คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #118 : บทที่หนึ่งร้อยสิบ -- เรียนหนัก
บทที่หนึ่งร้อยสิบ
เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านในช่วงวันหยุดปีใหม่ เพราะแม่เล่าให้ฟังว่าช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบายเห็นบ่นว่าเหนื่อยง่าย แถมยังปวดหัวบ่อยๆอีกด้วย ถึงขั้นได้ลาหยุดงานเพื่อพักรักษาตัวที่บ้าน หลังจากแม่พาไปตรวจร่างกายเมื่อวานแล้วก็พบว่าพ่อมีโรคเรื้อรังรุมเร้าเข้าเสียแล้ว เพราะเป็นทั้งเบาหวาน ความดัน แถมยังมีไขมันในเลือดสูงอีกด้วย มิน่าล่ะ เขาถึงสังเกตว่าช่วงนี้พ่อถึงอ้วนเอาๆ
“ พ่ออ่ะ มีโรคประจำตัวเข้าจนได้ ”
อีกฝ่ายนอนพักบนม้านั่งตัวยาว เขาเข้าไปนั่งเกาะเข่าพ่ออย่างเป็นห่วง
“ ตามประสาคนแก่แหละ ” พ่อบอกอย่างอารมณ์ดีแต่เขาไม่อารมณ์ดีด้วย เพราะปกติพ่อไม่ค่อยเจ็บป่วยสักเท่าไหร่นัก แต่ก็คงต้องเป็นไปตามสังขารแหละเพราะตอนนี้พ่อก็อายุมากแล้ว
“ ไม่ดีเลย ต่อไปนี้พ่อต้องระวังแล้วนะ จะกินอะไรเหมือนเคยก็ไม่ได้แล้ว อาหารก็ต้องควบคุมด้วย งดหวาน งดเค็ม ของทอดของมันก็ห้ามนะ ต้องกินยาประจำอย่าให้ขาดด้วย ว่างๆก็เดินเล่นออกกำลังกายเบาๆตอนเช้าด้วยก็ดี ” เขาพูดเสียยืดยาวจนผู้เป็นพ่อหัวเราะ
“ เยอะจังเลย พ่อจะไหวมั้ยเนี่ย ”
“ เยอะก็ต้องทำนะ ณัฐไม่อยากให้พ่อป่วยอ่ะ ”
“ พ่อจะพยายามละกัน ”
“ มาถึงก็สั่งพ่อเสียยกใหญ่เลยนะ ” แม่เอ่ยแซวเดินเข้ามาพร้อมกับจานสาลี่ในมือ
“ อันนี้พ่อก็ห้ามกินเยอะด้วย ณัฐให้พ่อกินแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นแหละ ” เขาหยิบชิ้นสาลี่เข้าปากตัวเองเคี้ยวจนแก้มตุ่ย ยื่นให้พ่อแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น
“ เพราะที่เหลือ ณัฐจะกินจนหมดเอง ฮ่ะ ๆ ๆ ”
“ ที่แท้ก็เห็นแก่กินนี่เอง ” แม่บอก
พ่อหัวเราะเข้ามาลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู “ พ่อไม่เป็นไรง่ายๆหรอก ณัฐก็เรียนให้จบละกัน จะได้มาดูแลพ่อไง ”
“ ใช่ เดี๋ยวณัฐจะรักษาพ่อเอง ” เขายิ้มแฉ่งหันไปทางแม่
“ แม่ก็ด้วยนะ ”
“ จ้า ”
เขาใช้วันหยุดที่มีอยู่กับครอบครัวเพื่อเติมพลังใจอย่างเต็มที่ จนเริ่มเปิดเรียนจึงเดินทางกลับมหาลัยเพื่อมาเรียนต่อและอยู่กับพี่สนเหมือนเดิม
ตลอดหลายเดือนเรายังคงเรียนกันตามปกติ อาจจะหนักบ้างเบาบ้าง ทะเลาะกันบ้างหวานกันบ้างซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ช่วยกันประคับประคองและผ่านพ้นช่วงสอบไปได้
และไม่นานเราก็เรียนจบไปอีกปี...
ปิดเทอมที่เขาต้องเตรียมตัวขึ้นปีสี่ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเพราะจะได้เริ่มฝึกงานในโรงพยาบาลแล้ว พี่สนพาเขาไปตัดเสื้อกาวน์ที่ร้านประจำ อีกฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อกาวน์แขนสั้นด้วยเช่นกันเพราะขึ้น Extern แล้ว ช่วงเวลาที่เห็นตัวเองใส่ชุดนี้ในกระจกและได้ยืนข้างกันกับรุ่นพี่แล้วรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก เรายิ้มให้กันอย่างมีความสุข...เป็นภาพความทรงจำที่คงจะจดจำไปนานเท่านาน
ช่วงปิดเทอมเขากับพี่สนต่างแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง แวะมาหากันบ้างเป็นบางครั้งแต่นานๆที เขาไปบ้านอีกฝ่ายครั้งนึงได้เจอกับป้าจันทร์คิดถึงแทบแย่แต่ก็ไม่ได้เจอพ่อพี่สนหรอก ส่วนรุ่นพี่ก็มาบ้านของเขาถึงสองครั้ง เขาคิดว่าพ่ออาจจะสงสัยเรื่องของเราบ้างแล้วล่ะเพราะถ้าพี่สนเป็นแค่รุ่นพี่ธรรมดาจะมาเยี่ยมบ้านทำไมทุกปิดเทอม แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปหรือถามอะไรให้มากความ หรืออาจจะแอบถามแม่ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะแม่ก็ไม่ได้บอก แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่พ่อไม่ว่าอะไรเขาก็พอใจแล้ว
ไม่นานภาคเรียนใหม่ของเขากับพี่สน ทั้งปีสี่และปีหกก็ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกัน...
