ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงสิเน่หา [Eroticเล็กๆ]

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 : จุมพิตนางมาร [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 56


     

     

     

    -๖-

    “ฉันถามว่านายกำลังทำอะไรปริม!!!

    ปารมีเริ่มสับสนกับสิ่งที่เขาคิดและเชื่อมาโดยตลอด บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ใช่เปรมกมลจริงๆก็ได้ เขาไม่ตอบ ภาคย์ไม่ยอมจะเอาเรื่องต่อแต่ปริมลดารั้งไว้พร้อมขอให้พาเธอกลับ ภาคย์จึงยอมปล่อยปารมีไป

    ปารมีกลับไปนั่งคิดในรถคิดหาคำตอบไม่ตกกับสิ่งที่กำลังกวนใจเขาอยู่ตอนนี้แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เขาเลยระเบิดอารมณ์ใส่แตรรถ ส่งเสียงดังระงมไปรอบๆ ก่อนจะทุบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย

    ก่อนที่หัวเสียไปมากกว่านี้ เสียงโทรศัพท์จากผู้เป็นย่าก็ดังขึ้นในทันทีเหมือนเป็นสัญญาณหมดเวลาสำหรับความโกรธของเขา เขากดรับก่อนจะพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด

    “ครับคุณย่า”

    “อยู่ไหนน่ะปาล์ม? ย่าเสร็จแล้วนะ” ราศีถามขึ้นมา

    “ขอโทษทีครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปรับคุณย่าเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ปารมีวางสายลงไปก่อนจะรีบขับรถออกไปทันที

     

    ทันทีที่ขึ้นรถปริมลดาก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ยอมปริปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภาคย์ฟัง จนภาคย์ทนไม่ไหวจอดรถข้างถามเพื่อถามให้หายข้องใจ

    “ปริม เล่ามาให้คุณเล็กฟังหน่อย คุณเล็กอึดอัดจะบ้าตายอยู่แล้วนะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเข้าใจผิด” ปริมลดาบอกเพียงสั้นๆ ภาคย์ไม่เชื่อก่อนจะถามไปอย่างเป็นห่วง

    “เขาไม่ได้ทำร้ายเธอใช่มั้ย?”

    “เปล่า” หญิงสาวตอบห้วนๆ จะเรียกการจูบว่าทำร้ายได้มั้ยนะ? เรียกว่าลวนลามน่าจะดีกว่า

    “ถ้าอย่างนั้นเขาคงเข้าใจปริมผิดสินะ” ภาคย์เดา ปริมลดาสะดุ้งตกใจเมื่อเขาทายถูกทุกอย่าง

     ภาคย์กุมมือของหญิงสาวไว้เพื่อให้กำลังใจก่อนจะนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเล่า

    เรื่องสำคัญให้หญิงสาวฟัง อย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้เรื่องนี้

                “ปริม...คุณเล็กจะเล่าเรื่องคุณเปรมให้ปริมฟัง ปริมควรจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา” ปริมลดาหันมาฟังอย่างตั้งใจ

     

     

    เมื่อปารมีพาราศีกลับมาถึงบ้าน เขาก็บังเอิญพบพัสวีที่มารอราศีอยู่ที่บ้านจึงได้ลองเลียบเคียงถามน้องสาวถึงเรื่องปริมลดา

    “พัส เธอว่าเป็นไปได้มั้ยที่คนสองคนจะหน้าตาเหมือนกัน แต่ไม่ใช่คนเดียวกันน่ะ?”

