ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #94 : Chapter 75: วังน้ำวนใต้แสงอันสว่างไสว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 158
      4
      17 ม.ค. 64

    ความเดิม: อังริเอตต้าเดินทางมาที่อาณาจักรแห่งแสงโรมาเลียเพื่อพูดคุยเรื่องความว่างเปล่าและอนาคตของฮาลเคกิเนียที่พูดค้างไว้อย่างลับๆ โดยมีเอ็กซ์และอาเนียสเป็นผู้ติดตาม ข้อเสนอของสันตะปาปาวิตโตริโอ และเรื่องที่สันตะปาปาเป็นผู้ใช้ความว่างเปล่าทำให้อังริเอตต้ากังวลใจไม่ใช่น้อย แต่ด้วยคำปรึกษาจากผู้ติดตามทั้งสองคน ทั้งสามตัดสินใจให้ความร่วมมือไปก่อน ระหว่างที่การเตรียมการสำหรับพิธีฉลองการสมณภิเษกครบรอบสามปีของวิตโตริโอดำเนินไป อังริเอตต้าได้เห็นเบื้องหลังที่เป็นสีเทาของศาสนจักร ส่วนเอ็กซ์กับอาเนียสก็ก่อเรื่องน่าอายกลางดึกกลางดื่น
     
    --
     
    คือว่า ขอออกไปเดินเล่น
     
    ไม่อนุญาต
     
    เสียงแข็งปฏิเสธคำขอของเอ็กซ์อย่างไม่ใยดี
     
    ถ้างั้นอย่างน้อยขอไปหาหนังสืออ่านซักเล่ม
     
    ไม่อนุญาต ห้ามเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น
     
    แต่ว่า ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้พวกเราพักได้ จะให้อยู่แต่ในห้องนี้มันก็...
     
    แล้วมันเพราะใครล่ะ?
     
    เสียงของอาเนียสฉาบด้วยความความเคียดแค้น
     
    ถ้างั้นอย่างน้อย ขอไปเข้าห้องน้ำ
     
    ฉันจะตามไปด้วย
     
    ...
     
    การโต้ตอบเช่นนี้ระหว่างสององค์รักษ์ของราชินีแห่งทริสเทนดำเนินมาได้เป็นวันที่สาม
     
    นับแต่คืนที่ทั้งคู่ถูกอัศวินวิหารจับได้ว่านุ่งผ้าไม่กี่ชิ้นลอบพบกันกลางดึกกลางดื่น อาเนียสก็ไม่ยอมปล่อยให้เอ็กซ์คลาดสายตา จนอังริเอตต้าแซวครั้งหนึ่งว่าอาเนียสขยันเฝ้าเอ็กซ์มากกว่าเฝ้าราชินีเสียอีก
     
    ตามมาจริงๆ... เอ็กซ์คิดในใจขณะเดินออกจากห้องน้ำที่สร้างไว้มุมหนึ่งของตัววิหารและเห็นอาเนียสยังยืนรออยู่
     
    เสร็จธุระแล้วก็รีบตามมา ประชุมคงใกล้จะเสร็จแล้ว
     
    อาเนียสพูดจบก็เดินนำไปโดยไม่รอคำตอบ แต่ไม่ลืมชำเลืองกลับมาดูว่าตามไปหรือไม่
     
    ในช่วงสายของวัน อังริเอตต้าพร้อมด้วยคณะขุนนางของทริสเทนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมการประชุมหารือเรื่องการให้ความร่วมมือกับแผนการทวงคืนแดนศักดิ์สิทธิ์ของสันตะปาปา เนื่องจากจำเป็นต้องกล่าวถึงเวทมนตร์ความว่างเปล่า ผู้ร่วมประชุมจึงประกอบด้วยอังริเอตต้า วิตโตริโอ และผู้มีอำนาจระดับสูงของสองประเทศที่รู้เรื่องความว่างเปล่าอยู่แล้วเท่านั้น องครักษ์อย่างเอ็กซ์และอาเนียสไม่อยู่ในกลุ่มนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สามัญชนอย่างเอ็กซ์รู้ความลับสุดยอดของประเทศเรื่องความว่างเปล่าย่อมไม่เป็นที่โสภาสำหรับคณะขุนนางทริสเทน
     
