ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    " YOU are the ONE " รักเราหวานซะ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่หนึ่ง -- ก้าวแรก

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 52


                  
    บทที่หนึ่ง




                    ชายหนุ่มลงจากรถโดยสารคันเล็ก ก้าวเท้ายาวมุ่งตรงไปยังหอพักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า  สภาพหอพักดูทรุดโทรมมากกว่าที่คาดไว้มาก  มองไปเห็นระเบียงแต่ละห้องเรียงราย  ด้านล่างหอพักมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่อย่างเป็นระเบียบ
    เขาหยิบกระดาษในมือขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ 


                  ‘ หอพักนักศึกษาแพทย์  T ’


                  “ คงเป็นที่นี่แหละ    เฮ้อ....ถึงซะที ”  ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  พร้อมกับมองสภาพหอพักอีกครั้ง


                    เป็นเวลามากกว่า 7 ชั่วโมง ที่ ‘ณัฐภัทร’ เดินทางมาที่นี่  ซึ่งเป็นสถานที่ๆเขาไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย  สถานศึกษาที่ห่างไกลจากบ้านหลายร้อยกิโล  เขาจินตนาการไว้มากมายสารพัด  ความคิดต่างๆนานาที่คาดการณ์ไว้ ถ้ารวมกันได้เห็นจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘ไม่เจริญ’ มากที่สุด   แต่วันนี้ที่เขามาประจักษ์ด้วยตาตัวเองกลับไม่เป็นดังคาด  ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นแค่มหาวิทยาลัยภูมิภาคแต่นับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่มาก ตึกอาคารต่างๆดูน่าเรียน ต้นไม้เขียวชะอุ่มตามสองข้างทางชวนให้รู้สึกสดชื่น  แตกต่างจากกรุงเทพ บ้านเกิดที่เขาจากมา


                    ถ้าถามความรู้สึกในตอนนี้ก็นับว่า ที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว




                    เขารีบรุดเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของหอพักแล้วเลี้ยวขวาเดินไปตามทางยาวแคบ
                   
                    “ 305 … 305 … 305  อ๊ะ !!  เจอแล้ว  ” 
                    
                    ณัฐภัทรรีบหมุนลูกบิดประตู เพื่อดูสภาพภายในห้อง  ห้องคับแคบกว่าที่เขาคิดไว้มาก  ถึงแม้ภายนอกจะดูเก่า แต่ภายในกลับดูสะอาดสะอ้านดีทีเดียว ห้องถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างเรียบร้อย ของใช้มีอย่างละสองชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเตียงไม้สองเตียงที่อยู่คนละมุมห้อง  ถูกกั้นด้วยโต๊ะอ่านหนังสืออีกสองโต๊ะ  อีกฟากหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเล็กๆอีกสองตู้  ห้องเล็กๆที่ถูกแทนที่ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ทำให้ห้องยิ่งแคบลงถนัดตา




                     ชายหนุ่มวางกระเป๋าลงบนเตียงฝั่งหนึ่ง แล้วเดินไปเปิดประตูระเบียงด้านนอก  มองเห็นเพียงแค่ลานจอดรถยนต์ด้านล่างที่มีรถจอดเรียงรายหลายคัน  ไกลออกไปเป็นสวนสาธารณะเล็กๆบรรยากาศดีใช้ได้  ที่ทำให้เขานึกเล่นๆในใจว่าถ้ามีเวลาว่างจะลองไปเดินเล่นชมดู    เมื่อมองไปอีกฝั่งก็พบว่าเป็นตึกโรงพยาบาลขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันยาวประมาณสามตึก ใกล้กันนั้นเป็นตึกสีขาวที่ขนาดไม่ต่างกัน ป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า  ‘ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย T ’ เหมือนกับที่เขาเคยรู้มาว่าที่นี่เป็นทั้งโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ในตัว


                       ซึ่งที่นี่เองที่เขาเดินทางมาเพื่อที่จะมาฝากความหวังไว้ในอนาคต


       


