ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงสิเน่หา [Eroticเล็กๆ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 : เมื่อทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 56


     

     

     

    -๓-

               

                “แกเป็นใครน่ะ?!

    ปริมลดาร้องถามอย่างตื่นตระหนกทันทีที่ได้เห็นชายแปลกหน้าอยู่ในห้องของเธอ

    ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาวแต่อย่างใดแต่กลับเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบๆ

                “ไม่ได้เจอกันนานจำว่าที่สามีที่เธอทิ้งไปไม่ได้รึไง?” ปริมลดาขมวดคิ้วอย่างงงๆก่อนจะย้อนถามเสียงเหวี่ยงๆ

                “ว่าที่สามีบ้าบออะไรกัน...ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ” หญิงสาวขู่ ปารมีแสยะยิ้มออกมาก่อนจะแค่นหัวเราะอยู่ในที

                “เธอคิดว่าฉันจะกลัวรึไง เอาซี้! ถ้าคิดว่าทำได้” ปารมีท้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว หญิงสาวเริ่มเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก ก่อนมองหาอาวุธไว้ป้องกันตัวเอง

                “ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ออกจากห้องฉันไปเดี๋ยวนี้” หญิงสาวขู่ก่อนจะคว้าแจกนดอกไม้บนโต๊ะเขียนหนังสือใกล้ๆขึ้นมา หมายจะฟาดหัวชายหนุ่มแปลกหน้าถ้าเขาเข้ามาใกล้เธออีกเพียงนิดเดียว

                “หึ...” ชายหนุ่มไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ ปารมีเดินเข้ามาใกล้ๆ จนปริมลดาถือแจกันมีไม้สั่นหมายยกมือขึ้นมาฟาดแต่ชายหนุ่มเร็วกว่ารีบคว้าแจกันมาไว้ได้ทัน ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะอย่างเดิม พร้อมกับเข้าประชิดตัวปริมลดาทันที ปริมลดาถอยกรูดจนชนกับตู้เสื้อผ้า ก่อนจะร้องขอความช่วยเหลือ

                “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย!

                “หุบปากได้แล้วเปรมกมล! ไม่มีใครช่วยผู้หญิงแพศยาอย่างเธอหรอก!” ชายหนุ่มตะคอกใส่หน้า ปริมลดาชะงัก ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น

                “คุณว่าอะไรนะ? คุณเรียกฉันว่าเปรมกมลหรอ?”

                “อ้อ! ลืมไป...ต้องเรียกเธอว่าเจนนิเฟอร์ หยาง สินะ”

                “พูดบ้าอะไรของคุณอีก...ฉันไม่ใช่เปรม! ฉันคือปริมลดา เข้าใจมั้ย?!” หญิงสาวตวาดแว้ดกลับไป ชายหนุ่มแค่นหัวเราะอย่างเหยียดๆก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ

                “หยุดเล่นละครตลกร้ายของเธอได้แล้ว ฉันไม่มีวันหลงกลคนอย่างเธออีก” ปารมีเอ่ยเสียงเย็นแต่แฝงไปด้วยความเจ็บแค้นที่มีต่อหญิงสาว

                “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผู้หญิงคนนั้นหายสาบสูญไปจากชีวิตฉันตั้งนานแล้ว...แล้วฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นด้วย” ปริมลดาบอกเสียงแข็ง จ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป

                “เดี๋ยวก็รู้ว่าเธอจะใช่ปริมลดาหรือเปรมกมลกันแน่!” ปารมีบอกเสียงเดือดก่อนจะประทับรอยจูบอันร้อนแรงที่ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ปรานีอีกต่อไป หญิงสาวขัดขืนเต็มที่ เบี่ยงหน้าหลบไปมา มือไม้ก็ปัดป้อง ก่อนจะออกแรงผลักชายหนุ่มตรงหน้าออกไป พร้อมหายใจอย่างหอบถี่

