ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    " YOU are the ONE " รักเราหวานซะ

    ลำดับตอนที่ #58 : บทที่ห้าสิบสี่ -- จาก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.7K
      13
      20 ม.ค. 53


    บทที่ห้าสิบสี่





                     “ เอาของครบหรือยัง ?  ”

     

                     เขามองกระเป๋าที่กำลังถือในมือ พลางใช้ความคิด  แล้วในที่สุดก็ผงกหัวแรงๆด้วยความมั่นใจ
     


                     “ ครบแล้ว ”

     

                    “ ไม่ลืมอะไรแน่นะ ”  พี่สนถามย้ำอีกครั้ง

     

                    เพราะข้าวของของเขาไม่ค่อยมีอะไรมาก จะมีก็แต่กระเป๋าเสื้อผ้าและของฝากที่จะเอาไปฝากพ่อแม่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น
     
     

                    “ อื้อ ”

     

                    พี่สนมองสบตามาที่เขาครั้งหนึ่ง  ก่อนที่จะเดินไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากห้องนอน และก็เดินกลับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว



                    “ ไหนเอากระเป๋าตังค์มาสิ  ”



                    เขาได้ยินดังนั้นก็ค้นหาแล้วยื่นให้อย่างงงๆ
     
                    “ เอาไปทำไมอ่ะ ? ”

     

                    รุ่นพี่หยิบกระเป๋าสตางค์สีดำลายเขียวที่ฝ่ายนั้นเคยซื้อให้เปิดออก  แล้วแทรกบางอย่างเข้าไปในช่องว่างส่วนที่เอาไว้ใส่รูปภาพ
     
     

                    เขารีบชะเง้อไปมองทันที

                    “ อะไรอ่ะ ? ”

     

                    ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างกลับมาให้ แล้วเผยกระเป๋าออกมา 

                    “ ดูสิ ”



                     เขามองแล้วก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย  

                     ‘ภาพคู่’ ของเราทั้งสองที่เคยถ่ายตอนไปเขาใหญ่ด้วยกันถูกสอดไว้ในช่องรูปภาพ

                     เป็นภาพที่เขาและพี่สนนั่งคู่กันอย่างใกล้ชิด...และเราก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข   เขาจำได้ว่าภาพนี้พี่เม้งเป็นคนถ่ายให้ตอนที่อยู่บ้านลุงอ๊อดในเช้าวันก่อนออกเดินทาง



                      เมื่อเห็นรูปภาพแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
     
                      “ ภาพตอนที่ไปเขาใหญ่เหรอ ? ”



                      “ อือ  ที่จริงมีเยอะกว่านี้  แต่ว่าพี่เลือกภาพนี้...แล้วก็....... ”  พี่สนเงียบเสียงไปแล้วหลุดยิ้มออกมา

     

                      “ ................................ ”  เขาได้แต่รอฟังว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรต่อ



                      “ ในนี้ยังมีอีก...เอาไว้ณัฐค่อยดูเองละกัน ”

     

                     “ หือ ? ”



                     เขาพึ่งสังเกตว่าช่องใส่รูปภาพหนานูนออกมาคล้ายกับมีรูปแทรกอยู่หลายแผ่น และในจังหวะที่กำลังจะเปิดออกดูนั้น  พี่สนก็พูดขึ้นมา
     
     

                     “ เอาไว้ดูเวลาที่..คิดถึง..กัน ”



                     เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายนั้น

                     แล้วมาเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์เนี่ยนะ ?   ประเจิดประเจ้อที่สุดเลย   อย่างนี้ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้ามีหวังสงสัยกันพอดีว่าคนที่เขาถ่ายรูปคู่แล้วเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าสตางค์คนนี้เป็นใคร ?
     
                     มีหวังเรื่องที่เขาคบกับผู้ชายคงจะได้รู้กันหมดแน่ๆ
     
                     ใครจะกล้าเก็บไว้กันล่ะ ?