                        หลายวันก่อนหน้านี้เขาเป็นคนหนึ่งในหลายหมื่นคนที่นั่งลุ้นผลประกาศเอนทรานซ์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์  แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะติดถึงอันดับสามจากสี่อันดับที่เลือกไว้  ทั้งสี่อันดับเลือกคณะแพทยศาสตร์ทั้งหมด แต่สามอันดับแรกเขาเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพที่ใฝ่ฝัน ส่วนอันดับสุดท้ายเลือกไว้เป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค  ที่คิดไว้ว่าคงไม่มีวันได้เรียนแน่นอน แต่จนแล้วจนรอดก็พลาดจนได้  ทั้งๆที่เขาตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อการสอบในครั้งนี้  แต่โชคชะตาดันไม่เข้าข้าง  คิดแล้วก็น่าเสียใจ  ที่ผ่านมาเขายังพยายามไม่พออีกหรือ
                        

                        ได้แต่นั่งโทษฟ้าโทษดินไปได้ชั่วครู่ก็รู้สึกปลงตก  คิดในใจว่าถึงจะติดอันดับสี่คงดีกว่าไม่ติดสักอันดับนี่นา  ใจพาลก็นึกไปถึงว่า สถานที่ที่จะต้องไปเรียนนั้นจะเป็นยังไงบ้างหนอ  ทั้งที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนว่าทั้งชีวิตของเขาที่เกิดและโตที่นี่ จะต้องได้ไปเรียนที่อื่น  เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลๆ มาก่อน  เพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกันก็พากันติดที่นี่กันหมด  นี่เขาจะต้องไปใช้ชีวิตในดินแดนที่ห่างไกลเพียงลำพังหรือ  คิดแล้วก็พาลรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที




                       “ ติดมั้ยลูก ? ”  เสียงผู้เป็นแม่ถามขึ้นก่อนที่ประตู้ห้องจะถูกผลักเปิดอย่างรวดเร็ว
                       
                       ณัฐหันหน้าไปทางต้นเสียง แต่ไม่ได้มีรอยยิ้มที่ผู้เป็นแม่หวังว่าจะได้เห็นอยู่บนหน้า

                      “ ติดครับ ”  ยังไม่ทันจะได้พูดคำว่าแต่  ผู้เป็นแม่ก็ยิ้มจนหน้าบานแล้วโผเข้ามากอดทันที

                    
                        “ แม่รู้อยู่แล้ว  ว่าณัฐลูกแม่เก่ง  ในที่สุดก็ติดหมอสักที  แม่ดีใจจังเลย ”  พร้อมกับหอมแก้มลูกชายสุดที่รักฟอดใหญ่

                    
                     “ แต่ณัฐติดที่ ม. T นะแม่ ”  จากคำพูดนั้น ทำให้รอยยิ้มของผู้เป็นแม่หุบลงเล็กน้อย แล้วก็กลับมายิ้มและกอดเขาดังเดิม



                     “ ถึงยังไงก็ยังได้เรียนหมออยู่นี่นา  ถึงจะไกลหน่อย แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก ณัฐไม่อยากไปเหรอลูก ? ”
                     
                     


                      “ ก็ไม่เชิงครับ  เพียงแต่ณัฐ...ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเป็นไงบ้าง ? ”

                       ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายเบาๆ “ อย่าไปกลัวในสิ่งที่ยังไม่มาถึงสิลูก  ณัฐอาจจะทำได้ดีที่นั่นก็ได้  แต่ถ้าคิดถึงกันมาก เดี๋ยวแม่จะไปหาบ่อยๆ ”

                     

                         คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้ณัฐสบายใจได้เสมอ  ตั้งแต่เล็กจนโตแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด และอาจจะเรียกได้ว่ารู้ใจเขามากที่สุด  อาจจะเพราะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว  แม่จึงเอาใจใส่ดูแลเขาไม่เคยขาด  ส่วนพ่อนั้นก็รักลูกชายไม่น้อยเช่นกัน  เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงออกมากเท่านั้นเอง  ถ้าถึงวันที่เขาต้องจากท่านทั้งสองไปเรียนที่ไกลบ้านจริงๆ  เขาจะทนได้หรือ  และสิ่งที่เขาวิตกกังวลในตอนนี้อีกอย่างคงหนีไม่พ้นเรื่องท่านทั้งสอง 
     


                        “ ณัฐเป็นห่วงพ่อกับแม่ใช่มั้ย ? ” เหมือนกำลังถูกอ่านความคิด แม่มักจะเข้าใจความรู้สึกของลูกชายแทบทุกครั้ง  เพราะผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกชายของตนมักจะนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ  ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียว  แต่ก็ไม่ได้เป็นลูกแหง่เอาแต่ใจอย่างที่คิด  เพราะเขาได้เฝ้าพร่ำสอนลูกชายมาเป็นอย่างดี