เพราะเป็นการเรียนชั้นคลินิกที่ต้องมีการราวด์คนไข้ในทุกเช้า เราทั้งคู่จึงตื่นแต่เช้าไปเรียนพร้อมกันได้ช่วงแรกทุกอย่างดูยากไปหมด เขาต้องปรับตัวหลายอย่างและคอยถามรุ่นพี่อยู่เป็นประจำ เพราะยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก เขาพึ่งรู้ว่าการเรียนชั้นคลินิกกับเรียนชั้นปี 1-3 ช่างต่างกันอย่างมากมาย เพราะการเรียนเลคเชอร์อาจจะง่ายแต่พอถึงเวลาเอามาปรับใช้กลับทำได้ยากนัก อย่างนี้สินะที่พวกเขาจำเป็นต้องฝึกทำงานในโรงพยาบาลอย่างหนักหน่วงถึงสามปีเต็ม
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย...เพราะหลังตารางเรียนออกเขาก็ทราบว่าบล็อกแรกได้ขึ้นเมด(อายุรกรรม)ก่อน ซึ่งนับว่าเป็นวิชาที่ยากมาก เขาจึงเริ่มต้นด้วยการพยายามดูคนไข้อย่างตั้งใจพร้อมกับอ่านหนังสืออย่างหนักไปด้วยกัน ยอมรับว่าบรรยากาศการเรียนและเนื้อหาวิชาทำให้เครียดมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามาระบายกับพี่สนถึงสิ่งที่พบเจอมาแต่ละวันทั้งเรื่องอาจารย์และการเรียนที่จริงจังมากเกินไปจนถึงกับต้องหลั่งน้ำตาเพราะเกินขีดจำกัดที่เขาจะทนได้ ฝ่ายนั้นปลอบประโลมอย่างเข้าใจ...ในวินาทีนี้คงจะไม่มีใครเข้าใจเขามากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าพี่สนเรียนคณะอื่นอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกก็ได้ว่าทำไมต้องมาร้องห่มร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้ แต่เพราะฝ่ายนั้นก็เคยผ่านมาก่อน จึงเข้าใจและรู้ดีว่ามันเป็นยังไง...และรู้สึกยังไง
“ ถ้าเครียดมากก็ปล่อยไปบ้างก็ได้ อาจารย์ด่าก็ปล่อยไป ไม่ต้องเก็บมาคิดทั้งหมดหรอก ”
“ แต่มันเหมือนกับ...ณัฐไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่ณัฐก็พยายามแล้ว ” ร่างเพรียวสะอื้นพลางปาดน้ำตาตัวเอง
“ ไม่เป็นไรหรอก ก็เราไม่รู้จริงๆนี่นา ใครจะรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่เกิดล่ะ...จริงมั้ย ? ”
ประโยคนั้นทำให้เขาคิดได้ในทันที นั่นสินะ...ไม่มีใครรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่เกิดหรอก ต้องอาศัยเวลาและการเรียนรู้ด้วยกันทั้งนั้น เขาเองก็เหมือนกัน...เพื่อนคนอื่นก็เหมือนกัน
“ ปีสี่อ่ะ ก็จะเครียดอย่างนี้แหละ เพราะพึ่งขึ้นใหม่ ระบบการเรียนมันก็ไม่เหมือนปีที่ผ่านมา แต่อีกสักหน่อยก็จะค่อยๆปรับตัวได้ ณัฐต้องอดทนนะครับ สู้ๆ...พี่เอาใจช่วยนะ ”
“ พี่สนผ่านมาได้ยังไงอ่ะ...เก่งจัง ”
ฝ่ายนั้นเผยยิ้มเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มออกให้
“ ณัฐก็จะผ่านได้เหมือนกัน...เชื่อพี่สิ ”
คิดได้ดังนั้น...ร่างเพรียวก็สูดหายใจลึก ชูกำปั้นทั้งสองข้างเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ทั้งที่น้ำตายังเปื้อนเต็มสองแก้ม
“ สู้ๆ !! อุปสรรคมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก...เนอะ ”
“ ใช่ สู้ ๆ !! ”
จากที่เครียดมาตลอดหลายอาทิตย์ ในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างได้เสียที ถึงจะยากแค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าจะผ่านมันไปไม่ได้นี่นา คนอื่นยังทำได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้
