คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 : หรือจะไม่ใช่ [100%]
-๕-
พัสวีมองดูงานออกแบบเสื้อที่ปารมีส่งมาให้ด้วยอาการตัวสั่นเทิ้ม ปากคอสั่น พยายามข่มความโกรธนั้นเอาไว้ ถามปารมีเสียงสั่นๆ
“นี่มันอะไรกันคะ?”
“จำได้ใช่มั้ย? ฉันจะส่งงานนี้ไปให้อเวนิว” ปารมีบอกเสียงเรียบ
“พี่จะบ้าหรือไง พี่ก็รู้ว่างานนี้มันไม่ใช่ของเรามันเป็นของ...” พัสวีไม่กล้าพูดต่อเพราะมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเกลียดชังเจ้าของผลงาน
“แล้วยังไงล่ะ? ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนของที่นี่อีกต่อไป อีกอย่างถ้าหล่อนกล้าโต้แย้งเรา ก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ...เพราะนี่คือสิ่งที่เปรมกมลกลัวยังไงล่ะ...กลัวความจริงเปิดเผย” ปารมีด้วยน้ำเสียงสะใจ พัสวีพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่แทบจะระเบิดออกมา
“นี่เราจนมุมถึงขนาดต้องเอางานของคนอื่นไปขายแล้วหรอคะ?” พัสวีถามอย่างรับไม่ได้
“ใครว่าล่ะ...เรากำลังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสต่างหาก” ปารมีบอก พัสวีเบือนหน้าหนีทำใจไม่ได้
เพราะผลงานชิ้นนั้นที่ทำให้พัสวีเกลียดเปรมกมล แล้วนี่เธอต้องพ่ายแพ้แก่เปรมกมลอีกแล้วหรือ? เธอคงยอมรับไม่ได้ แต่ในเมื่อปารมีขอร้องให้ทำตามที่เขาบอกเพื่อแก้แค้น เธอก็คงไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากต้องยอมเป็นเงาของผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป!
“เพอร์เฟคจริงๆนะงานชิ้นนี้น่ะ” ราศีออกความคิดเห็นอย่างเป็นปลื้ม ก่อนจะชมเชยหลานสาวคนเดียวอย่างพัสวี
“เรารีบส่งงานนี้ไปให้อเวนิวดูดีกว่านะ...เผื่อเขาจะได้เปลี่ยนใจ” ราศีเสนอ ปารมีเห็นด้วยรีบสั่งการลงไปทันที
“ถ้าอเวนิวยอมรับ หลานยายก็จะได้เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังแล้วสินะ” ราศียิ้มอย่างภูมิใจเพราะปารมีสร้างเรื่องหลอกทุกคนว่าผลงานชิ้นนี้เป็นของพัสวี
“........” พัสวียิ้มเจื่อนๆไม่ได้ภูมิใจเลยสักนิด แต่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ชิงชังเจ้าของผลงานตัวจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก หล่อนตั้งปณิธานไว้แน่วแน่แล้วว่าสักวันหล่อนจะต้องเป็นตัวจริงแทนที่เปรมกมลให้ได้ แล้ววันนั้นหล่อนจะเหยียบนังผู้หญิงแพศยาให้จมดินไม่ให้ลืมตาอ้าปากอีกเลย!
