ตอนที่ 101 : บทที่ 4 ตื่นแล้วเหรอ? 100%
ทั้งที่ยืนกรานเสียงแข็งมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ไม่อาจต้านทานความดื้อรั้นของพี่ชาย (ที่รัก) ได้ เขายืนกรานที่จะมาส่งเธอถึงบริษัท และยืนยันว่าตอนเย็นจะแวะมารับ เขาอ้างว่าอยากเห็นบริษัทที่เธอทำงานว่าตั้งอยู่ที่ใด และมีสภาพแวดล้อมน่าอยู่หรือไม่ เขาผู้ที่เปรียบเสมือนผู้ปกครองควรจะต้องรู้
ผู้ปกครองที่ห่างกันเพียงแค่ห้าปี!
ที่ผ่านมาตั้งแต่รู้จักกัน เขาใส่ใจเธอมาตลอด คอยดูแลเสียยิ่งกว่ามารดาและบิดาแท้ๆ ซึ่งสาเหตุที่เขาทำอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะสงสารเธอที่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ซึ่งเขารู้เรื่องราวเป็นอย่างดี
“พี่ปัณฑ์กลับได้แล้วค่ะ นี่จะแปดโมงแล้ว พี่ปัณฑ์เองก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน” เธอบอกเขาเมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าบริษัทซึ่งอยู่บนชั้นยี่สิบเก้าของตึก การมาส่งถึงหน้าตึกก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่การเข้ามาในตึกบนชั้นที่เธอทำงานมันออกจะเกินไปสักหน่อย
ชายหนุ่มยกข้อมือขึ้นดูเวลา ก่อนจะพูดกับเธออย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไร วันนี้ไม่รีบเท่าไร”
ทำอย่างกับส่งลูกเรียนอนุบาลวันแรก
คิ้วของหญิงสาวเริ่มขมวดกับความเป็นห่วงเป็นใยที่มากเกินไป แต่เธอก็พูดอะไรไม่ได้ ยิ่งเธอค้านเขาก็เหมือนยิ่งเป็นการยุยง
“ยิ้ม! สวัสดีค่ะพี่ปัณฑ์” เจนจิรา เพื่อนที่จบจากคณะเดียวกันกับเธอและโชคดีที่ได้งานที่นี่เหมือนกันวิ่งเข้ามาทัก ซึ่งนอกจากหล่อนจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอแล้ว ยังเป็นน้องสาวของเจตน์ณรงค์หรือพี่จีน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของปัณฑ์ธรด้วย
ผู้มีอายุมากกว่ารับไหว้ “โชคดีนะที่มีเจนทำงานด้วย ไม่งั้นพี่คงไม่ปล่อยให้ยิ้มมาทำแน่ๆ” ปัณฑ์ธรซักไซ้เรื่องนี้กับเธอตั้งแต่ตื่นเช้ามาแล้ว
“นี่พี่ปัณฑ์ยังหวงน้องอีกเหรอคะ นี่ยิ้มเรียนจบแล้วนะ ควรจะมีแฟนได้แล้ว!”
