ตอนที่ 6 : ปฏิเสธ Rewrite
แผ่นกระดาษขนาด A3 ถูกเปิดไปทีละหน้าๆ เพื่อแสดงรายละเอียดของแบบโครงสร้างคอนโดตึกใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นเร็วๆ นี้ และกำลังรอเวลาเจ้าเพื่อนตัวดีซึ่งเป็นเจ้าของเข้ามาคุยธุระในเรื่องนี้ต่อ
ชาย หนุ่มนั่งพักอยู่บนโซฟาหลังใหญ่ตัวนุ่มในห้องรับแขกของบ้านที่เขามักมาเยือนเป็นประจำ ตระกูลของนพรัตน์เป็นอีกหนึ่งในตระกูลที่มีฐานะและมีชื่อเสียงทางด้านบริษัทรับก่อสร้างในประเทศ จึงไม่แปลกที่ลูกชายของตระกูลต้องเรียนด้านสถาปัตยกรรมและไปต่อเสริมด้วย ปริญญาอีกใบด้วยบริหารเพื่อรองรับช่วงต่อจากกิจการของครอบครัว แตกต่างจากน้องสาวที่ทางบ้านปล่อยอิสระให้ทำในสิ่งที่ต้องการมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของนพรัตน์ที่ชอบและสนใจในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นคนอย่างมันถ้าไม่รักอะไรจริงก็คงไม่ตั้งใจทำอะไรเสียเท่าไร
อภิวัชรที่กำลังเปิดอ่านไปได้ไม่กี่หน้าต้องหยุดความคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง
"พี่ตั้มม รอพี่น็อตนานแล้วไหม" นิชานันท์เอ่ยถามขณะที่เข้ามานั่งโซฟาข้างๆเขา
"ก็ไม่นานเท่าไร แล้วเราล่ะ วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ"
"ก็กะจะเข้าไปอีกหนึ่งชั่วโมง" คนถามพยักหน้าก่อนจะกลับมาอ่านแบบตรงหน้าโดยไม่ให้คลาดสายตา ทำเอาคนมาใหม่ที่มีประเด็นด้วยถึงกับไม่กล้ารบกวนถึงความตั้งใจ ในเมื่อพี่แว่นของเธอทำราวกับจะหลุดและถูกดูดลงไปในกองกระดาษตรงหน้านั้น
"พี่ตั้ม ช่วงนี้งานพี่ตั้มยุ่งอยู่ปะ?" สายตาของคนถามมองไปที่ชายหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อด้วยความลุ้นระทึกเล็กน้อย
"ก็ เรื่อยๆ"
นิชานันท์เงียบเพียงอึดใจแล้วเข้าประเด็นที่เธออยากจะเข้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"เอ่ออ พี่ตั้มช่วงนี้พี่ตั้มพอจะว่างไหม พอดีเพื่อนนิดเขาอยากสร้างบ้าน ก็เลยอยากได้สถาปนิกมือดีเก่งๆออกแบบให้ พี่ตั้มพอจะสะดวกไหมอ่ะ"
"อืม...ไม่ค่อยเท่าไร ลองหาเพื่อนรุ่นเดียวกันกับพี่ออกแบบให้สิ คนเก่งที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีๆมีอีกเยอะนะ" เขาพูดแล้วก็ก้มหน้าต่ำลงไปกว่าเดิมราวกับต้องการอ่านตัวอักษรเล็กๆนั้นให้ออกโดยไม่สนใจงานที่นิชานันท์เสนอไปเลยแม้แต่น้อย
"แต่ในรุ่น พี่ตั้มเก่งสุดเลยนะ"
"ไม่จริงหรอก ใครออกแบบก็เหมือนๆกันแหละ"
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่แยแสของ ดร.อภิวัชร นิชานันท์จึงจำเป็นต้องแสดงดาบอาญาสิทธิ์ซึ่งเป็นกลยุทธ์เล่มสุดท้ายเช่นเดียวกับท่านเปาแห่งศาลไคฟงที่ใช้มันเมื่อจำเป็น