หลังจากนั้นเขารู้สึกว่าเข้มแข็งและมีความอดทนมากขึ้น เช้าวันถัดมาเขารีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปราวด์ ถ้าไม่รู้หรือสงสัยอะไรจะเปิดอ่านจากหนังสือหรือถามจากรุ่นพี่หรืออาจารย์ทันที รายงานหรือการบ้านที่ได้มาจะพยายามทำให้ทันส่งก่อนกำหนดทุกครั้ง อยู่เวรไม่ให้เสียเวลาเปล่าถ้าเหลือว่างจากการทำงานหรือรับเคสแล้วจะพยายามอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวกับคนไข้ที่ได้พบในแต่ละวันด้วย นานวันเข้าก็รู้สึกได้ว่าความรู้ที่มีมาเริ่มเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น จากที่หนักใจก็เริ่มจะสนุกกับเรียนขึ้นมานิดๆแล้ว ที่ทำแบบนี้อยู่ทุกวันบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยและท้อเหมือนกันแต่เพราะมีเพื่อนที่ดีคอยช่วยเหลือกันเรียน และที่สำคัญคือได้กำลังใจดีจากคนรักจึงทำให้ไม่เหนื่อยมากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะหลายครั้งที่เราต่างคนต่างก็เรียนหนัก บางวันที่อยู่เวรเพียงแค่ได้เห็นข้อความจากอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ทางโทรศัพท์ก็ทำให้รู้สึกดีและมีพลังได้แล้ว
ส่วนพี่สนตอนนี้กำลังเรียนบล็อกศัลย์...เป็นปกติที่ Extern จะอยู่เวรทั้งคืนจนถึงเช้า เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนพี่สนอยู่เวรก็ทำใจได้เลยว่าจะไม่ได้เจอกันจนถึงเย็นเลิกเรียนวันถัดไปนู่นแหละ และวันถัดมาอาจจะเห็นฝ่ายนั้นกลายร่างเป็นศพนอนทั้งวันตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า ตื่นมากินข้าวแค่ครั้งเดียวแล้วก็นอนต่อ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันแต่ก็อาจจะเจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง ช่วงนี้เราอาจจะได้คุยกันน้อยลงเพราะต่างคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองไป ซึ่งเราทั้งคู่ก็ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ บางครั้งในเวลาที่เหนื่อยมากขนาดนี้ อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เราเข้าใจกันมากที่สุดช่วงหนึ่งเลยก็ได้
พอมาถึงตอนนี้เขาเข้าใจประโยคที่พี่สนเคยพูดไว้ได้อย่างถ่องแท้เลยล่ะ เพราะฝ่ายนั้นเคยบอกว่า ‘ความสุขของคนเราน่ะมันง่ายนิดเดียว...แค่อยากกินแล้วได้กิน อยากนอนก็ได้นอน แค่นี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว ’ สิ่งง่ายๆที่เคยทำได้มาแต่ไหนแต่ไรแต่ตอนนี้กลับทำได้ยากและโหยหามันเหลือเกิน...ตอนนี้เขาเข้าใจลึกซึ้งเลยล่ะ
ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เดือนต่อมา...เขาได้เปลี่ยนสายราวด์และอยู่ตึกใหม่ และแน่นอนเขาจะได้ราวด์กับรุ่นพี่และอาจารย์คนใหม่ด้วย อาจารย์คนใหม่น่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะรู้มาว่าใจดีมาก แต่รุ่นพี่ dent med ที่เขาจะได้ราวน์ด้วยเนี่ยสิ อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้...
พอเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วถึงกับตกใจไปแวบหนึ่ง เพราะฝ่ายนั้นคือ ‘พี่อ๊อฟ’ ซึ่งเป็นคนที่เคยชอบพี่สน และตอนนี้ก็เป็น dent3 หรือ chief ward แล้ว ซึ่งในอนาคตปีหน้าก็คงจะได้เป็นอาจารย์ เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์มาเหมือนกันว่าพี่เค้าปากคอเลาะร้ายจิกกัดรุ่นน้องไม่เลือกหน้า พอเป็นพี่ dent ปีสูงแล้วยิ่งแผลงฤทธิ์มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวจนทุกคนต้องขยาด และจะไม่น่ากลัวเท่าไหร่ถ้าเขาเป็นคนอื่น ถ้าเขาไม่ใช่...แฟนพี่สน
“ อ้าว ? นึกว่าใคร ” ทั้งๆที่ในสายมีเพื่อนปีสี่ด้วยกันอีกสามคน ปีห้าอีกสอง และปีหกอีกหนึ่ง แต่ฝ่ายนั้นกลับเลือกทักเขาเป็นคนแรก สายตาแบบนั้น...อย่ามองกันแบบนี้เลยจะดีกว่า
“ สวัสดีครับ ” เขาโค้งหัวทักทายอีกฝ่ายตามมารยาทที่รุ่นน้องควรทำ ตอนนี้ภูมิต้านทานเขามีมากขึ้นแล้ว จะโดนอะไรก็คงไม่กลัวเท่าเมื่อก่อน
