ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Elysium : The Lost Sky

    ลำดับตอนที่ #18 : 16th Tale : กลับตาลปัตร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 564
      3
      30 ก.ย. 58

    ยามเช้ามาถึงเร็วกว่าที่คิด หลังจากค่ำคืนที่ยาวนานและการพยายามข่มตาหลับครั้งแล้วครั้งเล่า แสงอรุณของวันใหม่ก็ทักทายเขาโดยไม่ทันตั้งตัว โถงรวมพลคลาคล่ำไปด้วยแอซไพรส์ทุดประเภท สร้างความตื่นตาไม่น้อยให้กับลอเฟย์ที่ยืนหลบมุมอยู่ข้างเสาหินอ่อนมีขาวเทาต้นใหญ่ เขาแอบเหลือบมองหญิงสาวสวยสมบูรณ์เหมือนกับรูปปั้นและผู้ชายอีกคนท่าทางภูมิฐานถือมาดคุณชาย ผิวของเขาซีดไม่ต่างจากผมสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพอีเซอร์

    ลอเฟย์ลูบแถบใสที่ข้อมือเบาๆ  ตัวอักษรต่างๆปรากฏเป็นแถวคล้ายกระดานขนาดจิ๋วเหนือตำแหน่งตรา พวกมันหมุนเปลี่ยนไปในอากาศเรื่อยเปื่อยตามการเล่นของลอเฟย์ จู่ๆลูกศรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางซ้าย อาการกระพริบของมันทำดูเหมือนเร่งรีบอย่างบอกไม่ถูก

                หืม?” หัวคิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน แรงเสียดทานในอากาศพุ่งผ่านเขาไปราวกับลูกธนูห่างจากใบหน้าของเขาเพียงนิดเดียว ขนาดที่ทำให้ผมสีดำกระจายยุ่งเหยิงไปหมด

                เฮ้ย!”เขาเบิกตากว้าง  ริมปีฝากประกับกันเป็นเส้นตรง ใบหน้าที่คล้ายจะนิ่งสนิทหันไปทางด้านซ้ายของตัวเอง อีกฝั่งหนึ่งของเสาต้นใหญ่ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน แน่นอนว่าคงเป็นเจ้าของเสียงที่โดนดาวหางเมื่อครู่เข้าไปเต็มๆ

     “นี่มันป่าเถื่อนไปหน่อยนะแม่คุณ!”เขาเคลื่อนตัวออกมาให้เห็นได้เต็มที่ ดูสีหน้าแล้วหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียว ลอเฟย์เหลือบมองคนข้างๆที่ยืนห่างๆกันในชุดสีน้ำตาลอ่อนที่คล้ายกับสาวสวยคนก่อนหน้า ทั้งสองมีโครงหน้าคมชัดเหมือนกัน แม้จะไม่น่ามองเท่าหล่อน แต่กล้ามเนื้อบึกบึนสมชายก็ทำให้อีกฝ่ายมีความคล้ายคลึงกับพวกงานศิลปะอยู่บ้าง

                โอ๊ะ นั่นไงเจอแล้วเสียงใสดังขึ้นต่อกันแทบจะทันที เด็กสาวคนหนึ่งฝ่าผู้คนมาโผล่ตรงหน้าเสา ฉันคิดว่าจะหานายอยู่พอดี แต่ซีซาร์คงจะดีใจมากนะ มันกระโจนไปก่อนฉันจะทันเรียกเสียอีกเธอพูดจ้อยโดยไม่สนใจสีหน้าของชายหนุ่ม หรืออาจจะเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้า

                “ให้ตายเถอะ! ถ้าฉันเดี้ยงไปก่อนรอบสองจะทำยังไง?

                ปารีสนายมันถึกเหมือนวัว อย่าสำออยได้ไหม!”เฮเลนทำหน้ารำคาญปนรังเกียจ แต่คนรอบๆนี้เขาไม่ได้ถึกเถื่อนเหมือนเธอนะปารีสชี้นิ้วไปรอบๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าการโต้เถียงพาพวกเขามาใกล้กับลอเฟย์ที่มองอยู่เงียบๆ ดูเหมือนเฮเลนจะเป็นฝ่ายหยุดปากและสายตาได้ก่อน

                “ก็เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ใช่วัวแบบนายนี่นะ เธอเป็นเพื่อนเขาเหรอ? ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันไปชนคนอื่นหรอกเธอยิ้มให้ เปลี่ยนน้ำเสียงในทันที รอยยิ้มทำใบหน้าทรงรีดูอ่อนลง ลอเฟย์พึ่งเห็นว่านอกจากลักษณะการพูดแล้วเฮเลนยังทำผมทรงเดียวกับเกรซอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าไม่นับส่วนอื่นๆ น้องสาวตัวแสบคงจะโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ไม่ผิดเพี้ยน