                        “ ณัฐไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่หรอกนะ  พ่อกับแม่ดีใจที่ลูกได้เรียนในสิ่งที่ลูกรัก เท่านี้แม่ก็ดีใจจะแย่แล้ว  ไม่ต้องคิดมากเรื่องพ่อกับแม่นะ พ่อกับแม่อยู่สองคนได้สบายมาก แค่ลูกตั้งใจขยันเรียนก็พอแล้ว ”  ผู้เป็นแม่พูดด้วยรอยยิ้มละไม


                       “ ใช่สิ !” ผู้เป็นแม่อุทานขึ้นแทบจะในทันทีที่พูดจบ  


                       “พ่อยังไม่รู้นี่นา  เดี๋ยวแม่รีบไปบอกข่าวดีพ่อดีกว่านะ ”  พร้อมกับรีบลงไปข้างล่างจนเหลียวหลังแทบไม่ทัน

                       
                        หลังจากได้พูดคุยกับผู้เป็นแม่  ตอนนี้เขาสบายใจขึ้น  และตัดสินใจได้แล้ว...

                       
                        ณัฐภัทรหันกลับมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง



                        ‘ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย T ’    เฮ้อ...จะเป็นยังไงบ้างน้า ?

       


    *****************





                          กระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ถูกเปิดออก  ด้านในมีแต่เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น    ณัฐภัทรตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางมาคนเดียวก่อน เพื่อมาดูที่พักและที่เรียนสักหนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม  แล้วค่อยให้พ่อกับแม่เอาของที่คิดว่าจะได้ใช้ตามมาทีหลัง
    ขณะที่กำลังจัดข้าวของอยู่นั้น  เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นและถูกเปิดออก

                          ผู้มาใหม่โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับยิ้มแป้นทักทายให้  “หวัดดี” 
                          
                          เขาหันมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นหนุ่มรูปร่างอ้วนท้วม ผิวสีแทน ค่อนข้างเตี้ยกว่าเขาสักสิบเซ็นต์เห็นได้  ท่าทางเป็นกันเอง  กำลังยิ้มกว้างให้

                         “หวัดดี” ณัฐกล่าวทักทายตอบ  

                          ..นี่คงเป็นรูมเมทเขาสินะ..  ชายหนุ่มคิดในใจ

                           
                            ผู้มาใหม่เบียดตัวผ่านประตูเข้ามา พร้อมกับข้าวของเต็มสองมือพะรุงพะรังท่าทางหนักพอดู  เขาวางของที่ข้างเตียงฝั่งตรงข้ามแทบจะทันที แล้วนั่งบนเตียงเต็มแรงพลางหอบเหนื่อย เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคงเหน็ดเหนื่อยกับการขนของมากมายขนาดนั้นเดินขึ้นบันไดมาถึงสามชั้น 

                            เจ้าตัวอ้วนมองตรงมาที่เขาแล้วยิ้มกว้างเป็นกันเองให้  พลันพยายามเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยแขนเสื้อตัวเอง



                           “ เราชื่อ ‘จัมโบ้’ นะ  นายชื่ออะไรเหรอ ? ”  เจ้าอ้วนถามเสียงแผ่ว จากอาการเหนื่อย

                            “ เราชื่อ ‘ณัฐ’   ”  เขารีบตอบคำ


                            หลังจากนั่งพักพอหายเหนื่อย จัมโบ้จึงหยิบข้าวของจากเป้สะพายหลังของตนมาจัดบ้าง แล้วสนทนาไปพลาง 

                          “ นายมาจากไหนเหรอ ? ”

                          “ มาจากกรุงเทพ ” 

                         “ นั่นไง ! คิดไว้แล้วเชียว ” เจ้าตัวอ้วนดีดนิ้วมือดังเป๊าะ “ ถ้าทายหวยถูกอย่างนี้ก็ดีสิ ”

                         “ ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ ? ”

                         “ ฟังจากสำเนียงก็รู้  แล้วอีกอย่างนะ ... หล่อ  ดูดี ...  ยังกะคนกรุงเทพ ” 

                          ณัฐได้แต่หัวเราะเบาๆในคำเยินยอของเพื่อน  “ ขนาดนั้นเลย ? ” 

                       “ แล้วทำไมถึงมาเรียนถึงที่นี่ล่ะ ไม่ไกลไปหน่อยเหรอ ? ”


                       “ ก็...ดันติดที่นี่ น่ะสิ ” 


