คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Protologue : blå kometens whispering - the whisper of a blue comet
Protologue
ดาวหางสีน้ำเงิน
....กาลเวลานำพาหัวใจของเธอมาหาฉัน...
...ฉันรักเธอมาตลอดหนึ่งพันปี....
...และจะรักเธอต่อไปอีกหนึ่งพันปี....
...ที่รัก ฉันจะรักเธอไปอีกหนึ่งพันปี...
แสงเทียนสีส้มส่องแสงเรืองๆจากห้องฝั่งตรงข้าม ผนังบ้านสีขาวกลายเป็นสีม่วงเข้มในความมืดของยามราตรี เขาเพ่งมองที่หน้าต่างฝั่งตรงข้ามด้วยความกังวล ไม่นานเสียงรูดม่านก็ดังขึ้นตามด้วยเงาสลัวๆ บนหน้าต่างถูกเลื่อนขึ้นก่อนที่เด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งจะโผล่ศีรษะออกมา ทันทีที่เห็นหน้าเธอความหนักใจก็หายไปเหมือนยกภูเขาออกจากอก เด็กหนุ่มรีบกระวีกระวาดไปที่ขอบหน้าต่างของห้องนอน บ้านของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่มากจนสามารถมองเห็นและพูดคุยได้อย่างสะดวกสบาย
“ชั้นนึกว่าเธอจะไม่รอดแล้วซะอีก!”ฝ่ายชายพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงทั้งโล่งใจและตื่นเต้น
“ก็เกือบๆน่ะ พ่อชั้นดุจะตายไป เพราะนายคนเดียวเลยเซท!”อีกคนส่งสายตาเขียวปั๊ดกลับมาให้ จนเซทต้องรีบจุ๊ปากเพราะน้ำเสียงที่เริ่มจะดังเกินไป
“เบาหน่อยกราเซีย! เดี๋ยวพ่อเธอก็ได้ยินหรอก”เซททำเสียงชี่..ใส่เพื่อนสาว เธอเพียงแค่เดาะลิ้นแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง
“ยังไงก็เถอะ ถ้าคราวหน้าชั้นถูกทำโทษอีกล่ะก็ มันเป็นความผิดของนาย!”
“...มันก็เป็นความผิดของชั้นตลอดอยู่แล้วนี่”เขาบ่นพึมพำ พลางใช้หางตาแอบมองไปหน้าเง้างอนของเด็กสาวที่ยังอารมณ์คุกกรุ่นอยู่ ความเงียบเกิดขึ้นกลายเป็นบรรยากาศน่าอึดอัด เขาเฉตาขึ้นไปมองดาวแก้เก้อ แต่สายตากลับสะดุดกับดวงดาวประหลาดที่กระพริบเปลี่ยนสีราวกับมีชีวิต
“เอ๊ะ...อะไรน่ะดาวดวงนั้น”กราเซียทำสีหน้าไม่พอใจครู่หนึ่งก่อนจะมองไปทางเดียวกัน จุดแสงสีขาวกระพริบสลับกับสีแดงขยับวูบไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นจนคิ้วเผลอขมวดไปเอง
สูงขึ้นไปเหนือชั้นก้อนเมฆที่ทอดตัวสงบนิ่ง เสียงลมหวีดเชือดเฉือนราวกับคมมีดกรีดไปตามผิวหนังที่พุ่งตัวฉวัดเฉวียนผ่านม่านหมอก ละอองน้ำในอากาศกลายเป็นเม็ดฝนที่คมเหมือนกระสุนปืน มังกรสีขาวหมุนตัวหลบจะงอยปากสีดำของอีกายักษ์ไปได้หวุดหวิด แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นเมื่อเนื้อโลหะสองชิ้นกระทบกัน อีกฝ่ายเล็งสายฟ้าสีแดงไปที่ปีกพังผืดหมายจะหยุดการเคลื่อนไหวของอสูรสีขาว กล่องเหล็กคล้ายรถม้าขนาดเล็กโคลงเคลงอยู่บนหลังมังกร มันส่งเสียงคล้ายหินกระทบกันอยู่ตลอดเวลา แม้จะถูกรัดด้วยสายหนังและโซ่หลายเส้น
สัตว์อสูรทั้งสองยังคงผลัดกันรุกไล่อย่างไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งตาม ในที่สุดมังกรเผือกก็ตัดสินใจพุ่งตัวผ่านชั้นเมฆลงมา อาศัยร่างที่ปราดเปรียวกว่าพลิกตัวหลบการโจมตีจากด้านบน “....แกว๊กกกกก!”อีกากลอกดวงตาสีแดงก่ำอย่างเดือดดาลเมื่อเห็นว่าเหยื่อหนีรอดไปได้ คนบนหลังปีศาจยักษ์สบถก่อนจะบังคับสัตว์พาหนะพุ่งตามลงไป