“ เคสนี้ เคสใคร ?! ” เสียงที่เกือบเหมือนจะตะคอก นั่นเป็นประโยคแรกที่พวกเรามักจะได้ยินเสมอ
ร่างเพรียวยกมือขึ้นอย่างช้าๆก้าวเท้าออกไปด้านหน้า
“ เคสผมครับ ”
“ ไหนรายงานเคสให้ฟังสิ ”
ร่างเพรียวถือชาร์ตคนไข้ไว้ในมือ “ ครับ...ผู้ป่วยหญิงอายุ 47 ปี มาด้วยไข้ 3 วัน......... ”
เขารายงานเคสอย่างครบถ้วนตามแบบฉบับที่ปีสี่ควรทำ เคสนี้เป็นเคสใหม่ที่เขามาซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างดีแล้วตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นหลังเลิกเรียน ถ้าอีกฝ่ายจะถามอะไรเขามั่นใจว่าตอบได้ ไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขายังกลับไปอ่านหนังสือเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโรคของคนไข้มาด้วย เพราะจะได้เรียนรู้ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
“ ไหนลอง approach สิ ? ”
เขาอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น...ทั้งๆที่ปกติแล้วพอปีสี่รายงานเคสซักประวัติตรวจร่างกายเสร็จแล้ว ก็มักจะเป็นหน้าที่ของปีห้าในการ discuss เคสต่อว่าผู้ป่วยรายนี้สงสัยว่าเป็นโรคอะไรได้บ้าง และปีหกก็จะบอกถึงวิธีการรักษาต่อไป แบบนี้...อาจจะยากไปสักหน่อย ไม่สิ ยากมากเลยด้วย...สำหรับปีสี่อย่างเขา
ร่างเพรียวชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ ผมเหรอครับ ? ”
“ ก็ใช่สิ พี่พูดกับน้องอยู่นะ เป็นเจ้าของเคสก็ต้องรู้เคสตัวเองอย่างดีอยู่แล้ว ไหนลองพูดให้ฟังสิ ? ”
“ ก็......ครับ ” เขาพยักหน้าอย่างจำใจ
“ เอ่อ...ผู้ป่วยรายนี้มาด้วย ไข้มา 3 วัน เป็น Acute fever ก็ต้องเริ่มจากแยกว่าเป็น infection หรือ non-infection ก่อน แล้วก็ดูว่าเป็น localize หรือ systemic ซึ่งจากการซักประวัติและตรวจร่างกายในคนนี้พบว่า... ”
“ definition of fever คืออะไร ? ” อยู่ดีๆฝ่ายนั้นก็ถามแทรกขึ้นมาทันที จนเขาต้องหยุดพูดในทันที
เขาพยายามเค้นความคิดเท่าที่เคยร่ำเรียนมา “ BT มากกว่าหรือเท่ากับ 37.8 องศา ครับ ”
“ ค่านั้นเสมอไปมั้ย ? ” อีกฝ่ายกอดอกถามอย่างสบายอารมณ์
“ คิดว่าไม่ครับ ”
“ ยังไง ? ”
“ ก็...กลางวันกับกลางคืนอุณหภูมิร่างกายคนเราต่างกัน ถ้าผู้ป่วยเป็นไข้แต่วัดในตอนเช้าอุณหภูมิร่างกายอาจจะต่ำกว่า 37.8 องศาก็ได้ครับ แต่ที่จริงแล้วผู้ป่วยก็เป็นไข้ ” เขาพยายามบอกสันนิษฐานที่คิดเอาเอง ทั้งที่ไม่แน่ใจแต่ก็ต้องทำหน้าเหมือนมั่นใจไว้ก่อน
“ อืมม...แล้วไงต่อ ” เฮ้อ...โชคดีที่ผ่านไปได้
“ ก็...จากประวัติพบว่า ผู้ป่วยมีไข้สูงหนาวสั่น ร่วมกับปวดเอวข้างขวา มีปัสสาวะแสบขัดขุ่นร่วมด้วย น่าจะมี localize source of infection จริง ตรวจร่างกายพบว่ามีไข้ 39.0 , CVA tender ข้างขวา ก็นึกถึงว่าน่าจะมี Infection ใน KUB system (ระบบทางเดินปัสสาวะ) มากที่สุดครับ ”
“ ตอบกว้างไปไหม ? KUB system มีตั้งเยอะแยะ ทั้ง kidney , ureter , bladder , urethra เป็นส่วนไหนล่ะ ? ”
“ คนนี้มี right CVA tender น่าจะเป็น right kidney ครับ ”
“ แล้วเป็นโรคอะไร ? ”
“ Acute pyelonephritis (กรวยไตอักเสบ) ข้างขวาครับ ”
“ เป็นอย่างอื่นได้มั้ย ? ”
พอได้ยินคำถามนี้แล้วเขาถึงกับเหวอไปเล็กน้อย ปีสี่ที่พึ่งขึ้นใหม่อย่างเขา แค่ซักประวัติให้ละเอียดก็ว่ายากแล้ว ยังจะให้ Approach case อีก โชคดีที่เดือนก่อนเขาเคยเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องไข้ไปแล้ว ไม่งั้นก็คง approach ไม่ได้แบบนี้แน่ แล้วตอนนี้ยังมาถามคำถามที่ยากกว่านั้นอีก
เป็นโรคอื่นได้ไหมงั้นเหรอ...แล้วเป็นอะไรได้อีกล่ะ ?