                “เปล่าหรอก ผมแค่ยืนอยู่ตรงนี้เฉยๆ เอ่อ..จะว่าไปเขาจะยืนฟังชาวบ้านเถียงกันอยู่ทำไมนะ ลอเฟย์หน้าเจื่อนเบาๆ แต่ยังไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้ถามอะไรต่อร่างของเขาก็ปลิวไปหาชายหนุ่มคนแรกอย่างไม่ทันตั้งตัว

    อันที่จริงก็ไม่รู้จักหรอก แต่รู้จักกันไว้ก็ดี! ฉันชื่อปารีส สปาเลโตส แล้วนายล่ะ?”ปารีสกอดคออย่างสนิทสนมพลางยักคิ้วให้เพื่อนสาว ทำเอาลอเฟย์ตัวแข็งกับความใกล้ชิดที่รวดเร็วเกินพิกัด สายตาพยายามสอดส่องรอบด้าน แต่ก็ไม่เห็นใครๆจะเอะใจ หรือว่าที่ลัสท์เทรลทักทายกันแบบนี้หรือ?

                “ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์เขาหันไปตอบพลางจับมืออีกข้างที่ถูกยืนมาให้ เป็นท่าจับมือที่ประหลาดของคนพึ่งรู้จักกันแต่ดันกอดคอไปแล้วข้างหนึ่ง

    หน้าตาแหวกแนวดีนะ มาจากไหนเนี่ย? ยามารึ?”สีหน้าของปารีสไม่มีแววล้อเลียน อีกฝ่ายมองเขาสบายๆด้วยระดับความสูงที่ใกล้เคียงกันยิ่งทำให้ใบหน้าของลอเฟย์ที่อยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ประหลาดขึ้นไปอีก

    น่านฟ้ายูโธเปียครับได้รับคำตอบเป็นเสียงหื้มยาวๆ

    อ้าว แล้วหางเปียไปไหนล่ะ?”

                “ใต้น่านฟ้าครับเด็กหนุ่มผมดำตอบสั้นๆ

                “มิน่าล่ะ หน้าตาไม่ค่อยเหมือนพวกจิ้งจกพูดเสร็จก็หัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองแอซไพรส์มาดคุณชายที่ดูก็รู้ว่ามาจากยูโธเปีย ทำผมเปียจริงๆด้วยแฮะ

    ทีนี้เป็นฉันแทนที่อายจะตายแล้วเฮเลนกลอกตา ถอนหายใจยาวๆ ขอโทษทีๆ นี่สาวงามแห่งเมืองทรอยปารีสผายมือไปหาเธออย่างล้อเลียน จนหล่อนต้องยิ้มหวานๆแล้วบิดข้อมือจอมกวนประสาทเข้าสักที

                “โอ้ยยยยย

     เฮเลน ไฮเลอีนิส อย่างที่ได้ยินฉันมาจากกรุงทรอย น่านฟ้าโอลิมปัส เรามาจากมิดการ์ดเหมือนกันเลยนะเธอเริ่มแนะนำตัวโดยไม่ยอมปล่อยมือของปารีส ลอเฟย์ยิ้มตอบ อุ่นใจขึ้นที่มีคนจากมิดการ์ด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมหานครใหญ่ของทวีปก็ตาม เขาคิดในใจโดยลืมไปว่าเซมิเนียเองก็เป็นแคว้นใหญ่ของน่านฟ้าเหนือเช่นกัน

                “ส่วนฉันมาจากโอลิมปัสแท้ๆ หนุ่มสุดหล่อจากภาคตะวันตกเลยล่ะปารีสตบไหล่เพื่อนใหม่แรงๆ นายเองก็หน้าตาดีนะ แต่แบบแปลกๆหน่อย สาวๆมองตรึมเขาหยักเพยิดให้ลอเฟย์มองไปรอบๆ แอซไพรส์ไม่น้อยมีทั้งแอบมองและจ้องมองทางพวกเขา

    ผมว่าเพราะเราส่งเสียงดังมากกว่าเด็กหนุ่มตอบเบี่ยง หวังว่าคงไม่ได้มองเพราะความบ้านนอกและเสื้อผ้ามือสองใช่ไหม? นี่เขากลายเป็นพวกไม่มั่นใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ

                ไม่หรอก แค่ผมสีดำก็แปลกจะแย่แล้วเฮเลนเดินมาหยุดที่อีกข้างหนึ่ง พินิจไปรอบๆก็จริงอย่างที่เธอว่า ไม่มีใครในโถงนี้หรือแม้แต่ที่เขาเห็นบนลัสท์เทรลมีผมสีดำเลยสักคน แอซไพรส์ไม่ค่อยมีผมสีดำหรอก บ้างก็ว่าเป็นสีของโชคร้าย อ้ะ! แต่เธอไม่ต้องกังวลใจไปหรอก ฉันว่าเธอหล่อมากๆเลยเด็กสาวพิจารณาใบหน้ากลมกลึงและดวงตาคมรีใต้ชั้นตาหนา ตาก็สีประหลาด แต่มันสวยมากนะ ฉันแค่ไม่เคยเห็นหล่อนเขย่งมอง ไม่ปิดบังความปลาบปลื้มที่มีต่อเพื่อนใหม่...หรือชัดๆคือหน้าตาของเพื่อนใหม่