                        เจ้าตัวอ้วนสัมผัสได้จากน้ำเสียงของเพื่อน “ พูดอย่างนี้ แสดงว่าพลาดอันที่ตั้งใจไว้ล่ะสิ ”

                        
                      “ คงงั้นมั้ง ” 

                      

                        จัมโบ้ยิ้มกว้างเหมือนเป็นการปลอบใจ   

                       “ ไม่ต้องเสียใจไปหรอก  ที่นี่ดีจะตาย   สำหรับสายตาคนกรุงเทพอาจจะไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่สำหรับเราแล้ว  ที่นี่เป็นที่เรียนอันดับหนึ่งที่เราใฝ่ฝันเลยนะจะบอกให้ ”  เจ้าตัวอ้วนยกยอมหาลัยให้เขาฟังเสียยืดยาว สมกับที่เป็นมหาลัยอันดับหนึ่งในใจเลยทีเดียว  

                        คุยกันไปมาจึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วจัมโบ้เป็นคนจังหวัดนี้  เพียงแต่อยู่แถวชานเมือง ลำบากในการเดินทางมาเรียน จึงได้ตัดสินใจมาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย  เขาได้แต่นั่งฟังจัมโบ้เล่าเรื่องต่างๆสารพัด   เพื่อนใหม่คนนี้เป็นคนคุยสนุกทีเดียว  มีเรื่องมากมายเล่าให้ฟังไม่หยุดหย่อน ทั้งฟังไป หัวเราะไป  ปกติแล้ว เขาจะเป็นคนพูดน้อยกับคนที่ไม่ค่อยสนิท  แต่สำหรับเพื่อนใหม่คนนี้  เขาสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างสบายใจ ไม่รู้สึกเกร็งหรืออึดอัดแต่อย่างใด  ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็รู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมกันมากขึ้น



                         เวลาล่วงเลยผ่านไปจนฟ้าเริ่มมืดลง เขาและเพื่อนจัดของเสร็จนานแล้วเพราะมีข้าวของกันไม่มากนัก  ท้องเจ้ากรรมก็ร้องขึ้นมาเหมือนกับจะฟ้องว่าหิวเต็มทน เขาได้แต่ลูบท้องตัวเองป้อยๆ

                        
                          เจ้าตัวอ้วนหัวเราะขึ้นมาทันที  “ งั้นไปกินข้าวกันเถอะ  เราก็หิวเหมือนกัน เรารู้จักร้านอร่อยๆอยู่หลายร้าน เดี๋ยวจะพาไป ” เพื่อนตัวอ้วนอาสาเป็นไกด์ให้



    ****************





                            ร้านอาหารนับสิบร้านเรียงตามยาวทั้งสองฝั่ง อาหารมีมากมายหลายชนิดให้เลือกสรร  ผู้คนพลุกพล่านจอแจ ทั้งกำลังนั่งรับประทานอาหาร ทั้งเดินผ่านไปมาขวักไขว่  ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นนักศึกษาของที่นี่  จากปริมาณของจำนวนผู้คนที่แวะเวียนมายังย่านนี้สามารถสื่อได้เป็นอย่างดีว่า ที่แห่งนี้คงเป็นแหล่งอาหารที่นิยมของมหาวิทยาลัย

                             
                            บรรยากาศของชีวิตนักศึกษาเป็นอย่างนี้เองสินะ


                            เขาและเพื่อนเลือกนั่งร้านหนึ่งที่โต๊ะว่างพอดี  สั่งอาหารกันได้สักพักก็ถึงคราวต้องนั่งรอ

                             

                           ณัฐภัทรได้แต่เฝ้าสังเกตผู้คนมากมายไปมา  ทั้งโต๊ะหญิงสาวที่คุยกันแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน  ทั้งกลุ่มโต๊ะชายที่กำลังแกล้งเพื่อนแล้วหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง   พลันให้คิดกับตัวเองในใจว่า  ‘แต่ละคนต่างที่ต่างถิ่น แต่ก็ยังมาอาศัยอยู่ร่วมกันได้  เป็นเพื่อนกันได้  ทนกับความเหงาและความว้าเหว่ภายในใจมาได้  แล้วเขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังจะเผชิญกับชะตากรรมเหล่านั้น  ในเมื่อทุกคนผ่านมันมาได้  ทำไมเขาจะผ่านมันมาไม่ได้  เขาได้แต่หวังว่าบางทีชีวิตนักศึกษาของที่นี่อาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดก็เป็นได้’

                           
                            ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง...  