“ เห็นมั้ย ?! ไม่ใช่คิดแต่ว่าเป็นโรคนี้ได้อย่างเดียว ผู้ป่วยอาจจะเป็นอย่างอื่นที่เรามองข้ามไปก็ได้ พอวินิจฉัยแล้วต้องคิดในใจด้วยว่าสามารถเป็นโรคอื่นได้อีกหรือเปล่า ? และถ้าไม่ได้ เพราะอะไร มีเหตุผลอะไรสนับสนุนหรือขัดแย้ง ไม่ใช่พอถึง diagnosis แล้วก็ดีใจคิดว่าตัวเองวินิจฉัยได้แล้ว ถูกต้องแล้ว พี่จะบอกให้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนในทางการแพทย์หรอกนะ ”
“ ครับ ” เขาพยักหน้ารับ
“ เอ้า ! ปีห้า ไหนลอง approach เพิ่มจากน้องสิ ” ฝ่ายนั้นหันไปทางกลุ่มพี่ปีห้าที่อึกอักก่อนตอบอยู่นาน เขารู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเป้าหมาย แต่ก็ยังกังวลใจอยู่ดี ทั้งๆที่คิดว่าทำได้ดีแล้ว...แต่ก็ยังดีไม่พอ
************************
“ แกล้งกันชัดๆ !! ” ใบเฟิร์น เพื่อนปีสี่ในกลุ่มพูดเสียงดังในโต๊ะกินข้าวช่วงพักเที่ยง จนเขาต้องยกนิ้วขึ้นมาแนบปากบอกให้เบาเสียงลงหน่อย
“ เดี๋ยวพี่เค้าก็ได้ยินหรอกแก ” เตย...เพื่อนหญิงในกลุ่มอีกคนหันซ้ายหันขวาอย่างระวัง
“ แกคิดดูนะ แค่ปีสี่อย่างเรา รายงานประวัติและตรวจร่างกายได้ครบถ้วนแบบณัฐก็เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว และยังจะให้ approach เคสต่ออีก จะบ้าหรือเปล่า ? พึ่งขึ้นเมดได้เดือนเดียวเองนะ จะเอาความรู้ที่ไหนมา approach กันเนี่ย ! ”
“ แต่ยกเว้นณัฐนะ ” ต้า...เพื่อนผู้ชายในกลุ่มอีกคน เพราะถ้ารวมเขาด้วยกลุ่มปีสี่ที่ราวด์ด้วยกันจะมีทั้งหมดสี่คน
“ เออ โชคดีนะเนี่ย ที่มีเทพอย่างณัฐอยู่ในกลุ่มด้วย ไม่งั้นเราตายแน่ ”
“ ณัฐเก่งมากเลยอ่ะ ตอบคำถามพี่เค้าได้ตั้งเยอะแน่ะ ถ้าเป็นเรานะ ตายตั้งแต่... ‘ไหนลอง approach สิ ?’ แล้ว ” ใบเฟิร์นเลียนเสียงสาวแบบนั้นได้ตลกจริงๆ
ร่างเพรียวอมยิ้ม “ แต่พี่เค้าก็ต้อนเราจนมุมจนได้นะ ”
“ ก็ต้องแน่อยู่แล้ว พี่เค้าความรู้เยอะจนใกล้จะเป็นอาจารย์ซะขนาดนั้น พี่เค้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว...ว่าปีสี่ควรรู้แค่ไหน ปีห้าควรรู้แค่ไหน และปีหกควรรู้แค่ไหน ถึงบอกไงว่าถามแบบนี้อ่ะ แกล้งกันชัดๆ ”
“ พอฟังพี่ปีห้าแล้วก็ discuss ไม่ต่างจากณัฐเลยอ่ะ แค่เพิ่มมานิดเดียวเอง สรุปก็เป็นโรคนี้เหมือนเดิมอ่ะแหละ แต่พอถามถึงปีหกแล้วก็วนกลับมาถามที่ณัฐอีกเนี่ยสิ...มันใช่มั้ย ? ”
“ พี่เค้าคงเคี่ยวเข็นเก่งล่ะมั้ง ” เขาพยายามเลี่ยงตอบ
“ งั้นคงเคี่ยวแต่ณัฐคนเดียวอ่ะ เห็นเอาซะยับเลย ”
เพราะเพื่อนไม่รู้ว่าพี่อ๊อฟเคยชอบพี่สน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขากับพี่สนเป็นแฟนกัน คงจะสงสัยกันล่ะมั้งว่าทำไมเขาถึงถูกถามอยู่คนเดียว
“ ถ้าจะถามยากซะขนาดนั้น ปีหกก็ไม่มีอะไรต้องตอบแล้วล่ะ ? ” เตยพูดเสริม
“ อืมม...ช่างมันเถอะ เราก็ทำในส่วนของเราให้ดีก็พอ ไม่รู้ก็กลับไปอ่านเพิ่ม แค่นั้นแหละ ”
“ โอ้ววว คนเก่งเค้าคิดกันอย่างนี้นี่เอง ” ต้าออกความเห็น เขาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
สักพัก เขาก็เห็นพี่สนเดินสวนผ่านไป ฝ่ายนั้นคงกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว รุ่นพี่สังเกตเห็นเขาเข้าพอดีจึงยิ้มและพยักหน้าให้ แล้วเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากกว่านั้น
ตกเย็นหลังเลิกเรียนแล้วเขายังคงกลับไปดูคนไข้ต่อและรับเคสใหม่จนถึงหกโมงเย็น พอกลับมาถึงห้องก็ไม่เจอพี่สน เขาเดินไปดูตารางเวรของเราทั้งคู่ที่ถูกติดอยู่บนฝาผนังในห้องนอน...ก็พบว่าวันนี้พี่สนไม่ได้อยู่เวร เราไม่ได้อยู่เวรด้วยกันทั้งคู่ เย้ !! แต่กว่าอีกฝ่ายจะกลับมาถึงห้องก็คงสองทุ่มกว่านู่นแหละ เพราะงานหนัก ราวน์ช้า คนไข้เยอะเป็นปกติของศัลย์อยู่แล้ว
พอนึกถึงเรื่องวันนี้แล้วเขาก็รู้สึกหงุดหงิดพี่อ๊อฟอย่างบอกไม่ถูก ดันซวยได้อยู่สายเดียวกันซะได้ สองปีก่อนที่พี่สนอยู่กับฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ แต่ถึงยังไงก็คงดีกว่าเขาเยอะแหละ ก็พี่สนถูกชอบนี่นา แต่เขา...กำลังถูกเกลียด
ร่างเพรียวหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดอ่านหน้าบท KUB system ทันที รวมถึงอ่านเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย...เรื่องแค่นี้ ไม่ยอมแพ้หรอกน่า !
