คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่สอง -- มโนภาพ
บทที่สอง
หลังจากเปิดเทอมไปได้หนึ่งสัปดาห์ ณัฐภัทรเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ของใช้ที่จำเป็น พ่อและแม่ได้นำมาส่งให้ถึงที่แล้วตั้งแต่ก่อนจะเปิดเทอม เขาเริ่มชินกับการใช้ชีวิตเด็กหอขึ้นมาบ้างแล้ว กับเจ้าจัมโบ้ก็สนิทกันเร็วมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เขากับจัมโบ้ไปเรียนด้วยกันทุกวัน สถานที่เรียนนั้นไม่ไกลจากหอพักมากนัก เพราะเดินแค่สิบนาทีก็ถึง นักศึกษาแพทย์บางคนถีบจักรยานไปเรียน บางคนก็ขับมอเตอร์ไซด์ แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินไปเรียนกันมากกว่า เว้นเสียแต่ว่าจะอาศัยอยู่บ้าน หรือหอพักนอกมหาวิทยาลัยจึงจะขับรถยนต์มาเรียน เพราะการขับรถยนต์จากหอพักในไปคณะก็ออกจะสิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยไปสักหน่อย
ส่วนเรื่องเพื่อนและรุ่นพี่ในคณะนั้น เขาค่อนข้างจะประทับใจมาก สำหรับเขาแล้วคิดว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย เพราะรุ่นพี่ใจดีและเป็นกันเองกับน้อง เพื่อนๆทุกคนก็น่ารัก อัธยาศัยดี เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก...พาลให้รู้สึกว่า โชคดีจัง..ที่ติดที่นี่
สำหรับเรื่องของการเรียนนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะดูๆแล้วเหมือนจะมีเนื้อหาคล้ายๆสมัยมัธยมปลายอยู่เหมือนกัน เห็นรุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่า แพทย์ปีหนึ่งเหมือนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากกว่า ซึ่งจะได้เรียนเนื้อหาเกี่ยวกับแพทย์อย่างจริงจังประมาณปีสอง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่ประมาท ยังคงตั้งใจเรียนและพยายามอ่านหนังสืออยู่ตลอด ซึ่งผิดกับเจ้าจัมโบ้ที่มักจะดินพอกหางหมูไว้ จนถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบ...ค่อยตั้งต้นอ่าน จนเขาเหนื่อยหน่ายกับการที่จะเตือนเพื่อนคนนี้แล้ว
ตอนนี้เขาได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคนจากการเรียนแล็บวิชาชีวเคมี ซึ่งวิชานี้จะต้องทำการทดลองเป็นคู่ และแน่นอนว่าเขามีคู่แล็บเมทเป็นผู้หญิง เธอชื่อว่า ‘แพร’
แพรเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ร่าเริง นิสัยดี และเป็นคนที่คุยเก่ง บางครั้งออกจะติดตลกเสียมากกว่า วิชานี้มีเรียนแทบทุกวันจึงทำให้เราได้คุยกันและได้รู้จักกันมากขึ้น เขาได้รู้มาว่าเธอเกิดและโตที่นี่ โดยจบจากโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง เรียกได้ว่าเป็น‘เจ้าถิ่น’อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อเขาอยากจะรู้จักที่ไหน อยากจะไปที่ไหน เธอจะแนะนำได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานบันเทิงที่นักศึกษาชอบแวะเวียนไปอย่างเช่น ‘หลังมอ’ ทำให้ตอนนี้เขามีเพื่อนสนิทเพิ่มมาอีกคน นั่นคือ ‘แพร’
เราสามคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ทั้งแพรและจัมโบ้เป็นคนที่คุยเก่งด้วยกันทั้งคู่ เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน เขาที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว มักจะเป็นฝ่ายฟังเสียส่วนใหญ่ วันไหนที่ขาดใครไปสักคนรู้สึกว่าโลกจะเงียบขึ้นมาถนัดหู แต่ชวนให้วังเวงเสียมากกว่า
****************
“ จะเอาไงดีเนี่ย ! ” จัมโบ้ตะโกนแหกปากในบ่ายวันอาทิตย์ ซึ่งณัฐไม่อาจทราบได้ว่าเพื่อนถามเขาหรือถามตัวเองกันแน่
“ แกเป็นบ้าอะไร ? ” ปากก็ถามเพื่อน แต่มือเขายังไม่ละไปจากสมุดภาพตรงหน้า
“ เฮ้อ....ก็งานเฟรชชี่อ่ะดิ จะใส่ชุดอะไรไปดี วันพุธหน้าแล้วนะโว้ย ! ”
เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่ใจคิด ชีวิตมหาวิทยาลัยมีเรื่องสนุกมากมาย ไม่ทันไรเขาก็เรียนที่นี่ได้เดือนกว่า ผ่านการรับร้องปีหนึ่ง ผ่านการเชียร์ และกำลังจะถึง ‘งานเฟรชชี่’ ที่รุ่นพี่จัดให้น้องปีหนึ่งในไม่ช้านี้แล้ว
“ ก็ใส่ชุดที่แกคิดว่าหล่อไง ” เขาตอบโดยอัติโนมัติ
“ มันมีด้วยเหรอ ชุดที่ว่านั้นน่ะ ! ฉันไม่ใช่แกนี่หว่า ใส่อะไรก็ดูดี ” เจ้าตัวอ้วนตอบกลับแบบประชดประชันเล็กน้อย
แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนที่สนทนาด้วยนั้น ไม่ได้สนใจสักนิดเดียว....
