ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Silent Night- แท็กซี่สายรัตติกาล [Boy's Love]

    ลำดับตอนที่ #1 : อุบัติเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 60







    ลมเย็นๆของฤดูหนาวพัดวูบผ่านเสื้อคลุมเนื้อบาง ลมหายใจกลายเป็นไอสีขาวจางในอากาศยามดึกของหน้าหนาว ท้องถนนที่รื่นเริงเเละเเน่นขนัดไปด้วยรถยนต์กลายเป็นเส้นคอนกรีตโล่งๆที่มีเพียงเเสงกระทบของไฟจราจร สายตาคู่นึงเพ่งจากริมฟุตบาทไปที่อีกฝั่งถนนภายใต้เเสงไฟที่กระพริบติดๆดับๆของร้านสะดวกซื้อด้านหลัง

    เข็มนาฬิกาข้อมือขยับเข้าใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกทีเเข่งกับอุณภูมิที่ลดต่ำจนบาดผิว

    หากเเต่นั่นไม่สามารถทำให้เขาละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้เลย ฟุตบาทที่เเตกยับเเละรอยล้อรถบนพื้นถนนตัดกับเส้นชอล์กสีขาวที่ลากทับรอยเปื้อนสีเข้มริมเสาไฟฟ้างอๆ

    ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจะถูกดูดกลับไปในสถานการณ์นั้นอีกครั้ง

    ทั้งเสียงตะโกนโหวกเหวก ทั้งสายตาของผู้คน

    ทั้งของเหลวอุ่นๆที่สาดกระเซ็นจนเย็นชืดบนพื้นถนน

    เขายังจำได้เเม่นเหมือนกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

    ติ๊ก นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรงพอดีกับที่ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ กระตุกความคิดออกจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ใบหน้าหันไปตามทิศทางของเสียงที่สุดปลายถนน เเสงสว่างสลัวๆเหมือนดวงไฟค่อยๆใหญ่ขึ้นทีละน้อย

    หมอกลงจัดขนาดนี้ตั้งเเต่เมื่อไหร่นะ....?

    รถเก๋งสีดำขลับมันจอดเทียบฟุตบาทอย่างนิ่มนวล เเสงไฟของร้านสะดวกซื้อดับลงเหลือเเค่เเสงสีส้มของเสาไฟริมถนน ประตูรถเปิดออกเผยให้เห็นเบาะหนังสีดำสนิทโชยกลิ่นหอมเย็น

    สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมองสกรีนสีขาวที่ประตูด้านหน้า ก่อนจะเลื่อนไปยังชายที่นั่งในตำเเหน่งคนขับเเละเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ศรีษะที่ถูกครอบด้วยหมวกทรงเเบนหันมายิ้มให้

    "อัฒรัตติสวัสดิ์ แท็กซี่สายรัตติกาลยินดีให้บริการครับ"

    เสียงนั้นเหมือนมีเเรงดึงดูดประหลาดชวนให้เคลิบเคลิ้มเหมือนกับรอยยิ้มที่ชักจูงให้สองขาพาร่างก้าวขึ้นรถ

    ประตูเหวี่ยงปิดเองทันทีที่ผู้โดยสารเข้านั่งประจำเบาะเหมือนกับตอนที่มันเปิดรับเป็นเวลาเดียวกับที่ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเเดง รถเก๋งคันงามออกตัวช้าๆท่ามกลางความเงียบที่มีเเต่เสียงเครื่องปรับอากาศ

    "เสียใจด้วยนะครับ"สารถีรถแท็กซี่เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เหลือบมองใบหน้าที่หันมองออกไปนอกหน้าต่างของผู้โดยสารในครั้งนี้ผ่านกระจกหลัง

    "เรื่องอะไร?"

    "เรื่องตอนกลางวันไงครับ"คนขับพูดด้วยเสียงเป็นมิตร น่าเเปลกที่บรรยากาศระหว่างคนด้านหน้ากับด้านหลังเหมือนอยู่กันคนละโลก

    ใบหน้าด้านข้างของคนที่อยู่ในกระจกขาวซีดจนน่าใจหาย เรือนผมยาวประบ่าเป็นสีเเดงใต้ไฟสีส้มที่ผ่านไปเป็นระยะๆ ดวงตาสีครามเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก เสื้อคลุมเนื้อบางเปรอะรอยเเห้งกรัง