“หืม...เหมือนจะหายไปแล้วนะ”เซทพูดขึ้นในที่สุดหลังจากถูกดาวประหลาดดึงความสนใจไว้นาน กราเซียยังมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะละสายตากลับมา “นี่ก็ดึกแล้ว ชั้นไปนอนก่อนล่ะ” เด็กสาวตัดบท เห็นได้ชัดว่ายังงอนอยู่ ความคิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ โดยที่คนฝั่งตรงข้ามยังไม่ทันได้ท้วงอะไร มือเรียวเตรียมจะปิดหน้าต่างแต่กลับเผลอปัดไปโดนหนังสือจนมันร่วงลงไปกองกับพื้นแทน
“ว้าย”
“ให้ตายเถอะ....”กราเซียลากเสียงอย่างเบื่อหน่าย “ดันเป็นเล่มที่ต้องเอาไปคืนอีก”สายตามองหนังสือเรียนเล่มหนาที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นแบบเซ็งๆ กว่าจะถึงเช้ามันก็คงดูดน้ำค้างจนเห็ดขึ้นแล้วล่ะมั้ง...?
“ชั้นเก็บให้”เซทตั้งท่าจะปีนออกมา
“ไม่ต้องหรอก ช่างมันเถอะ”เธอบอกปัด
“ถ้าลองเธอลงไปล่ะก็ต้องโดนพ่อด่าเละแน่ๆ”กราเซียโคลงศีรษะประมาณว่า ของมันแน่อยู่แล้ว เด็กหนุ่มค่อยๆหยั่งเท้าลงบนรางน้ำ โดยมีสายตาเป็นห่วงจับจ้องแบบไม่กระพริบ
เปรี้ยง! สายฟ้าสีแดงส่งเสียงคำรามลั่น เม็ดฝนหายไปเหลือแค่ลมเย็นเฉียบพุ่งปะทะผิวกาย แสงไฟริบหรี่ของเมืองในยามค่ำคืนดูราวกับหิ่งห้อยตัวกระจ้อยเมื่อมองจากความสูงในระดับนี้ สายฟ้าถูกยิงออกไปอีกครั้ง แต่เมื่อใกล้ถึงเป้าหมายก็ชนเข้ากับกำแพงล่องหนเกิดเป็นแสงสีเทอควอยซ์กระพริบวูบไหว ผู้ถูกล่ายังลดระดับลงเรื่อยๆจนใกล้ถึงพื้นดิน สิ่งกีดขวางที่มีมากขึ้นทำให้นกยักษ์เคลื่อนไหวได้ลำบากกว่าเดิม กลายเป็นไต้ฝุ่นขนาดย่อมที่เร็วเกินมามนุษย์จะสังเกตได้
เมื่อเห็นว่าความเร็วของนกปีศาจลดลง มังกรสีขาวก็พุ่งทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้าอีกครั้ง ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้าใส่ร่างกายที่มีแค่ชุดนอนบางๆจนเซทขนลุก
“ฝนจะตกรึไงกัน?”เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปตามทิศทางลม ปลายเท้าที่กำลังจะแตะหลังคาด้านล่างพลันชะงัก
แสงประหลาดพุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าสายฟ้าไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ ผู้กุมบังเหียนปักษาทมิฬจึงตัดสินใจเร่งความเร็วเข้าประชิดตัว มังกรขาวหมุนตัวหลบอีกครั้ง แต่ในจังหวะที่กล่องเหล็กหันลงพื้นทั้งอีกายักษ์และคนที่ควบคุมมันก็ระเบิดกลายเป็นจุล เพลิงสีแดงขยายตัวเหมือนฟองอากาศ ทั้งปีกและหางของมังกรถูกแรงระเบิดจนขาดกระเด็นไป เสียงกรีดร้องของสัตว์สองตัวดังขึ้นพร้อมกับร่างที่กำลังร่วงลงสู่พื้น กล่องสัมภาระหลุดออกจากพันธนาการในที่สุด ของด้านในถูกแรงดึงดูดกระชากหล่นลงไป เสียงหัวเราะน่าสยดสยองมาจากเงาสีดำในเปลวไฟ ราวกับสาสมใจที่ทำหน้าที่ได้ลุล่วง
วัตถุชิ้นนั้นโอบล้อมด้วยแสงสีน้ำเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆตามแรงเสียดทานของอากาศจนดูเหมือนดาวตก