                ปริมลดาจ้องปารมีด้วยแววตาแข็งกร้าว ทั้งโกรธ ทั้งโมโหที่เสียจูบแรกให้ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักแถมยังมาเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นเปรมกมลอีก พูดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก หญิงสาวจึงใช้วิชาที่เรียนมาจับชายหนุ่มจะทุ่มลงไป แต่เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่จู่ๆก็เล่นงานทำให้เรี่ยวแรงมหาศาลที่เคยมีกลับหายไปเหลือเพียงผู้หญิงบอบบางไร้ทางสู้ และเท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ

                เพราะทันทีที่เธอคว้าแขนของปารมีได้ปารมีก็อาศัยจังหวะบิดข้อมือของหญิงสาวไว้ข้างหลัง ก่อนอาศัยความไวช้อนร่างของหญิงสาวโยนลงบนเตียงนอนทันที หญิงสาวมีอาการเจ็บเล็กน้อยที่แขนจากแรงบิดของชายหนุ่ม นึกก่นด่าตัวเองในใจ ถ้าหากหล่อนไม่ดื่นหนักขนาดนี้ ป่านนี้ผู้ชายตรงหน้าคงต้องนอนหมอบสยบแทบเท้าเธอไปแล้ว

                ปารมีหัวเราะเยาะหญิงสาวที่ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เขาจึงขึ้นคร่อมร่างของหญิงสาวทันที ก่อนที่จะรีบกดริมฝีปากของเขาลงที่ริมฝีปากของหญิงสาวโดยทันที ไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้พูดอะไรอีก

                ปารมีจูบอย่างร้อนแรง หนักหน่วง ถ่ายทอดความรู้สึกแค้นฝังใจที่มีอยู่เต็มอกลงไปเนิ่นนาน ปริมลดาเหมือนหัวจะระเบิดออกมา ทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กำลังเล่นงานเธอ ไหนจะรสจูบอันร้อนแรงอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัส เขาเป็นผู้คุมเกมทั้งหมดจริงๆ หล่อนทำอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากส่งเสียงอู้อี้ก่นด่าเขา

                ชายหนุ่มละจากริมฝีปากรสหวานน่าลิ้มลองอีกครั้งเพื่อให้หญิงสาวได้หายใจบ้าง หลังจากที่เขาระดมจูบแทบจะเป็นจะตาย ปริมลดาหายใจอย่างหอบถี่เร็วและแรง เช่นเดียวกับเขาก็ไม่ปาน

                เขายอมรับเลยว่ารสจูบของผู้หญิงแพศยาคนนี้ช่างหอมหวานไม่เคยเปลี่ยน แต่ว่ารู้สึกจะหอมหวานมากเป็นพิเศษ เขาอยากจะจูบเธอตลอดทั้งคืนท่าเป็นไปได้ แต่เธอก็กระไรไม่ยักมีอาการตอบสนองเขาบ้างเลย นี่แหละ! เป็นสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิด

                “ทำไมหา! ฉันไม่ใช่ไอ้แอนโทนี่นั่นหรือไง เธอถึงไม่ยอมเล่นด้วยน่ะ...รักมันมากรึไงหา?! เปรมกมล” ปารมีตะคอกถามเสียงดังอย่างหึงหวง

                “ไอ้คนชั่ว ไอ้คนเลว...อย่ามาแตะต้องตัวฉัน !” ปริมลดาตอกกลับเสียงสั่น ปารมีโกรธจนหน้ามืดลงมือปลุกปล้ำหญิงสาวทันที

                เขาซุกหน้าไปตามซอกคอขาวของหญิงสาวซ้ายขวาสลับกัน พลางขึ้นมาประทับรอยจูบที่ริมฝีปากของหญิงสาวเป็นระยะ มือไม้ป้วนเปี้ยนที่ทรวงอกซ่อนรูปของหญิงสาว หญิงสาวกัดฟันแน่นไม่ยอมให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้ ร่างกายพยายามดิ้นขัดขืน น้ำตาแห่งความเจ็บช้ำที่โดนย่ำยีก็ไหลพรากออกมา

                ปารมีกระตุกเชือกเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นยอดบัวงาม ที่น่าลิ้มลองแต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น ร่างกายที่เคยขัดขืนก็สงบลง ปารมีชะงักพลางกลับขึ้นไปมองใบหน้างามของหญิงสาวที่หลับไปอย่างอ่อนล้าจากหลายๆสิ่ง คราบรอยน้ำตายังคงปรากฏให้เห็นชัดอยู่ไม่คลาย ปารมีลุกขึ้นนั่งก่อนจะรวบรวมสติทุกอย่างกลับคืนมา อารมณ์ทุกอย่างจึงค่อยๆดับลง เขามองใบหน้าของปริมลดาด้วยแววตาที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักที่ไม่เคยลดน้อยลงจากวันนั้น แต่เขาก็ต้องสลัดความอ่อนแอในใจของเขาออกยอมให้ความเจ็บแค้นชิงชังกลับเข้ามา เขาจะต้องไม่ลืมในสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ได้ทำเอาไว้กับเขา ตราบใดที่เขายังแก้แค้นเธอไม่ได้ เขาไม่มีวันยอมแพ้โดยเด็ดขาด

                ปารมีลุกขึ้นออกจากห้องไปทันที คืนนี้ไม่ใช่คืนเดียวเท่านั้น วันพระไม่ได้มีหนเดียว ยังไงเขาก็จะไม่มีวันปล่อยผู้หญิงแพศยาคนนี้ไปง่ายๆ เธอจะต้องเจ็บกว่าเขาเป็นพันๆเท่า!

     

     

                แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างสีขาวในห้องเล็กๆทำให้หญิงสาวจำต้องตื่นขึ้นมา ปริมลดาอยากให้มันเป็นแค่ฝันร้าย ภาพชายแปลกหน้าคนนั้นยังคงทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย ปริมลดาไม่กล้าแม้แต่จะมองดูสิ่งอัปยศที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพราะยังทำใจไม่ได้ แต่เธอไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นความเจ็บอย่างที่ควรจะเป็นในหญิงสาวพรหมจรรย์ ทำให้เธอรวบรวมความกล้าลงไปมอง...ทุกอย่างยังคงปกติ มีเพียงรอยแดงตามซอกคอและทรวงอกของเธอเองเท่านั้นที่ปรากฏ ปริมลดาจึงปล่อยโฮอีกครั้งกับเรื่องที่เกิดขึ้น หล่อนยังขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้หล่อนรอดพ้นจากผู้ชายบ้ากามคนนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีหน้าไปพบใครทั้งสิ้น

                ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นจากสิ่งที่เธอได้รับ เธอคิดจะหนีไปจากที่นี่เพื่อไม่ให้เจอผู้ชายคนนั้นอีก แต่แล้วก็ต้องถอดใจเพราะเธอไม่มีทีไปจริงๆ จะไปขออยู่กับวีนัสก็ทำไม่ได้ เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เธอมีแฟนแล้ว เธอต้องมีช่วงเวลาที่ดีๆกับคุณลุง ซึ่งหล่อนไม่อาจทำลายสิ่งสำคัญเหล่านั้นได้

                ความคิดอีกอย่างที่จะกลับไปบ้านแวบเข้ามาหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์ของมารดาที่โทรมาถามสารทุกข์สุขดิบอย่างห่วงใย เธออยากจะร้องไห้ระบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอให้ปรุงฉัตรรู้ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั่น เธอออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อหาเงินส่งไปให้แม่ที่เชียงใหม่ เธอจะกลับไปได้อย่างไรในเมื่องานเธอก็ยังไม่มี

                ปริมลดาไม่อยากนั่งๆนอนๆรอคอยความหวังอะไรอีก เธอมุ่งหน้าออกไปสมัครงานตามที่ต่างๆเพื่อให้ลืมเรื่องร้ายๆเหล่านั้น