    "แย่เลยนะครับมีคนตายอีกแล้ว ไม่รู้ทางบ้านจะเป็นยังไงนะครับเนี่ย เพื่อนๆคงเหงาเเย่เลย เเหม....พูดเรื่องเเบบนี้ บางทีก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ"

    คนขับยังพูดต่อไปเหมือนเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆไป

    "คงเเย่เลยนะครับถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง"

    ก็เหมือนคนปกติที่เห็นข่าวอุบัติเหตุบนหน้าหนังสือพิมพ์ คนที่ยืนมองรถยนต์ชนกัน หรือคนที่เปิดกล้องโทรศัพท์มือถือเพื่อถ่ายรูป

    คำพูดก็เป็นได้เเค่คำพูด อาจจะมากที่สุดที่คนเเปลกหน้าจะให้กันได้ พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขโดยที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องของตัวเองและแทบจะไม่มีใครคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา

    จิบกาแฟตอนเช้าเเล้วพลิกไปที่หน้าถัดไป

    หันกลับไปทำธุระของตัวเอง

    ส่งเมลล์หาเพื่อน บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้เห็นอย่างตื่นเต้น

    แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วใครล่ะจะเข้าใจ? ใครล่ะจะคาดคิด? มันไม่เหมือนกับความเห็นใจที่พูดออกมาพร่ำเพรื่อเลย....

    "เลือดเต็มฟุตบาทเลย ถ้าเห็นก่อนทานข้าวคงได้อดเเน่ๆเลยนะครับ"เสียงจากด้านหน้ากลั้วหัวเราะ โดยไม่สังเกตุถึงสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เบาะหลัง

    "รู้ด้วยเหรอ?"

    "อุบัติเหตุบนท้องถนนนี่นา เห็นได้ทั่วไปใช่ไหมล่ะครับ"

    "ไม่ใช่...เข้าใจเหรอว่ามันเป็นยังไงน่ะ"

    ....ถ้าหากได้ยืนอยู่ตรงนั้น

    ....ได้เห็นคนที่เพิ่งยิ้มให้กันกลายเป็นเศษเนื้อ

    "คนที่ตายน่ะ เป็น....คนรู้จักของผมเอง"

    เสียงเเหบพึมพำเบาๆ เงาลางๆของใบหน้าขาวซีดเรียบนิ่งเหมือนใส่หน้ากากเช่นเดียวกับหัวใจที่เหมือนหินหนัก ไม่มีอารมณ์จะปั้นคำพูดสุภาพกับใคร แล้วมันจะเสียอะไรล่ะ....ในเมื่อเป็นเเค่คนเเปลกหน้า

    อารมณ์ที่เลื่อนลอยหดหู่ของเขาก็จะกลายเป็นคำบ่นเล็กๆน้อยๆในวันพรุ่งนี้

    ไม่รู้สึกตัวถึงขนาดก้าวขึ้นรถโดยไม่คิดอะไรเลย

    ก็เเค่ขยับตัวไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง โดยที่ในหัวมันยังอัดเเน่นไปด้วยภาพอุบัติเหตุครั้งนั้น แต่
    ในหัวมันกลับโล่งๆพิกล

    คนด้านหน้าเงียบไปทันตาเหลือเเค่เสียงเเอร์ดังหึ่งๆ

    "แค่คนรู้จักเหรอครับ?"

    คำถามประหลาดถูกส่งออกจากปากของสารถีในชุดสีดำสนิท คำถามที่เสียมารยาทเเละหยาบคายสำหรับคนปกติ แต่เด็กหนุ่มผมเเดงไม่มีอารมณ์จะหาเรื่องใคร เพียงเเค่ปรางตอบเบาๆ

    "......อืม"

    "มิน่าล่ะ คุณถึงยืนอยู่ตรงนั้นตั้งนาน"

    "ผม....ยืนอยู่ตรงนั้นนานมากเลยเหรอ?"

    เสี้ยวหน้าของคนขับรถหันมาเล็กน้อยพอให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของผู้โดยสารเพียงคนเดียว

    "นานสิครับ ดูคุณ..มีห่วงมากเลยนะ"

    เสียงของชายคนนั้นเย็นเฉียบไม่เหมือนตอนเเรก เด็กหนุ่มขมวดคิ้วกับคำว่า'มีห่วง' อีกครั้งที่เงาในกระจกรถทำหน้าสงสัยผ่านสายตาของเจ้าตัวที่จ้องทะลุออกไปด้านนอกตลอดเวลา

    คิ้วเรียวกดต่ำลงอีกเมื่อเพิ่งสังเกตุบางอย่างที่เขาไม่รู้ตัว

    รอบตัวเรามีเเต่หมอก....

