ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การบ้าน: DARK CIRCUS

    ลำดับตอนที่ #3 : การประลอง รอบ2 สาย2 หุบเขากลืนวิญญาณ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 53


     หุบเขากลืนวิญญาณ

    สถานที่ที่ไม่ต่างอะไรกับสุสานเลยแม้แต่น้อย

    วิญญาณแห่งนางไม้และธรรมชาติจะมาสิงสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยเหยื่อ

    พวกเจ้าทั้งสามต้องระวังตัวให้ดี

    จะกำจัดพวกพ้อง!? หรือ ปีศาจที่จ้องจะทำร้ายเจ้าทั้งสาม!?

    คือหน้าที่ที่เจ้าต้องเลือก


       วิญญาณแห่งนางไม้และธรรมชาติอย่างนั้นหรือ...ฟังดูเป็นมิตรดีนี่ ธรรมชาติคือส่วนหนึ่งของข้า และข้าคือส่วนหนึ่งของมัน แต่ไม่รู้ว่า...การประลองครั้งนี้ มันจะยอมเป็นส่วนหนึ่งของข้านี่สิ





       มองลึกลงไปเบื้องล่าง หมอกหนาปกคลุมหุบเขาหนาทึบ ยามที่ลมแรงพัดหอบเอาหมอกสีขาวขุ่นกระจายออกจากกัน เผยให้เห็นถึงความเงียบสงัดอ้างว้างอย่างที่เธอไม่เคยนึกฝันมาก่อน พื้นเบื้องล่างไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆแม้กระทั่งแมลงตัวเล็กๆหรือวัชพืช หลงเหลือเพียงซากต้นไม้ที่คงไม่อาจกลับมาผลิใบได้อีก

         แค่เพียงมองจากตรงนี้...สถานที่แห่งนี้ก็ชวนให้รู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที แล้วถ้าหากได้เข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เธอคงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างของจิตวิญญาณธรรมชาติที่ชวนให้เศร้าหมองเป็นแน่แท้

         หากมองจากหุบเขาอันรกร้างหรือภูเขาฝั่งตรงข้าม ท่านคงจะเห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งยืนน่ิงมองลงไปสู่หุบเขาราวต้องมนต์สะกด และหากเพ่งพินิจดูให้ดีจะเห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวบางคล้ายชุดกระโปรงแห่งเทพีโรมัน ผมสีดำถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นมุกประจำกาย ไหล่ของเธอสะพายกระบอกลูกธนูพร้อมกับมือบางที่กำรอบคันธนู...มันคืออาวุธแห่งพราน

         ไมยาเรสเริ่มไต่ลงจากภูเขาแม้จะไม่ชันมากนัก แต่หินก้อนใหญ่ยักษ์ก็สร้างความลำบากให้เธอพอดูเหมือนกัน ตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมทั่วจนลื่นนักยากแก่การทรงตัว แต่เพียงไม่นาน ด้วยประสบการณ์จากป่าเขาที่เธอได้มาจึงทำให้ไมยาเรสใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการพาตนเองลงสู่หุบเขา

         ในที่สุด ก็ถึงเสียที สถานที่ที่่ข้าวาดหวังให้งดงามกว่านี้สักล้านเท่า เหตุใด...วิญญาณแห่งธรรมชาติเหล่านั้นจึงสามารถอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้หนอ

         เด็กสาวมองหมอกจัดเบื้องหน้า ตอนนี้เธอยังไม่ได้ถือว่าเข้าเขตหุบเขาแห่งวิญญาณแต่เพียงมองจากตรงนี้ผ่านหมอกหนาทึบเข้าไป ไมยาเรสสามารถจะมองเห็นความว่างเปล่าเบื้องหน้า พื้นที่ควรมีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมกลับชื้นแฉะด้วยดินโคลน เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเร่ิมพาร่างของตนเข้าสู่ม่านหมอกเบื้องหน้า

         แปลก...แปลกมากๆ ภาพที่เธอเห็นก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เขตของม่านหมอกไม่มีวี่แววจะเป็นเช่นนี้เสียหน่อย

         ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนไป สายหมอกที่เคยทึบหนากลับบางเบาจนน่าหลงใหล พื้นชุ่มแฉะกลับมีต้นหญ้าสีเขียวอ่อนขึ้นปกคลุมอยู่ทั่ว อีกทั้งทะเลสาบที่งดงามผุดขึ้นมาราวกับเนรมิต มันช่างงดงามเสียราวกับอยู่บนสวนอีเดนของพระเจ้าเลยทีเดียว