                แต่เหมือนเคราะห์ของปริมลดาจะยังไม่หมด วันนี้ระหว่างที่เธอกำลังจะข้ามถนน รถสปอร์ตคันหรูที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ก็เกือบเบรกไม่ทัน เกือบจะชนปริมลดา ปริมลดาเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้า เจ้าของรถเปิดประตูลงมาดูอย่างตกใจ ก่อนจะเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ?” หนุ่มรูปงามนั่งยองๆข้างๆกายของปริมลดา น้ำเสียงอ่อนโยนระคนห่วงใยของเขาทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาสบตาอย่างไม่รู้ตัว

                “ก็เจ็บนิดหน่อยน่ะค่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก” ปริมลดาบอกเสียงเนือยๆ

                “ผมขอโทษจริงๆนะครับ คือผมรีบไปหน่อย...” ชายหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ เขาก็สังเกตไปที่ใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาวชัดๆอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะเปลี่ยนไป แต่เขาก็จำไม่ผิดแน่

                “คุณเปรม!” ชายหนุ่มร้องขึ้น พอได้ยินชื่อ เปรม ปริมลดาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเกาหัวกุมขมับทันที

                “อะไรกันนักหนานะ ถามหน่อยเถอะคุณ...คุณโกรธเกลียดเปรมด้วยใช่หรือเปล่า?”    ปริมลดาถามขึ้นเสียงเหวี่ยงๆ

                “อะไรนะครับ? ทำไมคุณถึงถามผมอย่างนี้ล่ะ” ชายหนุ่มเกาหัวบ้าง

                “หรือคุณไม่เกลียดเปรม? เห็นใครๆก็พากันเกลียดเปรมนี่” ปริมลดาย้อนถาม ชายหนุ่มทำหน้างงๆตอบไม่ถูก ความจริงเขาก็ไม่ได้เกลียดเปรมกมลนะ แต่ถามว่ารู้สึกดีด้วยหรือเปล่า...ก็ไม่

                เขาพยุงปริมลดาลุกขึ้นก่อนที่บทสนทนาจะนานไปมากกว่านี้ ก่อนจะตอบอย่างจริงใจว่า

                “คุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมเกลียดนี่ครับ” ปริมลดาฟังแล้วโล่งอก อย่างน้อยเขาก็คงไม่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนอื่นๆที่เข้าใจผิดหรอกมั้ง?

                “ขอบคุณที่คิดอย่างนั้น...แต่เผอิญว่าฉันไม่ใช่เปรม ดังนั้นหากวันใดคุณเกลียดเปรมขึ้นมา กรุณาอย่าเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นเปรม” ปริมลดาตัดบทก่อนจะเดินหนีข้ามถนนไปดื้อๆ

                ชายหนุ่มอึ้งๆไปก่อนความคิดจะตีกันให้ยุ่งบนหัวของเขา หล่อนบอกว่าไม่ใช่เปรมกมล หล่อนไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้น หล่อนเป็น...

                “ปริมลดา!” ชายหนุ่มตัดสินใจตะโกนออกมา ลองหยั่งเชิงดูว่าจะใช่อย่างที่เขาคิดหรือไม่

                หญิงสาวผู้ถูกเรียกชื่อนิ่งชะงัก ก่อนจะหันกลับไปยังต้นเสียง มองหน้าชายหนุ่มอย่างสงสัย

                “คุณรู้จักฉันหรอคะ?”

                ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ได้รู้ว่าคนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นคนๆเดียวกับที่อยู่ในความทรงจำของเขามาเกือบ10กว่าปี คนที่เขาไม่เคยลืม...รักแรกในวันวาน

     

     

                “เมื่อวานนายทิ้งฉันไว้ที่ผับได้ยังไงเหลือเกินจริงๆ แกเป็นคนชวนฉันมานะเว้ย” คำต่อว่าของเพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งเลขาของเขาเอ่ยออกมาทันทีที่เจ้านายของเขาเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงาน

                “โทษทีว่ะไอ้เสือ” ปารมีบอกเพียงสั้นๆ ไม่อยากทะเลาะด้วย อนุตไม่ติดใจอะไรก่อนจะถามอย่างอยากรู้ทันที

                “ว่าแต่นายรีบกลับไปไหนหรอวะ? เจอแม่เสือสาวหรือไง?” อนุตยิ้มพราว

                “คงงั้นมั้ง แต่เสียดาย...ยังไม่ทันได้ถอนเขี้ยวเล็บเลย แม่เสือสาวของเผ่นหลับไปซะแล้ว” ปารมีส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอในตอนท้าย อนุตเกาหัวแกรกๆ

                “มีด้วยหรือ?”

                “มีซี่” ปารมีลากเสียงยาวก่อนจะตัดบทถามถึงเรื่องเอกสารงานทันที

                “แล้วเรื่องความร่วมมือล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?”

                “ครับ...เพราะเราต้องการเจาะตลาดต่างประเทศทางแถบเอเชีย เราจึงติดต่อดีไซเนอร์ชื่อดังจากเกาะฮ่องกงมาร่วมงาน แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับทางต้นสังกัดแบรนด์ฝั่งนั้นด้วยน่ะครับว่าจะตอบรับการร่วมมือกันหรือเปล่า” อนุตรายงาน เปลี่ยนมาเป็นเอางานเอาการทันที

                “เราจะรู้ผลเมื่อไหร่?”

                “อีกสามสี่วันเห็นจะได้ครับ...หัวหน้าทีมออกแบบจะช่วยเร่งประสานงานให้อีกทีครับ”

                “เข้าใจแล้ว งานนี้เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เราจะต้องได้ร่วมงานกับอเวนิวเท่านั้น!” ปารมีกำชับ ตั้งใจแน่วแน่ สายตาเจ้าเล่ห์ของเขาปรากฏขึ้นมาโดยอนุตไม่ทันสังเกต

                “แอนโทนี่ หยาง...เจนนิเฟอร์ หยาง...หึ” ปารมีพึมพำออกมา ทันทีที่อนุตออกจากห้องไป

     

     

                ชายหนุ่มดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่โผเข้าไปสวมกอดปริมลดาด้วยความคิดถึง จนสาวเจ้าตกใจ ยังไม่ทันตั้งตัว หล่อนจึงล็อคแขนชายหนุ่มไขว้หลังทันที

                “ไอ้โรคจิต!” ปริมลดาด่าเสียงหลง

                “โอ๊ยยย!” ชายหนุ่มร้องครวญคราญด้วยความเจ็บ พยายามดิ้นให้หลุดแต่แรงของหญิงสวามีมากกว่า

                “โอ๊ย...ปริม ฉันเอง จำไม่ได้หรอ?”

                “จำไมได้โว้ย!” ปริมลดาตอกกลับทันควัน

                “ยัยมวยปล้ำ!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ปริมลดาชะงัก ปล่อยมือทันที ก่อนจะเกาหัวตัวเอง

                “คะ..คุณ...คุณเล็กหรอ?”

                ภาคย์จับแขนของตัวเองที่มีรอยมือแดงๆของหญิงสาวบ้าพลังปรากฏอยู่

                “เธอนี่ยังแรงเยอะไม่เปลี่ยนเลยนะ ให้ตายเถอะ...ดูสิ เธอทำแขนฉันเป็นรอยแดงเลย” ภาคย์บ่นอุบ ปริมลดายิ้มเขินๆ

               

                ปริมลดาเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมาเจอเพื่อน ชายที่สนิทที่สุดของเธอที่นี่ เพราะตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย เธอก็เรียนเรียนมหาลัยที่เชียงใหม่ ส่วนเขาบินไปเรียนไกลถึงเมืองนอก ทำให้พวกเขาและเธอขาดการติดต่อกันเรื่อยมา แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอสภาพนี้

                “เธอทำงานที่กรุงเทพฯหรอ?” ภาคย์ถามขณะเดินถือแก้วกาแฟเข้ามายื่นให้ปริมลดา

                “จะมาหางานทำน่ะ แล้วคุณเล็กกลับมานานแล้วหรอ?”

