ตอนที่ 4 : ฉันจะทำลูก Rewrite
ใกล้ช่วงเวลาเย็นจำนวนคนในห้างสรรพสินค้าก็ยิ่งมาก มีทั้งผู้ที่เข้ามาสัญจรเดินเล่น จับจ่ายใช้สอยตามประสาคนมีเงินและเวลา
ซึ่งเวลานี้ยังตรงกับช่วงเลิกงานของใครหลายคนที่ทำในส่วนของสำนักงาน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เวลานี้เป็นช่วงที่เพิ่งจะเริ่มต้นการทำงานนอกเวลา หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าโอที (Overtime)
"พี่หลินคะ นี่คือยอดขายของเดือนมกราปีนี้จนมาถึงสิ้นเดือนที่แล้วมาค่ะ และนี่ก็เป็นเอกสารของฝ่ายบัญชีที่ยอดขายยังสรุปเป็นไตรมาสทั้งหมดไม่ได้ค่ะ แต่ทางพี่สวยที่มีหน้าที่รับผิดชอบบอกว่าวันมะรืนถ้าเสร็จแล้วจะนำมาให้ค่ะ" เลขาสาววางเอกสารไว้บนโต๊ะของหัวหน้าฝ่ายพร้อมกับอธิบายในสิ่งที่เจ้านายต้องการแต่นั่นยังไม่พอกับจุดประสงค์
“มันน่าจะเสร็จวันนี้แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องเป็นมะรืน”
“พี่เขาบอกว่าทางร้านในส่วนของภาคเหนือมีปัญหาไม่สามารถสรุปยอดมาให้ได้ ตอนนี้กำลังรอให้ผู้จัดการฝ่ายขายที่รับผิดชอบเคลียร์ให้อยู่ค่ะ” ไดเร็กเตอร์สาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ปัญหาทางฝ่ายบัญชีมักจะเยอะตลอด ระบบไม่มีการปรับปรุง เห็นทีคงต้องเสนอต่อที่ประชุม เพราะเธอไม่ต้องการให้มีผลกระทบต่อฝ่ายอื่นไปด้วย
ข้อมือบางยกขึ้นเพื่อดูเวลาบนนาฬิกายี่ห้อดัง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว จ๊ะจะกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวอีกซักพักพี่ก็จะกลับละ" ริมฝีปากอิ่มสีบานเย็นยิ้มให้ลูกน้องที่มีท่าทีเป็นกังวลไม่มีใจในการทำ งานอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานี้ เธอเข้าใจว่าจินตนาเพิ่งจะคลอดบุตรคนที่สองได้ประมาณเกือบขวบปีแล้ว พอถึงเวลาเลิกงานจึงไม่แปลกที่คนเป็นแม่อยากจะกลับไปใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย
แม้ผู้หญิงตรงหน้าจะมีอายุน้อยกว่าเธอถึง 4 ปี แต่ก็ชิงแต่งงานและมีลูกเร็วกว่าเธอไปพักใหญ่แล้ว
"งั้นจ๊ะกลับก่อนนะคะ" หญิงสาวยกมือไหว้เจ้านายก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป
แต่เพียงไม่นานกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง แม้เจ้าของห้องจะรู้ตัวถึงการมาเยือนแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้าที่กำลังวิเคราะห์อยู่อย่างจริงจัง ซึ่งเธอก็คิดว่าในช่วงเย็นที่เลิกงานกันไปหมดแล้วคงไม่มีใครนอกจากเลขาสาวที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
"จ๊ะมีอะไรอีกรึเปล่า" หญิงสาวหยิบกระดาษเอกสารที่เพิ่งจะปริ๊นออกมาเมื่อชั่วโมงก่อนออกมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีอยู่ แต่ความคิดก็ต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงที่คิดว่าไม่ใช่ของคนที่คาดไว้
"...จ๊ะ กลับไปแล้ว แล้วเมื่อไรหลินจะกลับล่ะ" เสียงทุ้มของใครบางคนที่เธอเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งดังขึ้นหน้าประตู ทำให้ใบหน้าสวยต้องเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง
"อ้าว พี่วุฒิ นึกว่าใคร ยังไม่กลับอีกเหรอคะ" เธอถามก่อนจะมองหาข้อมูลบนเอกสารที่ต้องการวิเคราะห์บนโต๊ะนั้นอีกครั้ง
"ก็กำลังจะกลับ...แต่คิดว่าไดเร็กเตอร์แผนกนี้ยังไม่ยอมกลับแน่ๆเลยเข้ามาดูซัก หน่อย" ร่างสูงที่แต่งกายกึ่งเป็นทางการคลุมทับด้วยชุดสูทสีน้ำตาลเข้มตามแบบที่ชอบของเขาเดินย่างเข้ามาใกล้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่บนโต๊ะ
"เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะค่ะ" อารยาตอบอย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าธนาวุฒิจะอยู่ในฐานะเจ้านายของเธอก็ตาม
"...เย็นนี้ว่างไหม พี่กะว่าจะชวนไปกินข้าวต้มแถวพญาไทซักหน่อย" บ่อยครั้งที่เขามักจะชวนเธอออกไปทานข้าวเช่นวันนี้ และก็เป็นทุกครั้งไปที่อารยาต้องตอบออกมาในเชิงปฏิเสธ
"ไม่ดีกว่าค่ะ ช่วงนี้กำลังลดความอ้วน หลินเตรียมอาหารไว้อยู่แล้ว" ทั้งที่ความจริงแล้วตู้เย็นในห้องของเธอนั้นสุดแสนจะว่างเปล่า
คนถามนิ่งไป ก่อนจะถามชวนใหม่อีกครั้ง
"วันนี้เอารถมารึเปล่า ให้พี่ไปส่งไหม"
ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกไปชวนทานอาหารข้างนอก เพียงอะไรก็ตามแต่ที่เขาสามารถอาสาหรือชวนให้เธอทำตามได้ก็ถือว่าสำเร็จทั้งนั้น
ไดเร็กเตอร์สาวที่ตั้งใจทำงานเงยหน้ามองเจ้านายหนุ่มด้วยแววตาและสีหน้าจริงจังเพื่อที่จะยืนกรานปฏิเสธ แต่หากก็จบด้วยรอยยิ้มที่ยังคงรักษามารยาทไว้อย่างสวยงามตามแบบฉบับสาวมั่นอย่างเธอ
"ไม่เป็นไรค่ะ หลินเอารถมาเอง"
หลังจากที่เธอถูกเขาเสนอความช่วยเหลือมาครั้งก่อนเมื่อสามเดือนก่อน ทำให้อารยาต้องขับรถออกมาเองเพื่อจะได้หาเหตุผลในการเดินทางกลับได้อย่างสบายใจ
เธอเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบนั่งร่วมรถกับใครเท่าไรถ้าไม่สนิทกันจริง ซึ่งการอาศัยนั่งในรถของเขานั้นมันทำให้เธอ...อึดอัด
มือหนาซุกเข้ากระเป๋ากางเกงข้างตัวแก้เก้อ หลังจากที่โดนปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน
...เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน้า แม้จะพยายามเท่าไรก็ไม่เคยสำเร็จในตลอดสามปีที่ผ่านมาตั้งแต่ร่วมงานด้วยกัน
"งั้นเหรอ...แล้วนี่จะกลับกี่โมง"
"ก็ใกล้แล้วค่ะ อีกซักพัก" ใบหน้าสวยไม่ได้เงยหน้าจากเอกสารที่ก้มอ่านเพื่อมามองเขาเลยสักนิด ทำให้คนที่โดนเมินรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อไป
"...งั้นพี่กลับก่อนนะ"
"สวัสดีค่ะ" เจ้าของห้องไม่รอช้าที่จะตอบ เธอเมินเฉยจนคนฟังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ
อารยาหายใจสะดวกขึ้น เมื่อเจ้านายหนุ่มเดินออกจากห้อง แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบท่าทางของเขาที่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ทนที่จะฝืนใจทำเป็นว่ายินดีกับความรู้สึกที่เขาหยิบยื่นให้
ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเมื่อก่อนไม่ได้ห่างกันถึงเพียงนี้ เขาเคยเป็นพี่ชายที่แสนดีคอยให้คำปรึกษาตลอด หากแต่หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไป แสดงความรู้สึกพิเศษและเจตจำนงมากขึ้นว่าเขาต้องการความสัมพันธ์ที่มากกว่าน้องสาว ซึ่งเกินในสิ่งที่เธอสามารถที่จะให้ได้...
ไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น หรือหากเป็นผู้ชายคนอื่นที่เข้ามามีจุดประสงค์เฉกเช่นเดียวกัน เธอก็ไม่มีวันเปิดใจที่จะรับรักจากใครทั้งนั้น
เวลาผ่านไปจนล่วงสองทุ่ม งานบนโต๊ะที่สะสางตั้งแต่เมื่อตอนเย็นจบลงไปได้เหมือนทุกวัน เหลือเพียงรอมอบหมายประสานงานให้แต่ละฝ่ายดำเนินการในวันพรุ่งนี้
มือบางเก็บของส่วนตัวที่หยิบขึ้นมาใช้บนโต๊ะใส่กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมกระทัดรัด แล้วเดินออกในส่วนของสำนักงานเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าที่เชื่อมอยู่ติดกัน เพื่อซื้อของกินของใช้ในบ้านที่กำลังจะหมดไป ซึ่งส่วนมากจะเป็นสินค้าที่สะดวกพร้อมใช้เลย ตามประสาสาวโสดวัยทำงานที่มีเวลาน้อย
