คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : 16th Tale : กลับตาลปัตร
ยามเช้ามาถึงเร็วกว่าที่คิด
หลังจากค่ำคืนที่ยาวนานและการพยายามข่มตาหลับครั้งแล้วครั้งเล่า
แสงอรุณของวันใหม่ก็ทักทายเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
โถงรวมพลคลาคล่ำไปด้วยแอซไพรส์ทุดประเภท
สร้างความตื่นตาไม่น้อยให้กับลอเฟย์ที่ยืนหลบมุมอยู่ข้างเสาหินอ่อนมีขาวเทาต้นใหญ่
เขาแอบเหลือบมองหญิงสาวสวยสมบูรณ์เหมือนกับรูปปั้นและผู้ชายอีกคนท่าทางภูมิฐานถือมาดคุณชาย
ผิวของเขาซีดไม่ต่างจากผมสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพอีเซอร์
ลอเฟย์ลูบแถบใสที่ข้อมือเบาๆ ตัวอักษรต่างๆปรากฏเป็นแถวคล้ายกระดานขนาดจิ๋วเหนือตำแหน่งตรา
พวกมันหมุนเปลี่ยนไปในอากาศเรื่อยเปื่อยตามการเล่นของลอเฟย์ จู่ๆลูกศรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางซ้าย
อาการกระพริบของมันทำดูเหมือนเร่งรีบอย่างบอกไม่ถูก
“หืม?”
หัวคิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน
แรงเสียดทานในอากาศพุ่งผ่านเขาไปราวกับลูกธนูห่างจากใบหน้าของเขาเพียงนิดเดียว
ขนาดที่ทำให้ผมสีดำกระจายยุ่งเหยิงไปหมด
“เฮ้ย!”เขาเบิกตากว้าง
ริมปีฝากประกับกันเป็นเส้นตรง
ใบหน้าที่คล้ายจะนิ่งสนิทหันไปทางด้านซ้ายของตัวเอง
อีกฝั่งหนึ่งของเสาต้นใหญ่ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
แน่นอนว่าคงเป็นเจ้าของเสียงที่โดนดาวหางเมื่อครู่เข้าไปเต็มๆ
“นี่มันป่าเถื่อนไปหน่อยนะแม่คุณ!”เขาเคลื่อนตัวออกมาให้เห็นได้เต็มที่ ดูสีหน้าแล้วหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียว
ลอเฟย์เหลือบมองคนข้างๆที่ยืนห่างๆกันในชุดสีน้ำตาลอ่อนที่คล้ายกับสาวสวยคนก่อนหน้า
ทั้งสองมีโครงหน้าคมชัดเหมือนกัน แม้จะไม่น่ามองเท่าหล่อน
แต่กล้ามเนื้อบึกบึนสมชายก็ทำให้อีกฝ่ายมีความคล้ายคลึงกับพวกงานศิลปะอยู่บ้าง
“โอ๊ะ นั่นไงเจอแล้ว”เสียงใสดังขึ้นต่อกันแทบจะทันที เด็กสาวคนหนึ่งฝ่าผู้คนมาโผล่ตรงหน้าเสา “ฉันคิดว่าจะหานายอยู่พอดี แต่ซีซาร์คงจะดีใจมากนะ
มันกระโจนไปก่อนฉันจะทันเรียกเสียอีก”เธอพูดจ้อยโดยไม่สนใจสีหน้าของชายหนุ่ม
หรืออาจจะเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ให้ตายเถอะ! ถ้าฉันเดี้ยงไปก่อนรอบสองจะทำยังไง?”
“ปารีสนายมันถึกเหมือนวัว
อย่าสำออยได้ไหม!”เฮเลนทำหน้ารำคาญปนรังเกียจ “แต่คนรอบๆนี้เขาไม่ได้ถึกเถื่อนเหมือนเธอนะ”ปารีสชี้นิ้วไปรอบๆ
โดยไม่ทันสังเกตว่าการโต้เถียงพาพวกเขามาใกล้กับลอเฟย์ที่มองอยู่เงียบๆ
ดูเหมือนเฮเลนจะเป็นฝ่ายหยุดปากและสายตาได้ก่อน
“ก็เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ใช่วัวแบบนายนี่นะ เธอเป็นเพื่อนเขาเหรอ?
ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันไปชนคนอื่นหรอก”เธอยิ้มให้
เปลี่ยนน้ำเสียงในทันที รอยยิ้มทำใบหน้าทรงรีดูอ่อนลง ลอเฟย์พึ่งเห็นว่านอกจากลักษณะการพูดแล้วเฮเลนยังทำผมทรงเดียวกับเกรซอีกด้วย
เรียกได้ว่าถ้าไม่นับส่วนอื่นๆ น้องสาวตัวแสบคงจะโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ไม่ผิดเพี้ยน
“เปล่าหรอก ผมแค่ยืนอยู่ตรงนี้เฉยๆ เอ่อ..”จะว่าไปเขาจะยืนฟังชาวบ้านเถียงกันอยู่ทำไมนะ
ลอเฟย์หน้าเจื่อนเบาๆ แต่ยังไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้ถามอะไรต่อร่างของเขาก็ปลิวไปหาชายหนุ่มคนแรกอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อันที่จริงก็ไม่รู้จักหรอก
แต่รู้จักกันไว้ก็ดี! ฉันชื่อปารีส สปาเลโตส แล้วนายล่ะ?”ปารีสกอดคออย่างสนิทสนมพลางยักคิ้วให้เพื่อนสาว
ทำเอาลอเฟย์ตัวแข็งกับความใกล้ชิดที่รวดเร็วเกินพิกัด สายตาพยายามสอดส่องรอบด้าน แต่ก็ไม่เห็นใครๆจะเอะใจ
หรือว่าที่ลัสท์เทรลทักทายกันแบบนี้หรือ?
“ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์”เขาหันไปตอบพลางจับมืออีกข้างที่ถูกยืนมาให้
เป็นท่าจับมือที่ประหลาดของคนพึ่งรู้จักกันแต่ดันกอดคอไปแล้วข้างหนึ่ง
“หน้าตาแหวกแนวดีนะ
มาจากไหนเนี่ย? ยามารึ?”สีหน้าของปารีสไม่มีแววล้อเลียน
อีกฝ่ายมองเขาสบายๆด้วยระดับความสูงที่ใกล้เคียงกันยิ่งทำให้ใบหน้าของลอเฟย์ที่อยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ประหลาดขึ้นไปอีก
“น่านฟ้ายูโธเปียครับ”ได้รับคำตอบเป็นเสียงหื้มยาวๆ
“อ้าว
แล้วหางเปียไปไหนล่ะ?”
“ใต้น่านฟ้าครับ”เด็กหนุ่มผมดำตอบสั้นๆ
“มิน่าล่ะ หน้าตาไม่ค่อยเหมือนพวกจิ้งจก”พูดเสร็จก็หัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองแอซไพรส์มาดคุณชายที่ดูก็รู้ว่ามาจากยูโธเปีย ทำผมเปียจริงๆด้วยแฮะ
“ทีนี้เป็นฉันแทนที่อายจะตายแล้ว”เฮเลนกลอกตา ถอนหายใจยาวๆ “ขอโทษทีๆ
นี่สาวงามแห่งเมืองทรอย”ปารีสผายมือไปหาเธออย่างล้อเลียน
จนหล่อนต้องยิ้มหวานๆแล้วบิดข้อมือจอมกวนประสาทเข้าสักที
“โอ้ยยยยย”
“เฮเลน ไฮเลอีนิส
อย่างที่ได้ยินฉันมาจากกรุงทรอย น่านฟ้าโอลิมปัส เรามาจากมิดการ์ดเหมือนกันเลยนะ”เธอเริ่มแนะนำตัวโดยไม่ยอมปล่อยมือของปารีส ลอเฟย์ยิ้มตอบ
อุ่นใจขึ้นที่มีคนจากมิดการ์ด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมหานครใหญ่ของทวีปก็ตาม เขาคิดในใจโดยลืมไปว่าเซมิเนียเองก็เป็นแคว้นใหญ่ของน่านฟ้าเหนือเช่นกัน
“ส่วนฉันมาจากโอลิมปัสแท้ๆ หนุ่มสุดหล่อจากภาคตะวันตกเลยล่ะ”ปารีสตบไหล่เพื่อนใหม่แรงๆ “นายเองก็หน้าตาดีนะ
แต่แบบแปลกๆหน่อย สาวๆมองตรึม”เขาหยักเพยิดให้ลอเฟย์มองไปรอบๆ
แอซไพรส์ไม่น้อยมีทั้งแอบมองและจ้องมองทางพวกเขา
“ผมว่าเพราะเราส่งเสียงดังมากกว่า”เด็กหนุ่มตอบเบี่ยง หวังว่าคงไม่ได้มองเพราะความบ้านนอกและเสื้อผ้ามือสองใช่ไหม?