"เฮ้ออ เสียดายจัง น่าสงสารหลินมันนะ ตั้งใจจะใช้เงินที่อุตส่าห์หาได้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองสร้างบ้านให้แม่ทั้งที อยากจะได้แบบบ้านสวยๆดีๆจากคนมีฝีมือเก่งๆ แต่กลับโดนเขาปฏิเสธซะงั้น ตัวพี่น็อตเองช่วงนี้ก็ยุ่งๆกับที่บริษัท กลับบ้านทีก็สามสี่ทุ่ม เอาซะนิดรู้สึกแย่จัง ทั้งที่เป็นเพื่อนกันแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้"
หญิงสาวแสร้งทำท่าทีถอนหายใจก่อนจะพูดต่อไป "แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวนิดจะลองหารุ่นพี่เดียวกันกะพี่ตั้มพี่น็อตดูนะ รุ่นเดียวกันที่เก่งๆอีกตั้งหลายคนก็มีเยอะแยะไป"
นิชานันท์ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้โซฟาเนื้อนุ่ม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ก่อนหน้าทำเป็นเมินเฉยเอ่ยขึ้น หลังจากที่เธอตัดพ้อไปเรื่องยัยหลินเสียยาว
"จริงๆก็พอได้อยู่นะ จะพยายามหาเวลาให้ แล้วจะสร้างเมื่อไรล่ะ" ชายหนุ่มสรุปตกลงในแบบที่ตัวเองเสนอให้
"ก็ประมาณต้นปีหน้าอ่ะ ช่วงนี้มันก็ยุ่งๆกับงานเพราะบริษัทมันปรับเป้ายอดขายขึ้นก็เลยไม่ค่อยว่าง ตกลงพี่ตั้มโอเคแล้วนะ?"
"อืมม จะลองดู" อภิวัชรไม่ได้เงยหน้าขึ้นเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเขากำลังแสดงสีหน้าท่าทางยินดีไปมากเพียงใด โดยเฉพาะแววตาคมที่กำลังเป็นประกายอยู่หลังแว่นใสในขณะนี้
นิชานันท์มองคนที่ยังคงก้มลงอ่านแบบละเอียดโครงการอย่างมีผู้มีชัยและภูมิใจกับฝีมือการแสดงของตน…งานแรกที่ทำหน้าที่ในฐานะแม่สื่อ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะยัยนิด!
เสียงพูดคุยหยอกล้อเล่นกันที่มักจะดังขึ้นเป็นประจำในช่วงใกล้เวลาเลิกงานต้องเบา ลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่นานก็ปรากฏร่างสง่าของเจ้า นายตามมาอย่างที่คาด เธอเดินออกมาจากห้องของผู้บริหารทั่วไประดับสูง ไดเร็กเตอร์สาวอายุน้อยผู้ต้องตกเป็นเป้าในการว่าร้ายและนินทาหากล่าวหาว่า เธอไม่ได้ใช้ความสามารถในการเข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจอะไร หญิงสาวตั้งใจจะพิสูจน์ให้หลายคนเห็นว่าเธอมาอยู่ที่ตำแหน่งนี้ได้เพราะความ สามารถของเธอเท่านั้น
แม้จะโดนหมั่นไส้ และจิกกัดในบางเวลาที่เธอแอบไปได้ยินมา แต่เธอก็ถือว่าทุกสังคมย่อมมีคนขี้อิจฉาและคนเหล่านี้ก็ไม่ต้องการให้ทุกคนได้ดีไปกว่าตน
ดวงตาสวยของเจ้านายสาวปรายตามองพนักงานที่หันมาตั้งใจทำงานอย่างจริงจังก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องทำงานประจำของตน
ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่สีดำแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ งานวันนี้ค่อนข้างมากแต่ก็ต้องจัดการให้จบ มือบางกดโทรศัพท์ติดต่อฝ่ายออกแบบและฝ่ายวางแผนการขายให้เข้ามาคุยราย ละเอียดของสินค้าที่จะเตรียมวางจำหน่ายในเดือนหน้า
"สวัสดีค่ะ คุณหลิน" แฟชั่นดีไซน์เนอร์ตัวแทนของแผนกตามมาด้วยคนของแผนกฝ่ายวางแผนการขายเข้ามาอธิบายถึงตัวสินค้า ราคาและจำนวนการผลิตเพื่อให้ทางฝ่ายขายพิจารณาถึงความเหมาะสมและมีความเห็นว่าอย่างไรก่อนที่จะนำเสนอในที่ประชุมใหญ่ต่อไป
"หลิน ว่าก็โอนะ แล้วนี่โรงงานที่บอกว่ามีปัญหา เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ" ก่อนหน้านี้โรงงานผลิตสินค้าทั้งล็อตหนึ่งหมื่นกว่าชิ้นไม่ตรงตามมาตรฐานของบริษัท จึงต้องแก้ปรับเปลี่ยนก่อนที่จะนำไปวางจำหน่าย
"เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณแหม่มบอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะปล่อยของออกไปขายไม่ได้เพราะมันจะทำลายภาพ ลักษณ์แบรนด์สินค้า ส่วนความผิดของสเป็คที่ต่ำไปนั้นก็คงเกิดจากการโกงโดยใช้วัตถุดิบต่ำ ซึ่งตอนนี้กำลังตรวจสอบหาคนที่กำลังทำผิดอยู่ค่ะ แล้วส่วนการผลิตล็อตใหม่ทั้งจำนวนและแบบก็จะถูกกำหนดในที่ประชุมพรุ่งนี้ค่ะ"
อารยาพยักหน้ารับทราบก่อนจะสอบถามเรื่องที่สงสัยของรายละเอียดของสินค้าและการวางขายของในหน้าร้านที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า จนหมดข้อข้องใจทั้งสองจึงแยกย้ายกันออกไปซึ่งตรงกับช่วงเวลาเลิกงานพอดี
ทันใดนั้นเสียงสั่นโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็เรียกความสนใจให้เจ้าของรับสาย ขณะเดียวกันมือบางก็ควานหาเอกสารสำคัญที่จะเป็นข้อมูลอ้างอิงการประชุมในวันพรุ่งนี้
'หลิน เรื่องบ้านที่แกขอให้พี่ตั้มเขาออกแบบให้อ่ะ เขาตกลงจะทำให้แล้วนะ'
หญิงสาวที่ได้ฟังหยุดหาไปชั่วขณะก่อนจะหาต่อในชั้นวางถัดไป "ทำไมมันง่ายจังเลยวะ ไหนบอกว่าเขายุ่งไง หรือว่าช่วงนี้ว่าง?"
'คนพิเศษอ่ะ อย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยว่าเขาคิดยังไงกับแก' นิชานันท์ว่าอย่างหมั่นไส้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองวางกับดักให้เขาติดมาอยู่แล้วยังจะทำเป็นลืมไปอีก
"เอ๊า ก็นึกว่าเขาจะเจ้าชู้ไปเรื่อย ใครจะไปคิดว่ายังจะ…” เธอตัดสินใจไม่พูดต่อ เพราะไม่มั่นใจมากพอว่าเขาจะคิดจริงจัง “แต่ก็ดีเหมือนกันนะถ้าเขาตกลงช่วย ฉันจะได้ของ่ายๆ"
'ขออะไร ขอลูกอ่ะนะ' เสียงปลายสายอุทานถามขึ้นก่อนจะพูดต่อ 'ลูกนะเธอ! ทำอย่างกับขอผักขอปลา ขอหมาขอแมวเขาไปเลี้ยงอ่ะ มันจะง่ายอย่างที่แกคิดไว้รึเปล่ายังไม่รู้เลย… แต่ว่าบางทีก็ไม่แน่นะ แกอาจจะไม่ได้แค่ลูกอย่างเดียวก็ได้ คึ คึ… เผลอๆได้ของแถมเป็นสามีพ่วงตำแหน่งพ่อของลูกอีกด้วยนะแก...'