     

                     “ ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้ว  เรารีบไปกันเถอะ ”

     

                     ความคิดต่างๆถูกสลัดให้หลุดในทันทีเพราะคำพูดนั้น

     

                     “ นั่นสินะ !! ”   เขารีบหยิบกระเป๋าสตางค์เก็บอย่างรวดเร็ว  จนลืมสนใจเรื่องรูปภาพเหล่านั้นไป


     

                     ประมาณครึ่งชั่วโมง...เขากับพี่สนก็เดินทางมาจนถึงสถานีปรับอากาศ  ถึงแม้ว่าเวลาตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ผู้คนก็ยังดูไม่บางตา  และรถโดยสารก็ยังเคลื่อนตัวให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
     
                     พี่สนบ่นกับเขาเบาๆเรื่องที่เขาเลือกเดินทางกลับโดยรถปรับอากาศโดยสาร  เพราะฝ่ายนั้นกลัวว่าเวลายาวนาน  6-7  ชั่วโมงจนถึงกรุงเทพฯ จะทำให้ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าจนเกินไป  แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลยสักนิด  
     
     

                    “ ก็นั่งเครื่องมันเปลืองตังค์นี่นา  รถปรับอากาศก็นั่งสบายดี...ยังไงก็ถึงเหมือนกัน ”  เขายกคำพูดที่มีเหตุมีผลขึ้นมาอ้าง

     
                     หลังจากที่รถยนต์ของพี่สนจอดเทียบช่อง  เวลาก็ยังเหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาทีกว่ารถโดยสารจะออก  

                     เราทั้งสองยังคงนั่งอยู่ข้างใน  โดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะขยับกายก่อน


                     ...นี่เขากับพี่สน...จะต้องแยกจากกันแล้วเหรอ ?  รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้...

     
                      เขาหันไปมองหน้าพี่สน...เหมือนกับใจตรงกัน  เพราะฝ่ายนั้นก็หันมามองอยู่ก่อนแล้ว  สายตาของรุ่นพี่ก็แสดงอารมณ์ไม่ต่างจากเขาเหมือนกัน



                       “ พี่สน ? ”

                       “ จะโทรมาหาณัฐหรือเปล่า ? ”  เขาถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา



                       อีกฝ่ายไม่ตอบ  แต่กลับเคลื่อนตัวเข้ามาหาช้าๆ...และมอบจูบที่แสนอ่อนโยนให้แทน



                       “ พี่สัญญา...จะโทรหาณัฐทุกวันเลย  ”  รอยยิ้มและคำพูดนั้นฟังดูอบอุ่นจริงใจเหลือเกิน  หัวใจของเขาที่เบาหวิวเมื่อครู่ก็พลันพองโตขึ้นมาน้อยๆ



                        เขากับพี่สนจ้องตากันในความมืด....รุ่นพี่เลื่อนสายตาลงมาจับที่ริมฝีปากของเขาอย่างโหยหา
    แล้วเราทั้งสองก็เคลื่อนตัวเข้าหากันอีกครั้งในจังหวะเดียวกันโดยไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน   ริมฝีปากประทับกันอย่างเบาบางแต่นุ่มละมุน...เนิ่นนาน...เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใครอยากถอนตัวก่อน   ความรัก...ความโหยหา...ความเหงา...ได้แผ่กระจายไปทั่วร่าง 

     
                        จูบที่แตกต่างจากทุกครั้ง...บดเบียดแผ่วเบาโดยไม่ใช้ลิ้น  ไม่ได้เร่าร้อนแต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนมากกว่าครั้งไหนๆ  พี่สนระดมจูบและเม้มริมฝีปากเขาจนทั่วทุกส่วน 

                        ยิ่งทำแบบนี้ยิ่งรู้สึกว่า...ไม่อยากจากกันเลย...จริงๆ

     



                        แต่สุดท้าย...เขาก็ต้องตัดใจยอมถอนริมฝีปากออกก่อน  และไม่ลืมที่จะจุมพิตเบาๆให้ฝ่ายนั้นเป็นการปลอบใจ

     

                       “ ณัฐต้องไปแล้ว ”