         เด็กสาวเพ่งพินิจไปรอบกาย ไม่ใช่เพียงทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป หมู่สิงสาราสัตว์มากมายก็ปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน เหล่านางไม้นั่งพูดคุยกันบนต้นไม้ประจำตน เหล่าไนเอ็ดต่างหยอกล้อกันเล่นในทะเลสาบ แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น

         ทันใดนั้น ไมยาเรสก็รู้สึกถึงส่ิงที่เปียกๆแฉะๆสัมผัสที่มือของเธอ เธอสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะสะบัดข้อมือออก สิ่งมีชีวิตตัวนั้นก็ก้าวถอยหลังเช่นกัน มันคงตกใจพอๆกับเธอ เด็กสาวหันไปมองข้างหลังตนอย่างหวาดระแวง และเธอก็ค้นพบความจริงที่ว่าเมื่อครู่เป็นเพียงลิ้นเปียกๆของกวางน้อยที่มาเลียมือเธอ เด็กสาวก้มตัวลงลูบหลังของมันอย่างเอ็นดู ความสงสัยถึงสิ่งผิดปกติหายไป จนเธอแทบไม่รู้เลยว่ามันเคยเกิดขึ้น

         เหล่านางไม้ ไนเอ็ดและสิงสาราสัตว์ทั้งหลายต่างหันไปมองผู้มาเยือนอย่างฉงนสงสัย ใครกันหนอ...ที่กล้าเข้าสู่เขตแดนอันตรายเช่นนี้ หากไมยาเรสจะสังเกตลึกเข้าไปในดวงตาของเหล่าเจ้าของเขตแดนคงจะได้พบกับสายตาอันน่าสะพรึงกลัว ความหิวกระหายปรากฏขึ้นในดวงตาของเหล่าส่ิงมีชีวิต แต่ด้วยมนต์สะกดใดไม่อาจทราบได้ ความรอบคอบที่เคยมีเหือดหายไป ความประมาทเกิดขึ้นมากเสียจนไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้

         ทันใด กวางน้อยตรงหน้าก็กลายเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ฟันซี่เล็กที่น่าจะไว้ใช้เพียงบดพืชผักกลับแหลมคมราวกับมีดนิรมิตที่สามารถฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้

         เด็กสาวรีบชักมือออกทันทีก่อนที่ฟันเล็กแหลมนั้นจะกัดเข้าเนื้อเธอ ตาสีดำกวาดไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น และสิ่งที่พบเป็นฝันร้ายที่ราวกับจะตามหลอกหลอนเธอ

         เหล่านางไม้และไนเอ็ด แรกที่พบยังคงงดงามกลายเป็นหญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่น ผมสีสดใสที่ต่างเคยมีกัน เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนอย่างน่ากลัว ดวงตาที่เคยฉายแววอ่อนโยน บัดนี้ดูโหดเหี้ยมจนผู้มาเยือนถึงกับขวัญผวา อีกทั้งเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่น่ารักน่าเอ็นดูกลับกลายเป็นสัตว์ที่ดูดุร้ายยิ่งกว่าพญาสิงโตใดๆที่เคยเจอ

         ไมยาเรสรีบคว้าปิ่นที่เกล้าผมไว้ แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะสัมผัสถึงความอุ่นใจจากอาวุธคู่กาย กระรอกบินตัวน้อยกลับโฉบมากัดข้อมือเธอและฉกปิ่นปักผมเธอไป โชคร้ายเสียจริงที่มือข้างเมื่อครู่เป็นมือขวาซึ่งน่าจะช่วยให้เธอหนีรอดไปจากสถานที่แห่งนี้ได้

         อะไรกันนี่...ข้ายังไม่ทัันที่จะได้ต่อกรกับสิ่งใดเลย แล้วจะต้องจากไปเช่นนี้น่ะหรือ ความท้อแท้ถูกจุดขึ้นในดวงใจ ตอนนี้เธออยากจะทรุดลงกับพื้นหลั่งน้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้นให้ไหลนอง แต่เด็กสาวไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากเธอทำเช่นนั้น ชีวิต ความฝัน มิตรภาพและจุดมุ่งหมายคงจบลงเสียตรงนี้เป็นแน่