    “ก็แฝดไง” พัสวีตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด

    “ถ้าไม่ใช่แฝดล่ะ?” ชายหนุ่มถามต่อ

    “ก็อาจจะเป็นพี่น้องที่หน้าเหมือนกันมากๆ...แต่ไม่ใช่ทั้งสองกรณีก็คงไม่มีหรอก นอกเสียจากคนเป็นพ่อแม่แอบไปมีชู้ที่อื่นน่ะสิ” พัสวีบอก ตามมาด้วยเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ ปารมีไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะหนีขึ้นข้างบนไปทันที ทิ้งให้พัสวีมองตามอย่างงงๆ

    ปารมีนั่งคิดนอนคิดอยู่ทั้งคืน พลิกตัวซ้ายขวา ลุกนั่งหรือจะนอน คิดกี่ตลบก็คิดไม่ออกเพราะเท่าที่เขารู้จักกับเปรมกมลมา เธอบอกว่าตัวเธอเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว ซึ่งนั่นก็แปลว่าไม่มีทางที่ปริมลดาจะเป็นญาติพี่น้องกับเปรมกมลได้เลย ประเด็นคือหล่อนเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีหน้าตาเหมือนกับเปรมกมลราวกับพิมพ์เดียวกันอย่างนี้

    “หรือเปรมกมลจะโกหก?” ปารมีถามกับตัวเองในใจ ก่อนที่จู่ๆคำพูดของพัสวีจะผุดขึ้นมาในความคิดของเขา

     

    “นี่คือเอกสารที่นังเปรมกมลเอามาสมัครงานวันนั้นค่ะ ไม่แน่นะ...ไม่อาจจะมีจุดอ่อนเอาไว้ให้เราเล่นงานมันก็ได้นะคะพี่ปาล์ม”

    “แต่พี่ก็ต้องลองเปิดดูนะ”

     

    “ใช่! เอกสารสมัครงาน” ปารมีคิดออกกระโดดลงจากเตียงอย่างดีใจ รีบแต่งตัวไปบริษัททันที

     

    ปริมลดาทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอน ความจริงที่ได้ยินมาเมื่อครู่กำลังเล่นงานเธออย่างจัง ความรู้สึกต่างๆประดังประดาเข้ามาหาเธอไม่สิ้นสุด

     

    “คุณเปรมเขี่ยปาล์มทิ้งหลังจากที่ได้เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังแล้วเธอก็ไปแต่งงานกับเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังทันที ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะรับคำขอแต่งงานจากปาล์มมาหยกๆ ปาล์มเจ็บและแค้นคุณเปรมมากนะ ฉันเชื่อ ว่าปาล์มไม่ปล่อยคุณเปรมไปง่ายๆแน่เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรลงไปก็เท่านั้น”

     

    ปริมลดารู้สึกละอายใจแทนแฝดพี่ของตัวเองและพอมาประจวบเข้ากับเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เธอพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเธอเป็นพวกเขาก็คงจะทำแบบเดียวกันเหมือนกัน

    “เธอทำแบบนี้ได้ยังไงเปรมเกมล!” ปริมลดาได้แต่ถามตัวเองด้วยความเจ็บปวด พี่สาวที่เธอชื่นชมในวัยเด็ก ตอนนี้เหลือเพียงหน้ากากแก้วที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลัง เพราะอะไร? ทำไมเธอถึงต้องเลือกใส่หน้ากากนางมารร้ายด้วยนะเปรมกมล?!

     

    ปารมีกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าบริษัททันทีด้วยความรีบร้อน ระคนอยากรู้ เขากระชากเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ลิ้นชักเก็บสิ่งที่ทำให้เขาแทบจะระเบิดออกมาในตอนนี้ออก ก่อนที่เขาจะไล่อ่านมันทีละแผ่นๆอย่างรีบร้อน

    ตั้งแต่สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน หรือจะเอกสารการเรียนก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเธอก็คือ ปริมลดา ไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบช็อกสุดขีดก็คือเอกสารสมัครงานของปริมลดาที่ถูกเขียนในประวัติเอาไว้ว่า