                            ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของผู้คนมากมาย  เขากลับมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองจากใครสักคน  เขารู้สึกได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว  เพียงแต่พอมองไปทางนั้นทีไรกลับไม่พบว่ามีใคร  ทุกคนยังคุยกันสนุกสนานตามปกติดี 


                             แปลกจัง...

                             หรือว่ารู้สึกไปเองนะ



                             ความคิดต่างๆถูกสลัดหายไปในพริบตาเมื่อแม่ค้าร้านข้าวยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ความสงสัยเมื่อครู่หายไปในทันทีด้วยกลิ่นหอมโชยจากอาหาร 

                             “ หิว แทบแย่  .... กินล่ะนะ  ” เพื่อนตัวอ้วนรีบตักคำข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว

     
                              ณัฐรีบกินบ้าง  วันทั้งวันเขาได้กินแต่ข้าวเช้า  เดินทางมาก็เหนื่อยแสนเหนื่อย  ได้กินอาหารอร่อยๆอย่างนี้ก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาบ้าง  
     


                              ทันใดนั้น จัมโบ้ก็มาสะกิดแขนเขาเบาๆ พร้อมกับทำหน้าทะเล้น แล้วพยักหน้าไปทางด้านหลังให้มองตาม

     
                            “ ผู้หญิงโต๊ะนั้น มองนายใหญ่เลย ”  ณัฐหันไปตามทางที่เพื่อนบอก  เห็นกลุ่มหญิงสาวสี่ห้าคนที่นั่งถัดจากโต๊ะเขาไปแค่สองโต๊ะกำลังมองมา  แล้วหัวเราะคิกคัก หนึ่งในนั้นทำท่าเขินอายเมื่อเขาหันไปมองพอดี
     

                            “ นึกแล้วว่านายต้องเสน่ห์แรง  นี่ขนาดมานั่งกินข้าวแค่ไม่กี่นาที ยังมีคนชอบเลย ” จัมโบ้พูดกระซิบเสียงเบา 
     
                            
                            เขาได้แต่คิดกับตัวเองในใจว่า  ‘วันนี้แปลกชอบกล  ทำไมถึงมีแต่คนมองนะ ?  เมื่อครู่ก็รู้สึกครั้งหนึ่งแล้ว  แล้วนี่ยังจะมีอีกหรือ’
     

                            “ รู้ได้ไงว่าเขาชอบ  เขาก็แค่มองเฉยๆน่า  ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย    ดีไม่ดีเขาอาจจะมองคนอื่นก็ได้ ” ณัฐไม่ได้แกล้งทำเป็นปฏิเสธ เพียงแต่คิดอย่างนั้นจริงๆ 
     


                              เจ้าจัมโบ้เอียงหน้าเล็กน้อยแอบใช้หางตาหันไปมองเป้าหมายทางด้านหลังเขาอีกครั้ง

                              “ ชัวร์ป้าบ! มองนายนั่นแหละ  ” เจ้าตัวอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงแบบมั่นใจสุดๆ
     

                               จัมโบ้หันมาพิจารณาใบหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับแซวทะเล้น


                              “ ดีจังน้า...เป็นคนหน้าตาดีเนี่ย ทั้งหล่อ ทั้งสูง ทั้งขาว มีสาว ๆมาสนใจเพียบ ”



                              เขาไม่รู้จะหยุดบทสนทนานี้อย่างไรดี... 

                               
                               นี่ไม่ใช่คำชมแรกที่เขาเคยได้รับ แต่ไหนแต่ไรมาเขามักได้ยินคำเยินยอประเภทนี้ประจำ   และทุกครั้งที่ได้ยิน  ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไรนัก  ทำให้วางตัวไม่ค่อยถูก  แต่เมื่อโดนชมว่าหล่อ ก็ยังดีกว่าถูกชมว่า...อืมม  อีกแบบมากกว่า....

                                
                                แต่จัมโบ้ยังไม่หยุดพิจารณาใบหน้าที่อยู่ตรงข้าม  

                              “ เอ...แต่จะว่าหล่อ ก็ไม่ถูกไปสักทีเดียว      อืม...ต้องบอกว่า ‘หน้าสวย’  ใช่  เป็นผู้ชายที่หน้าสวยมาก สิ ถึงจะถูก ” 
     

                               ณัฐภัทรได้ยินแทบจะสำลักข้าวที่กำลังตักเข้าปากไป !!!!



