คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 : ล่อเหยื่อ [100%]
-๔-
ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงานหินอ่อนสุดหรูในห้องของผู้บริหารหนุ่ม โดยมีพัสวีคอยพูดยุยงอยู่ตลอดเวลา
“นี่คือเอกสารที่นังเปรมกมลเอามาสมัครงานวันนั้นค่ะ ไม่แน่นะ...ไม่อาจจะมีจุดอ่อนเอาไว้ให้เราเล่นงานมันก็ได้นะคะพี่ปาล์ม”
“เปรมกมลไม่ใช่คนโง่ที่จะทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้เล่นงานเธอได้ภายหลังหรอกนะ” ปารมีเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ว่าถ้าเราหามันต้องเจอแน่ๆค่ะ...พัสมีเพื่อนที่รู้จักนักสืบเก่งๆหลายคนนะคะ ให้พัสช่วยดีไหมคะ?” พัสวีเสนอตัวทันที
“พี่บอกแล้วไงว่าเรื่องนี้พี่จัดการเอง” ปารมีปราม ก่อนจะหยิบซองเอกสารใส่ไว้ที่ลิ้นชัก ไม่ยอมเปิดดูข้างในจนพัสวีสงสัย
“จะไม่เปิดดูหน่อยหรอคะ?”
“ก็อย่างที่บอกหล่อนไม่มีอะไรให้เราเล่นงานได้หรอก...แล้วเธอเห็นอะไรน่าสงสัยบ้างหรือเปล่าล่ะ?” ผู้บริหารหนุ่มย้อนถาม พัสวีสะอึกก่อนจะส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่ก็มิวายกำชับ
“แต่พี่ก็ต้องลองเปิดดูนะ” ก่อนจะออกจากห้องไป ปารมีมองตามญาติของเขาออกไป จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว จึงเลื่อนลิ้นชักออกมามองดูซองเอกสารไว้ด้วยสายตาปวดร้าวก่อนจะปิดมันลงไปเสียงดัง เหมือนอยากจะไล่ความปวดร้าวให้หายไปจากจิตใจของเขาเสียที
ปริมลดาเตรียมตัวพร้อมกับการไปทำงานวันแรกที่ที่ภาคย์แนะนำและออกตัวจะเขียนใบสมัครทิ้งให้ไว้ล่วงหน้า เพื่อที่ปริมลดาจะได้เข้าทำงานได้เลยทันที แต่ที่ปริมลดาสงสัยไม่หายและยังไม่เข้าใจก็คือ หล่อนไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารสมัครงานอะไรเลยในการเข้าสมัคร ซึ่งภาคย์บอกแค่ว่าเอาไว้ทีหลังก็ได้
แม้จะสงสัยแต่นั่นก็ดีกว่าเพราะในตอนนี้เธอไม่มีเอกสารพวกนั้นหลงเหลืออยู่กับตัวเลย เพราะเอกสารทั้งหมดมันอยู่ที่บริษัทมิเชล สปอร์ตนั่นทั้งหมด และเธอคงไม่อาจเข้าไปเอามันกลับมาได้แน่!