    พี่น้อง : 1 คน คือ น.ส.เปรมกมล ศิตกาล

    ปารมีมือไม้อ่อนปล่อยเอกสารลงทันที ก่อนจะหนักอึ้งไปหมด ทุกๆอย่างที่เขาเข้าใจมาโดยตลอดที่แท้ก็คือการเข้าใจผิดดีๆนี่เอง นี่เขากำลังทำร้ายคนบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้นหรือ? แต่ถ้าจะคิดในอีกมุมหนึ่ง มันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อหล่อนก็เป็นพี่น้องกับผู้หญิงแพศยาคนนั้น ถ้าหล่อนจะต้องมารับผิดชอบด้วย มันก็คงไม่เป็นไร

    เพราะคิดดังนั้นปารมีจึงกลับมาเป็นซาตานร้ายในคราบนักบุญอีกครั้ง เขามองรูปของปริมลดาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยิ้มมุมปากฉายแววร้ายออกมา

     

    แอนโทนี่และเจนนิเฟอร์เดินทางมาถึงที่เมืองไทยในเที่ยวบินแรกของวันนี้ โดยมีราศีและพัสวีเป็นตัวแทนมาต้อนรับถึงสนามบินในนามของบริษัทมิเชล

    แอนโทนี่ยื่นมือไปทักทายตามธรรมเนียมฝรั่งที่เขาคุ้นเคย เจนนิเฟอร์พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดท่ามกลางสายตาที่จ้องจับผิดของราศีและพัสวี โดยเฉพาะพัสวีที่จ้องมองเจนนิเฟอร์อย่างไม่ละสายตาจนเจนนิเฟอร์เองทนไม่ไหวเป็นฝ่ายทำลายความกดดันนั่น

    “สวัสดีค่ะคุณราศี คุณพัสวี” เจนนิเฟอร์หันมาปั้นหน้ายิ้มกว้างเป็นมิตรให้ทั้งสองก่อนจะยื่นมือไปทักทาย แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากพัสวีที่ตั้งแง่รังเกียจเธอตั้งแต่ต้น เจนนิเฟอร์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะปั้นหน้ายิ้มเย็นพูดเยาะเย้ยถากถางพัสวีอยู่ในที

    “คุณคงเป็นคุณพัสวีสินะคะ...ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานคนเก่ง ฝีมือคุณนี่เยี่ยมจริงๆ ฉันชักอยากจะเห็นผลงานอื่นๆของคุณแล้วสิคะว่าจะดีเหมือนครั้งนี้หรือเปล่า? หรือจะย่ำอยู่กับที่ อ้อ...หรือจะพูดง่ายๆว่าแย่เหมือนเดิมก็ได้ค่ะ” แอนโทนี่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยเท่าไรนัก ก็ได้แต่ยืนยิ้มๆ คิดว่าทั้งสองฝ่ายกำลังพูดทักทายกันตามปกติ

    มีเพียงฝ่ายมิเชลที่หน้าตึงขึ้นมาที่ถูกหญิงสาวพูดจากเยาะเย้ย ดูถูก โดยเฉพาะพัสวีโมโหหน้าเขียวเกือบจะวีนกลับ ดีที่ราศีเข้ามาปรามเอาไว้ก่อนและรีบตัดบทไม่อยากให้เกิดสงครามน้ำลายเกิดขึ้น

    “ทางเราเตรียมรถไปส่งคุณที่โรงแรมแล้วล่ะค่ะ เชิญพักผ่อนให้ตามสบายเลยนะคะ แล้วตอนเย็นค่อยเจอกัน” ราศีสรุปยิ้มๆ แอนโทนี่นยิ้มรับก่อนจะควงแขนเดินไปกับเจนนิเฟอร์ที่เชิดหน้าคอแข็ง ราวกับนางพญาเย้ยหยันสองย่าหลานอยู่ในที พัสวีเต้นเร่าๆ กระทืบเท้าปึงปัง เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ด่าตามหลังออกไป