    นี่มันเเถวไหนกัน...หมอกลงจัดชะมัด เเถมรอบๆตัวก็ดูเป็นสีเทาไปหมด

    ตั้งเเต่ขึ้นรถมาเขายังไม่เห็นรถวิ่งสวนมาเลยสักคัน ถึงจะดึกเเค่ไหนเเต่ปกติก็ต้องมีเเสงไฟของร้านรวงยามกลางคืนอยู่บ้าง ยิ่งเวลานี้ด้วยเเล้วสถานเริงรมย์ทั้งหลายน่าจะเปิดกันให้ควั่ก ตึกระฟ้าดูเหมือนเเท่งเหล็กสีดำที่ไม่มีเเม้เเต่เงาสะท้อนจากกระจก ป้ายโฆษณาต่างๆก็ดูกระด้างไร้ชีวิตชีวา

    อย่างกับว่าสีสันต่างๆหายไปจากถนนเส้นนี้หมดเเล้ว

    จริงสิ.....

    จะว่าไป....ตั้งเเต่ขึ้นรถมา...

    ดวงตาสีครามที่เลื่อนลอยจดจ่อมากขึ้นเรื่อยๆ

    .....เขายังไม่....

    ....ยังไม่ได้ถ.....

    "รู้สึกตัวเเล้วเหรอครับคุณผู้โดยสาร?"

    "ห๊ะ!"

    ร่างเพรียวสะดุ้งตัวเมื่อน้ำเสียงเย็นเยียบกระซิบที่ข้างหู ใบหน้าขาวซีดปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กๆ คนขับยังนั่งอยู่ตรงนั้น เสี้ยวหน้าทีเห็นเพียงกกหูค่อยๆหันมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายคล้ายอำพันเเวววาวจากใต้เงาหมวกทรงเเบน

    "รู้ไหมครับ? ว่าวิญญาณที่เกิดไม่ถึงสามวันน่ะจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปเเล้ว"ริมฝีปากซีดเทาค่อยๆเหยียดออกเป็นยิ้มกว้าง

    กว้างจนเริ่มรู้สึกว่าใบหน้านั้นไม่เหมือนมนุษย์.....

    ดวงตาสีครามเบิกกว้างขึ้น นิ้วทั้งสิบงอเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว จิกลงบนเบาะหนังมันลื่น

    เขารู้สึกว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ

    เสียงหัวใจเต้นรัวดังกระหึ่มในความเงียบวังเวง ความกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจมากขึ้นทุกขณะ เช่นเดียวกับลมหายใจที่สั้นขึ้นทุกที

    "คุณผู้โดยสารจะไปที่ไหนดีครับ?"

    ".......!!"เด็กหนุ่มเกร็งตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจเย็นเฉียบเป่ารดข้างหู ดวงตากวาดมองเลิกลั่ก แต่เบาะนั่งด้านหลังยังว่างเปล่า ใบหน้าประดับรอยยิ้มนั้นยังอยู่ที่เดิม

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

    เรา...เรา.....

    เสียงหัวเราะต่ำๆดังขึ้น ก่อนริมฝีปากที่ฉาบด้วยรอยยิ้มนั้นจะขยับขึ้นลงช้าๆ

    "....กลัวเหรอครับ?"

    "ว๊ากกกกกกก!"

    ผู้โดยสารโชคร้ายตะโกนลั่นเหมือนคนเสียสติ ครั้งเเล้วครั้งเล่าที่เสียงนั้นดังขึ้นเหมือนเจ้าของใบหน้าชวนขนลุกนั้นกระซิบเเนบหู สารถีหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้งเเละเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

    หากเเต่เย็นเฉียบน่ากลัว....

    "...วิญญาณจะอยู่ในภพมนุษย์ได้เเค่สิบสามวัน ถ้าคุณผู้โดยสารยังหลงทางวนไปวนมาอยู่เเบบนี้ล่ะก็ระวังจะเป็นผีตายโหงนะครับ ถ้าคุณไม่บอก งั้นผมขอดูด้วยตัวเองเเล้วกันนะครับ"

    ดวงตาสีทองดุจเมรัยเลื่อนจากใบหน้าหวาดกลัวของคนด้านหลังไปที่มิเตอร์ด้านหน้า เด็กหนุ่มจับจ้องการกระทำนั้นเงียบๆด้วยใจระทึก

    ทันทีที่ปลายนิ้วของคนขับเเท็กซี่กดลงบนปุ่มพลาสติด ตัวเลขสีเเดงสดวิ่งไปมาบนหน้าปัดสีดำสนิท ก่อนที่เเสดงสีโลหิตจะสว่างเต็มหน้าจอเเล้วดับลง

    "เอาล่ะ มาดูประตูพิพากษาของคุณดีกว่า"

    สายตาสองคู่จ้องที่หน้าปัดมิเตอร์อย่างใจจดใจจ่อด้วยอารมณ์ที่เเตกต่างกัน

    คนด้านหน้ายิ้มอย่างรื่นเริง....

