลาการซ้อมที่แน่นอนในกองพันด้วยซ้ำ”
“ข้าน่ะมืออาชีพด้านการอู้งานอยู่แล้ว
เจ้ามาที่นี่ในคืนที่เจ้าอยากฝึกก็แล้วกัน ถ้าเราเจอกันข้าก็จะช่วยสอนให้
นี่น่ะที่งีบประจำของข้าอยู่แล้ว”ยูลิสท์ยกนิ้วให้กับความเชี่ยวชาญด้านการนอนของตน “แล้วผมจะไม่รบกวนคุณเหรอครับ?”เด็กหนุ่มถามต่ออย่างเกรงใจพบกันทีไรก็ต้องปลุกชายผมทองขึ้นมาทุกที
“เชื่อเถอะว่าวันหนึ่งๆข้าว่างจะนอนมากกว่าเจ้าถึงสามเท่า”ใบหน้าหล่อจัดยังคงยิ้มกว้างจนพาลให้สงสัยว่ากองพันอะไรกันที่ปล่อยให้ทหารอู้งานให้มากขนาดนี้ “อ้อ!
แล้วก็....ที่นี่ให้เป็นความลับของข้ากับเจ้าก็แล้วกัน เพราะเจ้ามาเจอเข้าโดยบังเอิญก็ถือว่ามีสิทธิ์จะแบ่งปันกับข้าด้วย”ร่างสูงค้อมตัวลงกระซิบ
ก่อนจะทำท่าจุ๊ปากด้วยสายตาดุๆตามประสาคนหวงที่นอนอันแสนสงบ
“ก็ได้ครับ ผมตกลง”ลอเฟย์ขำทุกครั้งที่ชายหนุ่มวัยย่างเข้าเลขสามทำท่าล้อเลียนเด็กๆ
“งั้นค่อยเจอกันวันหลังล่ะลอเฟย์
ข้าจะนอนดูดาวต่อสักหน่อย เจ้าก็กลับไปนอนเถอะ”พูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงนอนกับรากไม้ที่คุ้นเคยทันที
ก่อนจะโบกมือให้กับเด็กหนุ่มผมดำ
ซึ่งลอเฟย์เองก็เพียงแค่ยิ้มให้แล้วค้อมศีรษะเป็นการบอกลา
-------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น