ทันทีที่ได้เข้าทำงาน ปริมลดาก็ตั้งอกตั้งใจเรียนรู้งานจาก อนงค์ พี่ผู้จัดการดูแลลูกค้าของสปอร์ทคลับ และด้วยความที่หัวเร็ว ทำให้เปรมกมลเป็นที่ชื่นชมของพนักงานคนอื่นๆที่ต่างมากันยกยอ ชมเชยกันไม่หยุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าทำให้ใครบางคนแอบหมั่นไส้ ไม่พอใจ
“น้องปริมมากินข้าวด้วยกันมั้ยคะ?” เพ็ญพรชวนขึ้นหลังจากที่หญิงสาวออกมาจากห้องแต่งตัว
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” ปริมลดาเอ่ยด้วยความเกรงใจ
“รบกงรบกวนอะไรล่ะ มาๆมากินด้วยกัน” ว่าแล้วเพ็ญพรก็จูงมือปริมลดามาร่วมวงกับพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งพนักงานคนอื่นๆต่างพากันอ้าแขนต้อนรับอย่างเต็มใจ
“กินเยอะๆนะ” เพ็ญพรเอาใจ ทำให้นุดีชักสีหน้าไม่พอใจ แกล้งพูดหยิกแกมหยอกแต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจส่วนตัว
“แหม...เอาใจจังเลยนะพี่พร กลัวใครไม่รู้หรือไงว่าประจบน่ะ”
“ประจบที่ไหน เค้าเรียกว่าดูแลจ๊ะน้องนุดี” เพ็ญพรแก้ตัวก่อนจะกลับไปดูแลปริมลดาต่ออย่างออกนอกหน้า ทำให้นุดีแอบฮึดฮัดขัดใจ ก่อนจะปรายตามองเด็กใหม่อย่างปริมลดาด้วยหางตาบ่งบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าอย่างแรง
“กินด้วยคนสิ” จู่ๆภาคย์ก็เข้ามา ทุกคนในวงแทบวงแตก มองกันตาเหลือกไม่เคยเห็นภาคย์มาขอร่วมวงมาก่อน
“เอ่อ คุณภาคย์จะทานด้วยกันหรอคะ?” เพ็ญพรถามเสียงตะกุกตะกัก
“ครับ ไม่ได้หรอ?” ภาคย์ย้อนถามหน้าตาย ก่อนจะแอบถลึงตาใส่เป็นการบังคับ
“ได้สิคะ ได้เสมอเลยค่ะ เชิญค่ะคุณภาคย์ มานั่งตรงนี้สิคะมาๆ” นุดีแทรกตอบขึ้นมา พร้อมกุลีกุจอเขยิบให้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับคนมาใหม่ ภาคย์ยิ้มๆก่อนจะไปนั่งร่วมวงด้วยทันที
“แล้วนี่น้องปริมจะกลับบ้านยังไงหรอจ๊ะ?” เพ็ญพรถามขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนเริ่มปรับตัวกับผู้มาใหม่ได้
“คงจะรถเมล์น่ะค่ะพี่พร” ปริมลดาตอบเสียงใส ภาคย์รีบเสนอตัวขึ้นทันที
“เดี๋ยวเล็กไปส่งให้นะ” ทันทีที่พูดจบเสียงสำลักจากบรรดาผู้ร่วมวงก็ดังขึ้นประสานรับกันเป็นจังหวะ เพราะต่างไม่เชื่อหูว่าเจ้านายหนุ่มรูปงามจะเรียกแทนตัวเองแบบนั้นต่อหน้าพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาอย่างพวกเขาแบบนี้ ภาคย์รู้สึกเขินนิดๆแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจอะไร
“เดี๋ยวปริมกับเองก็ได้คุณเล็ก” ปริมลดารีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แค่นี้หล่อนก็เกรงใจเพื่อนชายคนนี้จะแย่อยู่แล้ว
“วันนี้จะมีลูกค้าวีไอพีมาใช้บริการตอนสองสามทุ่ม คุณภาคย์ไม่ต้องมาดูแลด้วยหรือคะ” นุดีแทรกขึ้นมาอย่างขัดจังหวะ ภาคย์นึกได้จึงต้องบอกอย่างเสียดายว่า
