ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความ สั้นๆ

    ลำดับตอนที่ #12 : รู้จักกันดีเท่าใหร่ กับคำว่า “แอ๊บแบ๊ว”

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 50


    จากกการค้นหาความหมายคำว่า“แอ๊บแบ๊ว”ทางอินเตอร็เน็ต พบว่า นอกจากแทรนด์การพูดภาษาไทยแบบแอ๊บแบ๊ว จะเป็นที่นิยมในหมู่เด็กและเยาวชนทั่วไปแล้ว ยังมีอิทธิพลมาสู่ภาษาเขียนในอินเตอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก

    ขณะเดียวกันมีการตั้งกระทู้คำถามให้ชาวเว็บไซต์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแฟชั่น “แอ๊บแบ๊ว” น่ารัก หรือ ดัดจริตจนเกินงาม ที่สำคัญได้พบความหมายของอาการแอ๊บแบ๊วในเว็บไซต์สืบค้นลักษณะเดียว กับเว็บไซต์ “วิกิพีเดีย” หรือ สารานุกรมเสรี ที่ชื่อ อันไซโคลพิเดีย หรือ ไร้สาระนุกรมพิเดีย http://th.uncyclopedia.info/wiki ให้คำนิยามและความหมายของคำว่า “แอ๊บแบ๊ว” ไว้สรุปใจความว่า

    “แอ๊บแบ๊ว” เป็นคำวิเศษณ์ที่กำลังนิยมในหมู่วัยรุ่นตอนนี้ ซึ่งต่างกันเพียงเส้นกั้นบางๆกับคำว่า กระแดะ เป็นคำที่ได้ถูกบันทึกลงในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และเป็นที่ฮือฮามาก ซึ่งใน “ไร้สาระนุกรมพิเดีย” ยังระบุเคล็ดลับ "แอ๊บแบ๊ว" อีกว่า เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป แต่ตอนนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย กะเทย และเพศใกล้เคียง มีอาการควบคู่ไปกับการแสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ได้แก่

    1.ดวงตา จากที่เคยมี ลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่ "แอ๊บแบ๊ว" จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ (สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวีเพลง ปู ของเนโกะจั๊มพ์ โดยเฉพาะภาพตอนสองสาวเล่นกับกล้อง นั่นแหละคืออาการแอ๊บแบ๊ว ส่วนอุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ ได้แก่ ที่ดัดขนตา,มาสคาร่าและอายไลเนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เดี๋ยวนี้มีคอนแท็คเลนส์ ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผลกระทบคือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ หัวคิ้วจะหดเข้าหากัน ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา

    2.แก้ม แก้มป่องเป็นอาการแอ๊บแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ได้ ลำพังคนที่แก้มป่องเป็นธรรมชาติถือเป็นโชคดี แต่สำหรับคนที่แก้มตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน จะได้เห็นอาการพยายามอมลมไว้ในปาก แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญขนาดแก้มที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก แต่สำหรับแอ๊บแบ๊วมือใหม่หลายคนพลาดแก้มป่องเป็นปลาทองรักเร่

    3.ปาก สาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้านิดๆ แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/ กิ๊บซ่า กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบคน ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆ ก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอดเวลา ส่วนริมฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อย แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆ เบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมา ทีเด็ดคือต้องยิงมุมปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแบ๊วที่ออกมาจะดูแก่นเซี้ยวแสนซน และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะ เอง.." อย่าลืมรักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้อ้อม แอ้ม พูดไม่ชัด

    4.เสียง เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุดท้าย ของการแอ๊บแบ๊ว เสียงมาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ และทำอย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น ใช่ไหม เป็น ชิเมะ? / ชิป้ะ? / ชิม้า? ,คือว่า,เอ่อ เป็น คึ่ บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม , อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ? เป็นต้น ส่วนตัวอย่างประโยคการพูดแอ๊บแบ๊ว เป็น "ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ ซึ่หย่ามกึนเมะ เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×