    คนด้านหลังเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว....

    วินาทีเเห่งความเงียบผ่านไปเรื่อยๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า....สารถีหนุ่มกดนิ้วลงอีกครั้ง
    เเต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากหน้าปัดมิเตอร์ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนเเปลง นิ้วยาวกดลงอีกหลายๆครั้งจนรอยยิ้มที่พาดอยู่บนใบหน้าเริ่มหดลงจนกลายเป็นว่าผู้โดยสารอ่อนวัยยกมุมปากขึ้นเเทน

    ...อะไรกัน ก็เเค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นเอง...

    เด็กหนุ่มทาบฝ่ามือชุ่มเหงื่อที่อก หายใจลึกๆพลางใช้เเขนเสื้อปาดของเหลวออกจากใบหน้า

    "อย่าล้อเล่นเเบบนี้สิ! มันตกใจนะเว้ย!"เขาตวาดอย่างอารมณ์เสีย ดวงหน้าขาวมีรอยย่นที่หว่างคิ้ว ดวงตาสีครามมองขวางอย่างเอาเรื่อง อดจะ
    หงุดหงิดกับมุขตลกร้ายที่เล่นไม่ถูกเวลาของไอ้คนขับเเท็กซี่ปัญญาอ่อนนี่ไม่ได้

    "ให้ตายเถอะเป็นอะไรของมันอีกเนี่ย"

    "นี่! ก็บอกให้หยุดไง คิดว่ามุขหลอกเด็กเเบบนั้นจะทำฉันตกใจได้อีกรอบหรือไง"เเต่สารถีชุดดำยังไม่สนใจ เอาเเต่กดปุ่มมิเตอร์จนมีเเต่เสียงดังเเกร็กๆน่ารำคาญ

    "เป็นไปไม่ได้....."หน้าจอมิเตอร์ยังดับสนิทไม่ปรากฏตัวอักษรใดๆ ดวงตาสีทองหรี่ลงอย่างใจเย็น ตัดสินใจเอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง

    "คุณจะไปที่ไหนครับ?"

    "ฉันจะกลับบ้าน"

    ปุ่มพลาสติกถูกกดอีกครั้ง หากเเต่หน้าปัดก็ยังมีเเต่ความว่างเปล่า คนข้างหน้าเหยียบเบรคเเล้วหันมามองด้วยสายตาเอาเรื่องไม่เเพ้กัน เสียงทุ้มต่ำลงไปอีก

    "คุณผู้โดยสารเลิกล้อเล่นกับผมได้เเล้ว"

    "ฉันไปล้อเล่นเเบบนั้นตั้งเเต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ!?"

    "คุณจะไปที่ไหนกันเเน่ บอกผมมาเลยดีกว่า!"

    ใบหน้าภายใต้ปีกหมวกจ้องกันซึ่งๆหน้าพร้อมด้วยคำถามเบสิกสุดๆของคนขับเเท็กซี่ทั่วไป เเต่กลับยวนประสาทของผู้โดยสารได้อย่างเหลือเชื่อ

    "บ้าน!!"

    "คิดดีๆหน่อยสิคุณ อย่าตอบมักง่ายจะได้ไหมครับ!?"ชายหนุ่มที่นั่งเบาะหน้าเริ่มหงุดหงิดพลางกดปุ่มมิเตอร์รัวๆอีกรอบซึ่งก็ให้ผลเท่าเดิม

    "ก็บอกว่าจะกลับบ้านไง! หูหนวกหรือไง!"

    "ก็บอกว่าให้คิดดีๆไงครับ ให้ตายเถอะพังเเล้วรึไงเนี่ย!!"ไม่รู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มถึงนึกกลัวผู้ชายที่ตะคอกใส่มิเตอร์คิดเงินได้มากขนาดนั้น เเต่ตอนนี้ในสายตาของร่างเพรียวด้านหลังก็เป็นเเค่ไอ้บ้าตัวหนึ่ง

    ไม่ต่างจากเจ้าของรถเก๋งสีดำที่คุกกรุ่นไปด้วยบทสนทนาชวนเดือดในขณะนี้

    อยากจะเป็นผีเรร่อนอยู่เเถวนี้หรือยังไง!?