     “นังผู้หญิงแพศยา! คอยดูเถอะ เมื่อไหร่แกพลาด ฉันจะเหยียบแกให้มิดเลยคอยดู!” ราศีส่ายหน้ากับหลานสาวที่ยังอาฆาตแค้นไม่เลิก ทั้งๆที่เธอเองก็ยังมีอคติกับผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน

    เจนนิเฟอร์รู้สึกสะใจที่ได้โต้กลับพัสวีบ้างหลังจากที่เธอถูกมิเชลกดดันจนต้องยอมมาร่วมงานด้วย จึงทำให้เจนนิเฟอร์มีสีหน้าสดใส แช่มชื่นผิดจากตอนลงจากเครื่องที่มีสีหน้าซีดเซียวเพราะเมาเครื่อง จนแอนโทนี่ถามขึ้นมา

    “หายแล้วหรอ? ดูหน้าเธอสดชื่นขึ้นนะ”

    “ค่ะ พอได้กลับเมืองไทย...บ้านเกิดของเรา ฉันก็ต้องสดชื่นสิคะ จริงไหม?”เจนนิเฟอร์ฉีกยิ้มก่อนจะซบไหล่ของชายหนุ่มอย่างเอาใจ

     “ไม่ว่าที่ไหน ขอเพียงมีคุณอยู่ข้างๆ โลกของผมทุกวันก็สดชื่นขึ้นแล้วล่ะ” แอนโทนี่หยอดคำหวาน เจนนิเฟอร์อมยิ้มชอบใจ ก่อนจะหอมแก้มให้รางวัล

    พลันสายตาก็เหลือบไปมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ริมถนนที่จ้องมองเธอเข้ามาด้วยแววตาดูถูกเยาะเย้ย เจนนิเฟอร์ถึงกับหน้าถอดสีก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนดังกล่าวมีใบหน้าเหมือนกับเธอทุกประการ เจนนิเฟอร์ชะงักค้างไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้มาเจอน้องสาวฝาแฝดที่นี่และในสภาพนี้ เจนนิเฟอร์ผละจากสามีก่อนจะเร่งให้คนขับรถออกรถทันทีอย่างตื่นตระหนก จนแอนโทนี่อดถามไม่ได้ว่า

    “มีอะไรหรือเปล่า?” เจนนิเฟอร์ยิ้มแหยๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ พร้อมลอบมองไปที่กระจกหลังอีกครั้ง

    ปริมลดามองตามรถคนนั้นไม่วางตาก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาอย่างดูถูก

    “เปรม...” สายตาอันว่างเปล่าของปริมลดามีต่อเปรมกมลปรากฏขึ้นมาทันที เหมือนความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันกำลังจะน้อยลงขึ้นทุกวัน...ทุกวัน

     

    หลังจากที่ปารมีรู้ความจริง แทนที่เขาจะรู้สึกผิดกับหญิงสาวคนนั้นและควรไปขอโทษเธอ แต่เขากลับเดินหน้าแก้แค้นเปรมกมลต่อ โดยมีปริมลดาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเกมแค้นของเขาด้วย

    ตกเย็นปารมี ราศีและพัสวีเดินทางมาถึงภัตราคารหรูใจกลางเมืองที่ปารมีลงทุนเหมาทั้งร้านเพื่อเป็นการต้อนรับฝ่ายอเวนิว ซึ่งอยู่ในแผนการที่เขาเตรียมไว้ด้วย

    เจนนิเฟอร์ในชุดกระโปรงสั้น แขนซีทรูยาวสีขาว ขับกันได้ดีกับสร้อยคอพลอยหลากสีดูมีเสน่ห์ พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีแดง เลื่อมคริสตัลสีขาวใส กับกระเป๋าสะพายข้างสุดหรูจากชาแนลสีแดงไวน์ เดินควงเข้ามากับสามีหนุ่มเจ้าพ่อแฟชั่นอย่างแอนโทนี่ในชุดสูทสีเทาเข้มที่ออกแบบและตัดเย็บอย่างดีจากผู้เป็นภรรยา เนกไทสีฟ้าลายทางอ่อนชวนให้นึกอบอุ่นและเป็นมิตร