         เหล่าวิญญาณแห่งธรรมชาติเข้ารุมล้อมเหยื่ออันโอชะของมัน ยิ่งเลือดที่ไหลซึมจากแผลที่ข้อมือของเด็กสาวส่งกลิ่นหอมราวเชื้อเชิญให้ลิ้มลอง อาวุธตอนนี้ที่พอจะมีก็เพียงธนู...อาวุธแห่งพรานหญิง แต่อาวุธชิ้นนี้ไม่สามารถจะต่อกรกับศัตรูในระยะประชิดเช่นนี้ได้ แล้วอย่างนี้...เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี

         ความหวังเล็กๆถูกจุดขึ้นในดวงใจที่มีหวังอันริบหรี่ ทันทีที่สายตามองไปพบหางแมวสะบัดอยู่หลังพุ่มไม้ เธอมั่นใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ตอนนี้เธอกำลังประสบ ไมยาเรสตั้งท่าจะป้องปากตะโกนเรียกมิทอยู่แล้วเชียว หากแต่จิตสำนึกบางอย่างร้ังชื่อนั้นให้ติดอยู่ที่ปลายลิ้น

         เด็กสาวยินดีจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ขวางไว้ ดวงใจที่เคยท้อแท้บัดนี้เต็มไปด้วยความหวัง แค่เพียงได้รู้ว่าแดมิเทรียสน้องที่รู้จักในcircus ยังคงปลอดภัย

         ไนเอ็ดตนที่เล่นพิณอยู่ในตอนแรก บัดนี้กำลังพยายามจะตรึงเธอไว้ให้อยู่กับที่ ไมยาเรสเอี้ยวตัวหลบไปด้านหลัง แต่พลาดเสียแล้วเมื่อนางไม้อีกตนหนึ่งจับแขนเธอได้ แล้วมิหนำซ้ำยังเป็นแขนด้านขวาอีกด้วย ไขสันหลังเสียวหวาบทันทีที่รู้สึกถึงมือเย็นๆของนางแตะที่แผลอย่างแผ่วเบา

         ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งเย็นๆแนบอยู่รอบหัว ไมยาเรสแตะมันดูอย่างมีหวังก่อนจะเผยอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ ขอบคุณสำหรับอาวุธนี้นะ มิโอะ มือซ้ายของเธอจับรัดเกล้าที่เพื่อนสนิทเพิ่งจะให้ยืมมาสดๆร้อนๆเมื่อครู่ ก่อนจะสะบัดมันอย่างแรก โลหะเงินอ่อนยวบยาบราวกับเป็นเชือกเส้นหนึ่งก่อนจะคลี่ตัวเองกลายเป็นดาบใบเรียวเล็กแต่ทว่าคมยิ่งนัก

         เด็กสาวกำด้ามดาบในมือไว้แน่นก่อนจะฟันลงไปที่ผมของนางไม้ที่จับข้อมือของเธออยู่อย่างแรง ถึงจะแค่ผมแต่ก็สร้างความโกรธแค้นให้กับนางพอดู ทำเอาความคิดนึกไปถึงเพื่อนคนหนึ่งที่หวงผมเป็นชีวิตจิตใจ ถึงจะเป็นวิญญาณนางไม้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นวิญญาณหญิงสาวอยู่ดี

         ทันทีที่หลุดจากสิ่งเกาะกุม ไมยาเรสก็เริ่มวาดดาบอีกครั้ง แต่การใช้ดาบครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งไหนๆ ในเมื่อมือที่ใช้กลับเป็นด้านซ้าย ซึ่งร้อยวันพันปีเธอไม่เคยคิดจะใช้มันต่อกรกับใคร การวาดดาบแต่ละครั้งจึงดูเก้งๆก้างๆไม่หนักแน่น แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฝูงวิญญาณแตกกระเจิงไปเหมือนกัน

         แต่แน่นอนว่าเพียงแค่นี้จะทำให้เธอหนีรอดจากการตกเป็นเหยื่อของวิญญาณเหล่านี้สิบกว่าตนได้ง่ายๆ ไมยาเรสวิ่งถอยหลังหวังตั้งหลัก และจู่ๆความคิดดีๆก็เกิดขึ้นในหัว เด็กสาววิ่งไปยังต้นไม้ที่เห็น ตอนนี้ภาพทิวทัศน์ยังคงงดงามเช่นเดิม หากแต่บรรยากาศของมันเปลี่ยนไป ทันทีที่ถึงต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด เธอก็ยกดาบฟันลงบนกิ่งก้านของมัน เพียงแค่หวังว่ามันจะได้ผล