                “เอ่อ...ครับ ขอบคุณ”นั่นคือทั้งหมดที่เขาตอบ ไม่นานเขาก็เริ่มชินกับการทุ่มเถียงกันของทั้งคู่ แม้ว่าจะตามไม่ค่อยทันกับหัวข้อที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา

    ดีมากสหายนายกับฉัน เราจะเป็นคู่หูที่เจ๋งที่สุดในลัสท์เทรล ผู้ชายในเครื่องแบบหล่อสองเท่าอยู่แล้ว นี่ไม่นับว่าเป็นเครื่องแบบทหารของลัสท์เทรลนะ!”ปารีสป้องปากร้องหลังจากมีสาวสวยบาดใจหัวร่อต่อกระซิกให้เขา เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างขำๆ

                “น่าเสียดายที่ผมไม่ได้สมัครเข้ากองทัพลอเฟย์ปฏิเสธก่อนที่คู่หูของเขาจะคิดอะไรไปไกลกว่านั้น เฮเลนกับปารีสเงียบไปทันที พวกเขาหันมามองหน้าลอเฟย์จนเด็กหนุ่มเริ่มกระอักกระอ่วน

                “ผมมาผิดที่หรือเปล่า?”เขาถามด้วยเหตุผลทั้งหมดในหัว โอ้ หวังว่าพวกเขาจะไม่กีดกั้นลอเฟย์เพราะเป็นพวกหนอนหนังสืออย่างที่ไนทริคชอบว่า นี่เขาไม่ได้กำลังจะเสียแอซไพรส์สองคนแรกที่รู้จักไปใช่ไหม? ไม่นับจาเวิร์ดกับชแฮนเดอร์แน่นอน ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เอาน่า.... สายตาเหมือนมองตัวประหลาดของเฮเลนไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย หลังจากหกวินาทีที่เหมือนหกชั่วโมง ปารีสก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา

                “นายนี่มีมุกเด็ดเหมือนกันนี่! เอาจริงๆฉันเกือบจะตามไม่ทันเลย

    ผมหมายถึง ผมสอบเข้าเป็นนายทะเบียนเป็นคราวของลอเฟย์ที่มองอย่างว่างเปล่าแทน บางอย่างเริ่มส่งกลิ่นทะแม่งๆแล้วสิ

                “มันไม่แปลกหรอก แต่พวกสายบุ๋นเขาสอบกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนี่เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มขมวดคิ้วราวกับได้ยินภาษาที่เธอเข้าใจ ใช่ไหม? พวกนั้นสอบก่อนเราตลอดนี่เธอหันไปเอาคำยืนยันจากปารีสอืม พวกเด็กใหม่บรรจุกันหมดแล้วด้วย เราถึงได้เห็นหนอนตัวใหม่คลานต้วมเตี้ยมอวดแถบบนบ่ากันเต็มไปหมดว่าแล้วเขาก็เพยิดหน้าไปด้านนอกระเบียงที่มีวิวสวนหย่อมและกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนลองเชิงกับคนในห้องโถงอยู่ อ้า ตำนานคลาสสิคของฝ่ายบริหารและฝ่ายความมั่นคงปารีสแกล้งเพ้อเหมือนพวกสาวรุ่นท่องบทกวี

                “ว่าก็ว่าเถอะ นายล้อเล่นหรือพูดจริงกันแน่ล่ะ

    การแข็งเป็นหินของลอเฟย์ตอบแทนได้ดี

    แต่ยังไงก็หลุดมาทางนี้แล้ว ก็ต้องแล้วกันไปล่ะนะ ได้บรรจุในกองทัพทั้งที พ่อแม่ไม่ผิดหวังนะเพื่อนหนุ่มโอลิมปัสปลอบ ในหัวยิ่งกว่างงที่พ่อผมดำหลุดมาอยู่ตรงนี้ได้

                “ท่าจะพลาดตั้งแต่สอบแล้วล่ะ แต่ผ่านมาได้ก็ถือว่าเก่งแล้วนะ เธอไม่คิดจะลองเข้ากองทัพดูเหรอ?”เฮเลนลูบต้นแขนอย่างเห็นใจ ทว่าคำพูดทั้งหมดของเธอไม่สามารถทะลุโสตประสาทของลอเฟย์ผู้นิ่งงันเป็นรูปปั้นได้เลย เขาเหมือนสติหลุดไม่ต่างจากตอนที่จดหมายปลิวหลุดจากมือ ซ้ำร้ายกว่าคือการตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ในที่ๆเขาแทบไม่รู้อะไรเลย ลอเฟย์ในตอนนี้ราวกับพายุน้ำแข็งที่พร้อมจะขยี้จุดเล็กๆที่ชื่อไนทริคบนแผนที่โลกไม่ว่าเขาจะอยู่ส่วนไหนก็ตาม