    มิเชลยืนขึ้นต้อนรับพร้อมกับผายมือเชิญนั่ง บริกรเขยิบเก้าอี้บริการผู้มาใหม่สองคน ก่อนที่จะเป็นปารมีที่เป็นฝ่ายทักทายอย่างเป็นทางการ

    “เพิ่งเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยแย่เลยนะครับ”

    “ไม่หรอกครับ เมืองไทยกับฮ่องกงอยู่ใกล้กันแค่นี่เอง เหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดมากกว่า อีกอย่างภรรยาผมดูจะสดชื่นเป็นพิเศษที่ได้กลับมาเมืองไทย” แอนโทนี่พูดขึ้นพลางจับมือของหญิงสาวข้างกายที่ประดับไปด้วยแหวนเพชรสุดหรู หลักฐานการแต่งงาน จนปารมีอดมองตามด้วยความเจ็บปวดไม่ได้ ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มจงใจพูดแดกดันเจนนิเฟอร์

    “คุณนายหยางคงคิดถึงเมืองไทยมากสินะครับ ผมเดาว่าคุณคงมีความประทับใจอะไรดีๆเกี่ยวกับที่นี่แน่เลย จริงมั้ยครับ?” เจนนิเฟอร์ยกมือเรียวขึ้นปัดปอยผมไปทัดหู ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มหวาน พูดเสียงเนิบๆกลับไปว่า

    “ค่ะ ต้องขอบคุณที่นี่ที่ทำให้ฉันมีวันนี้ มันยากนะคะกว่าจะที่มาถึงจุดนี้ได้”

    “อาทิเช่นใช้คนอื่นเป็นบันได้ในการไต่เต้าขึ้นไปสู่ความสำเร็จอย่างนั้นหรือเปล่าคะ?” พัสวีถามกลับเสียงเนิบ ก่อนจะฮีกยิ้มหวานแสนจอมปลอม สะใจที่ได้ถามแทงใจดำ เจนนิเฟอร์ยิ้มค้างก่อนจะโต้กลับไปอย่างสะใจว่า

    “ก็คงจะเหมือนกับที่คุณทำอยู่ล่ะมั้งคะ” พัสวีหน้าตึงกำหมัดแน่น ไม่พอใจ ราศีเห็นท่าไม่ดีเลยรีบสงบศึก

    “เรามาทางข้าวดีกว่านะคะ ทานไปคุยกันไปน่าจะดีกว่า จริงมั้ยคะ คุณหยาง?” ราศีหันมาถาม แอนโทนี่น้อมศีรษะเล็กน้อย อย่างเห็นด้วย ก่อนจะลงมือทานอาหารดินเนอร์สุดหรูที่มิเชลได้จัดเตรียมเอาไว้

    ระหว่างการทางอาหารนั้นปารมีก็มองเจนนิเฟอร์ไม่วางตา สายตาที่เขามองนั้นเต็มไปด้วยความชิงชังในตัวของหญิงสาวมากจนแทบจะระเบิดออกมา จนเจนนิเฟอร์ที่แกล้งทำเป็นไม่เห็นอดไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม พร้อมยิ้มยั่วเขาอย่างมีจริต ปารมีกระตุกยิ้มอย่างสมเพช ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อทนกับรอยยิ้มเหล่านั้นของผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้

    เจนนิเฟอร์ยิ้มพอใจก่อนจะแกล้งทำเป็นทำไวน์หกเลอะเสื้อ ลุกขึ้นขอตัวไปห้องน้ำด้วยอีกคน โดยมีสายตาของราศีมองตามไปอย่างไม่ไว้ใจ

