ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    " YOU are the ONE " รักเราหวานซะ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่สอง -- มโนภาพ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 52


    บทที่สอง


                        หลังจากเปิดเทอมไปได้หนึ่งสัปดาห์  ณัฐภัทรเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ของใช้ที่จำเป็น พ่อและแม่ได้นำมาส่งให้ถึงที่แล้วตั้งแต่ก่อนจะเปิดเทอม   เขาเริ่มชินกับการใช้ชีวิตเด็กหอขึ้นมาบ้างแล้ว  กับเจ้าจัมโบ้ก็สนิทกันเร็วมากอย่างไม่ต้องสงสัย 


                         เขากับจัมโบ้ไปเรียนด้วยกันทุกวัน  สถานที่เรียนนั้นไม่ไกลจากหอพักมากนัก เพราะเดินแค่สิบนาทีก็ถึง   นักศึกษาแพทย์บางคนถีบจักรยานไปเรียน บางคนก็ขับมอเตอร์ไซด์  แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินไปเรียนกันมากกว่า  เว้นเสียแต่ว่าจะอาศัยอยู่บ้าน หรือหอพักนอกมหาวิทยาลัยจึงจะขับรถยนต์มาเรียน  เพราะการขับรถยนต์จากหอพักในไปคณะก็ออกจะสิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยไปสักหน่อย


                          ส่วนเรื่องเพื่อนและรุ่นพี่ในคณะนั้น เขาค่อนข้างจะประทับใจมาก สำหรับเขาแล้วคิดว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย  เพราะรุ่นพี่ใจดีและเป็นกันเองกับน้อง   เพื่อนๆทุกคนก็น่ารัก  อัธยาศัยดี  เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก...พาลให้รู้สึกว่า โชคดีจัง..ที่ติดที่นี่

                          สำหรับเรื่องของการเรียนนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากนัก   เพราะดูๆแล้วเหมือนจะมีเนื้อหาคล้ายๆสมัยมัธยมปลายอยู่เหมือนกัน  เห็นรุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่า แพทย์ปีหนึ่งเหมือนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากกว่า  ซึ่งจะได้เรียนเนื้อหาเกี่ยวกับแพทย์อย่างจริงจังประมาณปีสอง  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่ประมาท  ยังคงตั้งใจเรียนและพยายามอ่านหนังสืออยู่ตลอด  ซึ่งผิดกับเจ้าจัมโบ้ที่มักจะดินพอกหางหมูไว้  จนถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบ...ค่อยตั้งต้นอ่าน จนเขาเหนื่อยหน่ายกับการที่จะเตือนเพื่อนคนนี้แล้ว



                            ตอนนี้เขาได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคนจากการเรียนแล็บวิชาชีวเคมี  ซึ่งวิชานี้จะต้องทำการทดลองเป็นคู่  และแน่นอนว่าเขามีคู่แล็บเมทเป็นผู้หญิง เธอชื่อว่า ‘แพร’ 


                            แพรเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ร่าเริง นิสัยดี และเป็นคนที่คุยเก่ง บางครั้งออกจะติดตลกเสียมากกว่า  วิชานี้มีเรียนแทบทุกวันจึงทำให้เราได้คุยกันและได้รู้จักกันมากขึ้น  เขาได้รู้มาว่าเธอเกิดและโตที่นี่ โดยจบจากโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง  เรียกได้ว่าเป็น‘เจ้าถิ่น’อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อเขาอยากจะรู้จักที่ไหน อยากจะไปที่ไหน เธอจะแนะนำได้เสมอ  ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า  โรงหนัง  ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานบันเทิงที่นักศึกษาชอบแวะเวียนไปอย่างเช่น ‘หลังมอ’  ทำให้ตอนนี้เขามีเพื่อนสนิทเพิ่มมาอีกคน นั่นคือ ‘แพร’
     

                             เราสามคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ  ทั้งแพรและจัมโบ้เป็นคนที่คุยเก่งด้วยกันทั้งคู่  เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน เขาที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว มักจะเป็นฝ่ายฟังเสียส่วนใหญ่ วันไหนที่ขาดใครไปสักคนรู้สึกว่าโลกจะเงียบขึ้นมาถนัดหู  แต่ชวนให้วังเวงเสียมากกว่า

     

    ****************


                            “ จะเอาไงดีเนี่ย ! ”  จัมโบ้ตะโกนแหกปากในบ่ายวันอาทิตย์  ซึ่งณัฐไม่อาจทราบได้ว่าเพื่อนถามเขาหรือถามตัวเองกันแน่
     

                            “ แกเป็นบ้าอะไร ? ”  ปากก็ถามเพื่อน  แต่มือเขายังไม่ละไปจากสมุดภาพตรงหน้า
     


                             “ เฮ้อ....ก็งานเฟรชชี่อ่ะดิ   จะใส่ชุดอะไรไปดี  วันพุธหน้าแล้วนะโว้ย ! ”  
     