                เอาน่า อาจจะสนุกก็ได้ปารีสทั้งเสียวสันหลังทั้งเห็นใจกับความซวยของเพื่อนใหม่ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้แข่งกันละลายรูปปั้น เสียงประกาศที่ดังก้องขึ้นสยบความวุ่นวายทั้งหลาย เหลือเพียงความเงียบสงัดที่สะท้อนคำสั่งที่เป็นดุจประกาศิตซ้ำไปมา เฉียบขาด เรียบกระชับและหนักแน่น ทุกคำราวกับมีก้อนหินถล่มใส่เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

                “ต่อจากนี้จะเป็นการทดสอบของแต่ละกองพัน ขอให้แอซไพรส์ทุกคนเข้าประจำห้องสอบเดี๋ยวนี้!

                และด้วยประโยคนั้นเอง ลอเฟย์แทบจะแข็งเป็นหินขึ้นมาจริงๆ

                เอาจริงสิ...?”

     

    บรรยากาศอันน่าตื่นเต้นและบทสนทนาต่างๆที่กระตุ้นให้หัวใจโลดแล่นไปกับความฝันไม่อาจสร้างความฮึกเหิมให้เขาได้อีกแล้ว ในศีรษะของลอเฟย์เหมือนมีพื้นที่ว่างเปล่าดำมืดที่ตัวของเขาลอยเคว้งไปมา เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป? เขาไม่ใช่คนใจเสาะเสียขนาดนั้น แต่การที่ต้องกลายเป็นทหารไปตลอดชีวิตที่ไม่รู้ความยาวของมันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ เขาจะถูกไล่ออกเพราะความไม่ได้เรื่องก่อนรึเปล่านะ? หรือจะมีชีวิตไปอีกกี่ปี? เด็กหนุ่มใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไปตามส่วนโค้งมนของนกหวีด มันกลายเป็นหนึ่งในนิสัยเล็กๆที่ทำให้เขาสงบ

                เฮเลนกับปารีสแยกไปอีกกองพันหนึ่ง ทั้งสองดูเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้ลงเรือลำเดียวกัน และลอเฟย์เองก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อพวกเขาได้อีกที่ไหน เฮ้อ...ถ้าตอนนี้มีปารีสอยู่ก็ดี เด็กหนุ่มร่างกำยำผู้ที่ภายหลังเขารู้แล้วว่าร่างกายของปารีสยังไม่แก่ขนาดนั้น มีอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีและมีบรรยากาศที่คล้ายกับไนทริค

                “เครื่องรางสวยแอซไพรส์คนข้างๆทัก เพียงภายนอกก็ดูอายุมากกว่าลอเฟย์อยู่หลายปี ต่างจากคนอื่นๆชายคนนี้เหมาะมากที่จะเป็นทหารด้วยใบหน้าดูกร้านและน้ำเสียงกรรโชก ลอเฟย์เหลือบมองสายตาที่บอกว่านั่นไม่ใช่คำชม แล้วยกมุมปากยิ้ม

                “สาวมิดการ์ดบ้านนาที่ปลื้มเจ้ารึ?”เด็กหนุ่มมิดการ์ดขำออกมาเบาๆ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ทันคำเหน็บแนมของอีกฝ่าย คนแบบนี้ไม่ว่าบนฟ้าหรือบนดินก็มีต่างกันเลยสักนิด เขาเผลอผ่อนแรงจับจนเจ้านกหวีดสีสดกลิ้งหลุดจากมือไปไกลโข

    หล่อนไม่ติดใจเจ้าซะแล้วสิคู่สนทนาคนเดิมเอ่ยเยาะเป็นเรื่องขำขัน

    ขอตัวลอเฟย์ไม่สนใจชายคนนั้นมากเท่าของสำคัญที่เป็นของเกรซ ร่างเพรียวลมแทรกตัวผ่านผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เขาย่อตัวลงมองตำแหน่งของมัน

                นั่นไง! แต่ในตอนนั้นเองมือข้างหนึ่งก็หยิบมันขึ้นไป

    “...เดี๋ยวสิ!

                เด็กหนุ่มลุกขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะได้ยืดคอมอง มันก็ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยมือที่ใหญ่และขาวซีด

                “ของเจ้าหรือ?”ผู้ที่เก็บให้เอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาไม่ได้เป็นมิตรแต่ขณะเดียวกันก็ไม่คุกคาม...มันเรียบเฉยราวกับน้ำนิ่ง

    ขอบคุณครับลอเฟย์รีบเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง ลอบสำรวจอีกผ่านสายตาเกรงใจ ชายหนุ่มสูงสง่าในมาดผู้ดี สุภาพเงียบขรึมแต่ดูห้าวหาญในที เรือนผมสีเทาเหมือนกับขี้เถ้า แปลกประหลาดเมื่ออยู่กับใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาล้ำลึกแต่มีแววคุกกรุ่นแฝงอยู่ภายใน ชายหนุ่มผิวขาวซีดคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเจ้าชายในนิทาน