“จริงสิ ผมลืมไปสนิทเลย...ขอโทษทีนะปริม เล็กคงไปส่งปริมไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณเล็กคงต้องอยู่ช่วยท่านประธานนี่นา” ปริมลดายิ้มรับ
“คร้าบบบ!” ภาคย์ลากเสียงยาวอย่างเสียดาย ก่อนจะถอนหายใจที่พลาดโอกาสไปเสียได้ นุดีแอบยิ้มพอใจที่ขัดขวางคนทั้งคู่ออกไปได้สำเร็จ
ฮ่องกง
เอกสารจากมิเชลถูกส่งมาที่คอนโดหรูซึ่งเป็นที่พักอาศัยของแอนโทนี่ เจ้าพ่อวงการแฟชั่นของเกาะฮ่องกงอย่างเร่งด่วน พอเห็นว่าเป็นของมิเชลแอนโทนี่ก็ทำหน้าเบื่อหน่ายจะไม่ยอมอ่าน แต่เพราะถูกกำชับมาให้อ่านให้ได้เพราะเป็นเอกสารสำคัญและเร่งด่วน เขาจึงต้องเปิดอ่านอย่างเลี่ยงไม่ได้
แอนโทนี่นั่งประจำที่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่างใสบานกว้างเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีของความเจริญ ก่อนจะเปิดเอกสารอ่าน ทันทีที่ได้อ่านสีหน้าของแอนโทนี่ก็ค่อยๆมีรอยยิ้มด้วยความพอใจปรากฏขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะคิดด้วยความแปลกใจ
เป็นจังหวะเดียวกับที่เปรมกมลหรือเจนนิเฟอร์เดินเข้ามาเอาไวน์มาให้สามี ก็ต้องสงสัยกับท่าทางอารมณ์ดีเหมือนกับที่เขาได้ของที่ถูกใจ จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
“มีอะไรหรอคะโทนี่? ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
“ผมว่า ผมคงมองมิเชลผิดไปแล้วล่ะ” แอนโทนี่คลี่ยิ้ม ทันทีที่ได้ยินชื่อมิเชล เจนนิเฟอร์ถึงกับหน้าเจื่อนๆไป
“ยังไงคะ?” เจนนิเฟอร์เลียบๆเคียงๆถาม
“เพราะเรามองว่าเขาเป็นแค่บริษัทที่เพิ่งพัฒนาเลยคิดว่าเขาจะไม่มีฝีมือเทียบชั้นที่น่าร่วมลงทุนด้วยกันยังไงล่ะ...แต่เท่าที่ผมเห็นเนี่ย ผมว่าเขาก้าวกระโดดได้เร็วมากเลยนะ” แอนโทนี่ชมอยู่ในที เจนนิเฟอร์เริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในความหมายที่สามีพูด จึงเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อมองดูสิ่งที่อยู่ในมือของเขาทันที
ทันทีที่เจนนิเฟอร์ได้เห็นงานออกแบบในมือของแอนโทนี่ เธอก็ถึงกับตกใจแทบสิ้นสติ พยายามควบคุมอาการเหล่านั้นเอาไว้ เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
“มิเชลส่งมาให้หรอคะ? ใครเป็นดีไซเนอร์กัน?” ขณะที่รอคำตอบเจนนิเฟอร์แทบยืนไม่ติด รอลุ้นคำตอบแทบจะลืมหายใจ กลัวความลับจะแตกขึ้นมา
“อืม...ดีไซเนอร์หรอ?...เอ เดี๋ยวนะ...อ้อ! นี่ไง! ชื่อ พัสวีน่ะ” แอนโทนี่สำรวจหาชื่อดีไซเนอร์คนดังกล่าวที่ทำให้เขาพึงพอใจในผลงาน เจนนิเฟอร์ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ถูกจับได้ แต่ก็รู้สึกเจ็บใจที่ทางนั้นเล่นงานเธอด้วยวิธีนี้ แถมยังเอาผลงานของเธอมาหลอกใช้หากินแบบนี้อีก