บริษัทนี้ตั้งอยู่ในส่วนพื้นที่เช่าที่ห้างสรรพสินค้าจัดเปิดพื้นที่ไว้สำหรับหลายบริษัทที่ต้องการเข้ามาใช้พื้นที่สำหรับทำงาน ซึ่งเจ้าของตึกนี้นั้นก็หนีไม่พ้นตระกูลดารัตนพงศ์ที่เธอไม่อยากจะนับญาติด้วยเสียเท่าไร
ร่างบางในชุดเดรสลายลูกเต๋าสีขาวดำ เสริมส้นด้วยรองเท้าคู่สวยเดินสู่ประตูทางออกไปยังที่จอดรถเพื่อเดินทางกลับไปสู่คอนโดของตนที่ห่างออกไปประมาณสิบกว่ากิโล
ครีมอาบน้ำกลิ่นลาเวนเดอร์หอมกรุ่นฟุ้งไปทั่วห้องเพราะถูกจุดขึ้นมาช่วยให้บำบัดความเครียดของเจ้าของห้องขณะอาบน้ำในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงวันสุดท้ายของสัปดาห์ในการทำงาน เธอมักจะนอนแช่ในอ่างเพื่อผ่อนคลายพร้อมกับฟังเพลงป๊อปเบาๆไปพร้อมกัน
ในแต่ละวันแม้ว่าจะเป็นเวลาหลุดพ้นจากการทำงานแล้วแต่สมองไม่เคยหยุดคิด มันยังคงวิ่งไปเรื่อยตามความเคยชินที่เจ้าของใช้งานมันอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่เวลานี้มันจะทำงานช้าลงตามความเหนื่อยล้าเท่านั้น
เปลือกตาสวยหลับตาพริ้ม รับกับความคิดที่ปรากฎแวบเข้ามาในหัว เพียงไม่นานก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับคิดถึงปัญหาสำคัญ
...อายุเพียงสามสิบปี ซึ่งจะครบกำหนดจริงในวันพรุ่งนี้ แต่กลับรู้สึกว่าเริ่มอิ่มกับงานที่ทำ ถึงช่วงแรกๆจะสนุกกับงานที่ท้าทายในแต่ละวันตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ กว่าจะปีนไต่ขึ้นมาได้ในแต่ละระดับต้องแข่งขันตามระเบียบการทำงานที่เคร่งครัด ใช้ความสามารถฟาดฟันซึ่งแน่นอนว่าความพยายามทั้งหมดนี้ก็เพื่อรากฐานชีวิตที่มั่นคงในอนาคต เพื่อไม่ให้แม่และตัวเองต้องลำบากเหมือนอย่างแต่ก่อนที่ต้องตื่นเช้าไปขายของในตลาดซึ่งเช่าเพียงรายวัน หาเช้ากินค่ำ แต่ในเมื่อตอนนี้เธอพอใจในทุกสิ่งที่มีแล้ว แต่กลับต้องการอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถหามาได้ด้วยความเพียรและความรู้ ความสามารถได้อย่างเดิม...
เธอยอมรับว่าบ่อยครั้งที่รู้สึกเหงา แม้จะโทรหาม้าทุกวันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเดียวดายในบางครา หากจะย้ายไปอยู่ด้วยที่บ้านเห็นทีว่าช่วงการเดินทางไปกลับทำงานคงจะกินเวลาไปมาก หากจะลาออกไปขายข้าวหน้าเป็ดที่บ้านเป็นงานประจำก็ไม่น่าจะใช่ในสิ่งที่ต้องการ จะเลี้ยงสุนัขคลายเหงาตัวเธอเองก็แพ้ขนสัตว์ อีกทั้งการอยู่ในคอนโดเช่นนี้ก็ไม่เหมาะไปตามกฏของคอนโด จะทำอะไรมันก็ช่างไม่ได้ดั่งใจ ไม่ใช่ไปเสียหมด...
แต่คิดไปคิดมาหากไม่ใช่สัตว์...แต่เป็นเด็ก เธอก็ไม่แพ้นะ! โดยเฉพาะเด็กที่น่ารัก แก้มยุ้ย หรือเด็กที่ขยันช่วยพ่อแม่ เมื่อเห็นเธอจะหลงรักเข้าทันที อาจเป็นเพราะความไร้เดียงสาของเด็กที่ทำให้เธอนึกถึงช่วงเวลาของตัวเองขณะที่ม้าต้องคอยดูแล และได้ใช้ชีวิตกับม้าเพียงลำพังสองคน ถึงจะทุกข์แต่ก็สุขใจเป็นอย่างมาก
หากเป็นไปได้เธอจะไปรับเด็กที่ศูนย์มาเลี้ยงเป็นลูก ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายนิดเดียว เพียงแต่ม้าต้องไม่ยอมแน่ๆ...
แต่ถ้าหากเป็นลูกของเธอเองล่ะ!? ม๊าจะว่ายังไง?
หญิงสาวจึงคิดหาทางที่ทำให้ตัวเองมีบุตรเป็นของตัวเองซึ่งเกิดจากสายเลือดของเธอจริงๆ เธอคิดวิเคราะห์ครั้งแล้วครั้งเล่าหาทางต่างๆมากมายที่จะเลี่ยงเรื่องแต่งงาน!
ฝันไปเถอะว่าชาตินี้เธอจะใช้ชีวิตคู่หาสามีมาอยู่ด้วย แค่แฟนเธอยังไม่เคยคิดที่จะมีเลย เพราะฉะนั้นเรื่องหาผู้ชายมาแต่งงานสรุปว่าตัดออกไปได้!
...สมัยนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้ผู้หญิงมีบุตรได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายมาทำให้ก็ได้นี่ เพียงแค่อาศัยน้ำเชื้อจากฝ่ายชายนิดหน่อยเท่านั้นก็สามารถสร้างหนึ่งชีวิตได้เลย...