                “อืมชายผมสีเทารับคำตามมารยาท ก่อนจะหันตัวไปอีกทาง ลอเฟย์มองตามชุดที่คล้ายกับเสื้อเกราะอย่างสงสัยพลางได้ยินเสียงเยาะเย้ยดังมากจากที่ไหนสักแห่ง เชอะ พวกหัวสูงเอ้ย ในห้องที่มีเพียงสามสิบกว่าคน มันค่อนข้างเป็นสิ่งที่ชัดเจนเกินกว่าจะยืนฟังอยู่ตรงกลาง            

     “เจ้าหน้าอ่อน ท่านลอร์ดเก็บให้หรือ?”จอมปากมากคนเดิมถามขึ้นอีก

    ครับ ลอร์ดรึ?”เขาทวน แต่ชายกระด้างมิได้ตอบอีก ดูท่าจะสนใจกับลอร์ดท่านนั้นมากกว่า ทันใดนั้นเสียงเคาะระฆังใสกังวานก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกริบ

                “แอซไพรส์ทุกคน! พวกเจ้ามาจากที่ต่างกันทั้งระยะทางและชาติกำเนิด...และอาจมีบางคนในนี้ที่ข้าต้องเรียกว่า ท่าน สหายทั้งหลายพวกเจ้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือการฝึกฝนตนเพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายของเจ้าในที่ต่อๆไป ฉะนั้นเราจะไม่มีการทดสอบอื่นใดอีก พวกเจ้าจะเข้ามายืนในวงนี่ เพื่อวัดสมรรถภาพต่างๆเท่านั้นหัวหน้ากองป่าวประกาศเสียงดัง เขาเดินเป็นวงกลมเพื่อเรียกความสนใจมายังใจกลางห้อง ซึ่งมีฐานวงกลมขนาดใหญ่อยู่ที่พื้นคล้ายกับในห้องหมายเลข 128 เพียงแต่มันเก่าและดูหนากว่าของชแฮนเดอร์

                “พวกเจ้าจะฝึกฝนเหมือนๆกัน และหลังจากนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเจ้าจะได้เป็นอัศวินอันทรงเกียรติ หรือทหารยามที่ภาคภูมิ เพราะอย่างไรเสียทุกคนก็จะต้องฝึกฝนในสำนักของโอดินเสียก่อนเขาเน้นในคำว่าอัศวิน เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเหล่าแอซไพรส์ เมื่อข้าขานชื่อจงก้าวออกมารายงานตัว แล้วเข้าไปในวงแหวนนี่ความลุ้นระทึก ตื่นเต้น ฮึกเหิมก่อตัวขึ้นระหว่างช่องอากาศที่ไหลเวียน หลายคนสูดลมหายใจเข้าเมื่อถึงเวลาที่รอคอยที่จะเริ่มการทดสอบ พวกเขายิ้มอย่างมั่นใจ

    แน่ล่ะ....เว้นเพียงแต่ลอเฟย์

                เบเนดิก อันธาเร่เสียงประกาศสั้นกระชับ หนึ่งในคนที่ยืนล้อมอยู่ก้าวออกมาทันที

    ครับ!”เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับลอเฟย์กระเด้งยืนตัวตรง ติดจะตรงเกินไปด้วยซ้ำ วานด้า น่านฟ้าเอริเชียนผู้กำกับประกาศชื่อเมืองต่อครับ!”เบเนดิกรับคำอย่างตื่นเต้น

    เข้าไปเขาค่อยๆก้าวไปยังวงแหวนภายใต้สายตาจับจ้องลุ้นระทึกจากทุกทิศ เบเนดิกสูดลมหายใจเข้าเมื่อหยุดลงที่กลางวง เส้นรัศมีรอบๆเปล่งแสงสีฟ้าซึ่งเป็นสีประจำของลัสท์เทรล มันวูบวาบอยู่ในทีแรกก่อนที่วงแหวนถัดมาจะเรืองแสงขึ้นตามมา

    แอซไพรส์ระดับสี่! ไปหานายกองได้สิ้นคำประกายเบเนดิกเหมือนพ้นจากน้ำลึก เขาหายใจเข้าด้วยใบหน้าอมยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปยังอีกจุดหนึ่งซึ่งมีสี่เหลี่ยมสีฟ้าลอยอยู่

                “คนต่อไป!