นี่เขากลายเป็นพวกไม่มั่นใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
“ไม่หรอก
แค่ผมสีดำก็แปลกจะแย่แล้ว”เฮเลนเดินมาหยุดที่อีกข้างหนึ่ง
พินิจไปรอบๆก็จริงอย่างที่เธอว่า
ไม่มีใครในโถงนี้หรือแม้แต่ที่เขาเห็นบนลัสท์เทรลมีผมสีดำเลยสักคน “แอซไพรส์ไม่ค่อยมีผมสีดำหรอก บ้างก็ว่าเป็นสีของโชคร้าย อ้ะ! แต่เธอไม่ต้องกังวลใจไปหรอก ฉันว่าเธอหล่อมากๆเลย”เด็กสาวพิจารณาใบหน้ากลมกลึงและดวงตาคมรีใต้ชั้นตาหนา
“ตาก็สีประหลาด แต่มันสวยมากนะ ฉันแค่ไม่เคยเห็น”หล่อนเขย่งมอง ไม่ปิดบังความปลาบปลื้มที่มีต่อเพื่อนใหม่...หรือชัดๆคือหน้าตาของเพื่อนใหม่
“เอ่อ...ครับ
ขอบคุณ”นั่นคือทั้งหมดที่เขาตอบ ไม่นานเขาก็เริ่มชินกับการทุ่มเถียงกันของทั้งคู่
แม้ว่าจะตามไม่ค่อยทันกับหัวข้อที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา
“ดีมากสหายนายกับฉัน
เราจะเป็นคู่หูที่เจ๋งที่สุดในลัสท์เทรล ผู้ชายในเครื่องแบบหล่อสองเท่าอยู่แล้ว
นี่ไม่นับว่าเป็นเครื่องแบบทหารของลัสท์เทรลนะ!”ปารีสป้องปากร้องหลังจากมีสาวสวยบาดใจหัวร่อต่อกระซิกให้เขา
เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างขำๆ
“น่าเสียดายที่ผมไม่ได้สมัครเข้ากองทัพ”ลอเฟย์ปฏิเสธก่อนที่คู่หูของเขาจะคิดอะไรไปไกลกว่านั้น
เฮเลนกับปารีสเงียบไปทันที พวกเขาหันมามองหน้าลอเฟย์จนเด็กหนุ่มเริ่มกระอักกระอ่วน
“ผมมาผิดที่หรือเปล่า?”เขาถามด้วยเหตุผลทั้งหมดในหัว
โอ้ หวังว่าพวกเขาจะไม่กีดกั้นลอเฟย์เพราะเป็นพวกหนอนหนังสืออย่างที่ไนทริคชอบว่า
นี่เขาไม่ได้กำลังจะเสียแอซไพรส์สองคนแรกที่รู้จักไปใช่ไหม? ไม่นับจาเวิร์ดกับชแฮนเดอร์แน่นอน ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เอาน่า....
สายตาเหมือนมองตัวประหลาดของเฮเลนไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย
หลังจากหกวินาทีที่เหมือนหกชั่วโมง ปารีสก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา
“นายนี่มีมุกเด็ดเหมือนกันนี่! เอาจริงๆฉันเกือบจะตามไม่ทันเลย”
“ผมหมายถึง
ผมสอบเข้าเป็นนายทะเบียน”เป็นคราวของลอเฟย์ที่มองอย่างว่างเปล่าแทน
บางอย่างเริ่มส่งกลิ่นทะแม่งๆแล้วสิ
“มันไม่แปลกหรอก แต่พวกสายบุ๋นเขาสอบกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนี่”เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มขมวดคิ้วราวกับได้ยินภาษาที่เธอเข้าใจ “ใช่ไหม? พวกนั้นสอบก่อนเราตลอดนี่”เธอหันไปเอาคำยืนยันจากปารีส “อืม พวกเด็กใหม่บรรจุกันหมดแล้วด้วย
เราถึงได้เห็นหนอนตัวใหม่คลานต้วมเตี้ยมอวดแถบบนบ่ากันเต็มไปหมด”ว่าแล้วเขาก็เพยิดหน้าไปด้านนอกระเบียงที่มีวิวสวนหย่อมและกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนลองเชิงกับคนในห้องโถงอยู่
“อ้า ตำนานคลาสสิคของฝ่ายบริหารและฝ่ายความมั่นคง”ปารีสแกล้งเพ้อเหมือนพวกสาวรุ่นท่องบทกวี
“ว่าก็ว่าเถอะ นายล้อเล่นหรือพูดจริงกันแน่ล่ะ”
การแข็งเป็นหินของลอเฟย์ตอบแทนได้ดี
“แต่ยังไงก็หลุดมาทางนี้แล้ว
ก็ต้องแล้วกันไปล่ะนะ ได้บรรจุในกองทัพทั้งที พ่อแม่ไม่ผิดหวังนะเพื่อน”หนุ่มโอลิมปัสปลอบ ในหัวยิ่งกว่างงที่พ่อผมดำหลุดมาอยู่ตรงนี้ได้
“ท่าจะพลาดตั้งแต่สอบแล้วล่ะ แต่ผ่านมาได้ก็ถือว่าเก่งแล้วนะ เธอไม่คิดจะลองเข้ากองทัพดูเหรอ?”เฮเลนลูบต้นแขนอย่างเห็นใจ
ทว่าคำพูดทั้งหมดของเธอไม่สามารถทะลุโสตประสาทของลอเฟย์ผู้นิ่งงันเป็นรูปปั้นได้เลย
เขาเหมือนสติหลุดไม่ต่างจากตอนที่จดหมายปลิวหลุดจากมือ
ซ้ำร้ายกว่าคือการตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ในที่ๆเขาแทบไม่รู้อะไรเลย ลอเฟย์ในตอนนี้ราวกับพายุน้ำแข็งที่พร้อมจะขยี้จุดเล็กๆที่ชื่อไนทริคบนแผนที่โลกไม่ว่าเขาจะอยู่ส่วนไหนก็ตาม
“เอาน่า อาจจะสนุกก็ได้”ปารีสทั้งเสียวสันหลังทั้งเห็นใจกับความซวยของเพื่อนใหม่
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้แข่งกันละลายรูปปั้น
เสียงประกาศที่ดังก้องขึ้นสยบความวุ่นวายทั้งหลาย เหลือเพียงความเงียบสงัดที่สะท้อนคำสั่งที่เป็นดุจประกาศิตซ้ำไปมา
เฉียบขาด เรียบกระชับและหนักแน่น
ทุกคำราวกับมีก้อนหินถล่มใส่เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ต่อจากนี้จะเป็นการทดสอบของแต่ละกองพัน
ขอให้แอซไพรส์ทุกคนเข้าประจำห้องสอบเดี๋ยวนี้!”