    ขณะนี้เลยเวลาเที่ยงมาได้สี่ชั่วโมงแล้ว อาเนียสคาดจากประสบการณ์ว่าคงใกล้ได้เวลาสิ้นสุดการประชุมแล้วจึงตั้งใจไปรอรับราชินีตามหน้าที่
     
    ที่หน้าห้องประชุมมีอัศวินวิหารเฝ้าอยู่สองคนกับจูลิโอที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เอ็กซ์กับอาเนียสยืนทนสายตาตำหนิติเตียนจากอัศวินและสายตาหยอกเย้าจากจูลิโอที่คุ้นเคยตลอดสามวันที่ผ่านมา ราวครึ่งชั่วโมงประตูห้องประชุมก็เปิด หลังชายในชุดขุนนางและชุดนักบวชหลั่งไหลกันออกมาจากห้อง สองใบหน้าที่คุ้นเคยก็ตามหลังออกมา
     
    อาเนียส คุณเอ็กซ์ ขอโทษที่ทำให้พวกท่านคอยนาน
     
    มิใช่ปัญหาเพคะ
     
    อาเนียสกับเอ็กซ์โค้งคำนับราชินีและสันตะปาปา
     
    ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวก่อน ฝากท่านอังริเอตต้าดำเนินการตามแต่ท่านจะเห็นสมควรด้วย
     
    วิตโตริโอกล่าวลาและเดินแยกไปกับจูลิโอ
     
    อังริเอตต้าหันกลับมาหาองครักษ์ มองเห็นคำถามในแววตาของทั้งคู่ซึ่งเก็บไว้และรออย่างอดทน
     
    ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย กลับไปที่ห้องกันก่อนเถอะ
     
    ทั้งคู่ตอบรับ จากนั้นทั้งสามก็เดินกลับไปทางที่พัก ระวังไม่ให้ดูเร่งรีบ
     
    เมื่อกลับมาถึงห้องพักและทั้งหมดนั่งกับที่เรียบร้อย อังริเอตต้าก็พูดกับสององครักษ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
     
    ก่อนอื่นข้าขอยืนยันสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว องค์สันตะปาปาทรงเปิดเผยตนเป็นผู้ใช้ความว่างเปล่า รวมถึงแผนการที่จะนำพลังขององค์ศาสดามาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อทวงคืนแดนศักดิ์สิทธิ์
     
    เอ็กซ์กับอาเนียสพยักหน้า อังริเอตต้าเล่าต่อ
     
    ส่วนเรื่องเนื้อหาของการประชุม...
     
    นอกจากนี้ ยังมีอีกสองสามข้อที่ฝ่าบาททรงระวังไว้เป็นดี...
     
    เอ็กซ์สันนิษฐานจุดประสงค์ของสันตะปาปา
     
    สันตะปาปากล่าวไว้ว่าต้องการความร่วมมือของฝ่าบาท ที่เป็นไปได้มากที่สุดคงจะต้องการให้เป็นคนกลางติดต่อกับมิสวาลลิแยร์...จูลิโอคนสนิทขององค์สันตะปาปาเคยพบกับมิสวาลลิแยร์และไซโตะมาก่อน สันตะปาปาคงจะทราบเรื่องความว่างเปล่าจากเขา หากพระองค์ตอบตกลงแต่แสดงท่าทีลังเล สันตะปาปาจะพยายามโน้มน้าวพระองค์ก่อนจะขอให้พระองค์เรียกมิสวาลลิแยร์มาที่นี่ ในความพยายามโน้มน้าวนั้นเราอาจได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ได้
     
    อังริเอตต้าเบิกตากว้างขึ้น ใบหน้าแสดงความพิศวงเมื่อเอ็กซ์คาดเดาเหตุการณ์เป็นฉากๆ ราวกับเห็นอนาคต
     
    สิ่งที่พระองค์ทรงต้องระวังไว้มากคือเมื่อสันตะปาปาขอให้พระองค์เรียกทิฟฟาเนียมาด้วย หมายความว่าผู้ใช้ความว่างเปล่าสามในสี่จะมารวมอยู่ในโรมาเลียซึ่งเป็นบ้านของสันตะปาปา หากเป็นเช่นนั้นแล้วขั้นต่อไปคงจะเป็นการดำเนินการทางใดทางหนึ่งกับโจเซฟซึ่งจะทำให้ได้ความว่างเปล่าส่วนสุดท้ายมา หากทางสันตะปาปาเตรียมการอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้เอาไว้พร้อมแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างอาจเป็นไปตามที่สันตะปาปาต้องการ
     