                              เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่ใจคิด  ชีวิตมหาวิทยาลัยมีเรื่องสนุกมากมาย  ไม่ทันไรเขาก็เรียนที่นี่ได้เดือนกว่า  ผ่านการรับร้องปีหนึ่ง  ผ่านการเชียร์  และกำลังจะถึง ‘งานเฟรชชี่’ ที่รุ่นพี่จัดให้น้องปีหนึ่งในไม่ช้านี้แล้ว
     

                           “ ก็ใส่ชุดที่แกคิดว่าหล่อไง ” เขาตอบโดยอัติโนมัติ
     

                           “ มันมีด้วยเหรอ ชุดที่ว่านั้นน่ะ ! ฉันไม่ใช่แกนี่หว่า ใส่อะไรก็ดูดี ” เจ้าตัวอ้วนตอบกลับแบบประชดประชันเล็กน้อย
     

                           แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนที่สนทนาด้วยนั้น ไม่ได้สนใจสักนิดเดียว....



                          “ เฮ้อ...ในที่สุดก็เสร็จสักที  ”  

                          ณัฐวางดินสอลง  มองภาพสเก็ตที่พึ่งวาดเสร็จตรงหน้า แล้วบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อย



                         “ นี่แก ไม่ได้ฟังฉันพูดเลยเหรอเนี่ย ”  


                         “ แล้วนั่นอะไร ? ” เจ้าตัวอ้วนบุ้ยหน้ามาทางสมุดภาพตรงหน้าเพื่อน พร้อมกับลุกขึ้นมาดูเพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น



                          “ ภาพสเก็ต  เป็นไง ? ”  คนถามยิ้มอย่างภูมิใจในผลงาน 



                            ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา จัมโบ้รู้มาว่า เพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนชอบวาดรูปมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งอาศัยแค่สมุดสเก็ตภาพคู่ใจ และดินสอแรเงา..แค่นั้น  เมื่อมีเวลาว่าง...เขามักจะเห็นณัฐนั่งวาดภาพเสมอ  


                            ภาพที่ณัฐวาดออกมานั้น นับว่าเป็นภาพที่สวยละเอียดทีเดียว  บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าได้รับการฝึกปรือฝีมือมานาน  บางครั้งเห็นเพื่อนชอบถืออุปกรณ์คู่ใจออกไปข้างนอกในวันหยุดที่อากาศดี  ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะไปนั่งวาดรูปเล่นที่ไหนสักแห่ง เคยถามครั้งหนึ่ง บอกแต่เพียงว่า...ไปสวนสาธารณะ


                           ส่วนรูปภาพภายในสมุดเล่มนั้น ตามที่เขาเคยได้แอบเปิดดูเป็นบางครั้ง  ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกภาพวิว  ทิวทัศน์  หรือภาพธรรมชาติต่าง ๆ     น้อยครั้ง..ไม่สิ   ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะเห็นเพื่อนเขาคนนี้วาดรูป ‘คน’ หรือ ‘ภาพเหมือน’


                          ครั้งนี้เขาจึงแปลกใจมากเป็นพิเศษที่เห็นรูปที่วาดในวันนี้...


                        “ ใครเนี่ย ? ” เพื่อนสนิทมองภาพวาดนั้น  

                         ในภาพเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง ที่มีรูปหน้าหล่อเหลา และมีดวงตาคมเข้ม เป็นภาพที่เสมือนจริงราวกับมีชีวิต


                        “ ไม่รู้ เหมือนกัน ” ณัฐตอบด้วยเสียงเรียบเฉย พร้อมกับเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว 

                         เขาวาดรูปนี้ตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำเลยด้วยซ้ำ


                        “ หา !   ไม่รู้  แล้ววาดได้ไงวะ ? ”  เพื่อนตัวอ้วนถามด้วยความสงสัย


                        “ ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีดีก็นึกอยากวาดขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิด...คงจะฝันถึงเมื่อคืนล่ะมั้ง ” เขาตอบทีเล่นทีจริง  แล้วเดินออกจากห้องไป  ทิ้งให้เพื่อนสนิทยืนงงอยู่อย่างนั้น




       *****************



                         ท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับแสงแดดที่กำลังจางลงเป็นสีส้มอ่อน  ลมเย็นๆพัดโชยให้ใบไม้ปลิวไหวเบาๆ ราวกับกลัวว่ากลีบนั้นจะร่วงหล่นไป  วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดี... พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็พาตัวเองมาอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้...อีกครั้ง

                      
                         เขาชอบที่นี่  และรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มา การได้นั่งพิงม้านั่งได้ร่มไม้ใหญ่ที่เย็นสบาย สร้างความสำราญใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ


                         อาจจะเป็นเพราะ บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขานึกถึง.. ‘บ้าน’ ..ก็เป็นได้ 


                         บริเวณใกล้บ้านเขาก็มีสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเหมือนกัน  ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเท่าที่นี่ แต่ก็เพียงพอแล้วกับความรู้สึกโหยหาที่ทดแทนกันได้

                         ทุกครั้งที่รู้สึกเหงา  ทุกครั้งที่รู้สึกว้าเหว่  และทุกครั้งที่คิดถึงบ้าน เขาจะมารับไออุ่นและอ้อมกอดของสายลมจากสถานที่แห่งนี้ 


                        ...บางทีการได้อยู่กับตัวเอง เพื่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ดีเหมือนกัน...  