และด้วยประโยคนั้นเอง ลอเฟย์แทบจะแข็งเป็นหินขึ้นมาจริงๆ
“เอาจริงสิ...?”
บรรยากาศอันน่าตื่นเต้นและบทสนทนาต่างๆที่กระตุ้นให้หัวใจโลดแล่นไปกับความฝันไม่อาจสร้างความฮึกเหิมให้เขาได้อีกแล้ว
ในศีรษะของลอเฟย์เหมือนมีพื้นที่ว่างเปล่าดำมืดที่ตัวของเขาลอยเคว้งไปมา
เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป? เขาไม่ใช่คนใจเสาะเสียขนาดนั้น
แต่การที่ต้องกลายเป็นทหารไปตลอดชีวิตที่ไม่รู้ความยาวของมันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่
เขาจะถูกไล่ออกเพราะความไม่ได้เรื่องก่อนรึเปล่านะ? หรือจะมีชีวิตไปอีกกี่ปี? เด็กหนุ่มใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไปตามส่วนโค้งมนของนกหวีด
มันกลายเป็นหนึ่งในนิสัยเล็กๆที่ทำให้เขาสงบ
เฮเลนกับปารีสแยกไปอีกกองพันหนึ่ง
ทั้งสองดูเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้ลงเรือลำเดียวกัน
และลอเฟย์เองก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อพวกเขาได้อีกที่ไหน เฮ้อ...ถ้าตอนนี้มีปารีสอยู่ก็ดี
เด็กหนุ่มร่างกำยำผู้ที่ภายหลังเขารู้แล้วว่าร่างกายของปารีสยังไม่แก่ขนาดนั้น
มีอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีและมีบรรยากาศที่คล้ายกับไนทริค
“เครื่องรางสวย”แอซไพรส์คนข้างๆทัก
เพียงภายนอกก็ดูอายุมากกว่าลอเฟย์อยู่หลายปี
ต่างจากคนอื่นๆชายคนนี้เหมาะมากที่จะเป็นทหารด้วยใบหน้าดูกร้านและน้ำเสียงกรรโชก
ลอเฟย์เหลือบมองสายตาที่บอกว่านั่นไม่ใช่คำชม แล้วยกมุมปากยิ้ม
“สาวมิดการ์ดบ้านนาที่ปลื้มเจ้ารึ?”เด็กหนุ่มมิดการ์ดขำออกมาเบาๆ
เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ทันคำเหน็บแนมของอีกฝ่าย
คนแบบนี้ไม่ว่าบนฟ้าหรือบนดินก็มีต่างกันเลยสักนิด เขาเผลอผ่อนแรงจับจนเจ้านกหวีดสีสดกลิ้งหลุดจากมือไปไกลโข
“หล่อนไม่ติดใจเจ้าซะแล้วสิ”คู่สนทนาคนเดิมเอ่ยเยาะเป็นเรื่องขำขัน
“ขอตัว”ลอเฟย์ไม่สนใจชายคนนั้นมากเท่าของสำคัญที่เป็นของเกรซ
ร่างเพรียวลมแทรกตัวผ่านผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เขาย่อตัวลงมองตำแหน่งของมัน
นั่นไง!
แต่ในตอนนั้นเองมือข้างหนึ่งก็หยิบมันขึ้นไป
“...เดี๋ยวสิ!”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะได้ยืดคอมอง
มันก็ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยมือที่ใหญ่และขาวซีด
“ของเจ้าหรือ?”ผู้ที่เก็บให้เอ่ยถาม
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เป็นมิตรแต่ขณะเดียวกันก็ไม่คุกคาม...มันเรียบเฉยราวกับน้ำนิ่ง
“ขอบคุณครับ”ลอเฟย์รีบเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง ลอบสำรวจอีกผ่านสายตาเกรงใจ ชายหนุ่มสูงสง่าในมาดผู้ดี สุภาพเงียบขรึมแต่ดูห้าวหาญในที
เรือนผมสีเทาเหมือนกับขี้เถ้า แปลกประหลาดเมื่ออยู่กับใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่น
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาล้ำลึกแต่มีแววคุกกรุ่นแฝงอยู่ภายใน
ชายหนุ่มผิวขาวซีดคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเจ้าชายในนิทาน
“อืม” ชายผมสีเทารับคำตามมารยาท
ก่อนจะหันตัวไปอีกทาง
ลอเฟย์มองตามชุดที่คล้ายกับเสื้อเกราะอย่างสงสัยพลางได้ยินเสียงเยาะเย้ยดังมากจากที่ไหนสักแห่ง
“เชอะ พวกหัวสูงเอ้ย”
ในห้องที่มีเพียงสามสิบกว่าคน
มันค่อนข้างเป็นสิ่งที่ชัดเจนเกินกว่าจะยืนฟังอยู่ตรงกลาง
“เจ้าหน้าอ่อน
ท่านลอร์ดเก็บให้หรือ?”จอมปากมากคนเดิมถามขึ้นอีก
“ครับ ลอร์ดรึ?”เขาทวน แต่ชายกระด้างมิได้ตอบอีก ดูท่าจะสนใจกับ‘ลอร์ด’ท่านนั้นมากกว่า ทันใดนั้นเสียงเคาะระฆังใสกังวานก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกริบ
“แอซไพรส์ทุกคน!