    มิเตอร์ก็มาเสียซะอีก เเล้วจะรู้ได้ยังไงว่าประตูพิพากษาอยู่ที่ไหน!

    "นี่นาย! ขับๆไปซะทีได้มั้ยฮะ!"เสียงประท้วงไม่เหลือความสุภาพของคนที่เพิ่งด่าในใจดังขึ้น นัยตาสีเมรัยคาดโทษกับเงาในกระจกหลังของคนที่ทำหน้ากวนบาทาสุดๆ เเต่สารถียามค่ำคืนไม่มีทางเลือกมานัก มิเตอร์ก็เสีย ทางไปก็ไม่มี

    ได้เเต่ขับตามคำสั่งผู้โดยสาร ถึงเมื่อไหร่จะถีบลงด้วยความยินดีเลยครับคุณผู้โดยสาร!

    "ที่อยู่ล่ะครับ?"

    "21 ฮิลล์สเตรท เธิร์ดอเวนิว"ร่างในเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนตอบหน้าหงิกทำให้หางคิ้วของอีกฝ่ายกระตุก

      "...ครับ"เสียงทุ้มเเฝงคำรามในคอ ก่อนจะกระชากเกียร์ออกรถไปอีกครั้ง

    ระหว่างที่รถเเท็กซี่สีดำขลับเริ่มเเล่นเข้าสู่ละเเวกที่คุ้นตา คนโดยสารด้านหลังเเอบมองใบหน้าของชายที่เพิ่งตีกันด้วยฝีปากไปเมื่อครู่ด้วยความหงุดหงิด

    ผมสีดำ ตาตี่เเบบนี้ น่าจะเป็นคนเอเซีย....

    เด็กหนุ่มถอนหายใจกับกระจกอีกครั้ง จ้องหน้าตัวเองเป็นรอบที่สิบห้าบนรถคันนี้ ภาพร้านค้าที่คุ้นตาเลื่อนผ่านไปทีละร้านสองร้าน ป้ายชื่อถนนตั้งอยู่รำไรห่างออกไปเพียงสองช่วงตึก

    'ฮิลล์สเตรท'

    รถเเท็กซี่ที่หน้าตาหรูเกินปกติเลี้ยวผ่านหัวมุมถนนที่ทำให้เงาหน้าขาวนวลมีสัญลักษณ์เเม็คโดนัลล์เเปะอยู่บนหน้าผาก

    ......ถึงซะที

    หลังคาบ้านสีฟ้าเทาปรากฏอยู่ที่ปลายถนน ร่างเพรียวหันกลับมามองวิวเป็นรอบที่เจ็ด เเละหน้าตัวเองเป็นรอบที่สิบหก ความเหนื่อยอ่อนเเละหดหู่ยิ่งทำให้อยากถึงบ้านเร็วกว่าเดิม

    "หือ....?"คิ้วสีเพลิงเลิกขึ้นเมื่อเห็นบางอย่างผิดปกติ

    มือข้างหนึ่งจิกลงที่ขอบกระจก เล็บสีดำเเตกๆของมันพยายามเเทรกลงไปในเนื้อยาง อีกข้างห้อยลงมาจากด้านบน ใช้ฝ่ามือเละๆกดทาบลงกับเเผ่นกระจกใส จนเป็นรอยของเหลวสีเข้มเหมือนเมือก

    ที่สำคัญคือมันยื่มมาจากคนละด้านกันเลยเนี่ยนะ....?

    ไม่สิ ไอ้ที่สำคัญน่ะ....

    "เฮ้ยยยยย!"เด็กหนุ่มตะโกนลั่น

    ไอ้ที่สำคัญน่ะมันคือมือต่างหาก!!!

    .....มือ!!

    เสียงโหวกเหวกจากผู้โดยสารคนเดียวในรถ เรียกความสนใจจากคนขับผมดำ ใบหน้าใต้เงาหมวกหันละจากกระจกหน้ารถมาที่ร่างเพรียวซึ่งนั่งหน้าซีดปากสั่น

    "เกิดอะ....เฮ้ยย!!!"