และแล้วความคิดนี้ก็ฝังเข้าไปในหัวของเธอทันที ร่างบางผุดลุกขึ้นมาจากอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำสบู่เธอปล่อยระบายน้ำทิ้ง พร้อมกับออกเดินเข้าไปล้างตัวในส่วนแบ่งไว้สำหรับยืนอาบน้ำแล้วพันผ้าเช็ดตัวออกจากห้องแล้วสวมชุดนอนให้เรียบร้อยก่อนจะไปทำอะไรบางอย่างเพื่อเตรียมการไว้สำหรับงานใหญ่ข้างหน้า
อารยาพิมพ์หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตถึงขั้นตอนและวิธีการทำรวมถึงประสบการณ์ของหลายๆคนที่เคยลองทำมาแล้ว
การผสมเทียม...ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในเมืองไทย ถ้าหากเธอเลือกวิธีแม่อุ้มบุญก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
...ลูกของเธอเอง เธอควรจะอุ้มและดูแลเองสินะ...อย่างน้อยประสบการณ์การเป็นแม่เธอก็อยากจะลองดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต
ระหว่างที่อ่านข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ก็สั่นและดังขึ้น
"ว่าไงนิด" อารยาทักเพื่อนสาวคนสนิทที่มักจะโทรหากันอยู่บ่อยครั้ง
"ก็ไม่มีไรหรอกแก แค่ฉันจะโทรมาเม้า วันนี้นายแก เขามาร้านฉันด้วยนะ"
"...พี่วุฒิน่ะเหรอ ไปร้านแก? เสื้อผ้าผู้หญิงเนี่ยนะ เขาไปกับแฟนใช่ปะ"
"ใช่ที่ไหนล่ะ เขามาซื้อของ..."
"ซื้อของ? เขาเปลี่ยนรสนิยมแล้วหรือวะ" เสียงหวานพูดถึงเจ้านายหนุ่มอย่างแสร้งแปลกใจก่อนจะจบด้วยเสียงขำขันอย่างล้อเลียน
"ใช่ เขามาซื้อของ แต่เขามาซื้อให้แกนะ" นิชานันท์เฉลยคำตอบให้เพื่อน เพราะร้านของเธอขายเฉพาะสินค้าเพื่อผู้หญิง เขาคงจะคิดว่ามาเลือกซื้อที่ร้านเธอแล้วอย่างน้อยเธอก็คงจะช่วยแนะนำให้ว่ายัยหลินนั้นชอบแบบไหน
"ฮะ? ซื้อให้ฉัน เพื่อ..." ตาที่จ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องละมาดูโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"โอ่ยยย แกก็รู้ว่าอิตานี่มันตามจีบเทียวไล้เทียวขื่อแกอยู่ไม่ใช่รึไง" นิชานันท์พอจะรู้จักธนาวุฒิอยู่บ้างเพราะอยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน
"ก็...รู้"
"นั่นแหละ เขาจะซื้อกระเป๋าให้แก แต่ฉันก็บอกไปแล้วนะว่าแกมีทุกรุ่นในร้านฉันยกเว้น คอลเล็คชั่นใหม่ ฉันก็เลยบอกเขาว่ารอไว้โอกาสหน้าละกันนะคะ"
"ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย" หญิงสาวว่าอย่างตัดบดก่อนจะเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่ที่เธอให้ความสนใจเป็น'พิเศษ' และไม่อยากจะพูดถึงเรื่องอื่นใดๆ
"...ฉันรู้วิธีที่จะมีลูกแล้วนะแก!"
"มีลูก?...นี่แกทำงานหนักมากไปรึเปล่าวะหลิน"
"ฉันมีสติดีอยู่และครบถ้วนทุกประการค่ะ" เจ้าของน้ำเสียงยืนยันด้วยความมั่นใจว่าเธอไม่ได้บ้า และแสดงให้เพื่อนสาวเห็นและเข้าใจว่าเธอกำลังเข้าสู่โหมดจริงจัง ในหัวข้อที่ 'เป็นไปไม่ได้' สำหรับคนฟัง
"แล้วแกจะมีได้ยังไง ไหนบอกว่าจะไม่ไปรับเด็กมาเลี้ยงแล้วนี่"
"ก็ผสมเทียมไง เดี๋ยวนี้มันล้ำสมัยไปถึงไหนแล้วคะ ธนาคารน้ำเชื้อเขาก็มีสำหรับคนต้องการลูกนะ"
นิชานันท์คล้ายจะยังไม่เชื่อเต็มร้อยเปอร์เซนต์ จึงลองนิ่งไม่พูดตอบกลับหวังจะได้ยินประโยคใดบ้างออกจากเพื่อนเพื่อบอกว่านางนั้น...ล้อเล่น แต่ดูแล้ว ครั้งนี้...มันท่าจะเอาจริง!
"เอาจริงเหรอวะ?"
เพื่อนสาวกลับรู้สึกหวาดหวั่นซะเองประหนึ่งว่าเธอจะเป็นคนอุ้มท้อง ในขณะที่คนจะก่อเรื่องกลับพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นที่ดูก็รู้แล้วว่าลึกๆ นั้น เธอ...ตื่นเต้น
"จริง! แต่ฉันจะไม่เอาเชื้อจากธนาคารหรอกนะ..." คนพูดยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง "...เพราะฉันไปอ่านเจอมาว่า ผู้ชายมันจะมียีนเจ้าชู้อยู่ในตัวด้วย! ถ้าฉันไม่คัดเลือกมาดีๆลูกของฉันก็กลายเป็นคนสันดานเจ้าชู้ไปด้วยสิ แบบนั้นไม่เอาหรอก เพราะฉะนั้น! ฉันจะต้องคัดเลือกเจ้าของน้ำเชื้อก่อน" หญิงสาวพูดอย่างไม่อาย แต่กลับคนเป็นเพื่อนนี่สิ! ที่รู้สึกทึ่งและกลัวแทน…นี่มันกำลังฝันอยู่รึเปล่า?!