พวกเจ้ามาจากที่ต่างกันทั้งระยะทางและชาติกำเนิด...และอาจมีบางคนในนี้ที่ข้าต้องเรียกว่า ‘ท่าน’ สหายทั้งหลายพวกเจ้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน
นั่นคือการฝึกฝนตนเพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายของเจ้าในที่ต่อๆไป
ฉะนั้นเราจะไม่มีการทดสอบอื่นใดอีก พวกเจ้าจะเข้ามายืนในวงนี่
เพื่อวัดสมรรถภาพต่างๆเท่านั้น”หัวหน้ากองป่าวประกาศเสียงดัง
เขาเดินเป็นวงกลมเพื่อเรียกความสนใจมายังใจกลางห้อง
ซึ่งมีฐานวงกลมขนาดใหญ่อยู่ที่พื้นคล้ายกับในห้องหมายเลข 128
เพียงแต่มันเก่าและดูหนากว่าของชแฮนเดอร์
“พวกเจ้าจะฝึกฝนเหมือนๆกัน
และหลังจากนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเจ้าจะได้เป็นอัศวินอันทรงเกียรติ
หรือทหารยามที่ภาคภูมิ เพราะอย่างไรเสียทุกคนก็จะต้องฝึกฝนในสำนักของโอดินเสียก่อน”เขาเน้นในคำว่าอัศวิน เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเหล่าแอซไพรส์ “เมื่อข้าขานชื่อจงก้าวออกมารายงานตัว แล้วเข้าไปในวงแหวนนี่”ความลุ้นระทึก ตื่นเต้น ฮึกเหิมก่อตัวขึ้นระหว่างช่องอากาศที่ไหลเวียน
หลายคนสูดลมหายใจเข้าเมื่อถึงเวลาที่รอคอยที่จะเริ่มการทดสอบ
พวกเขายิ้มอย่างมั่นใจ
แน่ล่ะ....เว้นเพียงแต่ลอเฟย์
“เบเนดิก อันธาเร่”เสียงประกาศสั้นกระชับ หนึ่งในคนที่ยืนล้อมอยู่ก้าวออกมาทันที
“ครับ!”เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับลอเฟย์กระเด้งยืนตัวตรง
ติดจะตรงเกินไปด้วยซ้ำ “วานด้า น่านฟ้าเอริเชียน”ผู้กำกับประกาศชื่อเมืองต่อ “ครับ!”เบเนดิกรับคำอย่างตื่นเต้น
“เข้าไป” เขาค่อยๆก้าวไปยังวงแหวนภายใต้สายตาจับจ้องลุ้นระทึกจากทุกทิศ
เบเนดิกสูดลมหายใจเข้าเมื่อหยุดลงที่กลางวง
เส้นรัศมีรอบๆเปล่งแสงสีฟ้าซึ่งเป็นสีประจำของลัสท์เทรล
มันวูบวาบอยู่ในทีแรกก่อนที่วงแหวนถัดมาจะเรืองแสงขึ้นตามมา
“แอซไพรส์ระดับสี่! ไปหานายกองได้”สิ้นคำประกายเบเนดิกเหมือนพ้นจากน้ำลึก
เขาหายใจเข้าด้วยใบหน้าอมยิ้ม
ก่อนจะเดินออกไปยังอีกจุดหนึ่งซึ่งมีสี่เหลี่ยมสีฟ้าลอยอยู่
“คนต่อไป!”
ลอเฟย์จับจ้องการทดสอบไม่วางตา
บางสิ่งในใจของเขาเริ่มพองโตเมื่องมองวงแหวนที่เปล่งแสง เขาจะเป็นระดับไหนนะ?
สี่หรือห้า? เวทมนตร์แบบไหนที่รอคอยอยู่?