ปริมลดาลงมารอภาคย์ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ซึ่งเธอเองยอมรับเลยว่ายังมีอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับชายแปลกหน้าคนนั้นที่บุกมาเมื่อคืนไม่หาย เธอยืนหันมองรอบๆไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตกเป็นเป้าของใคร และเสียงรถของภาคย์ก็ทำให้ความกังวลนั้นหมดลงไป ภาคย์ลดกระจกลงพร้อมส่งเสียงเรียกทักทายสดใส
“ปริม! อรุณสวัสดิ์” ชายหนุ่มส่งยิ้มแสนอบอุ่นมาให้ พร้อมกับชูถุงน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ขึ้นมาโชว์ ปริมลดาอมยิ้มก่อนจะเปิดประตูนั่งหน้ากับชายหนุ่ม
“นึกว่าคุณเล็กไม่ชอบกินขอพวกนี้ซะอีก” ปริมลดาพูดขึ้นมาลอยๆ
“ก็เพราะปริมนั่นแหละคุณเล็กถึงชอบกิน” ภาคย์ตอบทันที ปริมลดาหันไปมองอย่างสงสัย
“ก็ตอนมอปลาย ปริมกินน้ำเต้าหู้ทุกวันเลยนี่นาแต่ปริมไม่ยอมกินปาท่องโก๋เพราะบอกว่ามันอ้วน...สุดท้ายปริมก็อดใจไม่ไหวต้องกินปาท่องโก๋ทุกวัน” ภาคย์เล่าถึงสมัยเมื่อก่อน ปริมลดาทำหน้าอึ้งๆที่ภาคย์ยังจำได้ ทั้งๆที่มันเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น
“คุณเล็กความจำดีจังเลยเนอะ...จำได้ด้วย” หญิงสาวอมยิ้มก่อนจะแกะน้ำเต้าหู้ออกจากถุง หยิบหลอดขึ้นดื่มคู่กับปาท่องโก๋ตัวอวบๆร้อนๆน่ากิน ก่อนจะมีน้ำใจป้อนปาท่องโก๋ให้สารถีใจดีของเธอ
“ไม่มีน้ำเต้าหู้ด้วยหรอ?” ชายหนุ่มอ้อนทันที ปริมลดาเงยหน้าขึ้นมองขวับก่อนจะแยกเขี้ยวใส่
“ฉันซื้อนะ” ชายหนุ่มโวยขึ้นบ้าง ปริมลดาแกล้งถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะยื่นน้ำเต้าหู้ถุงที่เธอแกะให้ชายหนุ่ม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ที่จะใช้ของร่วมกันอย่างไม่นึกรังเกียจ ปริมลดาเป็นคนสบายๆ ส่วนภาคย์ก็ไม่ถือเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ทันทีที่ภาคย์ขับรถมาถึง มิเชล สปอร์ตคลับ บริษัทลูกในเครือ มิเชล สปอร์ต ปริมลดาก็จำได้ทันทีว่าที่นี่คือที่ๆทำให้เธอต้องถูกคนไล่ออกมาอย่างกับหมูอย่างกับหมา ที่ๆหลอกให้เธอไปโดนเล่นงานที่บริษัทใหญ่...แล้วคุณเล็กทำงานอยู่ที่นี่กันหรอ? อะไรจะบังเอิญขนาดนี้นะ
“ที่นี่หรอคุณเล็ก?...คุณเล็กทำงานที่นี่อย่างนั้นหรอ?” ปริมลดาถามเสียงอ่อน
“ใช่! ที่นี่แหละ...มีอะไรหรือเปล่า?” ภาคย์ถามขึ้นหลังเห็นสีหน้าของปริมลดาซีดลง
“ก็ที่นี่แหละที่ให้ปริมไปที่บริษัทนั่นน่ะ” ปริมลดากระแทกเสียงใส่
“ที่ปริมบอกอ่ะนะ?” ภาคย์หน้าเจื่อนที่บริษัทที่เขาดูแลทำให้ปริมลดาต้องอับอายขายขี้หน้าคนที่บริษัทไปกันหมด ก่อนจะเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษแทนพนักงานที่นี่ด้วยนะปริม พวกเขาคงนึกว่าปริมเป็นคุณเปรมน่ะ อย่าถือสาเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ปริมไม่ถืออยู่แล้ว...ก็พวกเขาไม่รู้ว่าปริมไม่ใช่เปรมนี่” เปรมลดามองโลกในแง่ดีก่อนจะสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเข้าเรื่องทันที
“เราจะไปกันรึยังคุณเล็ก?”