                       ร่างสูงมองอีกฝ่ายด้วยความโหยหาเพราะยังอาลัยในรสจูบ  แล้วเปลี่ยนใจเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มเนียนของฝ่ายตรงข้ามเบาๆ และถอนหายใจยาว

     
                      “ เฮ้อ...  ”
     
                      “ งั้น...ก็ถึงเวลาแล้วสินะ ”

     

                      ร่างเพรียวเปิดประตูลงจากรถ  ฝ่ายนั้นเดินมาหาจากอีกฝั่งแล้วดึงกระเป๋าไปถือไว้ในมือเสียเอง



                      ...แล้วเราทั้งคู่ก็เดินเข้าสู่สถานี...




                      บริเวณภายในผู้คนไม่มากไม่น้อยกำลังนั่งรอบนเก้าอี้สีเหลืองที่เรียงรายอยู่หลายแถว  รถเที่ยวหกทุ่มเทียบท่าเข้ามาจอดพอดี  ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาแลกตั๋วและเดินขึ้นรถไป
     
                      เขาดึงกระเป๋าจากมือของรุ่นพี่  แล้วหันมามองสบตา

     

                     “ ณัฐไปก่อนนะ ”  ร่างเพรียวคลี่ยิ้มกว้างบดบังความเศร้าภายในใจ

     

                      รุ่นพี่เผยยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับ
     
                     “ ถึงแล้วโทรหาพี่ด้วย ”

     

                     “ ครับ ”

     

                     ส่งสายตาอาลัยอาวรณ์กันสักพัก  เขาจึงตัดสินใจเดินถอยหลังออกมาแล้วไม่ลืมที่จะหันหลังกลับมาโบกมือลาให้  พยายามที่จะไม่ทำหน้าเศร้าเพราะไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์แบบนั้นก็เถอะ
     
                     พี่สนก็ไม่ต่างกันและดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะอาลัยอาวรณ์มากกว่าเขาเสียอีก  สายตาที่ยิ้มบางมาให้แต่มองภายในกลับดูเศร้าสร้อยจนรู้สึกเจ็บปวดใจแทน




                      เขาตัดสินใจค่อยๆเบือนหน้ากลับมา   แล้วทิ้งร่างของรุ่นพี่ไว้เบื้องหลัง  เดินไปแลกตั๋วและก้าวขึ้นรถไปด้วยหัวใจที่เบาหวิว  เพราะได้ทิ้งหัวใจไว้กับใครบางคนไปแล้ว


                      ...ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา...ยังไงก็ได้คุยโทรศัพท์กันอยู่แล้ว...ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วงเลย...

                       เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น


     

                       ที่นั่งของเขาติดริมหน้าต่าง  ยังโชคดีที่ตรงนี้สามารถมองเห็นร่างของพี่สนจากในระยะสิบเมตรได้  เขามองไปที่ตำแหน่งนั้นอยู่เป็นระยะพร้อมกับยิ้มกว้างให้  แต่ในใจกลับรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างเสียเหลือเกิน   

                       เข้าใจแล้ว...ว่าทำไมตอนที่พี่สนไปฝรั่งเศสตอนนั้นถึงไม่ยอมบอกลาเขาก่อน  เพราะถ้ารุ่นพี่เป็นฝ่ายที่กำลังนั่งแทนเขาอยู่ตรงนี้...สถานการณ์แบบนี้...ก็คงรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน  มิหนำซ้ำพี่สนอาจจะมีความอดทนได้น้อยกว่าเขาก็เป็นได้


                      ...การที่ต้องจากกับคนรักไปไหนไกลๆมันรู้สึกแบบนี้เองหรอกเหรอ ?... 


                      ...สู้ไม่ต้องเห็นหน้ากันเลยเสียยังจะง่ายกว่า...



                      ไม่นาน...รถนั่งปรับอากาศก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ   เขาถึงกับต้องกลั้นหายใจและ ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อส่งสายตาร่ำลาให้กับพี่สนเป็นครั้งสุดท้าย    เมื่อร่างของฝ่ายนั้นค่อยๆไกลออกไปหัวใจของเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบให้อัดแน่นอย่างช้าๆ...จนทำให้หายใจไม่ออก...คล้ายกับขาดอากาศหายใจก็ไม่ปาน...