"ไอ้บ้า! ซื้อมาม่าซองเดียว แถมฟรีให้ฉันยังไม่เอาเลย ฝันไปเถอะย่ะ ไม่เอาเว้ยของแถม ถ้าจะให้แน่จริงก็แถมลูกอีกคนมาแทนสิ"
ไม่รู้เป็นอะไร ถ้าพูดเรื่องสามีภรรยาทีไรมันก็ปรี๊ดทุกที เรื่องพวกนี้มันช่างสะเทือนอารมณ์เธอเสียเหลือเกิน แต่เรื่องลูกน่ะ ไม่เป็นไรเธอถือว่ายิ่งเยอะยิ่งดี...เธอรักเด็ก
'เอาคนเดียวให้มันรอดก่อนเถอะย่ะ จะเป็นไงต่อยังไม่รู้เลย เออว่าแต่พี่ตั้มเขาขอคุยรายละเอียดกับแกเย็นนี้นะ'
'เย็นนี้? เฮ้ยย ทำไมเพิ่งโทรมาบอก'
"ก็ เพิ่งได้จังหวะถามพี่เค้าเมื่อเช้านี้นี่…" นิชานันท์ว่าเสียงเรียบก่อนจะทำเสียงดัดจริตอย่างแกล้งคนฟัง “ทั้งที่เขายุ่งจะตายแต่ว่ายังอุตส่าห์มารับงานเล็กๆเพียงบ้านหลังเดียว ไม่รู้ว่าสนใจงาน… หรือเจ้าของงานกันแน่… "
"จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่เป้าหมายของฉันต้องสำเร็จ! ว่าแต่เค้านัดกี่โมงนะ"
"หกโมงแถวที่ทำงานแก ร้านอาหารญี่ปุ่นข้างๆตึก แต่ฉันจำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไรนะ ถ้าแกออกเร็วน่าจะทันนะ"
"โอเคแล้วเจอกัน" อารยาว่าก่อนจะกดตัดสายโทรศัพท์ไปทิ้งให้คนปลายสายงงกับคำพูดของเธอ
…อะไร...ใครจะเจอแก?...พี่ตั้มคนเดียวต่างหากที่จะไปตามนัด...
ไดเรกเตอร์สาวรีบเตรียมเอกสารสำคัญที่พร้อมสำหรับเข้าประชุมวางไว้บนโต๊ะและเก็บของจำเป็นใส่ กระเป๋าใบกระทัดรัดก่อนจะดูความเรียบร้อยทั้งหมดในห้องแล้วเดินออกจากห้องทำงานเดินจ้ำเอ้าด้วยความเร่งรีบ ซึ่งเป็นที่จับตามองของเหล่าเพื่อนร่วมงานในบริษัทเดียวกัน
"เฮ้ยๆ วันนี้พี่หลินกลับเร็วอ่ะ" หญิงสาวสะกิดเพื่อนที่นั่งทำงานเยื้องกันให้หันไปดูเจ้านายสาวที่วันนี้กลับก่อนเวลาอีกทั้งยังดูเดินเร็วจนนึกว่าเธอใส่รองเท้าสเก็ตวิ่งเสียอีก
"เออ แปลกว่ะ ปกตินี่ไม่ดึกไม่กลับไม่ใช่เหรอวะ" ทอมที่นั่งหันหลังอยู่ก็เหลียวมาพูดเสริมด้วย
"นางคงจะรีบล่ะมั้ง...สงสัยวันนี้มีนัดกับปู้จาย ฮ่าๆ"
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยในประเด็นที่เพื่อนในแผนกผุดขึ้นก่อนจะหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน แล้วทิ้งความใส่ใจแล้วเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้านเหมือนทุกวัน
หญิงสาวในชุดจั๊มสูทแขนกุดสีน้ำเงินเกล้าผมที่ท้ายทอยลวกๆแต่ดูดีเดินเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นข้างตึกที่ทำงานตามที่เพื่อนสาวเธอบอกเมื่อครู่ เธอกวาดตามองหาบุคคลที่เธอต้องการจะพบว่ามาแล้วหรือยัง พลันใดนั้นสายตาก็สบตาเข้ากับใครบางคนที่ต้องการพบทันที
อารยาเดินเข้าไปหาโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งทันที วันนี้เขายังคงแต่งกายกึ่งเป็นทางการแบบที่เขาเรียกกันว่า Smart Casual เสื้อเชิ๊ตสีฟ้าเข้มที่ดูดีในแบบที่สามารถติดต่องานได้อย่างน่าเชื่อถือแต่ไม่ได้เคร่งเป๊ะเวอร์เช่นเดียวกันกับนักธุรกิจ ซึ่งทำให้เขาแลดูเท่ ฉลาดในแบบเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์เกินกว่าอายุจริง ไม่รู้ว่าเขาบำรุงผิวด้วยครีมชนิดใด ที่ทำให้ผิวหน้านั้นเรียบเนียนยิ่งกว่าหญิงสาว
มือบางยกมือไหว้ขึ้นทักทายอีกฝ่ายโดยที่เขาก็ยกมือขึ้นมาตอบรับเช่นกัน มือบางยังไม่ทันที่จะได้แตะพนักเก้าอี้เพื่อเลื่อนมันออก อีกฝ่ายที่มาก่อนกลับทำหน้าที่บริการจัดการให้พร้อมกับบอกเชิญเธอให้นั่งรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าคมนั้นทำเอาคนเห็นแทบจะประหม่า หญิงสาวสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมสติ เมื่ออีกฝ่ายผละออกไปนั่งในตำแหน่งเดิม
"ดีใจ จังเลยค่ะ ที่คุณตั้มตกลงจะออกแบบให้ ถือว่าวันนี้หลินเลี้ยงตอบแทนเรื่องคราวก่อนนะคะ เดี๋ยวคราวหน้าจะเลี้ยงขอบคุณที่เสียสละเวลาช่วยหลินอีกที การที่ได้สุดยอดสถาปนิกมาออกแบบถือว่าเป็นเกียรติมากเลยค่ะ"
"ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ต้องเป็นผมมากกว่าที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาส..."