โดยไม่รู้ตัวร่างโปร่งเท้าแขนแตะคางของตนอย่างคนใช้ความคิด
แอซไพรส์ข้างๆเขาออกไปแล้ว หมอนั่นได้ระดับห้าแต่ก็มาจากเอริเชี่ยนเหมือนกัน
ส่วนมากเป็นระดับสี่หรือห้าเท่านั้น
เขาเริ่มเรียนรู้ว่าแอซไพรส์มีทั้งหมดห้าระดับวัดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน
ถึงได้ระดับห้าเขาก็ไม่เสียใจหรอก แค่วงแหวนนั่นเรืองแสงลอเฟย์ก็แทบจะเต้นแล้ว
ชั่วเวลานั้นเขาลืมความกังวลที่ตัวเองมีไปก่อนหน้า
เขากำลังจะเป็นแอซไพรส์
อีกนัยหนึ่งมันเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาเป็นแอซไพรส์
“อัลเธีย สตาเฟลล์ เดอ อีเซอร์!”เสียงขานชื่อนั้นราวกับคำรามเป็นเพลงเหมือนกับพวกผู้ประกาศตามงานรื่นเริงที่มีน้ำเสียงกำปนาทและเว่อวังเกินขนาด
ร่างสูงสง่ามิได้ใส่ใจกับการล้อเลียน เขาก้าวออกไปด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งและมั่นคง
“ยูโธเปีย น่านฟ้ายูโธเปียนะขอรับ”ผู้ประกาศยังคงเล่นลิ้นต่อไป
อัลเธียมองไปทางนายทหารคนนั้นเล็กน้อย ก่อนเดินผ่านเข้าไปในวงแหวนโดยไม่ขานตอบ
รัศมีวงแรกเปล่งแสงจ้า
มันหมุนวนไปรอบๆก่อนที่วงแหวนถัดมาจะสว่างขึ้นด้วยระดับแสงคงที่
สว่างกว่าพวกระดับสี่คนอื่นๆ ไม่ทันที่ใครจะออกเสียงวงที่สามก็กะพริบขึ้น กลายเป็นปราการสีฟ้าล้อมรอบตัวของเขา
อัลเธียไม่แสดงสีหน้าใดๆ ชายหนุ่มแตะปลายดาบของตนเองลงกับใจกลางฐานวงแหวน
แสงสีฟ้าระเบิดขึ้นพร้อมกันก่อนจะดับลง
“อัลเธีย สตาเฟลล์ ไนท์ ออฟ วีนัส”เขาเอ่ยชื่อตำแหน่งของตนเองขณะเดินผ่านทหารนายนั้นไป
เจ้าคนเล่นลิ้นถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“ระ..ระดับสาม!”
การขานชื่อดำเนินต่อไปอีกอย่างกดดันเมื่อทุกสายตายังคงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผมสีเทา
“ลอเฟย์ ไลน์สเตรจน์”เขาสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินชื่อของตนเอง
ความตื่นเต้นที่มอดหายไปเมื่อครู่กลับพองโตคับหัวใจ ลอเฟย์ก้าออกไปช้าๆ
รู้สึกว่าฝีเท้าของตัวเองไร้น้ำหนัก
เขาหลบสายตาในห้องที่มักจะจับจ้องมายังผู้ทดสอบเสมอเหมือนที่เขาเองก็ทำ
แต่เมื่อสลับบทบาทกันมันหลายเป็นมีดที่พร้อมจะทิ่มแทงได้ทุกเมื่อ
“เซมิเนีย
น่านฟ้ายูโธเปีย”
“ครับ”ลอเฟย์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมคราม
แต่ละลมหายใจที่สูดเข้าปอดราวกับลูกพายุ
เขาย่างเข้าไปในวงแหวนช้าๆและหยุดลงที่ตรงกลางเหมือนคนอื่น
ดงตาสีน้ำเงินปิดสนิททันทีที่ถึงใจกลาง รอว่าอะไรจะเกิดขึ้นในหนึ่งวินาทีที่ยาวนาน
ทว่า....มันไม่ใช่ความรู้สึกของเขา เวลาผ่านไปหลายวินาที
ไม่มีแสงเรืองขึ้นจากวงแหวนแม้แต่วงริมสุด
บางอย่างในอกของเขาถูกเจาะเป็นรู
เขาเริ่มกลัวเมื่อเสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้ง
ไม่ช้าผู้คุมเครื่องมือก็เดินเข้ามาหาเขา สีหน้าของชายวัยชราคนงุนงงไม่ต่างกัน
“ลองอีกครั้งสิ”ผู้คุมสั่ง
ลอเฟย์พยายามตีหน้าสงบ เขาก้าวออกมาแล้วกลับเข้าไปใหม่เพื่อพบกับผลลัพธ์แบบเดิม
เสียงสบถดังใกล้ๆเมื่อผู้คุมดึงแขนของเขาออกมา
แสงเรืองขึ้นเมื่อตัวชายแก่เข้าไปยืนไม่ต่างจากคนอื่นๆหากแต่มันไม่เกิดขึ้นเมื่อลอเฟย์อยู่ในนั้น
“หมายความว่ายังไง?!”ผู้คุมทั้งสองคนหันมามองหน้ากันจากระยะทาง
นายทหารคนเดิมดูไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ต้องยอมล่าถอยออกไป
ตอนนี้เสียงกระซิบเหล่านั้นยิ่งดังขึ้นไปอีก