นั่งอ่านหนังสือได้ประมาณสองชั่วโมงกว่า รุ่นพี่ก็กลับมาถึงห้อง พอฝ่ายนั้นเปิดประตูเข้ามาเขาก็เดินเข้าไปกอดด้วยความดีใจทันที เพราะนานๆครั้งเราจะว่างตรงกันแบบนี้นี่นา
“ พี่สน กลับมาแล้วเหรอ ? ”
“ ครับ กลับมาแล้ว ” ฝ่ายนั้นลูบศีรษะเขาไปมา วางกระเป๋าลงบนโซฟา
“ เหนื่อยมั้ย ? ”
“ เหนื่อย กว่าจะราวน์เสร็จ ยืนจนขาแข็งเลยอ่ะ แล้วตอนนี้ก็หิวข้าวมากด้วย ”
“ ไปกินข้าวข้างนอกกันมั้ย ? ” เพราะช่วงนี้เราต่างไม่ค่อยมีเวลาด้วยกันทั้งคู่ เขาจึงไม่ค่อยได้ทำกับข้าวเอง ส่วนใหญ่จะออกไปกินข้างนอกกันเสียมากกว่า
“ เอาดิ งั้นพี่ขออาบน้ำก่อนนะ ”
“ อื้มม ”
อยู่ดีๆฝ่ายนั้นก็เข้ามาจุมพิตริมฝีปากของเขาเบาๆ ถึงช่วงนี้เราจะไม่ได้มีเรื่องลึกซึ้งกันบ่อยนัก แต่หวานๆแค่นี้บ้าง สำหรับเขาแล้ว...ก็โอเคนะ
เราตัดสินใจไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารบรรยากาศดีร้านหนึ่ง พออาหารเริ่มทะยอยมาแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องในวันนี้ จึงเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
“ ณัฐอยู่สายเดียวกับพี่อ๊อฟด้วยอ่ะ ”
“ อ้าวเหรอ ? ตอนนี้พี่เค้าเป็น chief แล้วนี่นา ”
“ อืมใช่ รัศมีบารมีแผ่เลยล่ะ...รัศมีจิกกัดนะ ”
“ ฮ่ะ ๆ ๆ แล้วเป็นไงบ้าง ? ”
“ ตอนราวน์ด้วยกัน ณัฐโดนต้อนจนมุมเลยน่ะสิ พี่เค้าอ่ะถามแต่ณัฐคนเดียวเลย ถามแต่อันยากๆด้วย ณัฐตอบไม่ค่อยได้เลย ”
“ อ้าวเหรอ ? ”
“ ลืมไปหรือเปล่าว่าณัฐอยู่แค่ปีสี่นะ แค่นั้นน่ะยังไม่เท่าไหร่...พอราวน์เสร็จยังยื่นชาร์ทมาให้อีก บอกให้ณัฐ review treatment ให้หน่อย...ณัฐอึ้งไปเลย มันคืออะไร ? ทำยังไง ? ณัฐยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ จนพี่ Extern ในสายต้องเข้ามาช่วยเขียนอ่ะ ” (review treatment = เป็นการสรุปการรักษาทั้งหมดของคนไข้)
“ ฮ่ะ ๆ โดนเล่นรึเปล่าเนี่ย ? ”
“ เป็นเพราะพี่สนน่ะแหละ !! ”
“ อะไร ?! ” ฝ่ายนั้นยิ้มกวน
“ ไม่ต้องเลย ! เพราะพี่สนคนเดียว เพราะณัฐเป็นแฟนพี่สน ” เขาหน้าบูด
“ แต่ณัฐไม่กลัวหรอก เพราะณัฐจะไปราวน์แต่เช้า จะดูแลคนไข้ตัวเองให้ดี จะอ่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคนไข้ของตัวเองเลย ลองดูกันสักตั้ง...แต่ถ้าถามมากกว่านั้นแล้วตอบไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องยอมรับแล้วล่ะ ”
“ สุดยอดอ่ะ น่ากลัวจริงๆ...น้องปีสี่คนนี้ ”
“ มาติวเมดให้ณัฐเดี๋ยวนี้เลยนะ จะให้แฟนตัวเองแพ้หรือไง ?! ”
“ แพ้อยู่แล้ว...คู่แข่งเป็น chief ward ที่กำลังจะเป็นอาจารย์เชียวนะ ”
“ ไม่ ณัฐไม่ได้หมายถึงพี่อ๊อฟ ณัฐหมายถึงบล็อกเมดนี่แหละ ณัฐจะเอา A วิชานี้ให้ได้ ”
“ โอ้วว...น่ากลัวอีกแล้ว แค่นี้ก็จะได้เกียรตินิยมแล้วเนี่ย...จะเรียนต่อเมดด้วยหรือไง ? ”
“ ไม่รู้สิ ”
“ หา !! พึ่งเรียนได้แค่บล็อกเดียวเอง นี่ชอบเมดเลยเหรอ ? ”
“ ก็สนุกดีนี่นา ได้คิดเยอะดี ”
“ รอเรียนอันอื่นก่อนก็ได้ อีกตั้งสามปี ชีวิตยังอีกยาวไกลน่า ”
“ แล้วพี่สนล่ะ ? ”
“ ทำไมเหรอ ? ”
“ ก็อีกแค่ปีเดียวพี่สนก็จะเรียนจบแล้ว จะเรียนต่อเลยหรือเปล่า ? แล้วอยากเรียนต่ออะไร ? ”