โอกาส...โอกาสที่จะมาเป็นพ่อพันธ์น่ะเหรอ?! ไม่ต้องขอบใจหรอก!
ใบหน้าสวยยิ้มรับก่อนจะเรียกพนักงานเพื่อขอดูรายการเมนูอาหารที่บริกรยังไม่คงเอามาให้ซักที
การพบกันครั้งนี้ระหว่างเขากับเธอมาในเชิงธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องเรียกว่า 'พี่ตั้ม' เพื่อยั่วยุใครเหมือนดั่งครั้งที่แล้วมา
"คุณตั้มอยากทานอะไรสั่งให้เต็มที่เลยนะคะ อาหารทุกอย่างสดและอร่อย"
เมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามได้แต่มองเมนูแต่ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หญิงสาวจึงต้องทำหน้าที่เป็นบริกรจำเป็นคอยแนะนำอาหาร
"ซาชิมิที่นี่ก็อร่อยมากเลยนะคะ นำเข้าจากญี่ปุ่นเลย คุณตั้มน่าจะชอบ" ดูท่าทางภายนอกชายหนุ่มน่าจะกินเผ็ดไม่ได้ เธอคาดเดาเอาจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเมื่อเทียบกับบุรุษคนอื่นแล้ว ผิวของเขาค่อนข้างขาวแต่ก็ไม่ได้ถึงกับซีด อาจเป็นเพราะไม่ค่อยออกแดดและทำงานลำบากอะไร
"ได้ยินมาว่าคุณหลินชอบอาหารญี่ปุ่น ให้คุณหลินสั่งให้ผมดีกว่า" มือหนาปิดเมนูแล้ววางมันลงทันที
"อ้าว คุณตั้มไม่ชอบเหรอคะ ทำไม…" ไหนยัยนิดอ้างว่าพี่น็อตเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของพี่ชายเธอชอบกินซาชิมิ
ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นท่าทีที่สงสัยจากแววตาของเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะอ่านมันออก เสียงทุ้มจึงตอบกลับมาให้หายข้องใจ
"จริงๆ แล้วผมชอบอาหารไทยมากกว่าน่ะครับ แต่อาหารญี่ปุ่นก็พอทานได้นะ คุณหลินสั่งตามสบายเลย"
"ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นนิดบอกว่าคุณชอบทานที่นี่บ่อยๆ แล้วก็ใกล้ที่ทำงานคุณด้วย ผมก็เลยคิดว่าน่าจะสะดวกที่สุดที่จะพบกัน"
แน่ะ!พูดกับเธออย่างกับนัดเดตสาวที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนะเนี่ย อิตานี่!
ไม่รู้ว่าแอบคิดมากหวาดระแวงทุกความคิดทุกคำพูดของฝ่ายชายมากไปหรือเปล่า จึงทำให้อารยาอดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้
"ขอบคุณมากนะคะ จริงๆไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ ไม่ว่าที่ไหนหลินก็จะไปพบอยู่แล้วค่ะ" เธอว่าตามความจริง ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องพบเขาให้ได้!