                       ร่างของพี่สนห่างออกไป....ไกลจนไม่สามารถมองเห็น


     
                       เมื่อไม่มีหวัง...เขาจึงต้องยอมถอนหายใจแล้วทิ้งตัวพิงเบาะด้านหลังเบาๆ  

                       สายตาจ้องมองพื้นแต่สมองกลับว่างเปล่าเพราะหัวใจล่องลอยไปอยู่กับใครบางคนที่เขาพึ่งจากมาได้ไม่นาน
                       นี่ขนาดจากกันยังไม่ถึงสิบนาทีเขายังรู้สึกเหงาได้ขนาดนี้  แล้วถ้า...ต้องอดทนไม่เห็นหน้ากันเป็นเดือนล่ะ ?

                        ...เขาต้องคิดถึงพี่สนจนทนไม่ไหวแน่ๆเลย...
     



                       การใช้ชีวิตที่ยอมให้อีกคนมีอิทธิพลต่อเราได้มากมายขนาดนี้  มันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน   รักกันมากก็เจ็บปวด...รักกันน้อยก็เจ็บปวด


                       นี่เหรอ ?...ที่เขาเรียกกันว่า... ‘ความรัก’


     


                       แต่แล้วทันใดนั้น !!!
     
                       เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากกระเป๋ากางเกง  พร้อมกับเสียงเพลงที่คุ้นเคยดังเข้ามาให้ได้ยิน  หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
     
     


                       “ ฮัลโหล ”  เขารีบกดรับสายด้วยความรีบเร่ง



                       “ ณัฐ... ”  เสียงที่อบอุ่นของพี่สนทำให้หัวใจที่ว้าวุ่นของเขาสงบลงได้อย่างง่ายดาย

     

                       “ ................................ ”  ดีใจจังที่ได้ยินเสียงพี่สน



                       “ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว ? ”

     

                       “ ฮ่ะ ๆ พึ่งออกมาเมื่อกี้นี่เอง  จะให้ถึงไหนได้ล่ะ  ยังไม่ออกถนนใหญ่เลย  ”  เขาส่งเสียงสดใสตอบกลับไป  แต่หัวใจกลับรู้สึกตรงกันข้าม

     

                       “ เหรอ ? แล้ว....... ” 



                       พี่สนอ้ำอึ้งอยู่สักพักก็ถอนหายใจใหญ่ออกมา  !!

     

                      “ เฮ้อ......พี่ ‘โคตร’ คิดถึงณัฐเลยอ่ะตอนนี้ !! ”  

                      “ จะขาดใจตายอยู่แล้วเนี่ย  ”

     

                     คำพูดที่ฟังดูห้วนๆและแสนจะตรงไปตรงมาของฝ่ายนั้น  ทำให้เขาต้องคลี่ยิ้มบางออกมาเพราะความอบอุ่นแผ่ซ่านไปจนทั่วหัวใจ

     
                      ไม่ใช่แค่ ‘เขา’ ที่เป็นฝ่ายคิดถึง...แต่ ‘พี่สน’ ก็คิดถึงเขามากเหมือนกันสินะ
     
     
                      เหงา...ก็เหงาด้วยกัน
     
                      เจ็บปวด...ก็เจ็บปวดเหมือนๆกัน

     

                      เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอีกต่อไป  เพราะตราบใดที่เขากับพี่สนยังคงรักกัน  นั่นย่อมหมายความว่า...เขายังมีหัวใจอยู่ที่อีกฝ่าย...ครึ่งหนึ่ง...

                      เพราะฉะนั้น...