"ไอ้บ้า! แกจะคัดยังไง...ทำอย่างกับมันเป็นเรื่องง่าย แกจะไปแปะรับสมัครพ่อพันธ์แล้วให้เขาส่งเรซูเม่มาให้แกอ่านหรือยังไง"
"...หรือว่าแกจะไปขอจากคนอื่น!?"
"ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น..." อารยาตอบรับเสียงยาวและเบาเพราะก็แอบละอายอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรเสียเธอก็ต้องทำ มือบางเอานิ้วชี้ขึ้นมาพันผมเป็นเกลียวแกเขิน แม้จะกระดากอายก็ต้องอดทน นึกถึงอนาคตเข้าไว้นะยัยหลิน!
...ส่วนการขอนั้น ใครเขาเขาจะไปขอกันโต้งๆล่ะ! มันต้องมีแผนสิ!...
"เอาเป็นว่า ถ้าฉันคิดออกแล้วฉันจะบอกให้แกฟังนะ..งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันเริ่มง่วงละ" อารยารีบบอกตัดจบก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายและตกใจไปมากกว่านี้
...ถึงยัยนิดจะห้ามยังไง เธอก็ไม่มีทางถอยหรอก...
ร่างบางเริ่มลุกจากเก้าอี้ แล้วบิดตัวคลายเส้นที่เริ่มจะเคร่งจากการนั่งมานานก่อนจะลุกไปปิดไฟดวงใหญ่ เหลือไว้แต่เพียงไฟที่หัวเตียงเพื่ออ่านนิตยสารแฟชั่นที่มักอ่านก่อนนอน มือบางไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วตั้งค่าไว้ให้เหลือเพียงแต่การสั่นอย่างเช่นทุกครั้งเมื่อมีสายเข้ามา
เปลือกตาบางปรือจะปิด เมื่อเปิดอ่านหนังสือไปได้เพียงสองถึงสามหน้า...
...วันสุดสัปดาห์ของการทำงานทีไร เธอมักจะเหนื่อยและง่วงง่ายเช่นนี้อยู่เสมอ...
ในที่สุดหญิงสาวจึงหลับไปพร้อมกับหนังสือที่ล้มลงนอนอยู่บนอก โดยที่ร่างบางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ไม่ไกลมันได้สั่นขึ้นอีกครั้ง...จากคนปลายทางอีกสาย
มือหนากดตัดสายโทรศัพท์หลังจากที่ไร้เสียงสัญญาณตอบรับจากหญิงสาว สายตาคมหลังกรอบแว่นดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์
22.10 P.M.
...เขาคงจะโทรดึกเกินไป...
ทั้งที่อุตส่าห์รีบเคลียร์งานและดูแลกล่อมเจ้าตัวเล็กให้รีบนอนไปก่อนแท้ๆแต่ กว่าที่หนูใบตองจะหลับก็เกือบสี่ทุ่ม ซึ่งเกินเวลาปกติกว่าทุกวันที่หลานน้อยหลับ...ช่างงอแงไม่ยอมนอนตรงวันเสียจริง
ชายหนุ่มอดอมยิ้มและส่ายหน้าน้อยๆให้กับความต้องการของตัวเองไม่ได้...อยากโทรหาเธอขนาดนั้นเชียวหรือ?
ทั้งที่เลยเวลาหลังจากที่เจอหญิงสาวมาแล้วในวันนั้นเป็นเวลาหลายวัน แต่เขาก็ยังไม่ลืม...ท้วงการตอบแทนของเธอด้วยการเลี้ยงอาหารสักมื้อตามที่เธอเคยบอกไว้ ซึ่งปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ถือเรื่องบุญคุณเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นก็แต่...ครั้งนี้
แท้จริงแล้วเขาอยากจะโทรหาเธอตั้งแต่คืนแรกหลังจากที่พบกันในวันเดียวกัน แต่เขาก็ไม่โทร…หากเพียงเขากำลังรอจังหวะที่ใช่...