อารยาสั่งซาชิมิ กับยำสาหร่ายและอาหารเซ็ตอีกสองถาดใหญ่พร้อมกับน้ำชาเขียวและน้ำเปล่าสำหรับเขาตามที่ขอมา
"ว่าแต่แบบบ้านที่จะสร้าง คุณหลินต้องการสไตล์ไหนต้องการอะไรบ้างครับ" อภิวัชรอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยมีท่าทีไม่เข้าใจ "อย่างเช่นบ้าน สไตล์โมเดิร์น สามห้องนอน สี่ห้องน้ำ..."
"อ๋อ หลินอยากได้บ้านไม่เล็ก ไม่ใหญ่ แบบไม่ต้องโมเดิรน์มากอ่ะค่ะ แล้วก็แบบไม่เชยมากด้วยนะคะ ทั่วไปเลยค่ะ แค่เห็นแล้วดูอบอุ่นๆ สามห้องนอน สี่ห้องน้ำ หนึ่งห้องรับแขก หนึ่งห้องครัว แล้วก็มีลานซักรีด อ่อ...มีสวนเล็กๆด้วยนะคะ" เธอบอกความต้องการเกี่ยวกับบ้านที่เธอฝันไว้เนิ่นนานจากรายละเอียดในสมองอย่างชัดเจน
"มีมุมพักผ่อนส่วนตัว แล้วบ่อปลาค่ะอยู่ไม่ไกลจากมุมนี้" แม้ว่าเธอจะมาหาเขาด้วยจุดประสงค์อย่างอื่นเป็นหลักแต่เรื่องบ้านก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่สำคัญรองลงมาซึ่งทำให้เธอเข้าหาเขาด้วยเช่นกัน อารยาต้องการสร้างบ้านหลังแรกให้ดีที่สุด สวยที่สุดจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเองเพื่อให้ม้าได้อยู่อย่างสบายไม่อุดอู้เหมือนในตึกแถวปัจจุบัน
"ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะลองออกแบบให้ก่อน แล้วถ้าคุณหลินเห็นแล้วโอเคผมก็จะได้เขียนให้"
"ค่ะ ตกลงตามนี้ ส่วนค่าออกแบบกับค่าเขียน..." ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ หญิงสาวก็ถูกตัดบทพูดเสียก่อน
"ไม่เป็นไรครับ ค่อยว่ากันทีหลัง เอาไว้หลังงานเสร็จก่อน"
เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำหรับเขาขอแค่ความตั้งใจที่จะพยายามทำให้ก็พอ
"ได้ค่ะ หวังว่าคุณสถาปนิกคนเก่งคงไม่คิดราคาสูงจนหลินจ่ายไม่ไหวหรอกใช่ไหมคะ"
"ไม่ครับ รับรองว่าไม่มีทางคิดราคาสูงแน่นอน" คนรับงานตอบกลับอย่างอ่อนโยน หากใครจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความหมายอะไร
"ว่าแต่บ้านที่คุณหลินจะสร้างคือบ้านที่จะย้ายเข้าไปอยู่เองใช่ไหมครับ" ถ้าฟังไม่ผิดจากที่นิชานันท์เล่ามา
"ใช่ค่ะ บ้านที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง เป็นบ้านหลังแรกของหลิน หลินอยากให้มันออกมาดีที่สุด" พูดไป สาวมั่นก็นึกถึงอดีตเมื่อตอนที่เธอช่วยม๊าขายของอยู่ในตลาด "หลินกับแม่ มีกันแค่สองคนน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นหลินต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด"
ดวงตาสาวมีแววรื้นจากน้ำที่เริ่มเอ่อออกมา เธอเห็นใบหน้าของตัวเองกระทบกับเลนส์แว่นของชายหนุ่ม ซึ่งเบื้องหลังนั้นมีนัยน์ตาที่กำลังจับจ้องด้วยสายตาอ่อนอบอุ่นและเขาก็กำลังทำหน้าที่รับฟังเธออยู่