                ลอเฟย์จับจ้องการทดสอบไม่วางตา บางสิ่งในใจของเขาเริ่มพองโตเมื่องมองวงแหวนที่เปล่งแสง เขาจะเป็นระดับไหนนะ? สี่หรือห้า? เวทมนตร์แบบไหนที่รอคอยอยู่? โดยไม่รู้ตัวร่างโปร่งเท้าแขนแตะคางของตนอย่างคนใช้ความคิด แอซไพรส์ข้างๆเขาออกไปแล้ว หมอนั่นได้ระดับห้าแต่ก็มาจากเอริเชี่ยนเหมือนกัน ส่วนมากเป็นระดับสี่หรือห้าเท่านั้น เขาเริ่มเรียนรู้ว่าแอซไพรส์มีทั้งหมดห้าระดับวัดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ถึงได้ระดับห้าเขาก็ไม่เสียใจหรอก แค่วงแหวนนั่นเรืองแสงลอเฟย์ก็แทบจะเต้นแล้ว

    ชั่วเวลานั้นเขาลืมความกังวลที่ตัวเองมีไปก่อนหน้า

                เขากำลังจะเป็นแอซไพรส์ อีกนัยหนึ่งมันเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาเป็นแอซไพรส์

                “อัลเธีย สตาเฟลล์ เดอ อีเซอร์!”เสียงขานชื่อนั้นราวกับคำรามเป็นเพลงเหมือนกับพวกผู้ประกาศตามงานรื่นเริงที่มีน้ำเสียงกำปนาทและเว่อวังเกินขนาด ร่างสูงสง่ามิได้ใส่ใจกับการล้อเลียน เขาก้าวออกไปด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งและมั่นคง ยูโธเปีย น่านฟ้ายูโธเปียนะขอรับผู้ประกาศยังคงเล่นลิ้นต่อไป อัลเธียมองไปทางนายทหารคนนั้นเล็กน้อย ก่อนเดินผ่านเข้าไปในวงแหวนโดยไม่ขานตอบ

                รัศมีวงแรกเปล่งแสงจ้า มันหมุนวนไปรอบๆก่อนที่วงแหวนถัดมาจะสว่างขึ้นด้วยระดับแสงคงที่ สว่างกว่าพวกระดับสี่คนอื่นๆ ไม่ทันที่ใครจะออกเสียงวงที่สามก็กะพริบขึ้น กลายเป็นปราการสีฟ้าล้อมรอบตัวของเขา อัลเธียไม่แสดงสีหน้าใดๆ ชายหนุ่มแตะปลายดาบของตนเองลงกับใจกลางฐานวงแหวน แสงสีฟ้าระเบิดขึ้นพร้อมกันก่อนจะดับลง

                “อัลเธีย สตาเฟลล์ ไนท์ ออฟ วีนัสเขาเอ่ยชื่อตำแหน่งของตนเองขณะเดินผ่านทหารนายนั้นไป เจ้าคนเล่นลิ้นถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

    ระ..ระดับสาม!

               การขานชื่อดำเนินต่อไปอีกอย่างกดดันเมื่อทุกสายตายังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผมสีเทา

                “ลอเฟย์ ไลน์สเตรจน์เขาสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินชื่อของตนเอง ความตื่นเต้นที่มอดหายไปเมื่อครู่กลับพองโตคับหัวใจ ลอเฟย์ก้าออกไปช้าๆ รู้สึกว่าฝีเท้าของตัวเองไร้น้ำหนัก เขาหลบสายตาในห้องที่มักจะจับจ้องมายังผู้ทดสอบเสมอเหมือนที่เขาเองก็ทำ แต่เมื่อสลับบทบาทกันมันหลายเป็นมีดที่พร้อมจะทิ่มแทงได้ทุกเมื่อ

    เซมิเนีย น่านฟ้ายูโธเปีย

                ครับลอเฟย์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมคราม แต่ละลมหายใจที่สูดเข้าปอดราวกับลูกพายุ เขาย่างเข้าไปในวงแหวนช้าๆและหยุดลงที่ตรงกลางเหมือนคนอื่น ดงตาสีน้ำเงินปิดสนิททันทีที่ถึงใจกลาง รอว่าอะไรจะเกิดขึ้นในหนึ่งวินาทีที่ยาวนาน

                ทว่า....มันไม่ใช่ความรู้สึกของเขา เวลาผ่านไปหลายวินาที ไม่มีแสงเรืองขึ้นจากวงแหวนแม้แต่วงริมสุด

                บางอย่างในอกของเขาถูกเจาะเป็นรู เขาเริ่มกลัวเมื่อเสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ช้าผู้คุมเครื่องมือก็เดินเข้ามาหาเขา สีหน้าของชายวัยชราคนงุนงงไม่ต่างกัน

                “ลองอีกครั้งสิผู้คุมสั่ง ลอเฟย์พยายามตีหน้าสงบ เขาก้าวออกมาแล้วกลับเข้าไปใหม่เพื่อพบกับผลลัพธ์แบบเดิม เสียงสบถดังใกล้ๆเมื่อผู้คุมดึงแขนของเขาออกมา แสงเรืองขึ้นเมื่อตัวชายแก่เข้าไปยืนไม่ต่างจากคนอื่นๆหากแต่มันไม่เกิดขึ้นเมื่อลอเฟย์อยู่ในนั้น

                “หมายความว่ายังไง?!”ผู้คุมทั้งสองคนหันมามองหน้ากันจากระยะทาง นายทหารคนเดิมดูไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ต้องยอมล่าถอยออกไป ตอนนี้เสียงกระซิบเหล่านั้นยิ่งดังขึ้นไปอีก แม้แต่อัลเธียเองก็ผละตัวจากผนังเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น