“ไปสิ” ภาคย์ยิ้มพอใจที่ผู้หญิงที่เขาแอบชอบมานานเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เสียแรงที่เขายังคงมีหัวใจไว้ให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ และเขาจะไม่ยอมปล่อยผู้หญิงคนนนี้ไปง่ายๆแน่นอน
ทันทีที่ภาคย์เดินเข้ามาพร้อมกับปริมลดา บรรดาพนักงานหนุ่มสาวต่างพากันหันหน้าซุบซิบ บ้างก็ทำหน้าอึ้งๆ ซึ่งปริมลดาเข้าใจดีถึงบรรยากาศแบบนี้ ภาคย์เองก็ทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นไม่ได้ยินเดินเข้าไปในห้องทำงานทันที
“บอกตามตรงนะปริมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย” ปริมสารภาพตรงๆ ภาคย์ยิ้มๆก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ผู้บริหารในห้องทำงาน
“ต้องเตรียมตัวอะไรหรอ?” ภาคย์ถามขึ้น
“ก็ปริมไม่เคยทำงานบริษัท สัมภาษณ์งานก็ทำไม่เป็น แล้วถ้าเจอบอส ปริมจะต้องทำยังไงบ้างก็ไม่รู้” ปริมลดาเอ่ยอย่างเป็นกังวล
ภาคย์อยากจะหัวเราะให้กับความใสซื่อของหญิงสาวที่ป่านนี้แล้วยังไม่รู้ว่า ‘บอส’ ที่เธอกำลังพูดถึงนั้นก็คือคนที่เธอนั่งรถมาด้วยกันตลอดทางนั่นเอง แต่ไหนๆก็ยังไม่รู้ขอสวมบทเป็นพนักงานเงินเดือนต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นเธอรอตรงนี้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันมาต้องไปสั่งงานอะไรหน่อย” ภาคย์รีบขอตัวทันที หญิงสาวฝืนยิ้มบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรก่อนจะต้องกลับมานั่งคอตกเป็นกังวลเหมือนเดิม
พนักงานทั้งหมดแตกฮือทันทีที่ภาคย์ออกมาจากห้องทำงานหลังจากที่พวกเขาออกันแอบฟัง อยากรู้อยากเห็นกันอยู่หน้าห้อง ภาคย์ทำเสียงเข้มกระแอมกระไอเป็นการปราม ก่อนจะพูดเสียงขรึมแกมสั่งว่า
“ทุกคนตามผมมาที่โรงยิมด้วย” พนักงานทุกคนต่างเสียวสันหลังวาบหวั่นถูกลงโทษ โทษฐานสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย จำต้องเดินคอตกตามภาคย์ไปทันที
เมื่อทุกคนมารวมกันที่โรงยิมภาคย์ก็เปิดประเด็นเข้าเรื่องกันทันทีโดยเริ่มจากการชี้แจงว่า
“พวกคุณเห็นผู้หญิงคนนั้นแล้วใช่ไหม?...ที่ผมจะบอกก็คือเธอไม่ใช่คุณเปรมกมลอย่างที่ทุกคนคิด” ทันทีที่ภาคย์พูดจบพนักงานต่างพากันซุบซิบกับข้อสงสัยที่เกิดขึ้น จนภาคย์ต้องรีบบอกให้กระจ่าง
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อปริมลดาเป็นน้องสาวฝาแฝดของคุณเปรมกมล...และเธอจะมาทำงานที่นี่แทนหัวหน้าพนักงานคนก่อนที่เสียชีวิตไป”
“แต่คุณภาคย์ครับ จะไม่เป็นอะไรหรอครับถ้าให้เธอมาทำงานที่นี่” พนักงานคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“จะเป็นอะไรไปล่ะ ในเมื่อเธอไม่ใช่คุณเปรมกมล” ภาคย์ตอบทันที