ปัณฑ์ธรเพียงแค่ยกยิ้ม ไม่ได้ตอบแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะโยษิตาอย่างเอื้อเอ็นดู “สำหรับพี่ ยังไงยิ้มก็ยังเหมือนเด็ก”
สัมผัสของเขามันทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ทว่าเหตุไฉนเธอถึงรู้สึกว่าเป็นการเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมเธอว่าความจริงเธอไม่ใช่เจ้าของหัวใจที่เขาจะกอดและหอมเป็นการบอกลา
“โอเคค่ะ รับทราบ เจนจะดูแลยิ้มให้อย่างดีเลย ปะ...เข้าไปกันเถอะ ได้ยินว่าวันนี้พี่มุกจะเข้างานเร็วด้วยนะ รีบไปเตรียมตัวกัน”
โยษิตาที่พยายามวางเฉยจากการคิดมากหันไปยกมือไหว้ปัณฑ์ธร แต่พอเงยหน้าเธอก็เห็นเขายกมือขึ้นทำสัญลักษณ์เป็นรูปโทรศัพท์แนบหูตัวเอง
“เลิกแล้วอย่าลืมโทร.มาด้วยนะ”
จากหน้าบึ้งของคนตัวเล็กที่หงุดหงิดกับความจู้จี้ของผู้ปกครองจำเป็นที่ชอบเอาแต่สั่งๆ ก็เผลอหลุดยิ้มให้คนชอบเก๊กดุจนได้ “ค่ะ ขับรถดีๆ ละ”
“ครับ” ร่างสูงรับคำแต่ยังไม่ขยับไปไหน เขารอเธอจนหายลับเข้าประตูไป จากนั้นจึงค่อยวางใจที่จะไปทำงาน
แม้เขาจะห่วงใยเธอมากจนใครๆ ก็ผิดสังเกต แต่เธอชินแล้ว
เขาทำอย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เธอยังเด็ก เขาทำให้เธอรู้สึกว่ายึดเขาเป็นที่พึ่ง จนในที่สุดเธอก็ขาดเขาไม่ได้ แม้ในวันที่เขามีแฟนแล้ว แต่หน้าที่ในการดูแลเธอในฐานะพี่ชายที่ดีก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
แต่สักวันล่ะ วันที่เขาแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว เราจะยังเป็นที่ต้องการอยู่ไหม
โยษิตาคิดว่าเธอรู้คำตอบดี แต่เธอจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขา
ถึงบริษัท Monia Inception จำกัด จะเป็นบริษัท interior design ขนาดเล็กที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ผลงานกลับเป็นที่เลื่องลือ จนได้รับงานใหญ่จากทั้งโรงแรม รีสอร์ต และร้านอาหารชื่อดังหลายแห่ง ทีมงานไม่ได้มีมากนักเพราะเน้นคุณภาพมากกว่า จึงไม่แปลกที่เงินเดือนที่นี่จะสูงกว่าที่อื่น แม้จะเป็นตำแหน่งของเด็กเพิ่งจบใหม่ก็ตาม ซึ่งนั่นทำให้บริษัทต้องเคี่ยวกับการคัดเลือกผู้สมัครที่จะเข้ามาร่วมงานด้วย
โยษิตารู้จักบริษัทนี้ผ่านการแนะนำของเจนจิรา ซึ่งหล่อนรู้จักกับรุ่นพี่สาวสวยที่ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ ซึ่งนอกจากงานที่นี่จะทำให้จะได้เรียนรู้ประสบการณ์มากกว่าที่อื่นแล้ว ยังได้เงินเดือนสูงด้วย ซึ่งกว่าพวกเธอจะฝ่าฟันบททดสอบที่ค่อนข้างโหดมากระทั่งได้รับคัดเลือกก็ทำเอาหืดขึ้นคอ
“นี่เด็กใหม่สองคนนะ ชื่อยิ้มกับเจน” พี่เปรี้ยวหรือวัจยา รุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกันปีก่อนและทำงานที่นี่ เป็นคนพาพวกเธอเข้ามาแนะนำให้พี่ในทีมได้รู้จัก “ส่วนคนหน้าแก่ๆ นั่นคือพี่บอม”