    ไม่เคยมีมาก่อนสีหน้าของชายแก่เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มขมวดคิ้ว พึมพำคำศัพท์ที่ลอเฟย์ไม่เข้าใจ

    ความหวั่นใจกำลังคลานเข้าหาเขามันตรึงขาทั้งสองข้างไม่ให้ขยับ ความกลัวโรยตัวลงบนบ่า แทรกซึมผ่านชั้นอาภรณ์ ไหลลื่นเหมือนแม่น้ำดูดหัวใจของลอเฟย์ลงไปหากระแสเย็นเยียบ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากมองไปยังผู้คุม ภาวนาให้บางสิ่งเกิดขึ้น

                “เจ้ามาจากห้องไหน!?”ทหารคนนั้นถามลั่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ลอเฟย์ที่ผงะถอยหลัง

    ห้อง...?”เด็กหนุ่มทวน วินาทีนั้นเขาไม่ทันได้ตอบคำถาม นายช่างสูงวัยก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวก่อน กล่องโลหะที่ถูกเปิดฝายื่นมาตรงหน้าเขา วัตถุทรงรีเหมือนเมล็ดข้าวขนาดใหญ่เรืองแสงสีส้มทอง มันลอยขึ้นมาในอากาศแล้วค่อยๆเคลื่อนมาทางเขาในขณะที่ผู้คุมต้อนมันด้วยกล่อง เขาเพ่งมองลอเฟย์สลับกับเจ้าสิ่งนั้นอย่างไม่ละสายตา เมื่อใกล้ถึงระยะของเด็กหนุ่ม มันร่วงหล่นพื้นทันทีเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต

    ทุกคนในห้องนิ่งงัน ผู้คุมทั้งสองก้มดูเมล็ดสีส้มด้วยสายตาผิดหวัง พร่ำคำถามด้วยความไม่เข้าใจ

    เมล็ดอาเคเนียไม่แม้แต่จะงอกมือที่ผ่านโลกมานานกว่าช้อนมันขึ้นจากพื้น ในฝ่ามือของเขาต้นอ่อนเล็กๆปริยอดออกมาพร้อมกับที่มันกลับมาเรืองแสงเหมือนเดิม ดอกไม้ที่ดูดซึมพลังงานต่างๆเป็นอาหารเสียงใครบางคนพึมพำขึ้น

                “ไม่ใช่เพียงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เจ้าหนุ่ม! เจ้าไร้ซึ่งเทพฤทธิ แอซที่สถิตในกายของเทพอีเซอร์!”เพียงคำสรุปของชายแก่เสียงพึมพำต่างๆกลายเป็นไม่เชื่อถือและดูถูก ดังจากทั่วสารทิศเหมือนถูกล้อมด้วยพายุ

                ในตอนนี้ลอเฟย์เข้าสู่สถานการณ์ลำบากแล้ว

                “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ ลัสท์เทรลจะรับคนแบบนี้หรือ?”แอซไพรส์คนหนึ่งตะโกนถาม ท่านลุงข้าขอแนะนำให้พิสูจน์เรื่องนี้ให้ดี!”นายกองกระแทกเสียงขึ้นมาทันที หลายเสียงโต้ตอบกัน เหมือนกับการตอกค้อนย้ำหัวตะปูที่กลางอกเขา ลอเฟย์นิ่งงัน เหงื่อเย็นไหลรวมกันเป็นเม็ด

                เพราะอะไร? ทำไมกัน?

    ดูประวัติได้หรือยัง?”ผู้คุมถอนหายใจ เขาขวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดเมื่อได้รับคำตอบจากผู้ช่วย ดูได้ครับท่าน แต่ทะเบียนขอเจ้าหนุ่มนี่ถูกสั่งห้ามร้องเรียน ทำยังไงก็ปลดไม่ได้เลยครับ!

                “หมายความว่ายังไง?”ตั้งแต่อยู่มาจะเป็นร้อยปีเขาพึ่งเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก มือของผู้คุมกระชากจอแสงมาดูอย่างรวดเร็ว ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ไม่มีปูมหลัง ไม่มีการเพิกถอน นี่มันบรรจุเต็มขั้นในลัสท์เทรลชัดๆ! แค่จะยื่นเรื่องไปยังทำไม่ได้

                “ท่านครับ เขาเข้าสอบทั้งสามระดับ และสอบผ่านภาคทฤษฏีพิเศษห้องหมายเลข 79 มาได้ด้วยคะแนน 98 เปอร์เซ็นต์....นี่มันเกือบจะสูงสุดในรอบนี้ด้วยซ้ำผู้ช่วยลดเสียงพูดเมื่อเห็นว่าประเด็นเริ่มจะไปกันใหญ่

    ใครรับรองให้เขา?”ชายแก่มองที่จอภาพสลับกับเจ้าของกรณีที่ยืนนิ่งเป็นศพ ลอเฟย์มั่นใจว่าเขาไปสอบแค่ครั้งเดียว ภาคอะไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือเขาไม่ได้เข้าสอบห้อง 79!