                               ‘ผู้ชายหน้าสวย’ งั้นเหรอ ? 




                               คำนี้อีกแล้ว...คำที่เขาได้ยินแล้วไม่รู้ว่าควรจะดีใจ ดีหรือไม่  เกิดมาเป็นผู้ชายทั้งทีแล้วมีหน้าสวยอย่างกับผู้หญิงมันดีตรงไหนกัน  เขาเป็นผู้ชาย ควรจะถูกชมว่าหล่อ  เท่  อะไรแบบนั้นมากกว่า 


                                เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น  เขายังไม่เคยชินกับคำชมนี้สักที
     


                                “ เอ่อ... ”
     

                                “ ขอบคุณนะ แต่ถ้าจะให้ดี  อย่าชมแบบนี้อีกจะดีกว่า  ฟังแล้วมันทะแม่งๆชอบกล ”  เขารีบกล่าวปิดประเด็นเสียเอง



                                   ส่วนเจ้าจัมโบ้ได้แต่นั่งหัวเราะร่วนเพราะรู้สึกดีที่ได้แกล้งเพื่อน

        


    *****************







    ขอบคุณหลายๆ


    EdS0uL ---- นายณัฐน่าสงสารจิงๆนะเนี้ย

    โดนไปแบบไม่รู้ตัวเลย 

    ปาปัวปูกาด้า ---- ขอบคุณมากๆ  เม้นแรกๆ....คุณคือเสียงสวรรค์ พระเจ้าทรงโปรด 555 

    ตอนแรกณัฐก็ไม่ชอบ...แต่เด๋วก็รู้ว่าได้มานี่แล้ว คุ้ม !! หึหึหึ ( หัวเราะเจ้าเล่ห์)



    chatchaann ---- เริ่มเรืองก็น่าสนุกเลยนะ 

    ปาปัวปูกาด้า --- ขอบคุณหลายๆเจ้า...อย่าลืมอ่านต่อนะเจ้า



    NattY_LovE_SungmiN ---- 
    สนุกมากเลยค่ะ

    เทน ค่ะ ไม่สนใจ ทาม สักนิดหรอค่ะ อิอิอิอิอิอิ

    สู้ ๆ นะค่ะ ไรเตอร์ 

    ปาปัวปูกาด้า ---- เอ่อ...คือว่า...จะด่าว่าโง่ก็ยอมนะ อะไรคือ เทน เหรอ ???  555 แบบว่า โลวไอที อ่ะ !!

    ปล.ส่วนตัว  กรี๊ดดดดดดดดดด ซองมินอปป้า !!! ชอบเหมือนกันเลย 555


    รักยองอุงแจจุง ---- เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก

    สนุกมากค่ะ

    ปาปัวปูกาด้า ---- อย่าลืมเข้ามาอ่านครั้งที่สอง สาม สี่ ....ไปเรื่อยๆเด้อจ้าเด้อ


    d_noi ---- สนุกมากค่ะ พยายามต่อไปนะ รออ่านอยู่ 

    ปาปัวปูกาด้า ---- แทงคิวจ้า  อัพบ้าง อะไรบ้าง เม้นบ้าง อะไรบ้าง เนาะ ??


    MeeN ----
    พึ่งเข้ามาอ่าน อ่านตอนแรกก็ชอบซะแล้ว

    อดเม้นไม่ได้ เลยมาเม้นก่อน

    ^_______^ 

    ปาปู ---- โอ้วว...เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดจ้า เม้นวันละนิด จิตใจผู้แต่งแจ่มใส


    Dark Of Night Blood ----
    ลงสดๆวันนี้หมดเลยเราะพี่ท่านสุดยอด 

    ปาปู ---- ผัวะ !! ตบหัวตัวเองหนึ่งที(ไม่กล้าตบหัวคนอ่าน)   อันนั้นก็เทพเกินแล้วเพ่...!!


    n'earth ---- กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด สนุกม๊ากมากกกกกกก แล้วใครเปนนางเอก อ่ะ
    ยังไม่อ่านเด๋วมาอ่านใหม่นะ เข้ามาเฉยๆ เข้ามารายงานตัว 

    ปาปู ---- กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด เรื่องนี้ไม่มีนางเอก ไม่เนียนจ้าไม่เนียน -*- เข้ามาอ่านต่อซะดีดี ให้ไวๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×