“ เฮ้อ...ในที่สุดก็เสร็จสักที ”
ณัฐวางดินสอลง มองภาพสเก็ตที่พึ่งวาดเสร็จตรงหน้า แล้วบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อย
“ นี่แก ไม่ได้ฟังฉันพูดเลยเหรอเนี่ย ”
“ แล้วนั่นอะไร ? ” เจ้าตัวอ้วนบุ้ยหน้ามาทางสมุดภาพตรงหน้าเพื่อน พร้อมกับลุกขึ้นมาดูเพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น
“ ภาพสเก็ต เป็นไง ? ” คนถามยิ้มอย่างภูมิใจในผลงาน
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา จัมโบ้รู้มาว่า เพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนชอบวาดรูปมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งอาศัยแค่สมุดสเก็ตภาพคู่ใจ และดินสอแรเงา..แค่นั้น เมื่อมีเวลาว่าง...เขามักจะเห็นณัฐนั่งวาดภาพเสมอ
ภาพที่ณัฐวาดออกมานั้น นับว่าเป็นภาพที่สวยละเอียดทีเดียว บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าได้รับการฝึกปรือฝีมือมานาน บางครั้งเห็นเพื่อนชอบถืออุปกรณ์คู่ใจออกไปข้างนอกในวันหยุดที่อากาศดี ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะไปนั่งวาดรูปเล่นที่ไหนสักแห่ง เคยถามครั้งหนึ่ง บอกแต่เพียงว่า...ไปสวนสาธารณะ
ส่วนรูปภาพภายในสมุดเล่มนั้น ตามที่เขาเคยได้แอบเปิดดูเป็นบางครั้ง ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกภาพวิว ทิวทัศน์ หรือภาพธรรมชาติต่าง ๆ น้อยครั้ง..ไม่สิ ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะเห็นเพื่อนเขาคนนี้วาดรูป ‘คน’ หรือ ‘ภาพเหมือน’
ครั้งนี้เขาจึงแปลกใจมากเป็นพิเศษที่เห็นรูปที่วาดในวันนี้...
“ ใครเนี่ย ? ” เพื่อนสนิทมองภาพวาดนั้น
ในภาพเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง ที่มีรูปหน้าหล่อเหลา และมีดวงตาคมเข้ม เป็นภาพที่เสมือนจริงราวกับมีชีวิต
“ ไม่รู้ เหมือนกัน ” ณัฐตอบด้วยเสียงเรียบเฉย พร้อมกับเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว
เขาวาดรูปนี้ตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำเลยด้วยซ้ำ
“ หา ! ไม่รู้ แล้ววาดได้ไงวะ ? ” เพื่อนตัวอ้วนถามด้วยความสงสัย
“ ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีดีก็นึกอยากวาดขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิด...คงจะฝันถึงเมื่อคืนล่ะมั้ง ” เขาตอบทีเล่นทีจริง แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เพื่อนสนิทยืนงงอยู่อย่างนั้น
*****************
ท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับแสงแดดที่กำลังจางลงเป็นสีส้มอ่อน ลมเย็นๆพัดโชยให้ใบไม้ปลิวไหวเบาๆ ราวกับกลัวว่ากลีบนั้นจะร่วงหล่นไป วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดี... พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็พาตัวเองมาอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้...อีกครั้ง
เขาชอบที่นี่ และรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มา การได้นั่งพิงม้านั่งได้ร่มไม้ใหญ่ที่เย็นสบาย สร้างความสำราญใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อาจจะเป็นเพราะ บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขานึกถึง.. ‘บ้าน’ ..ก็เป็นได้
บริเวณใกล้บ้านเขาก็มีสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเท่าที่นี่ แต่ก็เพียงพอแล้วกับความรู้สึกโหยหาที่ทดแทนกันได้
ทุกครั้งที่รู้สึกเหงา ทุกครั้งที่รู้สึกว้าเหว่ และทุกครั้งที่คิดถึงบ้าน เขาจะมารับไออุ่นและอ้อมกอดของสายลมจากสถานที่แห่งนี้
...บางทีการได้อยู่กับตัวเอง เพื่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ดีเหมือนกัน...