                ให้ตายเถอะโอดิน! หากมีใครที่เคยสอบที่ห้องนั้นยืนอยู่จะต้องรู้ว่าเขาไม่เคยไปที่นั่นด้วยซ้ำ แม้แต่วันเดียวก็ตาม พิรุธที่เพิ่งเปิดเผยทำให้ความตระหนกในหัวเขาสงบลง ความหวาดระแวงมีอำนาจมากกว่าและเปิดทางให้ปัญญาทำงานเพื่อเอาตัวรอด เนียนเข้าไว้ลอเฟย์เอ๋ย! แหม ออกจะน่าเสียดายที่ไม่ได้ดีใจกับคะแนนสอบ

                “ท่านนี้ครับผู้ช่วยมือใหม่ชี้ไปที่ชื่อผู้รับรอง จากภาพที่เกิดขึ้นทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ลอเฟย์ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเขาที่กระชันและรุนแรงอยู่ภายใน เป็นเวลานานที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก หัวหน้าผู้คุมเดินกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์บางอย่างในมือ

                วงแหวนขนาดเท่าศีรษะลอยอ้อยอิ่งระดับหน้าอกของเขา มันส่งเสียงหึ่งๆเมื่อขยับซ้ายขวาพร้อมกับฉายลำแสงสีฟ้าไปด้วย เขาสังเกตได้ว่าผู้คุมมองพื้นอยู่บ่อยครั้งและพึมพำโดยไร้เสียงราวกับพยายามยอมรับสิ่งเลวร้ายบางอย่างมากกว่าสนใจอณูเล็กๆที่ก่อตัวตามจุดต่างๆของร่างกาย

                “ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ในที่สุดชื่อของเขาก็ถูกกล่าวขึ้นอีก คราวนี้ด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างไม่ปิดบัง เจ้ายังเป็นแอซไพรส์ เป็นอย่างไม่มีข้อสงสัยหัวหน้าผู้คุมไล่สายตาไปตามขอบของวงแหวนที่ก่อตัวเป็นข้อมูลบางอย่างและหยุดลงที่ใบหน้าหมองหม่นของลอเฟย์ นายทหารพ่นลมและสบถทันทีที่ได้ยิน

                “แต่จากสาเหตุที่เจ้าไม่มีเวทมนตร์หรืออำนาจพิเศษอื่นๆ ทำให้ข้าไม่สามารถตราระดับชั้นของเจ้าได้ เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลัสท์เทรลและในประวัติศาสตร์ กระนั้นข้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขับไล่เจ้า เพราะลัสท์เทรลคือบ้านของแอซไพรส์ทุกคน ดั่งเช่นที่โอดินเป็นบิดาของพวกเจ้าเขาหันไปกล่าวท่อนสุดท้ายต่อเหล่าแอซไพรส์ด้วยน้ำเสียงดังก้อง ก่อนจะหันมายังลอเฟย์

                “ตราเขาเป็นระดับ 0”ด้วยคำสั่งสั้นๆ วงแหวนนั้นครอบเหนือข้อมือที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมประทับอยู่มันหมุนเร็วราวกับสว่านและกดประทับลงบนเนื้อของเขา ก่อนที่เกจสามเหลี่ยมจะกระพริบแสงขึ้น แรงกดของมันไม่เจ็บเหมือนตอนที่ชแฮนเดอร์ประทับเกจลงไปครั้งแรก แต่เมื่อแรงสะเทือนนั้นปะทะผิวเนื้อ และเลข 0 เดินแสงขึ้นมา

                บางอย่างในตัวลอเฟย์ดับลง

                จบเรื่องแล้ว ทำหน้าที่พรุ่งนี้ให้ดีล่ะผู้คุมกล่าว มีความเหน็ดเหนื่อยแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา หัวหน้ากองพันเค่นเสียงหัวเราะหึ ก่อนจะก้าวออกไปโดยทิ้งสายตาคาดโทษเอาไว้ ดีใจด้วยล่ะพ่อคนพิเศษ

     ขณะที่แอซไพรส์ทั้งหมดค่อยๆทยอยหายไปหลังบานประตูโดยไม่มีใครหันหลังมามองเขาอีก พวกผู้คุมออกไปอีกประตูหนึ่ง ลอเฟย์เห็นความผิดหวังบนใบหน้าของชายชรา

                ที่แท้พวกเขาไม่ได้เศร้าใจกับเด็กหนุ่ม แต่เป็นชะตากรรมของลัสท์เทรลที่ได้รับคนพิกลพิการมาต่างหากที่พวกเขาอุทิศความโศกเศร้าให้




    --------------------------------------

    ค่ะ เชิญรุมผู้เขียนกันได้เต็มที่เลยค่ะ ชะตากรรมของพระเอกมันก็ต้องโหดร้ายเสมอแบบนี้ล่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×