    เจนนิเฟอร์ตามปารมีไปที่หน้าห้องน้ำชาย เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำออกมา ทำให้ใบหน้าของทั้งสองแทบจะประชิดกัน เจนนิเฟร์ยิ้มยั่วยวนก่อนที่มือไม้จะลูบไล้ไปที่อกกว้างของชายหนุ่มที่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะโน้มใบหน้าจะไปจุมพิตที่ริมฝีปากหนาของชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น ปารมีก็ผลักหญิงสาวออกก่อนจะลอบมองเธอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พลางนึกรังเกียจหญิงสาวตรงหน้าสุดใจ

    “อย่าเอาร่างกายสกปรกๆของเธอมาอยู่ใกล้ฉัน เพราะมันทำให้ฉันขยะแขยง” ปารมีพูดจาดูถูก เจนนิเฟอร์จ้องจิกไปที่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแกล้งพูดเยาะเย้ยเขา

    “แล้วใครกันที่ขอแต่งงานกับผู้หญิงสกปรกต่ำช้าอย่างฉัน” ปารมีหน้าตึง

     “ฉันไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอหรอก...อย่างน้อยฉันก็โชคดีที่ไม่ไปหลงกลแต่งงานกับเธอ รู้อะไรไหมว่าความรักที่ฉันเคยให้เธอไป ตอนนี้มันก็แค่ฝุ่นผงไร้ค่าที่น่ารำคาญ” ปารมีตอกกลับแต่แววตายังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เจนนิเฟอร์ยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะแกล้งผลักเขาชิดผนัง โอบรั้งคอของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะกระซิบบอกอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของชายหนุ่ม

    “แม้ว่าฉันจะยังรักคุณอยู่อย่างนั้นหรอคะ?” หญิงสาวหันกลับมาจ้องตาชายหนุ่มที่เผยให้เห็นความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นที่ทำให้เจนนิเฟอร์ถึงกับพอใจ ปารมีรู้สึกสับสนในความรู้สึก

    เจนนิเฟอร์ไม่รอช้าที่จะต้อนชายหนุ่มให้จนมุม เธอเลื่อนใบหน้าเรียวของตัวเองไปสัมผัสที่แก้มของชายหนุ่มและบรรจงจุมพิตเขาไปหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มสะท้านไปทั้งตัวราวกับถูกต้องมนต์แห่งอารมณ์เสน่หาที่หญิงสาวหยิบยื่นมาให้ เขาไม่รอช้ารั้งเอวคอดของหญิงสาวเข้ามาประชิดก่อนจะเป็นฝ่ายริมฝีปากหนาของเขามาประทับกับริมฝีปากบางของหญิงสาวที่ทำให้เขาจมปรักกับความแค้น

    เจนนิเฟอร์ลอบยิ้มอย่างพอใจที่ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าเขายังรักเธออยู่ หญิงสาวจึงผละริมฝีปากออก ก่อนจะพูดต้อนอย่างมีชัยว่า

    “เห็นมั้ยว่าคุณก็ยังรักฉันอยู่” แววตาเยาะเย้ยคู่นั้นของหญิงสาวทำเอาชายหนุ่มถึงกับลุกโชนด้วยไปโกรธที่หญิงสาวแกล้งปั่นหัวเขาอีกครั้ง เขาผลักเธอออกอย่างแรงก่อนจะพูดทิ้งไว้อย่างเคียดแค้นว่า

    “จำเอาไว้นะเปรมกมลว่าฉันนี่แหละจะกระชากหน้ากากที่แท้จริงของเธอออกมา เธอจะต้องได้รับโทษที่ทำกับฉันไว้คอยดู!” แล้วปารมีก็เดินหนีไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกไปทันที ไม่ยอมกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง จนพัสวีต้องออกหน้ารับแทนแอนโทนี่โดยอ้างว่าเขามีธุระด่วนต้องรีบไป

     

    ปารมีขับรถออกมาเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายก่อนจะไปจบที่ผับของวีนัส ที่ๆทำให้เขาได้สะกดรอยตามปริมลดาไป ปารมีโทรนัดอนุตออกมาดื่มด้วยกัน โดยไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวที่เขาระบายความแค้นผิดตัว...