เขาไม่อยากให้เธอมองเขาว่าเป็นพวกผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นของง่ายที่นึกคิดได้ทันทีก็จะจีบเข้าทันควันโดยไม่มีระยะเวลาของการอดทน
อภิวัชรถอนลมหายใจยาว ก่อนจะลุกจากเก้าอี้นอนตรงระเบียงแล้วเดินเข้าห้องที่อยู่ติดกันเพื่อสะสางงานที่เหลือต่อให้เสร็จ
นิชานันท์ถือกระเป๋ากระทัดรัดคู่ใจหนีบแนบตัวโดยไม่ลืมที่จะหิ้วรองเท้าสีสวยที่เพิ่งจะเปิดจากกล่องใบใหม่ที่ถอยมาสดๆร้อนๆเมื่อวาน ร่างบางเดินลงบันไดสู่ชั้นห้องโถงด้วยท่าทางอารมณ์ดี ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงแว่วของพี่ชายและหนุ่มอีกคนที่มักจะมาเยือนบ้านของเธอบ่อยครั้งในช่วงนี้ตามประสาหนุ่มสถาปนิกร่วมสถาบันเดียวกันที่คุยกันได้แทบทุกเรื่อง
"ตรงนี้สองเสาระยะมันติดกันเกินไป ต้องห่างกันอีกหน่อย ไม่งั้นมันจะไม่สมดุล ฐานรากก็แคบเกินไปขยายออกมาอีกซักอีกห้าสิบเซ็น" ผู้สังเกตเห็นชี้ระยะที่เป็นจุดด้อยในแปลนพื้นอาคารบนกระดาษสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก
"เออว่ะ กูก็ลืมดูเลย" นพรัตน์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูในสิ่งที่เพื่อนบอก นี่เขาเครียดกับจุดอื่นมากเกินไปจนลืมสังเกตจุดง่ายๆอย่างนี้ไปได้ยังไง
"เฮ้ย ใจเย็นๆ ค่อยๆดู เดี๋ยวก็แก้เสร็จเอง" อภิวัชรยืดตัวขึ้นจากงานแล้วเอนหลังพิงกับพนักพิงโซฟา จึงได้เห็นน้องสาวเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาหา
"ว่าไงนิด"
"หวัดดีค่ะ พี่ตั้ม" นิชานันท์นั่งบนเก้าอี้โซฟาเดี่ยวอีกตัวที่อยู่บริเวณเดียวกัน ก่อนจะถามถึงเหตุที่เขามาที่นี่ในตอนเช้าด้วยความสงสัย "นี่พี่ตั้มมาทำอะไรแต่เช้าเนี่ย"
ปกติสองหนุ่มจะนัดกันบ่ายหรือไม่ก็พากันไปต่อข้างนอก นานทีจะได้เห็นเขามาเยือนช่วงเช้า เพราะโดยส่วนมากแล้วพวกเขามักจะตื่นสายตามนิสัยชอบทำงานกันในช่วงกลางคืนจึงไม่ ค่อยได้เห็นสองหนุ่มในช่วงเช้า
"ก็ตอนเย็นนัดกันไงว่าจะพาคุณแม่ไปทานข้างนอก ก็เลยนัดมันมาช่วงเช้า แล้วเดี๋ยวจะไปตีกอล์ฟต่อ ช่วงนี้ต้องรีบสังสรรค์ ก่อนไอ้ตั้มมันจะได้งานใหม่ไปเมืองนอกอีก" ตั้งแต่เรียนจบอภิวัชรทำงานได้ไม่เท่าไร ก็ได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อโททันทีที่อังกฤษ แล้วก็ได้งานที่นั่น อีกทั้งยังทำงานต่อในอีกหลายประเทศ และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อสามปีก่อนก็เพิ่งจะคว้าปริญญาเอกจากยูดังที่อเมริกา สมกับความสามารถและพรสวรรค์ของเขาที่ส่อมาตั้งแต่เด็กจากการได้รับรางวัลมากมายในด้านนี้
"แล้วไหนว่าวันนี้จะสิงสถิตอยู่บ้านนั่งดีไซน์ร้านใหม่ ไหงตอนนี้แต่งตัวจะออกไปข้างนอกอีกล่ะ" พี่ชายถามน้องสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยด้วยชุดเดรสสีชมพู
"ก็วันนี้วันเกิดหลิน มันก็เลยชวนไปเลี้ยงข้าวเด็กกำพร้าด้วยกัน" น้องสาวพูดโดยที่จะอดแอบบ่นให้พี่ชายฟังไม่ได้ "นี่ถ้าไม่โทรหามันนะ มันก็ลืมไปเลยเหมือนกันว่าวันนี้วันเกิดตัวเอง"
"อ้าวแล้วงี้จะเตรียมของทันเหรอ?" นพรัตน์อดสงสัยไม่ได้
"มันก็ติดต่อร้านอาหารเจ้าเก่าอ่ะ ที่เคยดีลกันไว้หลายครั้งละ เขาค่อนข้างรับมือกับงานเร่งได้" นิชานันท์หยิบกระเป๋าและรองเท้าลุกออกไปซึ่งไม่ลืมที่จะกล่าวบอกลาพี่ๆทั้งสอง
"งั้นนิดไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะต้องไปช่วยเขาเตรียมขนมไว้ด้วย"
เมื่อนพรัตน์เห็นร่างของน้องสาวลับตาไป เขาจึงชวนเพื่อนคุยต่อเรื่องงานให้เสร็จ เพื่อจะได้ออกไปตีกอลฟ์ด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนคนเก่งของเขาดูจะไม่ได้มีจิตใจที่จะฟังเขาเลยสักนิด
"ต่อไปนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรละ ค่อยๆแก้ละกัน…ไปทำธุระก่อน เดี๋ยวเจอกัน" อภิวัชรลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะใช้มือตบไหล่เพื่อนเพื่อให้กำลังใจแล้วก้าวเดินจากไปโดยทิ้งความสงสัยไว้ให้นพรัตน์