แม้แต่อัลเธียเองก็ผละตัวจากผนังเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่เคยมีมาก่อน”สีหน้าของชายแก่เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มขมวดคิ้ว
พึมพำคำศัพท์ที่ลอเฟย์ไม่เข้าใจ
ความหวั่นใจกำลังคลานเข้าหาเขามันตรึงขาทั้งสองข้างไม่ให้ขยับ
ความกลัวโรยตัวลงบนบ่า แทรกซึมผ่านชั้นอาภรณ์
ไหลลื่นเหมือนแม่น้ำดูดหัวใจของลอเฟย์ลงไปหากระแสเย็นเยียบ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากมองไปยังผู้คุม
ภาวนาให้บางสิ่งเกิดขึ้น
“เจ้ามาจากห้องไหน!?”ทหารคนนั้นถามลั่น
เขาก้าวเข้ามาใกล้ลอเฟย์ที่ผงะถอยหลัง
“ห้อง...?”เด็กหนุ่มทวน วินาทีนั้นเขาไม่ทันได้ตอบคำถาม นายช่างสูงวัยก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวก่อน
กล่องโลหะที่ถูกเปิดฝายื่นมาตรงหน้าเขา
วัตถุทรงรีเหมือนเมล็ดข้าวขนาดใหญ่เรืองแสงสีส้มทอง
มันลอยขึ้นมาในอากาศแล้วค่อยๆเคลื่อนมาทางเขาในขณะที่ผู้คุมต้อนมันด้วยกล่อง
เขาเพ่งมองลอเฟย์สลับกับเจ้าสิ่งนั้นอย่างไม่ละสายตา เมื่อใกล้ถึงระยะของเด็กหนุ่ม
มันร่วงหล่นพื้นทันทีเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต
ทุกคนในห้องนิ่งงัน
ผู้คุมทั้งสองก้มดูเมล็ดสีส้มด้วยสายตาผิดหวัง พร่ำคำถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เมล็ดอาเคเนียไม่แม้แต่จะงอก”มือที่ผ่านโลกมานานกว่าช้อนมันขึ้นจากพื้น
ในฝ่ามือของเขาต้นอ่อนเล็กๆปริยอดออกมาพร้อมกับที่มันกลับมาเรืองแสงเหมือนเดิม “ดอกไม้ที่ดูดซึมพลังงานต่างๆเป็นอาหาร”เสียงใครบางคนพึมพำขึ้น
“ไม่ใช่เพียงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เจ้าหนุ่ม! เจ้าไร้ซึ่งเทพฤทธิ
แอซที่สถิตในกายของเทพอีเซอร์!”เพียงคำสรุปของชายแก่เสียงพึมพำต่างๆกลายเป็นไม่เชื่อถือและดูถูก
ดังจากทั่วสารทิศเหมือนถูกล้อมด้วยพายุ
ในตอนนี้ลอเฟย์เข้าสู่สถานการณ์ลำบากแล้ว
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ ลัสท์เทรลจะรับคนแบบนี้หรือ?”แอซไพรส์คนหนึ่งตะโกนถาม “ท่านลุงข้าขอแนะนำให้พิสูจน์เรื่องนี้ให้ดี!”นายกองกระแทกเสียงขึ้นมาทันที หลายเสียงโต้ตอบกัน
เหมือนกับการตอกค้อนย้ำหัวตะปูที่กลางอกเขา ลอเฟย์นิ่งงัน
เหงื่อเย็นไหลรวมกันเป็นเม็ด
เพราะอะไร? ทำไมกัน?
“ดูประวัติได้หรือยัง?”ผู้คุมถอนหายใจ เขาขวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดเมื่อได้รับคำตอบจากผู้ช่วย “ดูได้ครับท่าน แต่ทะเบียนขอเจ้าหนุ่มนี่ถูกสั่งห้ามร้องเรียน
ทำยังไงก็ปลดไม่ได้เลยครับ!”
“หมายความว่ายังไง?”ตั้งแต่อยู่มาจะเป็นร้อยปีเขาพึ่งเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก
มือของผู้คุมกระชากจอแสงมาดูอย่างรวดเร็ว ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์ไม่มีปูมหลัง
ไม่มีการเพิกถอน นี่มันบรรจุเต็มขั้นในลัสท์เทรลชัดๆ! แค่จะยื่นเรื่องไปยังทำไม่ได้
“ท่านครับ เขาเข้าสอบทั้งสามระดับ
และสอบผ่านภาคทฤษฏีพิเศษห้องหมายเลข 79 มาได้ด้วยคะแนน 98 เปอร์เซ็นต์....นี่มันเกือบจะสูงสุดในรอบนี้ด้วยซ้ำ”ผู้ช่วยลดเสียงพูดเมื่อเห็นว่าประเด็นเริ่มจะไปกันใหญ่
“ใครรับรองให้เขา?”ชายแก่มองที่จอภาพสลับกับเจ้าของกรณีที่ยืนนิ่งเป็นศพ
ลอเฟย์มั่นใจว่าเขาไปสอบแค่ครั้งเดียว ภาคอะไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญคือเขาไม่ได้เข้าสอบห้อง 79!