ธนูยิ้มทะเล้นต้อนรับน้องใหม่ทั้งสอง ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมงานคนเก่า “แหม แกนี่ไม่เหี่ยวเลยนะ จบมาแค่ปีสองปี แต่นึกว่าเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ซะแล้ว”
วัจยาแยกเขี้ยวใส่คนว่า ก่อนหล่อนจะพาน้องใหม่ไปแนะนำให้สองคนที่นั่งอยู่หลังพาร์ทิชันซึ่งถูกกั้นเป็นมุมส่วนตัวของใครของมันได้รู้จัก
“พี่โต พี่หยีคะ นี่เด็กใหม่ค่ะ ยิ้มกับเจน”
โยษิตายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่แม้ว่าหน้าตาจะมีอายุราวสามสิบกว่าปี แต่สไตล์การแต่งตัวของพวกเขาทำให้แม้แต่เด็กวัยรุ่นบางคนยังอาย
“พี่โตเป็นหัวหน้าทีมพี่ ส่วนพี่หยีเป็นหัวหน้าทีมไอ้บอม”
โตนนท์รับไหว้และพูดอย่างใจดี “อยู่ที่นี่ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ”
ส่วนพี่หยีหรือมิธาปรายตามองครึ่งวินาที ก่อนจะหันไปสนใจงานบนโต๊ะที่มีทั้งแผ่นไม้เล็กๆ หลากสีและกระเบื้องหลากลวดลาย รวมถึงกระดาษที่เป็นแบบแปลน ซึ่งโต๊ะดูล้นจนแทบไม่มีที่วางของเพิ่มได้อีก “แล้วไหนใครเป็นเด็กทีมพี่ล่ะ”
“ยิ้มค่ะ ส่วนเจนอยู่ทีมพี่โต”
“ฮึ” มิธาในชุดบอดี้สูทคอเว้าลึกเข้ากับกางเกงยีนส์รัดรูปกวาดสายตามองโยษิตาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงย้ำถามกับวัจยา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเป็นการย้ำคำตอบ
“ถูกแล้วค่ะพี่หยี เห็นยิ้มดูคุณหนู ขาวๆ สำอางแบบนี้ แต่เรื่องงานไม่มีผิดไม่มีพลาดค่ะ ได้ดังใจพี่หยีแน่นอน น้องเขาเขียนตีฟ (Perspective) เขียนแบบได้เป๊ะหมด ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาด้วยนะคะ วางใจได้เลย รับประกันจากผลทดสอบของพี่มุก!”
ใครๆ ก็รู้ว่าผลทดสอบของมุกดาหรือเจ้าของบริษัทนั้นโหดแค่ไหนกว่าจะคัดเลือกคนเข้าทำงานที่นี่ได้ก็ใช่ว่าจะธรรมดา
“เอาน่า น้องเขายังไม่ได้โชว์ของให้เห็นเลย รอดูก่อนแล้วกัน” เสียงใหญ่ๆ แต่ดูนุ่มนวลน่าฟังของโตนนท์บอกมิธา ซึ่งขัดกับการแต่งกายอย่างเสื้อยืดสีเทาคอกว้างขาดเป็นรูๆ คู่กับกางเกงยีนส์สีดำฟิตเปรี๊ยะที่ดูมาดมั่น
มิธาขมวดคิ้วเหมือนไม่ยักเชื่อความสามารถของเด็กใหม่เท่าไร แต่ไม่นานก็พยักหน้า ปล่อยให้วัจยาพาเด็กๆ ไปแนะนำงานที่ต้องเรียนรู้ในช่วงแรกก่อน
วัจยาเดินนำกลับมายังโต๊ะว่างๆ สองที่ที่เตรียมไว้พร้อมสำหรับพวกเธอ
“รู้กันแล้วเนอะว่าเจนอยู่ทีมพี่โตกับพี่ แล้วยิ้มอยู่ทีมพี่หยีกับพี่บอม เอาละ วันนี้น้องๆ จะไม่ได้แค่มานั่งตัดกระดาษแปะๆ ทำบอร์ดเหมือนที่ทำงานอื่นที่ให้เด็กใหม่ทำแน่นอน แต่เราจะให้พวกน้องช่วยกันละเลงงานจริงจ้ะ นี่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่พี่โตกับพี่หยีทำร่วมกัน และต้องนำเสนอในวันพรุ่งนี้”
สามารถติดตามทั้งหมดไม่มีสะดุดได้ที่ E-Book ตามลิงค์ด้านล่างเลยจ้า
EBOOK ยิ้มนี้เป็นของพี่ ออกมาแล้วนะคะ
จิ้มลิ้งค์เลย >>>> ยิ้มนี้เป็นของพี่ <<<<<
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