    ปริมลดามองชายหนุ่มที่หล่อนจำได้ดีด้วยแววตาโกรธแค้น ครั้งก่อนเขาก็ขโมยจูบของเธอไป มาครั้งนี้เธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องจัดการทั้งต้นทั้งดอกให้ได้คอยดู

    “แกจะเอาจริงหรอปริม?” วีนัสถามเพื่อนสาวอย่างไม่เห็นด้วยนัก

    “จริงสิ มาคนเดียวนี่แหละดี อีกอย่างนี่ก็ที่ของแกถ้ามันกล้าทำอะไรฉันล่ะก็มันได้ตายแน่!” ปริมลดาพูดอย่างจริงจัง

    “อย่าให้ถึงตายล่ะ ฉันไม่อยากมีเรื่อง” วีนัสเตือน ปริมลดาไม่ตอบอะไรก่อนจะมองไปยังไอ้โรคจิตที่หล่อนแค้นนัก

    ปริมลดาเดินไปที่โต๊ะของปารมีอย่างใจกล้า ก่อนจะถือวิสาสะเข้าไปนั่งด้วย ปารมีเห็นหญิงสาวก็ตกใจก่อนจะลอบมองดีๆเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเป็นใครกันแน่

    “ไง? แปลกใจหรอที่เห็นฉันมานั่งตรงนี้ได้น่ะ...ไอ้โรคจิต” ปารมีแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะแยกแยะได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร

    “ติดใจไอ้โรคจิตคนนี้หรือไง?” ปารมีถามกลับเสียงหื่นๆ ปริมลดาทำใจดีสู้เสื้อยิ้มกริ่มบอกกลับเสียงเรียบ

    “ตามฉันมาสิ” ว่าแล้วเธอก็เดินนำออกไป ปารมีอดปลกใจไม่ได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของปริมลดา แต่เพราะความอยากรู้ว่าหล่อนจะมาไม้ไหน เขาก็เลยยอมตามเธอออกไป

    ปริมลดาหยุดยืนที่หน้าผับก่อนจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอให้เขาฟัง

    “จำได้ไหมที่คุณบุกเข้ามาจะปล้ำฉันที่ห้องน่ะ ไหนจะมาขโมยจูบฉันอีก ฉันยังไม่ได้ชำระแค้นกับคุณเลยนะ”

    “ชำระแค้นหรอ? หึ...เธอจะแก้แค้นอะไรฉันล่ะ? จะเป็นฝ่ายมาปล้ำฉันเองงั้นหรอ?” ชายหนุ่มยียวน ลวนลามด้วยคำพูด ปริมลดาหน้าตึงก่อนจะใช้โอกาสที่เขาเผลอจับเขาทุ่มสุดตัวอย่างจัง

    ชายหนุ่มที่ทุ่มตามแรงโทสะของหญิงสาวร้องโอดครวญขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดปนจุก หญิงสาวหัวเราะสมน้ำหน้าและสะใจที่ได้แก้แค้นจนได้

    “รู้เอาไว้นะว่าอย่ามาลองดีกับฉันอีก” ปริมลดาได้ทีคุยโวใหญ่ ชายหนุ่มเจ็บใจนักที่ถูกหักเหลี่ยมจึงแกล้งทำเป็นสลบนิ่ง จนปริมลดาตกใจ

    “นี่คุณ! คุณ! …อย่ามาแกล้งฉันนะ ฉันไม่เชื่อคุณหรอก...นี่!” ปริมลดาเริ่มหน้าถอดสีที่เห็นชายหนุ่มนิ่งไป หล่อนจึงก้มลงไปเขย่าตัวเรียกเขา