“ อืมม...ไม่รู้สิ ยังไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษเลย ใช้ทุนไปก่อนค่อยว่ากัน บางทีพี่อาจจะไปทำธุรกิจอะไรสักอย่างก็ได้นะ ฮ่ะ ๆ ” คำตอบที่ค่อนข้างชัดเจน ทำเอาเขาไปต่อไม่ถูก สมกับเป็นพี่สนจริงๆ
“ บ้า ! จริงเหรอ ? ”
“ ไม่หรอก แต่พี่ยังไม่รู้จริงๆ เอาแค่ตอนนี้สอบให้ผ่าน เรียนให้จบก่อน...เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ”
“ นั่นสินะ แค่เรียนให้จบก่อน แค่นี้ก็ยากแล้ว ”
“ เอ้า พอแล้ว หยุดพูดเรื่องเครียด...กินให้หมด เดี๋ยวจะพาไปกินไอติมต่อ ”
“ พี่สนไม่อิ่มเหรอ ? ”
“ อิ่ม แต่อยากกิน วันว่างแบบนี้ต้องกินให้เต็มที่ รู้มั้ย ? จะได้กลับไปนอนอย่างสบายใจ เพื่อความสุขของชีวิต ”
“ ฮ่ะ ๆ ๆ ”
ช่วงเวลานี้ถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหน แต่เขาก็ยอมรับว่ายังคงมีความสุขมากอยู่ดี
*******************************
ในแต่ละวันนักศึกษาแพทย์ปีสี่อย่างพวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันหลายอย่าง ทั้งรุ่นพี่ ทั้งอาจารย์ การทำงานและการอยู่เวรที่หนักหน่วง โดยเฉพาะพี่อ๊อฟที่ต้องราวด์ด้วยกัน ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าปะทะกันทุกวัน...เพราะรู้สึกว่าฝ่ายนั้นจะเคี่ยวเข็ญเขามากเป็นพิเศษจนทุกคนในสายสังเกตได้ ช่วงหลังๆพี่ปีห้าและ Extern จึงพยายามตอบคำถามช่วยด้วย แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าสนุกดีไปอีกแบบ ถึงพี่เค้าจะด่าจะต้อนให้จนมุมยังไง และแม้ว่าการบ้านของเขาจะได้เยอะกว่าคนอื่น แต่ก็ยอมรับว่าเขาได้ความรู้จากอีกฝ่ายมากมายเหมือนกัน ในขณะเดียวกันกลับทำให้เขาแข็งแกร่งและมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย จะว่าไปแล้วพี่เค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสักเท่าไหร่หรอก แค่ปากร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องส่วนตัวก็เคยได้ยินข่าวลือมาว่าพี่เค้าก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน...เป็นวิศวกรอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ แต่ก็ยังเคยเห็นควงกับคนอื่นออกบ่อย แต่ก็อย่างว่าแหละ เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาสักหน่อย แค่ไม่มายุ่งกับพี่สนของเขาก็พอแล้ว
จนในที่สุดการเรียนก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งเดือน เขาได้ย้ายสายอีกครั้ง รู้สึกมีความสุขมากที่ได้หลุดพ้นจากพี่อ๊อฟเสียที แล้วยิ่งได้มาเจอพี่ dent อีกคนและอาจารย์คนใหม่ที่ใจดีมากทั้งคู่ ยิ่งราวด์ยิ่งมีความสุข อยากตั้งใจทำงานมากกว่าเดิมเสียอีก การเรียนที่ไม่มีความกดดันแบบนี้ ทำให้รู้สึกดีกว่ากันตั้งเยอะ
สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก จบแล้วสำหรับหนึ่งบล็อกของชีวิตปีสี่ หลังสอบเสร็จวันสุดท้ายเขาแทบอยากจะตะโกนลั่นให้ทั่วทั้งโรงพยาบาล แต่นั่นก็คงจะน้อยกว่าพี่สน เพราะรุ่นพี่ก็ลงจากศัลย์แล้วเหมือนกัน เรามีเวลาว่างพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ตั้งสองวัน...ใช่แล้ว เพียงแค่สองวันเท่านั้นเราทั้งคู่ก็จะต้องเรียนต่อในวันจันทร์หน้า เราตัดสินใจใช้เวลาว่างที่มีเพื่อพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ห้อง เลือกที่จะนอนตื่นสายให้ลืมโลกแทนที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดให้เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน...พยายามใช้ชีวิตให้ช้าลง ดื่มด่ำกับความสบายแบบปกติของมนุษย์ นั่งกินอาหารร้านอร่อยที่อยู่ไม่ไกล กลางวันเปิดทีวีดูรายการสำหรับวันหยุดแล้วหัวเราะไปกับมัน เพียงแค่นี้พลังใจก็ได้รับการเติมเต็มพร้อมสำหรับการเรียนวิชาใหม่แล้ว
ช่วงเย็นวันอาทิตย์ก่อนที่จะเปิดเรียน หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็โทรไปหาเพื่อนในกลุ่มเพื่อถามเรื่องตารางเรียนว่าต้องไปถึงคณะตอนกี่โมง จัดการเรื่องเอกสารต่างๆให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะเข้านอนตั้งแต่หัววันจะได้ไปเรียนอย่างสดชื่นในวันพรุ่งนี้
ใช่...เขาคิดวางแผนไว้อย่างนั้น ถ้า...พี่สนไม่เล่นอะไรพิเรนทร์เข้าซะก่อน
หลังอาบน้ำเสร็จก็เห็นฝ่ายนั้นเดินเข้ามาในห้องนอนพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียว อยู่ดีๆพี่สนก็เรียกชื่อเขา แล้วเปิดผ้าโชว์หราให้เห็นเปลือยทั้งร่าง ทำเอาเขาปิดตาเกือบไม่ทัน !!
“ แถ่น แทน แท้นนน !!! ”
“ พี่สนบ้า !! ทำอะไรเนี่ย ? โรคจิต !! ”
“ ก็คนมันมีความสุขนี่นา ”
นึกว่าแค่จะอยากโชว์แล้วใส่กลับเหมือนเดิม แต่ฝ่ายนั้นกลับถอดออกแล้วทิ้งลงบนพื้นซะอย่างนั้น หันหลังไปหาเสื้อผ้าในตู้อย่างสบายอารมณ์ เขาแอบแง้มนิ้วมองด้านหลังก็เห็นพี่สนเปลือยทั้งตัว รอยสักรูปปีกนกที่อยู่บนหลังเอวก็ชัดเจนซะเหลือเกิน
“ มีความสุขก็ไม่เห็นต้องแก้ผ้าโชว์เลย ” เขาลดมือลง แล้วมุดตัวเข้าไปนอนในผ้าห่มหันหลังให้ฝ่ายนั้นอย่างไม่สนใจแทน สงสัยพี่สนเรียนหนักจนเป็นบ้าไปแล้วแน่เลย...
ได้ยินแต่เสียงกุกกักอยู่ไม่ไกล สักพักก็รู้สึกว่าเตียงด้านข้างยวบลง แล้วมือแกร่งก็เข้ามาโอบกอดเขาไว้เหมือนอย่างเคย
“ จะนอนแล้วเหรอครับ ? ”
“ นอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ ”
“ เรียน Forensic (นิติเวช) ไม่ใช่เหรอ ? เรียนเลคเชอร์ตั้งแปดโมง เช้าตรงไหน ? ”
“ ณัฐไม่เช้าหรอก แต่พี่สนเรียนเด็กนี่นา ต้องไปราวด์เช้าอยู่ดี ”
“ อืมม นั่นสินะ ”
เหมือนจะเงียบเสียงไปสักพัก...แต่เขากลับรู้สึกว่าฝ่ายนั้นเริ่มเข้ามาสัมผัสลูบไล้แปลกๆ เริ่มตั้งแต่แขนจากนั้นก็เลื้อยเข้ามาในแผ่นอกของเขาแทน
เขาเงียบไม่ส่งเสียงทัก ฝ่ายนั้นเหมือนยิ่งได้ใจ จึงลากผ่านยอดอกทั้งสองข้างราวกับจงใจจะแกล้งอย่างนั้นแหละ จมูกโด่งเริ่มเข้ามาซุกไซ้ซอกคอจนรู้สึกจั๊กจี้ เขาว่าจะหันกลับไปมอง แต่ก็ดันถูกประกบปากจูบเข้าจนได้ จูบที่ร้อนแรงตั้งแต่เริ่มต้นแบบนี้...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีความต้องการมากแค่ไหน
“ พี่สน ? ”
“ คืนนี้...พี่ขอนะครับ ”
*********************************
ความคิดเห็น