                “ก็เป็นปีกว่าแล้วล่ะ...ว่าแต่ปริมบอกจะมาหางานทำหรอ?”

                “ใช่! ตั้งแต่พ่อเสีย ปริมก็ไม่เหลืออะไร โรงเรียนก็ถูกยึด ปริมเลยต้องมาหางานทำนี่ไง” ปริมลดาบอกเสียงเศร้า ภาคย์ฟังอย่างเห็นใจ

                นับตั้งแต่ ดนัย บิดาของปริมลดาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ โรงเรียนสอนเทควันโดที่บิดาภาคภูมิใจก็จำต้องปิดลง หลังจากที่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามามากมายในการรักษาตัวของดนัย โรงเรียนสอนเทควันโดเลยกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือจำนองเพื่อเอาเงินมารักษาตัว แต่เมื่อไม่มีเงินใช้คืนโรงเรียนสุดที่รักของบิดาเลยจำต้องถูกธนาคารยึดไปอย่าน่าเสียดายและน่าใจหาย

                “ปริมมาทำงานกับคุณเล็กไหมล่ะ?” ภาคย์ยื่นข้อเสนอ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน

                “งานอะไร?”

                “ที่ยิมยังขาดหัวหน้าพนักงานอยู่เลย หลังจากที่คนเดิมเสียไปน่ะ” ภาคย์พูดไม่เต็มปาก

                “หัวหน้าพนักงานเลยหรอ? แต่ปริมไม่ได้มีประสบการณ์ขนาดนั้นนะ ปริมขอแค่เป็นพนักงานธรรมดาก็พอแล้ว” ปริมลดารีบปฏิเสธ

                “ไม่หรอก หัวหน้าพนักงานก็ไม่ต้องมีประสบการณ์อะไรขนาดนั้นก็ได้...ฝีมืออย่างปริมแล้วน่ะ ไม่ต้องห่วงเลย” ภาคย์ชม ปริมลดาหนักใจแต่ในใจก็ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน

                “ถ้าทำให้คุณเล็กผิดหวังก็ต้องขอโทษด้วยนะ” ปริมลดารีบออกตัว ภาคย์ยิ้มอย่างดีใจ ก่อนที่จะนัดแนะถึงเวลาทำงานและรายละเอียดที่ควรรู้แก่ปริมลดา

     

                ทางด้านฝ่ายออกแบบของบริษัทมิเชล สปอร์ต ก็กำลังรีบออกแบบเสื้อผ้ากีฬาคอเล็คชั่นใหม่ที่จะร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้ายักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย อเวนิว ที่ถือเป็นการร่วมมือกันครั้งใหญ่ของวงการแฟชั่นและวงการด้านกีฬาอย่างมิเชล ซึ่งงานนี้พัสวีตั้งความหวังเอาไว้สูงมากว่าต้องได้อเวนิวมาร่วมงานกับมิเชล เพื่อสร้างหน้าประวัติศาตร์ของวงการทั้งสองให้ได้

                “งานจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด เราถือเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท เป็นความหวังที่จะดึงให้อเวนิวมาร่วมงานกับมิเชลให้ได้ ดังนั้นงานนี้จะต้องไม่มีผิดพลาด! เข้าใจมั้ย?” พัสวีปรารภ ก่อนจะโชว์ผลงานของตนเองที่ได้ออกแบบไว้

                “นี่เป็นหนึ่งในผลงานของฉันที่ได้ออกแบบไว้ มีใครจะทักท้วงหรือแนะนำอะไรบ้างมั้ย?” พัสวีถามความเห็นของลูกทีม ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธ พัสวีจึงสรุปว่า        