“ค่ะ” หญิงสาวขานรับเสียงอ่อยๆ
“บราโว!จริงๆ” แอนโทนี่พูดออกมาอย่างหลงใหล เจนนิเฟอร์หน้าซีดเป็นไก่ต้ม กัดริมฝีปากของตัวเองตามนิสัย
“คุณจะเปลี่ยนใจไม่ได้นะคะ” เจนนิเฟอร์เตือน
“นั่นสินะ...แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้เราคงต้องเสียหน้ากันหน่อยแล้วล่ะ” แอนโทนี่ยิ้มออกมา นั่นแปลว่าเขาจะยอมร่วมมือกับมิเชล และนั่นก็เท่ากับว่าเจนนิเฟอร์จะต้องเสี่ยงกับความลับที่อาจจะถูกทางมิเชลเปิดเผยได้ทุกเมื่อ
เจนนิเฟอร์ไม่มีอะไรพูดต่อเพื่อเปลี่ยนใจแอนโทนี่ เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเขาตัดสินใจจะทำอะไรแล้วเขาก็ต้องทำให้ได้และจะไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนใจเขาได้เช่นกัน
ดังนั้นจดหมายตอบรับคำเชิญจึงถูกส่งกลับมาที่มิเชล ทำให้ปารมีถึงกับยิ้มพอใจที่แผนการของเขาสำเร็จอย่างง่ายดาย เพราะเขารู้ว่าจุดอ่อนของเปรมกมลก็คือความลับที่เธอพยายามปกปิดเอาไว้ และบังเอิญว่าเขาก็เป็นหนึ่งในความลับสำคัญที่เปรมกมลกลัวมันมากที่สุด ความลับที่พร้อมจะฆ่าหล่อนให้ตายได้ทุกเมื่อ!
หลังจากที่พลาดไปส่งหญิงสาวเมื่อวานก่อน ครั้งนี้ภาคย์เลยขอแก้ตัวอาสาไปส่งปริมลดาอีกครั้ง ซึ่งปริมลดาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ภาคย์เห็นผมของปริมลดายาวเกินไปแล้ว จึงแกล้งยั่วโมโหหญิงสาวเล่น
“ผมยาวแล้วหน้าโทรมนะปริม” หญิงสาวหันมาตวัดค้อนวงใหญ่ก่อนจะบ่นตามมา
“ฉันไม่ได้มีเวลาไปตัดหรอก อีกอย่างนะฉันน่ะหรอหน้าโทรม เป็นไปได้ยังไง”
“งั้นก็ไปตัดซะเลยสิ ตอนนี้ก็ว่างแล้วนี่” ภาคย์เสนอ
“ตอนนี้เลยเนี่ยนะ? ไม่ต้องหรอก แถวนี้ไม่มีร้านตัดผมสักหน่อย” ปริมลดาบ่ายเบี่ยง
“เดี๋ยวจะเสกให้ภายในห้านาทีเลย” ภาคย์โม้ ก่อนจะหักรถเลี้ยวกะทันหัน จนปริมลดาถึงกับเซตามแรงเหวี่ยงของรถ
“จะพาไปไหนเนี่ย?” ปริมลดาถามขึ้น
“ก็จะเสกร้านทำผมให้ไง” ภาคย์หันมาตอบพร้อมยักคิ้วกวนๆ ปริมลดาแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะยอมนั่งนิ่งๆยอมให้สารถีจอมเอาแต่ใจขับรถไปแต่โดยดี
ภาคย์พาปริมลดามายังร้านตัดผมชื่อดังเจ้าประจำของเขา และทันทีที่เจ้าของร้านเห็นภาคย์มาก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับอย่างเอาใจ
“ต๊าย! คุณภาคย์จะมาทำไมไม่บอกเจ๊ก่อนล่ะคะ เจ๊จะได้เคลียคิวไว้ให้” เจ๊หน้าซิ้มผมโมฮ็อกสีแดงบอกด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ผมพาเพื่อนมาทำผมน่ะฮะ ต้องรอนานรึเปล่าฮะ?” ภาคย์ถามพร้อมยิ้มจนตาหยี
“ก็ต้องรอลูกค้าคนนั้นก่อนน่ะจ๊ะ...คุณภาคย์รอได้ไหมล่ะคะ?”