    บทจะถามรถก็เกิดเสียหลักหักโค้งจนอุทานไม่เป็นภาษา เสียงดังโครมบังเกิดเมื่อกระโปรงรถยี่ห้อหรูเสยเข้ากับหัวดับเพลิงริมฟุตบาท สารถีหนุ่มสบถพลางหมุนพวงมาลัยกลับ เสียงล้อรถดังขึ้นพร้อมกับเสียงครางโอดโอยจากเบาะหลัง

    "ขับยังไงของนายเนี่ย!!"

    "คุณนั่นเเหล่ะรอ้งทำไมล่ะครั......."

    กร๊อบ.....

    การตีฝีปากที่เพิ่งเริ่มขึ้นหยุดลงกระทันหัน สองผู้เเข่งขันพร้อมใจกันเงียบเมื่อรู้สึกว่ารถกำลังเเล่นขึ้นไปบนอะไรเตี้ยๆเเล้วไหลลงกระเเทกพื้นเบาๆตามด้วยการกระเด้งของล้อยาง

    พร้อมด้วยเสียงเหมือน....เหมือนอะไร...หัก

    เครื่องยนต์หยุดนิ่งเหมือนกับคนที่ควบคุมมัน ในเสียววินาทีที่เงียบสนิทมีเเต่เสียงกลืนน้ำลาย เด็กหนุ่มชะโงกหน้าพยายามจะมองออกไปที่ความมืดสลัวใต้ม่านหมอกด้านนอกท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นรัว

    ............

    พื้นถนนโล่งๆมือสนิทเพราะถูกบังด้วยเงาตึก ดวงตาสีครามกวาดไปไกลอีกนิด

    ..........ไม่มีอะไรเลย

    .......ไม่มี......


    .......

    ......


    ....



    "ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!"

    ร่างเพรียวถดกายไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ศพเละๆพุ่งออกมาจากความมืด เนื้อหนังถลอกปอกเปิกเห็นเนื้อของมันบี้ติดกระจกรถ ดวงตาถลนเเทบหลุดออกจากเบ้ากดเเนบจนของเหลวเหนียวๆกระเด็นออกมาจากเบ้าตาเหมือนลูกมะนาวโดนบีบน้ำ

    เศษเนื้อเน่าเฟะผสมกับน้ำหนองจนเป็นรอยเปื้อนปนกับเมือกสีเข้มน่าขยะเเขยง เส้นเนื้อนิ่มสีขาวห้อยต่องเเต่งจากรอยเปิดของกะโหลดที่เผยให้เห็นมันสมองบดบี้

    "นั่น...นั่น...นั่น!!"

    ดวงตาสีครามเบิกกว้างเเข่งกับลูกตาไร้เปลือกหุ้มของศพฝั่งตรงข้าม เสียงเเหบๆใสก้องขึ้นทันตาเมื่อกล่องเสียงทำงานเต็มที่ด้วยการเเหกปากเรียกคนขับสุดหล่อที่ยกระดับหน้าตาขึ้นทันทีหลังจากผีดิบปรากฏตัว

    "อืม...เห็นเเล้วครับ....."เสียงด้านหน้าตอบอย่างสงบ เเต่คิ้วเฉียงกลับกดลงต่ำ ผู้โดยสารผมเเดงหันไปมองกระจกหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่ดีขึ้นเลย

    เงาเลือนๆสีดำนับสิบปรากฏขึ้นหลังม่านหมอกที่ล้อมรอบรถเก๋งคันงาม ก่อนที่มันจะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆเพราะระยะทางที่สั้นลง รถโคลงเคลงขึ้นเมื่อซากร่างมนุษย์ที่เหลือเเต่กล้ามเนื้อพยายามคลานออกจากล้อรถ....

    "คุณผู้โดยสารนี่....สร้างเรื่องให้ปวดหัวได้ไม่หยุดหย่อนเลยนะครับ"

    ถูกล้อม....ซะเเล้ว










    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




    มีคอมเม้นท์ด้วย \\TT[]TT// ดีใจมากไชโยโห่หิ้วว

    ขอบคุณมากเลยนะครับ ขอบคุณจริงๆ ดีใจมากๆเลยล่ะตอนเปิดมาเจอนั่งยิ้มเลย

    ปกติเวลาเเต่งออริจะไม่มีคอมเม้นท์เลยท้อสุดๆ

    ติได้เสมอนะครับ^^

    ปล.ที่ยังไม่มีชื่อตัวละครก้เพราะ.....ยังไม่ได้คิด อ่านเเล้วงงกันมั้ยอ่ะTTwTT




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×