“เอ่อ...ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับแต่ผมหมายถึงตำแหน่งที่เธอได้รับน่ะครับ...คุณภาคย์ก็รู้ว่ามีคนมารับตำแหน่งนี้ไม่ทันไรก็เผ่นแนบกันไปทุกที แล้วครั้งนี้จะไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนๆหรือครับ?” ภาคย์ลืมเรื่องนี้ไปสนิท เพราะที่ผ่านมาเรื่องหัวหน้าพนักงานที่ชิงลาออกกันไปก็ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่ถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่ที่ มาเรีย พาร์ท หญิงม่ายวัยสี่สิบหัวหน้าพนักงานจอมเฮี้ยบประจำมิเชล สปอร์ตคลับเสียชีวิต บรรดาพนักงานที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนมาเรียก็ต้องเผ่นชิ่งลาออกกันไปทุกทีโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งทำให้บรรดาพนักงานคนอื่นๆต่างมากันลงความเห็น เชื่อกันว่าเป็นความเฮี้ยนของมาเรียจอมโหดคนนั้น ที่ยังคงหวงตำแหน่งนี้ไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้ามาแทน ซึ่งเรื่องก็ผ่านมาครึ่งปีเข้าไปแล้ว จึงทำให้ตำแหน่งหัวหน้าพนักงานยังคงว่างอยู่ต่อไป
“นุดีว่านะคะอย่าให้ใครมาประจำตำแหน่งนี้เลยนะคะ ทิ้งให้ว่างๆอย่างนั้นน่ะดีแล้ว” นุดี พนักงานประจำสระว่ายน้ำเอ่ยขึ้นมาแสดงความคิดเห็น
“ใช่ค่ะคุณภาคย์ พวกเราไม่อยากได้ยินเรื่องขนหัวลุกแบบนี้อีกแล้วนะคะ อย่าให้พวกเราต้องกลัวกันอีกเลย” เพ็ญพร พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์เห็นด้วย
“แต่พวกเราก็พิสูจน์ไม่ได้นี่ครับว่าเป็นเพราะคุณมาเรีย...ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ และผมก็ยืนยันที่จะให้ปริมลดาทำงานที่นี่ในตำแหน่งของคุณมาเรีย...แต่ว่าผมมีเรื่องอยากจะขอร้องพวกคุณทุกๆคนหน่อยน่ะครับ...เรื่องแรก ผมอยากให้ทุกคนปิดเรื่องของคุณมาเรียเอาไว้อย่าพูดให้ปริมลดาฟังเด็ดขาด ผมกลัวว่าเธอจะชิงลาออกไปเสียก่อน...ส่วนเรื่องที่สอง ผมอยากให้พวกคุณช่วยเล่นละครคิดว่าผมเป็นแค่เลขาของท่านประธานของที่นี่น่ะครับ”
“อะไรนะครับ?” เรืองโรจน์ เลขาวัยสามสิบกว่าของเขาอุทานขึ้นอย่างตกใจปนลนลาน
“แล้วผมล่ะครับ?” เรืองโรจน์ถามต่ออย่างตื่นตระหนก
“คุณก็เป็นท่านประธานของที่นี่ไง” ภาคย์บอกเสียงเรียบ เรืองโรจน์จุกจนพูดไม่ออก นี่เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะเนี่ย?
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะคะ?” นุดีถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงที่ติดไม่ค่อยจะพอใจนัก