    “คุณ! คุณ! ...ว๊าย!!!” ชายหนุ่มสบโอกาสเด้งตัวขึ้นอย่างไวก่อนจะช้อนตัวหญิงสาวอุ้มขึ้นรถไปในทันที ปริมลดาตกใจร้องตะโกนขอให้คนช่วยพร้อมทั้งดิ้นขัดขืน ปารมีรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกลัวจะมีคนมาได้ยิน ก่อนจะโยนปริมลดาขึ้นรถ ปริมลดาจุกที่ถูกก้นกระแทกอย่างจัง ปารมีจึงรีบขึ้นรถขับหนีไปทันที

    “คุณจะทำอะไรอ่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” ปริมลดาร้องโวยวาย พร้อมทั้งทุบตีเขาไปหยุดจนรถแทบเซ ปารมีเริ่มหงุดหงิดหันมาตวาดหญิงสาว

    “อยู่เฉยๆน่าไม่งั้นจะจะพาเธอไปปล้ำ” คำขุ่ของเขาได้ผลชะงัก ปริมลดาชะงักนิ่งยอมกลับมานั่งนิ่งๆ แต่ยังมองชายหนุ่มไม่วางตาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะหาทางช่วยตัวเองโดยคลำหาโทรศัพท์แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทิ้งเอาไว้ที่ผับก็ได้แต่โมโหเจ็บใจตัวเอง

    ปารมีเลี้ยวรถเข้าโรงแรมม่านรูด ทำให้ปริมลดาร้องโวยวายขึ้นมาอีกครั้งด้วยความกลัว ทั้งต่อว่าทั้งขอร้อง

    “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอโทษน่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งกับคุณอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

    “ฉันบอกแล้วไงว่าให้เงียบๆน่ะ อยากถูกปล้ำมากใช่มั้ยหา?!” ปารมีถามกลับเสียงเข้ม ปริมลดาใจคอไม่ดีน้ำตาปริ่มด้วยความกลัว

    “ลงมา” ปารมีบอกหลังจากที่ทำการเช็กอินเรียบร้อยแล้ว ปริมลดาไม่ยอมลงท่าเดียว ปารมีเลยใช้กำลังลากหญิงสาวลงจากรถ ทั้งฉุดกระชากลากถูกันจนเหนื่อยกว่าจะพาปริมลดาออกมาได้

    “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม? ไหนว่าจะไม่ทำอะไรฉันไง” ปริมลดาถามเสียงสั่น

    “มานอน” ปารมีบอกหน้าตาย

    “นอนคนเดียวเถอะ” ว่าแล้วปริมลดาก็ทำท่าจะวิ่งหนี ปารมีรั้งเอวหญิงสาวไว้ได้ ก่อนจะผลักเธอไปกับเตียง พร้อมส่งสายตาหื่นกระหาย จนปริมลดาถอยกรูด

    “ปล่อยฉันไปเถอะ” ปริมลดาขอร้องอีกครั้ง ครั้งนี้เธอกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนก ปารมีเห็นแล้วอดขำไม่ได้ เพราะครั้งนี้เขาไม่ได้จะมาทำร้ายเธอ แค่อยากแก้เผ็ดที่เธอทำให้เขาจุกไปเมื่อสักครู่มากกว่า ไม่นึกเลยว่าหญิงสาวจะกลัวมากขนาดนี้

    ปารมีขึ้นไปนั่งข้างหญิงสาวที่ถอยกรูดจนชิดหัวเตียงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

    “ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก เธอไม่ใช่เป้าหมายของฉัน”

    “หมายความว่ายังไง? เป้าหมายที่แท้จริงหรอ?” ปริมลดาไม่เข้าใจ

    “เป้าหมายของฉันคือเปรมกมล ไม่ใช่เธอปริมลดา!” ปารมีบอกเสียงเรียบแต่หนักแน่น ปริมลดาอึ้งไปในทันที 




    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อ่านจบแล้วอย่าลืมเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะคะ -/\-

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×