“เซท! ดูนั่น!”ที่ปลายนิ้วมือมีดาวหางที่กำลังพุ่งตัวลงมาด้วยความเร็วสูง มันมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและลุกโชนไปด้วยแสงสว่างสีน้ำเงิน มันใกล้มากเสียจนมองเห็นว่าดาวหางขนาดใหญ่เป็นผลึกแก้วสีฟ้าเรืองรอง สวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอ่อ....ชั้นว่ามันกำลังมาทางนี้”เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อวัตถุประหลาดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซทตกตะลึงไปชั่วขณะ ความเร็วของมันทำให้เกิดเสียงกรีดกรายของลม
“เซทระวัง!” เด็กหนุ่มได้สติ สะดุ้งตัวจนเผลอทิ้งน้ำหนักลงไป “เหวอ!”เท้าข้างที่เหยียบโดนผิวเหล็กของรางน้ำฝนลื่นไถลตกลงมาจากหลังคา พอดีกับวัตถุสว่างจ้าเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วสูง
ครืดดดดดดดดดด! ดาวหางสีน้ำเงินพุ่งเฉียดศีรษะไปเพียงไม่กี่เซน มันเสียดเข้ากับตัวบ้านและขุดลากผนังบ้านของเขาไปเป็นทาง ก่อนจะกระเด็นกระดอนออกไปไกลหายเมตร เสียงดังสนั่นที่แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไรบ้างดังขึ้นก่อนจะค่อยๆซาลง กลายเป็นเสียงไม้แตกๆแทน ทั้งควันทั้งฝุ่นฟุ้งกระจายเหมือนเกิดไฟไหม้หรือระเบิด ชั่ววินาทีที่ไม่มีใครกล้าขยับหรือเอ่ยอะไรออกมา เซทกองอยู่ตรงพื้นด้านล่าง มองขนาดของมันแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ขณะที่ไม้แผ่นหนึ่งจากด้านบนตกลงมาใส่หัว
“เป็นอะไรรึเปล่า?!”เสียงหวานปนความร้อนใจดังด้านบน เขาเห็นเกรซกำลังรวบชายกระโปรงเตรียมจะออกจากบ้านทางลัด “อะ..โอเค แค่ตกใจนิดหน่อย”เด็กหนุ่มโบกไม้โบกมือให้ ร่างสมส่วนของเด็กวัยกำลังโต ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เจ้าสิ่งนั้นช้าๆ เสียงหัวใจเต้นรัวระทึกไปด้วยความตื่นเต้น
ด้านหลังของควันที่กำลังจางลงเรื่อยๆคือผลึกแก้วสีฟ้าอ่อนเกือบจะเป็นสีขาว มันเรืองแสงรอบๆเป็นสีน้ำเงิน ใจกลางสว่างจ้าจนต้องหยีตามอง เมื่อดวงตาเริ่มชินกับแสงแล้วเขาก็มองเห็นรอยแตกที่ด้านข้าง มีบางอย่างอยู่ข้างใน เซทขยับเข้าไปใกล้อีกนิดพลางเพ่งมองด้วยความสงสัย
เด็กหนุ่มตัวแข็ง
“กะ....เกรซ! มานี่หน่อย”เจ้าของชื่อกระโดดลงมาทันที เท้าเปลือยเปล่ารีบวิ่งตัดลานบ้านไปยังจุดที่อุกาบาตนอนแน่นิ่งอยู่ “ให้ตายเถอะโอดิน....”เธออุทาน ดวงตาเบิกโตเช่นเดียวกับเซทที่จ้องตาไม่กระพริบ ทั้งสองยืนนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง จนกระทั่งเสียงโหวกเหวกดังมาจากถนน กลอนประตูหลายอันถูกเปิดและแสงไฟที่สว่างขึ้น พวกเขาหันมามองหน้ากันในทันที
เสียงฝีเท้าคนร่วมสิบก็ดังอึกทึกไปทั่วและกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แสงไฟจากตะเกียงและเชิงเทียนส่องสว่าง ผู้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นต่างเดินออกมาทั้งสภาพชุดนอนตะโกนถามกันด้วยความสงสัยจนเสียงคุยเซ็งแซ่ไปหมด ชาวบ้านหลายสิบคนค่อยๆเดินเข้าใกล้กลุ่มควันอย่างช้าๆ พอมีคนหยุดก็หยุดตาม พวกคนที่อยู่ด้านหลังพยายามชะเง้อมองกันเป็นพัลวัน แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“เซท!”หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเงาของเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆวัตถุประหลาด
“พ่อ!”ชายวัยกลางคนรีบสาวเท้าเข้าไปหาลูกชายทันที เขาหยุดมองหินก้อนยักษ์ที่ยังดูระอุอยู่อย่างตกใจ “เอ่อ..ผมได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังมากเลยน่ะ เลยเดินมาดู”เด็กหนุ่มรีบอธิบายก่อนที่พ่อของเขาจะเอ่ยถามอะไรออกมา
“แล้วลูกออกมาได้ยังไง?”คนพ่อเอ่ยถาม มองก้อนอุกาบาตสลับกับใบหน้าของลูกชายด้วยความงง
“หนังสือเรียนตกน่ะ ผมก็เลยลงมาเก็บ”พลางชูหนังสือเปื้อนโคลนเล่มหนึ่งให้ดู เขาทำหน้านิ่งที่สุดแต่ว่าเหงื่อที่มือแตกพลั่กๆ แถมยิ่งเห็นพ่อของเกรซอยู่ในกลุ่มคนด้านหลังด้วยใจยิ่งเต้นระทึก
“พ่อคะ”เสียงใสตะโกนลงมาจากด้านบน กราเซียโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างห้องนอนที่อยู่ห่างไปร่วมยี่สิบเมตร “เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?”เธอทำหน้าตกอกตกใจเมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ เด็กสาวแกล้งมองไปรอบๆ เมื่อสบตากันก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะสายตาจับผิดของบิดา
“ไม่มีอะไร กลับไปนอนซะไป!”พ่อของเด็กสาวดุ เธอจึงหดศีรษะกลับไปทันที
ก่อนที่เพื่อนบ้านจะรุมยิงคำถามใส่เซทรีบหันไปบอกพ่อตนเองด้วยสีหน้าตื่นๆ “ผมว่าพ่อดูบ้านก่อนดีไหม?”เขาชี้ไปทางโรงเก็บของที่พังไปเป็นแถบ
“พระเจ้าช่วย!”
ความโกลาหลขนาดย่อมเกิดขึ้น ระหว่างที่ฝูงชนกลุ่มเล็กกำลังวุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้น เซทก็หันไปมองที่หน้าต่างห้องนอนซึ่งร่างของเด็กสาวหลบอยู่หลังแนวผ้าม่าน ทั้งสองสบตากันอย่างมีความหมาย พอเธอปิดหน้าต่างลง เด็กหนุ่มจึงค่อยวิ่งเข้าไปยังซากผนังที่เกลื่อนกลาดอยู่กับคนนับสิบ
ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่ที่ด้านหลังของบ้าน กราเซียเปิดหน้าต่างออกและหยิบห่อผ้าที่ถูกวางไว้ในตะกร้าขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆปิดบานหน้าต่างลงอย่างเงียบเชียบ
และสิ่งที่อยู่ในผ้าไหมชั้นดีนั้น .....คือเด็กทารกคนหนึ่ง
....เพียงนาทีแรกที่ได้ยินชื่อของเธอ
จิตวิญญาณที่หลับไหลในหัวใจของฉันพลันมีชีวิต
เธอคือเพลงรักที่ไพเราะยิ่งกว่าคำพูดใดๆ
รักที่เป็นดั่งกุญแจเปิดสู่ประตู
ที่ซึ่งตัวตนของฉันได้คงอยู่เพื่อมัน....
เสียงอ่อนหวานฮัมเพลงกล่อมเด็กซ้ำไปซ้ำมา บทเพลงง่ายๆที่เธอได้ยินมาจากวีเร่ร่อนเมื่อปีที่แล้ว และในอีกสิบปีข้างหน้า ยี่สิบปีหน้าข้างหรือหนึ่งร้อยปีข้างหน้า มันจะกลายเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ตราตรึงหัวใจของผู้คนมากที่สุด เช่นเดียวกับเรื่องราวในคืนนี้ คืนที่ดาวหางสีน้ำเงินตกลงมา
และนั่น...คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 70 ปีก่อน
**********************************************
ยินดีต้อนรับค่ะ
ความคิดเห็น