ได้มองผู้คนใช้ชีวิตในยามเย็นของวัน บางคนเดินเล่นพร้อมกับลูกสุนัขตัวเล็ก บ้างก็เดินกระหนุงกระหนิงกับคู่รัก บางคนก็ตั้งใจมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง
ชีวิตที่แสนจะธรรมดาเรียบง่ายนี้ เมื่อมองแล้ว กลับสามารถสร้างความสงบสุขให้หัวใจดวงน้อยของเขาได้อย่างน่าประหลาด
เป็นเวลาหลายวันแล้ว ที่เขามักจะมานั่งเล่นที่นี่เสมอ...ที่ม้านั่งสีน้ำตาลตัวเดิม...ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม และความรู้สึกสบายใจเช่นเดิม...
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เขารู้สึกเหงาใจเป็นพิเศษเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองว่างจนเกินไป พออ่านหนังสือเรียนได้สักพักก็ต้องวางลงและพยายามหาอย่างอื่นทำ ในวันหนึ่งเขาเดินฟังเพลงเรื่อยเปื่อยจนมาถึงสวนแห่งนี้
จากนั้นเขาจึงได้ยึดถือสถานที่แห่งนี้เป็นที่รักษาความสงบสุขของจิตใจตนเองไปโดยปริยาย
แล้วสายตาของเขาก็พลันไปเห็นบางอย่างที่ฟากหนึ่งของสวนน้ำพุ
ภาพนั้นทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมานิดๆ
เป็นภาพคู่รักหญิงชายชราคู่หนึ่ง...
ชายชรากำลังถือไอศกรีมแท่งโบราณ ยื่นให้หญิงชราอายุไม่ต่างกัน ที่นั่งอยู่ม้านั่งตรงหน้า ยายทำท่าทางเขินอายเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะที่ไม่ใกล้นัก แต่เขาก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขจากสายตาของคนทั้งคู่ได้ดี
ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรดีๆอย่างหนึ่งออก
เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีหรือไม่...
ณัฐ รีบหยิบสมุดเล่มดำภายในเป้ขึ้นมา พร้อมกับควานหาดินสอแท่งหนึ่งที่อยู่ส่วนลึกสุดของกระเป๋า แล้วบรรจงวาดภาพที่อยู่ในมโนภาพเมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็วเท่าที่เขาสามารถจดจำได้ แต่ละลายเส้นถูกวาดลงไปอย่างฉับไว เส้นแล้วเส้นเล่าถูกลากผ่านให้เกิดเป็นรูปร่าง ถึงแม้จะไม่ละเอียดดังที่เคย แต่ทว่ายังคงความสวยงามเสมือนมีชีวิตจิตใจไม่เปลี่ยน
เมื่อวาดเสร็จ...เขายิ้มภูมิใจกับผลงานตัวเองทีหนึ่ง แล้วรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า หลังจากฉีกกระดาษแผ่นที่วาดนั้นออก
เขารีบวิ่งตามคู่รักวัยชราที่เดินไปไกลแล้ว จนตามทันในที่สุด
“ เดี๋ยวก่อนครับ ”
คนทั้งคู่หันมามองเด็กหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“ มีอะไรหรือจ๊ะหนู ” หญิงชราท่าทางใจดีถามขึ้น พร้อมกับมองมายังเขาด้วยสีหน้างุนงง
ณัฐภัทรยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นหนาให้กับคนทั้งคู่ พร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋มทั้งสองข้าง
“ ผม...ผมวาด ให้ครับ ”
คุณยายยื่นมือมารับกระดาษใบนั้น เมื่อรับมา เด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างให้ และรีบวิ่งจากไปทันที โดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม...
ทั้งคู่มองกระดาษในมือ และเห็น...ภาพๆหนึ่ง
ในภาพวาดนั้นเป็นภาพคนสองคนที่มีลักษณะคล้ายเขาทั้งสอง กำลังยิ้มอย่างมีความสุขบนม้านั่งตัวยาว มือทั้งสองกุมกันไว้แน่นราวกับเป็นเครื่องหมายว่าจะไม่พรากจากกันไปไหน ไม่ว่าใครที่ได้มองภาพนี้คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนทั้งคู่คงจะรักกันมาก
ใช่...คนวาดเองต้องการจะสื่ออย่างนั้น
เมื่อมองไปยังมุมล่างด้านขวาของภาพ มีอักษรเขียนหวัดๆไว้ว่า
‘ รักนิรันดร์ ’
คู่รักวัยชราที่งงงวยอยู่ทั้งคู่ก็ถึงบางอ้อ ทั้งคู่สบตากันแล้ว ยิ้มออกมาในที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชราตั้งใจจะตะโกนขอบคุณตามหลังไป เพียงแต่ว่า...
...เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งไปไกลลับแล้ว...
******************
ความคิดเห็น