         ผิดคาดอีกครา...เมื่อเหล่านางไม้เฝ้าดูพฤติกรรมของเธออย่างฉงนสนเท่ห์ เหยื่อผู้นี้ นี่แปลกประหลาดจริงแท้

         จริงสินะ วิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นวิญญาณที่ไร้ชีวิต เป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างต้นไม้และนางไม้ยังคงมีอยู่ เมื่อสายสัมพันธ์นั้นได้ขาดสะบั้นตั้งแต่เหล่านางไม้สิ้นลมหายใจ ไมยาเรสหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณอย่างหนักใจ ทางเดียวที่จะรอดคือ...วิ่งหนี หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากโชคดี อาจจะได้เจอแดมิเทรียสกับท่านพี่เจมิไน แต่นั่นก็คงมีเปอร์เซ็นต์ได้ยากเหลือเกิน ในเมื่อสองคนนั้น ซ่อนตัวได้อย่างกลมกลืน

         เด็กสาวตัดสินใจใช้ดาบฟันเหล่าวิญญาณให้แตกกระเจิงไป หวังแหวกทางให้สามารถหนีไปได้ โชคดีเสียเหลือเกินที่สายตาพลันไปเห็นปิ่นปักผมที่กลิ้งอยู่บนพื้น เธอรีบหยิบมันขึ้นมาก่อนจะออกวิ่งสุดตัว แต่ดูท่าเหล่าวิญญาณคงจะไม่ยอมปล่อยมือจากเหยื่อนี้ไปง่ายๆ มันจึงไล่กวดเด็กสาวไปเรื่อยๆ เธอจะต้องหาที่ซ่อนตัวสักที่เสียแล้ว

         พลันดวงตาก็หันไปสบเข้ากับโพรงเล็กๆโพรงหนึ่ง มันใหญ่พอที่จะเข้าไปซ่อนตัวได้ เธอหันไปมองด้านหลัง วิญญาณกลุ่มนั้นอยู่ไกลเกินที่จะมองเห็นเธอ เด็กสาวจึงรีบพาตัวเองมุดเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ น่าประหลาดใจเหลือเกินที่ข้างในโพรงนี้กว้างพอที่เธอจะยืนหรือนอนได้อย่างสบาย ไมยาเรสทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่รู้ว่าป่านนี้สองคนนั่นจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ

         แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาในโพรงได้พอดิบพอดี เงาของเด็กสาวทอดยาวลงบนพื้นดินเหนียว เธอจ้องมองเงานั้นพลางนึกถึงใครบางคนที่ตอนนี้คงกำลังฝ่าฟันกับเหล่าวิญญาณธรรมชาติอยู่ภายนอก

         ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพี่เจมิไนกับน้องมิทจะเป็นอย่างไรบ้างนะ มือว่างๆหยิบกิ่งไม้เล็กๆแถวนั้น จิ้มลงบนดินนุ่มๆเล่นอย่างเบื่อๆ

         “ไมย่า ฉันถามจริงเถอะสนุกมากไหมนั่งหลบๆซ่อนๆอยู่ในนี้” เสียงผู้ชายคุ้นหูดังขึ้น มันสามารถเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้

         “ท่านพี่เจมิไน” เสียงนั้นร้องเรียกด้วยความดีใจระคนมีหวัง
         “ชู่ววว เธอทำเสียงดังเกินไปแล้ว ถ้าคิดจะซ่อนตัวอยู่อย่างนี้ต่อไป” เงาของเธอเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอ ก่อนที่มันจะกลายเป็นร่างของชายหนุ่ม “เจ้านี่ ขี้ขลาดเหมือนที่ข้าคิดไว้เลยน่ะ”

         ไมยาเรสทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก ข้าขี้ขลาดไม่ขี้ขลาดก็เรื่องของข้าสิ “แล้วทีท่านล่ะ ก็เข้ามาหลบซ่อนตามเงาเหมือนกันนั่นแหละ”

         “มันไม่เหมือนกัน ฉันก็แค่หลบเพื่อดูลาดเลาเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มตอบเสียงตะกุกตะกัก เรียกสายตาดุๆของเด็กสาวที่อ่อนกว่ามามอง “ก็จริงๆน่ะ ฉันแค่...”