"อ้าวเว้ย!! ไหนว่าวันนี้ว่างไง แล้วไม่ไปตีกอลฟ์ แล้วเหรอวะ! " เจ้าของบ้านตะโกนถามไล่หลังอย่างงงๆ...ธุระอะไรของมัน…
"เออ! เอาไว้ก่อน เดี๋ยวกูโทรบอกอีกที" ยังไม่ทันได้รู้แจ้งแถลงไข แขกของบ้านก็หายลับตาออกจากห้องไปอีกคนไม่อยู่ให้เขาได้ถามต่อไป
"นิด!" เจ้าของชื่อหันขวับตามเสียงเรียกที่ได้ยินจากทางด้านหลัง "จะไปเลี้ยงข้าวที่บ้านเด็กกำพร้าใช่ไหม"
นิชานันท์ที่กำลังเปิดประตูรถก็ต้องชะงัก หยุดตอบคำถามเพื่อนพี่ชาย
"อื้ม… แล้วพี่ตั้มออกมาทำไมอ่ะ คุยงานเสร็จแล้วอ่อ"
"เสร็จละ… " ชายหนุ่มผู้สวมแว่นมองคู่สนทนาราวกับคิดหนัก ก่อนจะพูดออกไป "พี่ไปด้วยนะนิด… "
ผู้ฟังเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ กับท่าทีมาแปลกของพี่ชายคนสนิท "ไปด้วย? ไปด้วยทำไม"
"ก็ไปทำบุญไม่ใช่เหรอ พี่ก็เลยว่าจะไปด้วยไง ...ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไงรู้สึกว่าดวงไม่ค่อยดี ถ้าได้ทำบุญหน่อยก็คงสบายใจขึ้น"
นิชานันท์หรี่สายตามองอย่างรู้ทัน "พี่ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดดีกว่าไหม? "
"ไหนๆเราก็ไปแล้ว พี่ก็ถือโอกาสไปด้วยดีกว่า ทำอะไรก็เหมือนกันแหละ ถือว่าทำบุญเหมือนกัน"
ชายหนุ่มตีหน้าขรึมพูดเหตุผลอย่างจริงจัง ซ่อนความรู้สึกไว้ในภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์
"ยังไงก็แล้วแต่พี่แล้วกัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่ามันค่อนข้างยุ่ง" หญิงสาวเตือนด้วยความหวังดี
" ครับ" ทันทีที่นิชานันท์ขึ้นรถ รอยยิ้มของหนุ่มตาเรียวหน้านิ่งมาดเงียบก็ปรากฏขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ โดยเฉพาะแววตาที่ตอนนี้มันแสดงถึงความสุขปนตื่นเต้นราวกับเด็กชายที่กำลังดีใจที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่
การที่ไม่ได้เจอมานานราวเกือบขวบปี ทำให้บทสนทนาบนรถมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนมากจะเป็นนิชานันท์เสียมากกว่าที่ชวนเพื่อนพี่ชายคุย เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยทั้งของพี่และของเธอให้เขาฟัง แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดแต่พวกเขาก็รู้จักกันมานาน ความสัมพันธ์จึงไม่ต่างกับพี่น้อง
"แล้วร้านเสื้อผ้าของนิดล่ะ เป็นยังไงบ้าง" อภิวัชร เริ่มถามคำถามเจ้าของรถเป็นคำถามแรกตั้งแต่นั่งมา
"ก็เรื่อยๆอ่ะ ช่วงนี้เขากำลังปรับปรุงห้าง ก็เลยวุ่นไปหมด ต้องวางผังออกแบบใหม่ด้วย"
"ดีนี่ ถือว่าปรับปรุงร้านไปในตัว" สถาปนิกหนุ่มแสดงความเห็น
"ดี แต่มันค่อนข้างเหนื่อยหน่อย"
"… แล้วนี่เป็นไง ตอนนี้ มีคนรู้ใจรึยัง" หญิงสาวถึงกับงงเมื่อจู่ๆพี่ตั้มก็มาถามเธอในเรื่องพวกนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดยักจะถาม มีแต่เธอต่างหากที่มักจะหยอกเขาเล่นเรื่องผู้หญิง… ถึงจะดูเหมือนหนุ่มแว่นเนิ๊ตๆแต่เห็นอย่างนี้ธรรมดาซะที่ไหน
"โอ่ยยย.. พี่ชีวิตนี้เสรี จะมีให้ปวดหัวไปไย" หญิงสาวว่าพลางวาดมือออกไปข้างๆประกอบอารมณ์
เงียบอยู่เพียงอึดใจ เสียงทุ้มก็ถามขึ้นต่อทันที
"… แล้วเพื่อนเราล่ะ มีแฟนรึยัง?"
นิชานันท์ถึงกับละสายตาจากทางข้างหน้าแล้วมองหน้าเขา อย่างอัศจรรย์ใจ
ไม่น่าล่ะ ทำไมวันนี้ถึงถามเธอแปลกๆ…เนียนนะเนี่ย…อีพี่ตั้ม
ยิ่งได้เห็นแววตาที่มีท่าทีลุ้น… รอคำตอบ หญิงสาวก็อดที่จะหยอกเขาอย่างสนุกไม่ได้
นานทีจะเห็นพี่ตั้มรุกจีบสนใจสาวขนาดนี้… งานนี้น้องคนสนิทจึงไม่พลาด…
"อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ มีแล้ว คุยๆกันอยู่ หรือ… ยังไม่มี"
"ความจริง" เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆแต่หากดูจริงจังประหนึ่งพูดเรื่องงาน
เมื่อเห็นท่าทีของดอกเตอร์สถาปนิกหนุ่ม นิชานันท์ก็อันเป็นว่าจำนน ยอมตอบเขาแต่โดยดี
"ยังไม่มีหรอก หลินมันเกลียดผู้ชายจะตาย มันจะมีได้ยังไง…อุ๊บบ " หญิงสาวหุบปากโดยฉับพลัน เมื่อเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดเรื่องของเพื่อนมากเกินไป..