“เพราะผมเป็นคนพาปริมลดาเข้ามาทำงาน ถ้าเกิดเธอรู้ว่าผมเป็นใคร ผมกลัวเธอจะคิดมากคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเส้นน่ะสิครับ ผมไม่อยากให้เธอต้องกังวลและเครียดกับคำติฉินนินทา เพราะฉะนั้นผมต้องขอให้ทุกคนร่วมมือด้วยนะครับ” ภาคย์ขอร้องอย่างจริงใจ
ฮ่องกง
จดหมายเชิญเข้าร่วมการออกแบบของมิเชล สปอร์ตถูกส่งมาที่ อเวนิว บริษัทเสื้อผ้าแฟชั่น ของ แอนโทนี่ หยาง ลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง เจ้าพ่อวงการแฟชั่นของเกาะฮ่องกงและทวีปเอเชีย ที่มีอิทธิพลสูงของวงการแฟชั่นทั่วโลก
เขาเปิดจดหมายอ่านก่อนจะโยนมันขึ้นไปในอากาศอย่างไม่สนใจ ก่อนจะพูดเสียงเรียบกับภรรยาสาวสวยที่นั่งอยู่ข้างๆเขาว่า
“พวกนั้นต้องการใช้เราเป็นเครดิตเพื่อจะผลักดันตัวเองสู่การออกแบบเสื้อผ้าของโลก...คุณคิดว่าผมควรจะตัดสินใจยังไงดี...เจนนิเฟอร์”
“ปฏิเสธค่ะ...เราไม่ควรเอาชื่อเสียงของเราไปฝากไว้กับบริษัทที่เพิ่งพัฒนาอย่างนั้น”
เจนนิเฟอร์ตอบอย่างใจคิด ก่อนจะจิบไวน์แดงคุณภาพเยี่ยมที่ส่งตรงมาจากฝรั่งเศส ก่อนจะเสพสุขกับรสชาติชวนละมุนของมันอย่างไร้ที่ติ
“นั่นสินะ...เท่าที่ดูจากผลงานแล้วมันไม่มีอะไรโดดเด่นที่ทำให้เราต้องเข้าร่วมกับเขาเลยสักนิด” แอนโทนี่พูดเสียงเนือยๆ ยืดๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่จากภรรยาสาวสวย เจนนิเฟอร์ยิ้มมุมปากพอใจกับคำตอบของแอนโทนี่
“ได้ข่าวว่าคุณจะไปเมืองไทยหรอคะ?” เจนนิฟอร์เอียงคอหลบเมื่อแอนโทนี่เริ่มซุกไซร์ซอกคอของเธอ
“ใช่...ผมอยากไปเจาะตลาดที่นั่นน่ะ” แอนโทนี่ยังไม่ยอมหยุด เขยิบเข้าไปใกล้มากขึ้น
“แต่อเวนิวก็ขึ้นห้างดังของที่นั่นแล้วนี่คะ...หรือคุณคิดจะขยายสาขา?” เจนนิฟอร์ถามต่อ
“ไม่ใช่ขยายสาขาหรอก...แต่เราจะไม่ขึ้นตรงกับใคร เราจะสร้างอาณาจักรอเวนิวที่นั่นด้วยการบริหารสายตรงของเราเอง” เจนนิเฟอร์ครุ่นคิดอย่างกังวล
“ไม่เป็นไรหรอ?”
“แน่นอน!” แอนโทนี่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ รุกหนักประกบปากกับภรรยาสาวอย่างดูดดื่มตามแรงกามารมณ์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในร่างกาย...
เรืองโรจน์เดินตีหน้าขรึมพยายามทำตัวเป็นผู้บริหารอย่างเต็มที่ตามคำสั่งของภาคย์ก่อนจะเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายของตนเองนั่งลงตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง สำรวจหญิงสาวแปลกหน้าที่หน้าตาช่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก่อนจะถามเสียงเข้มกับเจ้าหล่อนว่า
“คุณน่ะหรือที่จะมาสมัครงาน?”