         พูดยังมิทันจบประโยค เด็กสาวข้างกายก็หันมามองด้วยแววตาน่ากลัว พลางยกนิ้วชี้ของตนขึ้นมาทำสัญญาณบอกให้เงียบ ชายหนุ่มมองอย่างงุนงง “ท่านได้ยินเสียงนั่นไหม” ไมยาเรสถามอย่างประหม่า ก่อนจะแนบใบหน้าให้ติดดินเหมือนอย่างที่เหล่าพรานมักจะทำกันยามออกล่าสัตว์

         “มีอะไรงั้นหรือ” ชายหนุ่มมองดูพฤติกรรมของเธออย่างสงสัย ใบหน้าเริ่มดูเครียดขึ้นกว่าเดิม ทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า เด็กสาวตรงหน้าคือพรานหญิงแห่งอาร์เทมีส

         “ว่ิง!!!!!!” เสียงเด็กสาวตะโกนอย่างสุดเสียงก่อนที่จะใช้คันธนูทลายดินที่ปกคลุมโพรงเล็กๆนั่นไว้ เจมิไนรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเรียกเคียวยาวอันเป็นอาวุธประจำตัวออกมาถือไว้ในมือ

         ไมยาเรสดูจะคล่องแคล่วในป่ามากกว่าชายหนุ่ม แต่เธอก็ไม่ห่วงอะไรเขาหรอกในเมื่อมีวิชาแฝงตัวในเงาอะไรนั่นใช้หลบได้อยู่แล้วนี่ ด้านหลังเด็กสาวไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง สิ่งที่รับรู้เพียงอย่างเดียวกคือดวงวิญญาณนับสิบที่ไล่กวดอยู่ด้านหลัง

         “ไมย่า เธอมีความสามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้รึเปล่า” เสียงเจมิไนดังขึ้นจากเงาๆหนึ่งของร่มไม้

         “ขอบคุณนะค่ะท่านพี่” ไมยาเรสหันไปฉีกยิ้มหวาน เธอเข้าใจประโยคเชิงสั่งนั้นเป็นอย่างดี เธอวิ่งผ่านต้นไม้หลายต้นโดยวิ่งซิกแซกให้กลายเป็นมุมอับ ยากที่เหล่าวิญญาณจะทันเห็น ก่อนจะเลือกต้นไม้ที่สูงที่สุดในสายตาแล้วปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว นี่ ถ้าหากเธอไม่ใช่พรานหญิงคงทำอะไรอย่างนี้ไม่ได้หรอก

         จากมุมนี้เธอสามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณนับสิบที่กระจายตัวค้นหาเหยื่อของมันได้ นอกจากนี้เธอยังมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามเบื้องล่างได้อีกด้วย ข้างๆเธอคือชายหนุ่มที่เพิ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ไมยาเรสนั่งห้อยขาอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะฮัมเพลงภาษาป่าไม้ออกมาเบาๆ

         “อารมณ์ดีจังน่ะ แม่คุณ” เจมิไนกระแนะกระแหน่อย่างอดไม่ได้ นี่เพิ่งจะหนีตายกันมายังมีความสุขอยู่ได้คนเดียว

         ทว่าราวกับเธอไม่ได้ยินเสียงของเขาหรือถ้าได้ยินก็ทำเป็นไม่สนใจ “ท่านพี่ ท่านสังเกตไหมว่า ที่นี้มีแต่พวก Phylum Conifera,Cycadofita ดูนั่นสิมี Gnetophytaด้วย แปลกแหะมีหลายสปีชีย์กว่าโลกภายนอกเยอะเลย ป่าที่นี้น่าอยู่ชะมัด ต้นไม้โบราณเยอะแยะไปหมด”

         เจมิไนหันมามองหน้าเด็กสาวอย่างตกใจ น่าอยู่ตรงไหน มีแต่วิญญาณเต็มไปหมด ยายนี้ท่าจะประสาท

         “ไปกันเถอะ” เด็กสาวลุกพรวดทันทีที่เห็นว่าเหล่าวิญญาณกระจัดกระจายไปทางอื่น ทำเอาคนข้างๆหันมามองอย่างงุนงง “เรายังจะต้องไปหาน้องมิทอีกน่ะ จะได้รีบออกไปให้พ้นจากป่าบ้าๆนี้เสียที”
        