                        ได้มองผู้คนใช้ชีวิตในยามเย็นของวัน บางคนเดินเล่นพร้อมกับลูกสุนัขตัวเล็ก  บ้างก็เดินกระหนุงกระหนิงกับคู่รัก  บางคนก็ตั้งใจมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง 
    ชีวิตที่แสนจะธรรมดาเรียบง่ายนี้ เมื่อมองแล้ว กลับสามารถสร้างความสงบสุขให้หัวใจดวงน้อยของเขาได้อย่างน่าประหลาด


                        เป็นเวลาหลายวันแล้ว ที่เขามักจะมานั่งเล่นที่นี่เสมอ...ที่ม้านั่งสีน้ำตาลตัวเดิม...ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม  และความรู้สึกสบายใจเช่นเดิม... 


                        อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เขารู้สึกเหงาใจเป็นพิเศษเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองว่างจนเกินไป พออ่านหนังสือเรียนได้สักพักก็ต้องวางลงและพยายามหาอย่างอื่นทำ  ในวันหนึ่งเขาเดินฟังเพลงเรื่อยเปื่อยจนมาถึงสวนแห่งนี้


                         จากนั้นเขาจึงได้ยึดถือสถานที่แห่งนี้เป็นที่รักษาความสงบสุขของจิตใจตนเองไปโดยปริยาย



                         แล้วสายตาของเขาก็พลันไปเห็นบางอย่างที่ฟากหนึ่งของสวนน้ำพุ 



                         ภาพนั้นทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมานิดๆ
                
                         เป็นภาพคู่รักหญิงชายชราคู่หนึ่ง...



                         ชายชรากำลังถือไอศกรีมแท่งโบราณ ยื่นให้หญิงชราอายุไม่ต่างกัน ที่นั่งอยู่ม้านั่งตรงหน้า ยายทำท่าทางเขินอายเล็กน้อย  ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะที่ไม่ใกล้นัก  แต่เขาก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขจากสายตาของคนทั้งคู่ได้ดี 



                         ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรดีๆอย่างหนึ่งออก 

                         เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีหรือไม่...



                        ณัฐ รีบหยิบสมุดเล่มดำภายในเป้ขึ้นมา พร้อมกับควานหาดินสอแท่งหนึ่งที่อยู่ส่วนลึกสุดของกระเป๋า แล้วบรรจงวาดภาพที่อยู่ในมโนภาพเมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็วเท่าที่เขาสามารถจดจำได้ แต่ละลายเส้นถูกวาดลงไปอย่างฉับไว  เส้นแล้วเส้นเล่าถูกลากผ่านให้เกิดเป็นรูปร่าง ถึงแม้จะไม่ละเอียดดังที่เคย แต่ทว่ายังคงความสวยงามเสมือนมีชีวิตจิตใจไม่เปลี่ยน


                        เมื่อวาดเสร็จ...เขายิ้มภูมิใจกับผลงานตัวเองทีหนึ่ง  แล้วรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า  หลังจากฉีกกระดาษแผ่นที่วาดนั้นออก


                        เขารีบวิ่งตามคู่รักวัยชราที่เดินไปไกลแล้ว จนตามทันในที่สุด


                       “ เดี๋ยวก่อนครับ ”


                          คนทั้งคู่หันมามองเด็กหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหา


                         “ มีอะไรหรือจ๊ะหนู ” หญิงชราท่าทางใจดีถามขึ้น พร้อมกับมองมายังเขาด้วยสีหน้างุนงง



                           ณัฐภัทรยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นหนาให้กับคนทั้งคู่ พร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋มทั้งสองข้าง


                         “ ผม...ผมวาด ให้ครับ ”



                           คุณยายยื่นมือมารับกระดาษใบนั้น  เมื่อรับมา  เด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างให้ และรีบวิ่งจากไปทันที โดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม...


                           ทั้งคู่มองกระดาษในมือ และเห็น...ภาพๆหนึ่ง…



                           ในภาพวาดนั้นเป็นภาพคนสองคนที่มีลักษณะคล้ายเขาทั้งสอง กำลังยิ้มอย่างมีความสุขบนม้านั่งตัวยาว  มือทั้งสองกุมกันไว้แน่นราวกับเป็นเครื่องหมายว่าจะไม่พรากจากกันไปไหน  ไม่ว่าใครที่ได้มองภาพนี้คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  คนทั้งคู่คงจะรักกันมาก



                            ใช่...คนวาดเองต้องการจะสื่ออย่างนั้น



                           เมื่อมองไปยังมุมล่างด้านขวาของภาพ  มีอักษรเขียนหวัดๆไว้ว่า

                          ‘ รักนิรันดร์ ’



                          คู่รักวัยชราที่งงงวยอยู่ทั้งคู่ก็ถึงบางอ้อ  ทั้งคู่สบตากันแล้ว ยิ้มออกมาในที่สุด



                          เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชราตั้งใจจะตะโกนขอบคุณตามหลังไป เพียงแต่ว่า...




                          ...เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งไปไกลลับแล้ว...


    ******************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×