ให้ตายเถอะโอดิน! หากมีใครที่เคยสอบที่ห้องนั้นยืนอยู่จะต้องรู้ว่าเขาไม่เคยไปที่นั่นด้วยซ้ำ
แม้แต่วันเดียวก็ตาม พิรุธที่เพิ่งเปิดเผยทำให้ความตระหนกในหัวเขาสงบลง
ความหวาดระแวงมีอำนาจมากกว่าและเปิดทางให้ปัญญาทำงานเพื่อเอาตัวรอด เนียนเข้าไว้ลอเฟย์เอ๋ย! แหม ออกจะน่าเสียดายที่ไม่ได้ดีใจกับคะแนนสอบ
“ท่านนี้ครับ”ผู้ช่วยมือใหม่ชี้ไปที่ชื่อผู้รับรอง
จากภาพที่เกิดขึ้นทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ลอเฟย์ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเขาที่กระชันและรุนแรงอยู่ภายใน เป็นเวลานานที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก
หัวหน้าผู้คุมเดินกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์บางอย่างในมือ
วงแหวนขนาดเท่าศีรษะลอยอ้อยอิ่งระดับหน้าอกของเขา
มันส่งเสียงหึ่งๆเมื่อขยับซ้ายขวาพร้อมกับฉายลำแสงสีฟ้าไปด้วย
เขาสังเกตได้ว่าผู้คุมมองพื้นอยู่บ่อยครั้งและพึมพำโดยไร้เสียงราวกับพยายามยอมรับสิ่งเลวร้ายบางอย่างมากกว่าสนใจอณูเล็กๆที่ก่อตัวตามจุดต่างๆของร่างกาย
“ลอเฟย์ ไลน์สเตรนจ์”ในที่สุดชื่อของเขาก็ถูกกล่าวขึ้นอีก
คราวนี้ด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างไม่ปิดบัง “เจ้ายังเป็นแอซไพรส์
เป็นอย่างไม่มีข้อสงสัย”หัวหน้าผู้คุมไล่สายตาไปตามขอบของวงแหวนที่ก่อตัวเป็นข้อมูลบางอย่างและหยุดลงที่ใบหน้าหมองหม่นของลอเฟย์
นายทหารพ่นลมและสบถทันทีที่ได้ยิน
“แต่จากสาเหตุที่เจ้าไม่มีเวทมนตร์หรืออำนาจพิเศษอื่นๆ
ทำให้ข้าไม่สามารถตราระดับชั้นของเจ้าได้ เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลัสท์เทรลและในประวัติศาสตร์
กระนั้นข้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขับไล่เจ้า เพราะลัสท์เทรลคือบ้านของแอซไพรส์ทุกคน
ดั่งเช่นที่โอดินเป็นบิดาของพวกเจ้า”เขาหันไปกล่าวท่อนสุดท้ายต่อเหล่าแอซไพรส์ด้วยน้ำเสียงดังก้อง
ก่อนจะหันมายังลอเฟย์
“ตราเขาเป็นระดับ 0”ด้วยคำสั่งสั้นๆ
วงแหวนนั้นครอบเหนือข้อมือที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมประทับอยู่มันหมุนเร็วราวกับสว่านและกดประทับลงบนเนื้อของเขา
ก่อนที่เกจสามเหลี่ยมจะกระพริบแสงขึ้น
แรงกดของมันไม่เจ็บเหมือนตอนที่ชแฮนเดอร์ประทับเกจลงไปครั้งแรก
แต่เมื่อแรงสะเทือนนั้นปะทะผิวเนื้อ และเลข 0 เดินแสงขึ้นมา
บางอย่างในตัวลอเฟย์ดับลง
“จบเรื่องแล้ว
ทำหน้าที่พรุ่งนี้ให้ดีล่ะ”ผู้คุมกล่าว
มีความเหน็ดเหนื่อยแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา หัวหน้ากองพันเค่นเสียงหัวเราะหึ
ก่อนจะก้าวออกไปโดยทิ้งสายตาคาดโทษเอาไว้ “ดีใจด้วยล่ะพ่อคนพิเศษ”
ขณะที่แอซไพรส์ทั้งหมดค่อยๆทยอยหายไปหลังบานประตูโดยไม่มีใครหันหลังมามองเขาอีก
พวกผู้คุมออกไปอีกประตูหนึ่ง ลอเฟย์เห็นความผิดหวังบนใบหน้าของชายชรา
ที่แท้พวกเขาไม่ได้เศร้าใจกับเด็กหนุ่ม
แต่เป็นชะตากรรมของลัสท์เทรลที่ได้รับคนพิกลพิการมาต่างหากที่พวกเขาอุทิศความโศกเศร้าให้
--------------------------------------
ค่ะ เชิญรุมผู้เขียนกันได้เต็มที่เลยค่ะ ชะตากรรมของพระเอกมันก็ต้องโหดร้ายเสมอแบบนี้ล่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ
ความคิดเห็น