         “แล้วเธอไม่อยากอยู่ที่นี้แล้วหรือ” ชายหนุ่มถามพลางกลั้นหัวเราะไว้แน่น เรียกให้เด็กสาวหันมาค้อนอย่างหงุดหงิด

         “ตราบใดที่เรายังไม่ครบสามคน เราจะประมาทไม่ได้น่ะท่าน” เด็กสาวตีหน้าขรึม ก่อนจะกระโดดลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว

         “ว่าแต่เราจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนล่ะ” เจมิไนถามทันทีที่ทั้งสองก้าวลงถึงพื้น

         “ตามเหล่าวิญญาณนั้นไป” ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธออย่างตกใจ เด็กสาวเอ่ยต่อทันทีที่เห็นใบหน้าของ
    รุ่นพี่ร่วมcircus “อย่างเงียบๆ”


         เจมิไนยืนมองพฤติกรรมของรุ่นน้องอย่างนับถือ ไมยาเรสก้มลงตามทางพลางใช้มือสัมผัสที่พื้นดินอันอ่อนนุ่มหรือบางครั้งก็พุ่มไม้ระหว่างทาง ตอนนี้ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าแกะรอยตามเหล่าวิญญาณธรรมชาติอยู่ “เราต้องรีบไปแล้วล่ะ ข้าเกรงว่าน้องมิทกำลังตกอยู่ในอันตราย พงหญ้าเหล่านี้เอนเอียงล้มระเนระนาดราวเหมือนกับว่ามีบางอย่างพุ่งผ่านมันอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้มันยังมีอาณาเขตกว้างพอดูเหมือนกัน ท่านคงไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำของลมหรอกน่ะ”

         ไม่นานผู้ที่ยังมีลมหายใจทั้งสองก็มาถึงสถานที่อันเป็นจุดหมายของการติดตามครั้งนี้ ทั้งสองซ่อนร่างของตนอยู่หลังพุ่มไม้ ก่อนจะมองไปยังกลุ่มวิญญาณที่ล้อมรอบร่างๆหนึ่งอยู่ มิทนั่นเอง เด็กสาวกำลังยืนประจันหน้ากับเหล่าวิญญาณอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัว เหงื่อท่วมกายของเธอแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ตอนนี้ร่างของเธอคือสิงโตที่มีหางแหลมคมราวกับใบมีดดีๆนี่เอง

         “เราจะต้องเข้าไปช่วยน้องมิทน่ะ” ไมยาเรสเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

         “เดี๋ยวก่อน ไมย่า เธอมีธนูไยไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์เล่า” เจมิไนถามอย่างสงสัย ทำเอาเธอกระอักกระอ่วนที่จะบอก จริงอยู่ที่เธอเป็นพรานหญิง แต่การที่จะทำลายวิญญาณแห่งธรรมชาติมันก็ทำลายจิตใจเธอเหมือนกัน

         “เร็วเข้าสิ หรือจะให้ฉันฝ่าวงล้อมเข้าไป” เจมิไนขู่ก่อนจะแกล้งลุกขึ้น และนี่แหละคือจุดอ่อนของเธอ

         “ก็ได้ ท่านพี่เจมิไนก็ลงมานั่งดีๆซิ อย่าทำให้พวกนั้นเห็น” ไมยาเรสจำต้องใจอ่อน เธอไม่ยอมให้ใครต้องบาดเจ็บไปง่ายๆหรอก ถึงเธอจะเป็นนักเวทย์ผู้รักษาก็เถอะ เด็กสาวถือคันธนูไว้แน่นก่อนจะหยิบลูกธนูในกระบอกที่สะพายมายิงไปยังเหล่าวิญญาณ วิญญาณตัวหนึ่งล้มลงก่อนจะสลายไป วิญญาณตัวที่เหลือหันมามองที่พุ่มไม้ซึ่งกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