"เกลียด? เพราะอะไร... " แววตาคนขับดูลุกลี้ลุกลนเมื่อโดนเขาจี้ถาม
"กะ ก็… สังคมสมัยนี้ มันมีแต่ข่าวไง… ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย จี้ปล้น ไม่มีความรับผิดชอบ เยอะแยะไป" ว่าพลางไม่หันกลับไปมอง เพราะเกรงสายตาของเขาจะคาดคั้นให้เธอเล่าในเรื่องส่วนตัวของเพื่อน
เมื่อไม่ได้ยินว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรต่อ เธอจึงแอบใช้หางตาชำเลืองก็หายใจโล่งขึ้น
เธอไม่ได้โกหกนะ ก็ไอ้หลินมันเกลียดผู้ชายจริงๆนี่...เธอพูดความจริงส่วนหนึ่งเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องของอารยา…ถ้าอยากจีบก็ไปเคลียร์ ไปถามกันเองเถอะจ้า เธอไม่อยากโดนพายุของนางไปด้วย นางจะเกลียดที่สุดหากเพื่อนคนไหนทำตัวเป็นแม่สื่อให้
ถึงแม้ว่าวันนั้นในร้านอาหารอารยาจะแสดงท่าทีแสดงออกว่าสนใจอภิวัชรก็ตามที แต่หลังจากวันนั้นเพื่อนสาวก็เล่าให้ฟังว่าเธอทำไปเพียงเพราะต้องการประชดน้องสาวต่างมารดาเท่านั้น
หากแต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ถูกโปรยเสน่ห์จะติดกับแม่สาวไม้ป่าอย่างเพื่อนเธอเข้าถึงขนาดนี้
"หลินมันก็แบบนี้แหละ…บ้าๆบอๆ(เพี้ยนด้วย) " โดยเฉพาะเรื่องหาพ่อของลูก
"แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาจีบนะ แม่มันก็หาให้ แต่มันไม่สนใจ" เธอพูดพร้อมกับชำเลืองมองหน้าเพื่อนร่วมรถอีกครั้งด้วยความอยากรู้ซึ่งตอนนี้แววตาของเขาอ่านได้ยาก เขามองไปทางข้างหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
แม้ว่าจะแอบดีใจตื่นเต้นที่พี่ตั้มของเธอให้ความสนใจเพื่อนสาวขนาดนี้ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่แทบจะเพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ดีกรีปริญญาเอกจากเมืองนอก ไม่แพ้ใครทั้งด้านหน้าที่การงานและการเงิน โดยเฉพาะนิสัย บุหรี่ไม่สูบ เหล้าก็...มีแตะบ้าง แต่นอกนั้นก็ถือว่าดีทุกด้าน เว้นแต่เรื่องที่ยังคงแอบติดใจในเรื่องน้องสาวเพื่อนกับชายหนุ่มที่ไปร้านอาหารด้วยกันวันนั้นอยู่
"พี่ตั้มมาสนใจเพื่อนนิดอย่างงี้ แล้วยัยเหวินอ่ะ พี่ไม่กลัวมันจะหึงเหรอ"
"ทำไมต้องหึง?". สายตาที่มองไปยังทางข้างหน้าหันกลับมามองคนถามอย่างไม่เข้าใจ
"เอ๊า! ก็พี่คบกับยัยเหวินอยู่ไม่ใช่เหรอ"
"ฮึ? ไปเอามาจากไหน พี่กับเหวินไม่ได้คบกัน" แม้ว่าคนได้ยินจะทำใจเป็นกลางไม่อยากคิดเอียงไปทางไหนเท่าไร แต่ดูแล้วอย่างยัยเหวิน ก็ไม่น่าจะใช่สเป็คพี่ตั้ม...เพราะเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เคยมีแฟน อดีตแฟนเก่าของเขาค่อนข้างจะเรียบร้อย ดูสวยหวาน เหมาะกับหนุ่มลุคเนิ๊ดพูดน้อยอย่างอภิวัชรที่สุด ต่างจากยัยเหวินริบตา
...อ้าว แล้วอย่างยัยหลิน เพื่อนเธอล่ะ พี่ตั้มไปชอบมันได้ยังไง...
อารยาเป็นผู้หญิงสวยก็จริง แต่ก็เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่จะออกมั่นใจมากไปเสียด้วยซ้ำ แต่งตัวไม่เคยมีคำว่าเรียบๆ...ทุกสิ่งทุกอย่างคือ จัดเต็ม! ประโคมเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องประดับยิ่งกว่านางแบบที่เดินในงานแฟชั่นโชว์เสียอีก
"แล้วพี่ไปรู้จักกับยัยเหวินได้ยังไง" เธอถามด้วยความสงสัย
"เหวินเป็นเพื่อนของบัว น้องสาวพี่ แล้วทางคุณป้าก็สนิทกับทางครอบครัวเขาด้วย เลยเจอกันอยู่บ่อยๆ"
คนฟังเลิกคิ้ว พยักหน้าอย่างเข้าใจ
"อย่าไปเป็นแฟนกับมันนะพี่ พี่อาจจะยังไม่รู้จักมันดี เน่าทั้งในเน่าทั้งนอก" นิชานันท์ทำท่าเบะปากเมื่อเอ่ยถึงน้องสาวสุดชังของเพื่อนรัก
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่จับสังเกตท่าทางของนิชานันท์ที่แสดงออกมา ดูเหมือนว่าทั้งอารยา นิชานันท์ และนภัสสรจะเรื่องขัดใจกันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงได้ทำชิงชังกันราวกับเคยบาดหมางกันมาก่อน
ข อ วั น ล ะ นิ ด จิ ต แ จ่ ม ใ ส น ะ ค ะ ^ . . ^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อเร็วๆนะคะ