คนหวนอดีตเริ่มรู้ตัวว่าเธอเริ่มจะพร่ำเพ้อเกินไป หญิงสาวจึงยกแก้วน้ำดื่มเพื่อจิบเติมพลังก่อนจะให้ตัวเองพร้อมสำหรับการเริ่มเข้าประเด็นสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปต่อจากนี้
"บ้านหลังนี้ หลินตั้งใจไว้ว่าในอนาคตจะไม่ใช่แค่บ้านที่หลินอยู่กับแม่ แต่จะเป็นบ้านที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างอบอุ่น"
ประโยคของเธอสามารถดึงคิ้วหนาของชายหนุ่มดึงเข้าหากันด้วยความสงสัยในคำพูดอันแปลกประหลาด
"หลินหมายถึงลูกน่ะค่ะ หลินอยากจะมีลูกซักคน จะได้ไม่เหงา แล้วอีกอย่างพอตอนแก่ไปจะได้มีคนมาดูแล" ไม่รู้ใจร้อนเกินไปหรือเปล่า ด้วยความต้องการที่เธออยากจะให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุด เธอจึงได้กล้าที่พูดออกมาอย่างเปิดเผย
ชายหนุ่มกดมุมปากยิ้มอ่อนๆ ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ที่เด่นชัดจึงทำให้คนมองไม่สามารถคาดเดาอรมรณ์ได้
"แต่ก็เป็นไปได้ยากนะคะ เพราะการใช้ชีวิตคู่สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งทัศนคติหรือนิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่นานก็ต้องเลิกรากันไป ทำให้เด็กมีปัญหาอีก หลินก็รู้สึกกลัวเหมือนกันจริงๆ"
"ไม่ใช่ทุกคู่หรอกครับ คนสองคนไม่ได้จบที่การเลิกราเสมอไป”
"แต่ยังไงก็!...ไม่รู้สิคะ หลินว่าหลินไม่พร้อมที่จะมีแล้วก็ไม่ต้องการให้มีวันนั้น" เธอยืนยันจุดเดิมในตำแหน่งที่ชัดเจน เธอมั่นใจในทางเลือกของเธอมากพอที่จะทำให้เธออยู่ได้โดยที่ไม่ต้องการผู้ชาย
"ตอนนี้มีเทคโนโลยีก้าวล้ำไปถึงไหนแล้ว สามารถที่จะผสมเทียมได้โดยที่แทบไม่ต้องอาศัยผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า 'สามี' แล้วล่ะค่ะ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันได้เลือกทางนี้เพื่อมีบุตร อย่างเพื่อนรุ่นเดียวกันของหลินเอง เธอก็ประสบปัญหาด้านชีวิตคู่ เพิ่งจะไปทำมาเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ หลินว่าก็น่าสนใจไม่น้อย..."
เธอพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายที่เห็นต่างก็แย้งขึ้นทันที
"แต่ปัญหามันก็มีไม่ใช่เหรอครับ ผมเชื่อว่าผู้หญิงสมัยนี้เก่ง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องแบกรับทุกอย่างเพียงคนเดียว เพราะมันไม่ใช่แค่การอุ้มท้องแล้วทำให้เขาเกิดมาเท่านั้นนะครับ"
ที่สำคัญสภาพจิตใจของเด็กที่เกิดมานั้นจะรู้สึกอย่างไร เขาเข้าใจเป็นอย่างดีจากการที่น้องสาวประสบปัญหาเมื่อคราวตั้งท้องหลานและต้องดูแลเจ้าตัวเล็กเพียงลำพัง
"...จะดีกว่าไหม ถ้าผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่า 'แม่' มีผู้ชายที่ถูกเรียกว่า 'พ่อ' คอยช่วยและยืนอยู่เคียงข้าง..."