“ค่ะ ท่านประธาน” ปริมลดาตอบชัดถ้อยชัดคำ เรืองโรจน์สะอึกรู้สึกประหลาดกับคำที่หญิงสาวใช้เรียกตนเอง แต่ก็ต้องสวมบทท่านประธานหนุ่มต่อไป
“ขอถามสองสามคำถามแล้วกันนะคุณปริมลดา...เอ่อ...คือ...” เรืองโรจน์อึกอัก ปริมลดาจ้องมองด้วยความสงสัย
“คุณกลัวผีหรือเปล่า?” เรืองโรจน์ตัดสินใจถามออกมาในคำถามที่เขาและเพื่อนๆอยากจะรู้
“เอ่อ...ไม่กลัวนะคะ” ปริมลดางงๆกับคำถามที่ใช้ถามสัมภาษณ์งานของเขา
“งั้นตกลงครับ ผมรับคุณเข้าทำงาน เริ่มงานวันนี้ได้เลยนะครับ” เรืองโรจน์พูดรัวๆกลัวจะหลุดออกมา ปริมลดากระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มแหยๆ ยังงงๆ แล้วภาคย์ก็เดินเข้ามาทันที ชวนปริมลดาไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน
“เฮ้อ...ตายๆเกือบจะหลุดแล้วมั้ยล่ะไอ้โรจน์” เรืองโรจน์พูดกับตัวเอง ก่อนจะเอามือทาบอกอย่างโล่งอก
ผลการตอบรับของอเวนิวที่บอกปฏิเสธคำเชิญชวนของมิเชลทำให้ปารมีหัวเสียเป็นอย่างมากกับการที่พวกเขาดูถูกเราขนาดนี้
“ผมตั้งใจไว้มากว่าเราต้องได้ร่วมงานกับเขา แต่เขากลับมาปฏิเสธเราอย่างนี้ผมรับไม่ได้” ปารมีเอ่ยอย่างหัวเสีย
“ทำไมเราไม่ส่งผลงานออกแบบไปให้ทางนั้นดูล่ะ ไม่แน่พวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” ราศี ผู้ก่อตั้งมิเชล สปอร์ต ผู้เป็นย่าของปารมีและพัสวีเสนอขึ้นในที่ประชุม
พัสวีหน้าเจื่อนๆ เธอรู้ดีว่าผลงานที่ได้ออกแบบมานั้นยังไม่ถึงมาตรฐานที่อเวนิวได้ตั้งเอาไว้ เธอก็ได้แก้ตัวไปว่า
“ให้เวลาพวกเราอีกสักสัฟดาห์หนึ่งนะคะ พวกเรารับรองว่าต้องได้ผลงานที่ดีตรงมาตรฐานของอเวนิวอย่างแน่นอน”
“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น คอเล็คชั่นใหม่จะต้องออกสู่ตลาดในอีกสองเดือน เรามีเวลาเตรียมการไม่ทันหรอกนะ” ราศีท้วง
“ขอเวลาให้พวกเราสักหน่อยนะคะ พวกเราจะรีบทำอย่างเต็มที่เลยล่ะค่ะ” พัสวีขอโอกาส ราศีสีหน้าหนักใจรู้อยู่ว่าไม่มีทางทำได้ตามเกณฑ์ของอเวนิว
ปารมีนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ในหัวคิดแต่เรื่องที่อเวนิวดูถูกมิเชลถึงกับปฏิเสธการร่วมมือของพวกเขา
“ฝีมือของเธอแน่เจนนิเฟอร์ เธอคงเป่าหูแฟนเธอสินะ” ปารมีคิดในใจอย่างเจ็บใจนัก ก่อนที่เขาจะประกาศต่อที่ประชุมเสียงเข้ม จริงจัง
“ยังไงเราก็ไม่มีวันยอมแพ้กับเรื่องนี้เด็ดขาด คุณพัสวีผมให้เวลาคุณเพียงแค่สองวันเท่านั้นรีบออกแบบผลงานให้ดีที่สุด เราจะต้องได้อเวนิวมาเป็นพวกเราให้ได้” ปารมีพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินออกไป พัสวีหน้าเครียดขึ้นมาทันที ราศีเองก็กลุ้มใจเหมือนกันดูก็รู้ว่าไม่มีทางเลยจริงๆ
ปารมีกลับไปที่ห้องทำงานนั่งคิดหาทางออกกับเรื่องนี้ จู่ๆเขาก็เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ ถ้าเขาจำไม่ผิดเขาเคยเห็นผลงานที่เปรมกมลเคยออกแบบเอาไว้ ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้เธอได้รับตำแหน่งหัวหน้าทีมของบริษัทมิเชล
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปารมีผุดขึ้นมา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบอกเรื่องนี้กับพัสวีทันที
“พัส...เรามีงานออกแบบไปยื่นให้อเวนิวแล้วล่ะ รับรองว่าพวกเขาต้องชอบแน่” ปารมียิ้มร้ายก่อนจะหยิบผลงานการออกแบบของเปรมกมลออกมาจากตู้เซฟของเขา
“เธอจะทำยังไงดีล่ะเปรมกมล...เจนนิเฟอร์ หยาง!!!”
ความคิดเห็น