     

                     “ ณัฐก็...เหมือนกัน ”   เขาตัดสินใจบอกออกไปตามตรง

     

                     “ จริงเหรอ ? ”



                     “ พูดแบบนี้...ไม่เชื่อเหรอ ? ”

     

                     “ เปล่า ๆ ๆ แค่รู้สึก...ดีใจ...ที่ได้ยินณัฐพูดแบบนี้ ”  เสียงพี่สนดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อย

     

                     แล้วหลังจากนั้นเราก็คุยโทรศัพท์กันต่อไปเรื่อยๆ...ยาวนานถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม...จนรุ่นพี่กลับถึงหอพักและเตรียมตัวเข้านอน ส่วนเขาก็รู้สึกง่วงงุนเต็มที่นั่นแหละ  จึงตัดสินใจวางสายไป


     

                     แต่เมื่อเขาเอนเบาะหลังเตรียมตัวจะนอนหลับพักผ่อน  อยู่ดีๆก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา !!


     
                     ร่างเพรียวหยิบกระเป๋าสตางค์ใบสวยแล้วเปิดกางออกเพื่อดูรูปภาพนั้น  ภาพที่พี่สนใส่ไว้ให้...เขายิ้มบางๆกับตัวเองด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก

                     เพราะพี่สนบอกว่า...ข้างในยังมีรูปภาพอีก...

                     เขาค่อยๆแทรกนิ้วมือเพื่อหยิบรูปภาพทั้งหมดออกมาจากช่องนั้น 
     



                     แต่แล้วเมื่อได้เห็น...เขาถึงกับต้องตกใจ  !!!



                     โดยเฉพาะรูปสุดท้ายนั่น  !!!




                     สายตาจับจ้องแผ่นกระดาษตรงหน้า


                     ภาพแรก...เป็นภาพที่เราทั้งสองนั่งคู่กันและยิ้มกว้างมาให้กล้องอย่างตั้งใจ...ซึ่งภาพนี้เขาได้เห็นแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ห้องพี่สน


                     ภาพที่สอง...เป็นภาพที่เขาถูกฝ่ายนั้นแอบ ‘หอมแก้ม’ โดยไม่ทันตั้งตัว  สังเกตจากสีหน้าของเขาที่ทำหน้าเหวอเล็กน้อย  เขาจำได้ว่าถูกแอบถ่ายทีเผลอตอนที่ไปเขาใหญ่ด้วยกันครั้งนั้น   และเป็นฝีมือของใครไปไม่ได้...นอกจากพี่เม้งนั่นเอง  

                     เพราะครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังนั่งอยู่เบาะหลังก็เห็นพี่สนขยับตัวไปกระซิบกระซาบอะไรกับพี่เม้งก็ไม่รู้   เพียงครู่เดียวเขาก็ถูกพี่สนเข้ามาขโมยหอมแก้มไป  ได้แต่ตกใจอายหน้าแดงอยู่อย่างนั้น...และไม่ลืมที่จะงอนใส่พี่สนจนต้องตามง้อเสียยกใหญ่



                       แต่ภาพสุดท้ายนี่สิ  เขาจำไม่ได้ว่าถูกแอบถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนไหน  แต่เห็นแล้วแทบจะเป็นลมล้มพับเสียให้ได้  !!!

                       เพราะมันเป็นภาพที่ร่างของเขา...กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง...มีเพียงผ้าห่มสีครีมปกคลุมบริเวณท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปเท่านั้น  !!!

                       แสงสาดส่องกระทบร่างขาวเนียน  บ่งบอกให้รู้ว่าภาพนี้ถูกถ่ายในตอนเช้า...



                       เขาสังเกตตัวเองที่กำลังหลับใหลอย่างสนิทอยู่บนเตียงใหญ่ของพี่สนที่ตอนนี้ผ้าปูที่นอนมี ‘รอยยับ’ อยู่จนทั่ว
                       ไม่ต้องบอกก็รู้...ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...เขากับพี่สนทำอะไรกัน...!!!

     

                       ...ใบหน้าของเขาตอนนี้ร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู...

     

                       พี่สนเป็นคนถ่ายเหรอ ?  ตั้งแต่ตอนไหน ?  แล้วครั้งไหนกันล่ะ ??!!

     
                      ไม่อยากจะเชื่อเลย !!!!


                      โธ่ว้อยยย....ไอ้พี่สนบ้า   !!!!!


    *******************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×