“ถ้าไม่นานผมก็โอเคฮะ”
“งั้นเดี๋ยวลูกค้าคนนั้นเสร็จ เจ๊จะลัดคิวให้โดยเฉพาะเลยนะ” เจ๊บอกอย่างเอาใจ ก่อนจะมอง ‘เพื่อน’ ที่ภาคย์พูดถึงด้วยสายตาคมกริบราวกับเหยี่ยวสาวที่สายตาแม่นยำ
“แฟนหรอคะคุณภาคย์” เจ๊กระซิบถามภาคย์ ภาคย์ยิ้มๆไม่ตอบ ปล่อยให้เจ๊คิดต่อไปเอง เจ๊มองภาคย์ยิ้มๆอย่างพอเข้าใจ
“รอสักครู่นะคะเพื่อนคุณภาคย์ เดี๋ยวพอลูกค้าท่านนั้นเสร็จแล้ว เจ๊จะให้คุณต่อทันทีเลย” เจ๊บอก ก่อนจะเชื้อเชิญให้ทั้งคู่นั่งรอที่โซฟาของลูกค้าวีไอพี
ปริมลดารู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เหมือนตัวเองมาลัดคิวคนอื่นจึงบอกกับภาคย์ว่า
“เรากลับกันเถอะ ปริมยังไม่อยากตัดเลย”
“อุตส่าห์มาแล้ว...เราไม่ได้ลัดคิวหรอก คิวต่อไปก็ยังไม่มา” ภาคย์หลอกให้ปริมลดาสบายใจ ปริมลดาถอนหายใจก่อนจะยอมให้ตัดผมต่อไป
เมื่อถึงคิวของปริมลดา ภาคย์ก็สั่งให้ช่างประจำของเขาดีไซน์ทรงผมให้สวยที่สุดไปเลย ปริมลดาแยกเขี้ยวใส่อีกรอบเป็นการสั่งให้หุบปากได้แล้ว ภาคย์ยิ้มแหยๆยอมแพ้ ก่อนจะขอตัวไปเดินข้างนอกฆ่าเพื่อเวลาระหว่างรอเธอทำผม
“พี่คะ ตัดให้สั้นประมาณบ่าก็พอนะคะ” ปริมลดาบอก
“แค่นั้นหรอฮ๊า?” ช่างสุดแต๋วเปรี้ยวจี๊ดถามอย่างแปลกใจ
“ค่ะ...แค่นั้นล่ะค่ะ ตัดสั้นเฉยๆนะคะ” ปริมลดากำชับอีกที ช่างทำผมคนเดิมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลงมือตัดผมตามที่หญิงสาวต้องการ
เป็นเวลาเดียวกับที่ปารมีพาราศีมาทำธุระแถวนั้นพอดี ทำให้ปารมีเห็นปริมลดาโดยบังเอิญ เขาแทบไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรนอกเสียจากอยากจะเข้าไปพูดเยาะเย้ยให้สาแก่ใจที่เขาทำสำเร็จ จึงรีบขอตัวจากผู้เป็นย่าก่อนจะรีบกลับมารับให้ทัน
ปารมีกลับรถมาที่ร้านตัดผมก่อนจะรีบลงมา ตรงดิ่งเข้าหาปริมลดาที่เพิ่งออกมายืนรอหน้าร้านหลังจากจัดการเรื่องค่าตัดผมเสร็จทันที
“คุณ!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มแปลกหน้าที่จะมาปลุกปล้ำเธอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?” ปารมีย้อนถามเสียงเรียบ
“หลบไป ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแข็ง พร้อมจ้องตาเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ปารมีโพล่งขึ้นมาก่อนจะดึงมือหญิงสาวขึ้นไปนั่งบนรถของเขา ปริมลดาขัดขืน ร้องขอความช่วยเหลือเต็มที่ ก่อนจะคิดขึ้นมาได้งัดท่ายูโดทุ่มตัวขึ้นมาจัดการเขาเป็นการล้างแค้น แต่ครั้งนี้ปารมีก็เร็วกว่าอยู่ดีเขาจับทางของหล่อนทันก่อนจะล็อกมือหล่อนไขว้หลัง ทำให้ปริมลดาเสียเปรียบทันที
“ฉันบอกว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน!” เขาย้ำประโยคเดิมแต่พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ว่าแล้วเขาก็ดันหล่อนขึ้นรถทันที