         “ฉันจะดึงความสนใจจากพวกมันแล้วกัน” เจมิไนพูดก่อนจะพรางตัวไปตามเงาต้นไม้ ไม่นานไมยาเรสก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักก่อนจะเห็นเงาทะมึนวิ่งวนไปรอบด้านของเหล่าวิญญาณ จุดสนใจเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไมยาเรสไม่รอช้าหยิบลูกธนูลูกแล้วลูกเล่ายิงเข้าสู่วงล้อมของเหล่าวิญญาณ และดูเหมือนว่าแดมิเทรียสจะรู้หน้าที่ เธอฟาดหางไปมาทำเอาวิญญาณหลายตนสลายไป

         “เราจะต้องไปกันแล้วล่ะ” เสียงของแดมิเทรียสดังขึ้นท่ามกลางสายหมอกที่เกิดจากการสลายตัวของเหล่าวิญญาณ “ทางออกอยู่ทางทิศตะวันตก”

         “อะไรกัน มิท ฉันกำลังสนุกอยู่เลย” เจมิไนพูดอย่างเมามันพลางขยับเคียวไปมาฟาดฟันร่างของวิญญาณหลายตน

         “ไม่ได้แล้ว เวลามีไม่มากนักหรอก มิทเกรงว่ามันจะคืนตัวในเร็วๆนี้น่ะสิ” แดมิเทรียสพูด ยังไม่ทันขาดคำ สายหมอกก็เริ่มจับกลุ่มกันเกิดเป็นรูปร่างของสิ่งที่มันเคยเป็น “ไปให้เร็วที่สุดเลย พี่ไมย่า มืด”

         ร่างทั้งสามวิ่งอย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันตก เหล่าวิญญาณกำลังคืนร่างอย่างรวดเร็ว แดมิเทรียสเพิ่มปีกค้างคาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลางบินขึ้นไปมองต้นทาง “เรามาไกลพอสมควรแล้วล่ะ”

         “เรารีบออกจากป่าบ้าๆนี่เสียทีเถอะ” เจมิไนพูดอย่างเหนื่อยหอบ การแฝงตัวในเงามืดทำให้เขาสูญเสียพลังไปเยอะพอควร เจมิไนและไมยาเรสรีบวิ่งไปก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เช่นเดียวกับแดมิเทรียสที่บินอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังคงเฝ้ามองต้นทางอยู่

         “กรี๊ดดดดดด!!!!!!!!!!!” เสียงกรีดร้องจากบนฟากฟ้าดังขึ้น เจมิไนและไมยาเรสพร้อมใจกันมองขึ้นไป ภาพที่เห็นคือวิญญาณนกกระจิบกำลังรุมทึ้งแดมิเทรียสอยู่อย่างหิวโหยสร้างบาดแผลต่อเธอมาก

         “บินลงมาเสียซิ มิท” เจมิไนตะโกนบอก ก่อนที่เด็กสาวพยายามจะร่อนลงมา อย่างไม่ให้เสียการทรงตัว แต่ดูท่ามันจะยากลำบากเสียเหลือเกิน ไมยาเรสตัดสินใจหยิบคันธนูยิงไปยังนกตัวหนึ่ง แดมิเทรียสได้จังหวะทันทีที่รุ่นพี่เปิดทางให้ เธอเพิ่มหางแหลมคมที่เคยมีก่อนหน้านี้และแทงไปยังวิญญาณเหล่านั้น

         ไม่นานทั้งสามก็สามารถไปยังทางออกได้อย่างปลอดภัย ไมยาเรสทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะซบหน้าเข้ากับฝ่ามือตน เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเบาๆ เธอรู้สึกผิด...ผิดมากเหลือเกินที่ทำร้ายธรรมชาติเช่นนั้น รุ่นพี่และรุ่นน้องมองเธออย่างเข้าใจ ไม่แปลกเลยสักนิดที่เด็กสาวตรงหน้าจะรู้สึกเช่นนี้ ในเมื่อทั้งชีวิตของเธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติเหล่านั้นมาตลอด

         “ข้าว่าเจ้าเอาเวลาสะอึกสะอื้นมาทำแผลให้มิทจะดีกว่าไหม” เจมิไนถาม “ถึงอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ที่ธรรมชาติเหล่านั้นมันเริ่มก่อน เจ้าก็แค่ปกป้องตนเองเท่านั้นเองแหละ คิดมากไปได้”

         ครั้งนี้...แม้ว่าธรรมชาติจะไม่ยอมให้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของมัน แต่สักวันข้าจะกลับมาและช่วยเหลือมันให้กลับมามีชีวิตดังเดิม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×