                “ถ้าอย่างนั้นงานชิ้นนี้จะเป็นหนึ่งในห้าของคอเร็คชั่นใหม่ที่จะต้องถูกนำไปพรีเซ้นท์ในอีกสองสัปดาห์...พวกคุณทำงานที่เหลือให้ดี ไม่แน่...นี่อาจเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับพวกคุณก็ได้” พัสวีพูดจบ เสียงปรบมือของลูกทีมก็ดังขึ้น โดยเฉพาะตวงพรที่ปรบมือเสียงดังออกนอกหน้า พัสวีมองเหล่ๆอย่างปรามๆตวงพรจึงค่อยลดระดับลง

                พัสวีออกจากห้องประชุมก่อนจะกลับไปที่ห้องทำงาน โดยบังเอิญเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลวางไว้อยู่ที่โต๊ะของตวงพร เลยถามขึ้น

                “นั่นซองอะไร?”

                “ซองหรอคะ? เอ...อันนี้ตวงพรก็ไม่ทราบสิคะหัวหน้าทีม จำได้ว่าตวงพรไม่ได้เอามานะคะ” ตวงพรพยายามคิด

                “เปิดดูซิ!” พัสวีสั่งอย่างเบื่อหน่าย ตวงพรรีบกุลีกุจอเปิดทันที

                ตวงพรหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านก่อนจะมีสีหน้าตกใจและตื่นตระหนก ก็จะส่งให้เจ้านายของตนดูทันที พัสวีรบกระชากมาดูพบว่าเป็น

                “เอกสารของนังเปรมนี่!” พัสวีเสียงเขียวขึ้นมาทันที

                “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ?” ตวงพรออกความคิดเห็นบ้าง พัสวีหันมามองด้วยหางตาเชิงถามกลับว่า ฉันจะไปรู้ได้ยังไง! แกนั่นแหละต้องตอบฉัน

                “สงสัยคงเป็นตอนที่คุณเปรมมาที่นี่แล้วลืมไว้แน่เลยค่ะ” ตวงพรรีบเอาตัวรอด

                พัสวีไม่พูดอะไรต่อ กระชากซองเอกสารในมือของตวงพรไปก่อนจะปิดประตูดังปัง! เข้าห้องทำงานอย่างอารมณ์ไม่ดี

                สาเหตุที่พัสวีโกรธเกลียดเปรมกมลไม่ใช่เพียงเพราะหล่อนหลอกใช้ปารมีเท่านั้น แต่เพราะในตอนนั้นที่เปรมกมลยังทำงานอยู่ที่นี่ พัสวีเป็นรองเปรมกมลมาโดยตลอดและเธอก็ต้องชวดตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้ ซึ่งเท่ากับว่าเธอสูญเสียอำนาจของเด็กนอกการศึกษาสูงไปให้แก่เด็กบ้านนอกที่เรียนแฟชั่นในสถาบันเล็กๆของฮ่องกงอย่างเปรมกมล ซึ่งเธอไม่อาจยอมรับในข้อนี้ได้ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพัสวีก็ผูกใจเจ็บกับเปรมกมลมาโดยตลอด แม้แต่ตอนที่เธอได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมออกแบบแทนแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเคียดแค้นเปรมกมลไม่เคยเปลี่ยน

                พัสวีคิดแผนการแก้แค้นขึ้นมา รีบกดโทรศัพท์โทรไปหาปารมีทันที

                “พี่ปาล์ม...พัสมีบางอย่างอยากให้พี่ดู เผื่อจะเป็นประโชยน์กับพี่บ้าง” พัสวีบอกเสียงเย็น

                “อะไร?” ปารมีย้อนถาม

                “เผื่อมันจะทำให้พี่แก้แค้นนังเปรมกมลได้เร็วน่ะสิ!” พัสวียิ้มร้ายก่อนจะวางหูไป มองดูซองเอกสารที่เต็มไปด้วยประวัติ ชาติกำเนิด ซึ่งเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นได้ดียิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×