ปริมลดาไม่ยอมแพ้ ฉวยโอกาสที่เขากำลังจะขึ้นรถอีกฝั่ง เปิดประตูจะหนี ปารมีหันกลับมาทันจึงคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ก่อนจะกระชากเธอมาประกบริมฝีปากทันทีเป็นการลงโทษที่เธอดื้อและขัดใจเขา ปริมลดายืนอึ้ง ปารมีได้ทีเลยบดขยี้อย่างหนักหน่วงขึ้น จนสติของปริมลดากลับคืนมาผลักอกชายหนุ่มออกก่อนจะตบหน้าเขาฉาดใหญ่ พร้อมทั้งเช็ดปากของตัวเองที่ถูกเขาบดขยี้จนบวมแดง
ชายหนุ่มหน้าเซด้วยแรงตบจากหญิงสาว เขาแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะหันกลับมาจ้องหญิงแทบจะกินเลือดกินเนื้อด้วยความโกรธ ดึงหญิงสาวขึ้นไปนั่งเบาะหลังโดยมีเข้าตามประกบแน่นหนา ไม่ยอมปล่อยให้หนีไปอีก
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! คุณต้องการอะไรกันแน่น่ะ? ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เปรมน่ะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!” ปริมลดาร้องโวยวายทันทีอย่างเหลืออด
“อยู่เมืองไทยใช้ชื่อปริมลดา พออยู่ฮ่องกงก็ใช้ชื่อเจนนิเฟอร์ เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?” ปารมีย้อนถาม
“อะไรของคุณ?! เจนนิเฟอร์ไหนอีกล่ะ ฉันคือปริมลดาเข้าใจมั้ย? ปริมลดา ปริมลดา!!!” ปริมลดาตะคอกใส่
“ทำไมเธอถึงต้องกลับไปกลับมาด้วย เธอมาทำอะไรที่เมืองไทยกันแน่แล้วทำไมเธอต้องปลอมตัวด้วย?” ปารมีรุกถามต่อ พร้อมกับออกแรงบีบข้อมือหญิงสาวหนักกว่าเดิม หญิงสาวเริ่มขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฉันขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าฉันไม่ใช่เปรมกมล ฉันคือปริมลดา!” ปริมลดาพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังจนปารมีเผลอคลายมือของเขาออกเมื่อเกิดความสับสนในแววตาของหญิงสาว ปริมลดาได้โอกาสรบเผ่นลงรถทันที ปารมีรู้สึกตัวก็รีบตามไปคว้าข้อมือหญิงสาวเอาไว้แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดเสียก่อน
“นายจะทำอะไรปริมน่ะ?!” น้ำเสียงติดไม่พอใจของภาคย์ดังขึ้นเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขาจับมือถือแขนกับผู้หญิงที่เขาชอบ ปริมลดารู้สึกโล่งอกที่ภาคย์มาช่วยเธอได้ทันเวลา ก่อนจะสะบัดมือปารมีจนหลุดแล้วไปยืนหลบหลังของภาคย์
“ฉันถามว่านายกำลังทำอะไรปริม!!!” ภาคย์ตะคอกถามเสียงดังอย่างไม่พอใจ ปารมีขมวดคิ้ว ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่เกิดขึ้น
“…ฉันคือปริมลดา!”
“ฉันถามว่านายกำลังทำอะไรปริม!!!”
‘ปริมลดา? หรือว่า...ผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่เปรมกมลจริงๆ’
ความคิดเห็น