คนฟังกระพริบตาปริบๆ อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะเอาคำพูดของเธอมาเล่นกับได้ขนาดนี้ เอาซะเธอเคลิ้มอบอุ่นหัวใจไปกับคำพูดชวนฝันสร้างครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้าพร้อมตาไปกับเขาเหมือนกัน
เธอไม่มีทางเชื่อว่าครอบครัวมันจะมีทางสมบูรณ์แบบไปได้ จะมีซักกี่คนที่ครบถ้วนจริงๆ แม้กระทั่งยัยนิด แม้ครอบครัวดูเหมือนจะเพอร์เฟคครบองค์ประชุม แต่ใครหากจะรู้ว่าคุณหญิงต้องแอบเจ็บช้ำเพียงใด ที่หัวหน้าครอบครัวอย่างท่านบดินทร์นอกใจภรรยามีบ้านเล็กบ้านน้อยเลี้ยงสาวไปทั่ว ยังไม่วายทำให้ลูกต้องปวดใจอีก
เรื่องราวทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นจากคนรอบตัวเธอทั้งนั้น เธอไม่เคยเชื่อหรอกว่า 'ความรัก' มีอยู่จริง ความเหมาะสม ความรับผิดชอบ และความจำใจต่างหากที่ทำให้แต่ละคู่ยังอยู่กันยืนยาว
"อัตราการหย่าร้างในปัจจุบันแต่ละประเทศมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี คุณตั้มแน่ใจเหรอคะว่าในอนาคตมันจะมีคนที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ยาวไปจนแก่จนเฒ่ากันจริงๆ"
"ครับ ผมเชื่ออย่างนั้น"
หญิงสาวหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอและไม่คิดจะต่อความกับเขา แม้ว่าการตอบรับอย่างเชื่อมั่นในคำพูดและแววตาของเขาจะแสดงออกมาอย่างมั่นคง แต่เธอก็ไม่มีทางเชื่อได้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำได้อย่างที่ตัวเองพูด
ถึงเขาจะมีหน้าตา ท่าทางบุคลิกที่ดูดีน่าเชื่อถือ แต่เธอก็ไม่เชื่อเพราะเห็นว่าเขาดีเพียงเพราะแค่เปลือกนอก
หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อย ขณะที่กำลังอยู่ในความคิด ก่อนจะสบตาเขาแล้วพูดเข้าประเด็นสำคัญเสียที
"...ถ้าเกิดมีผู้หญิงคนนึงอยากได้คุณตั้มไปเป็นพ่อของลูก แต่ไม่ต้องการผูกมัด ไม่ต้องการที่จะแต่งงาน หรือพูดง่ายๆว่าไม่สามารถแต่งงานได้ แต่เธอมีความจำเป็นต้องการทายาท ขอเพียงแค่คุณมอบ…"
พอมาถึงจุดนี้เธอก็แทบไปต่อไม่ถูก เมื่อต้องสรรหาคำพูดให้ออกมาดูดีที่สุด "เอ่อ...เด็กให้เธอ ซึ่งเธอก็จะไม่ลืมบุญคุณคุณเลยจากการช่วยเหลือครั้งนี้อีกทั้งยังสามารถตอบแทนคุณอีกมากถ้าคุณต้องการ คุณตั้มพอจะช่วยเธอได้บ้างไหมคะ"
ถ้าตาเธอไม่ได้ฝาดไป เธอคิดว่าสีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ตำแหน่งองค์ประกอบหน้าไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ตา ปาก ก็ยังคงเหมือนเดิม
"คุณหมายถึง… ตัวคุณ?" เขาหลี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองเธอราวกับอาจารย์ที่จ้องจับผิดนักเรียนที่กำลังโกหกอยู่
"มะ ไม่ใช่ค่ะ หมายถึงผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่ต้องการ เพราะคุณตั้มก็มีคุณสมบัติเพรียบพร้อม ใครบ้างล่ะคะที่ไม่ได้อยากให้ไปเป็นพ่อของลูก"
รวมถึงเธอด้วย…
ความเงียบเข้ามากัดกินบรรยากาศระหว่างสองคนไปซักพัก ชายหนุ่มมองมาทางเธอไม่ต่างจากเด็กที่กำลังตีโจทย์คณิตศาสตร์เพื่อหาคำตอบ...นี่เขาเห็นเธอเป็นตัวอะไรกัน!
ในที่สุดเสียงที่เธอรอคอยมาราวนาทีก็เอ่ยขึ้นให้คำตอบขณะที่อาหารกำลังถูกวางเสิรฟ์
"ผมไม่ได้ใจดีถึงขนาดที่จะยอมไปเป็นพ่อของลูกใครก็ได้ที่ผมไม่ได้รัก..." เพียงชั่วอึดใจเขาก็พูดต่อ
"ลูกของผมจะต้องเกิดมาจากผู้หญิงที่ผมเลือก และเธอก็เลือกผม ที่สำคัญ...ผมจะไม่ยอมให้ลูกของผมเกิดมา...โดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ'ทำ' "
แก้ที่พิมพ์พังๆก่อนหน้าค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ละคำซึ้ง ๆ