    ...เพื่อให้ทันเวลาพิธีเฉลิมฉลองซึ่งจะมีขึ้นในอีกสิบวัน เราจำเป็นต้องส่งจดหมายเรียกพวกหลุยส์และทิฟฟาเนียในวันนี้
     
    อาเนียสกอดอก
     
    ...เป็นไปตามที่เอ็กซ์คาดไว้ทุกอย่างสินะเพคะ ไม่รู้ว่าควรจะกลัวคนที่เดาได้เหมือนตาเห็นหรือคนที่ทำตามนั้นทุกตัวอักษรดี
     
    ส่วนใหญ่เป็นการตีความจากคำพูดของสันตะปาปามากกว่าจะเรียกว่าคาดเดา แต่เคลื่อนไหวตามนั้นทั้งหมดแบบนี้น่าเป็นห่วงจริงๆ... เอ็กซ์พูดอย่างเป็นกังวล
     
    ข้าตอบตกลงดำเนินตามแผนการของใต้ฝ่าพระบาทตามที่เราคุยกันไว้ แต่ถึงคำตอบของข้าจะเป็นอย่างไรมติที่ประชุมก็โอนเอียงไปทางองค์สันตะปาปาอยู่แล้ว...
     
    ทั้งสามปรึกษากันแล้วและลงความเห็นว่าจนกว่าความว่างเปล่าทั้งหมดจะมารวมอยู่ที่นี่ แม้หลุยส์กับทิฟฟาเนียจะมาก็ไม่เป็นไร หลุยส์มีนิสัยอุทิศตัวเองมากจนเกินไป แต่ก็มีไซโตะคอยห้ามปรามหากมีอันตรายหรือน่าสงสัย ทิฟฟาเนียก็เชื่อไซโตะเป็นหลักอยู่แล้ว หากพวกอังริเอตต้าคอยช่วยระวังอีกทางก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นให้ทำตามคำขอของสันตะปาปาไปก่อน
     
    มติที่ประชุม หมายความว่าฝ่ายทริสเทนเองก็เห็นด้วยกับแผนการของสันตะปาปาเป็นส่วนใหญ่หรือพะยะค่ะ?
     
    เรื่องชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาองค์สันตะปาปาเพียงแต่เปรยไว้ เรื่องที่ขอความร่วมมือจริงๆ คือแผนการกำจัดราชาโจเซฟ
     
    แผนกำจัดโจเซฟ? เป็นอย่างไรหรือพะยะค่ะ?
     
    อังริเอตต้าเงียบไปอีดใจหนึ่ง ราวกับทำใจก่อนตอบ
     
    ปล่อยข่าวให้ทางกาเลียทราบว่าสันตะปาปาเป็นผู้ใช้ความว่างเปล่า เรียกหลุยส์กับทิฟฟาเนียมาที่นี่ เพื่อใช้ทำสามคนเป็นเหยื่อล่อ ควบคุมตัวผู้ใช้ความว่างเปล่าฝ่ายกาเลีย และใช้อำนาจของความว่างเปล่ากดดันให้ราชาโจเซฟสละบัลลังก์...ค่ะ
     
    เอ็กซ์ครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้า
     
    ดูสมเหตุสมผลพะยะค่ะ...แต่ติดที่ว่าโจเซฟเป็นผู้ใช้ความว่างเปล่าเอง อำนาจความว่างเปล่าแค่สามส่วนอาจจะเบาลงมาหน่อย...แล้วถึงราชาโจเซฟจะสละบัลลังก์ แต่ดูยังไงก็ไม่น่าจะให้ความร่วมมือเลยพะยะค่ะ
     
    ดูเหมือนว่าฝ่ายโรมาเลียจะเข้าใจว่าผู้ใช้ความว่างเปล่าเป็นข้ารับใช้ของราชาโจเซฟอีกทีน่ะค่ะ...
     
    จริงสิ...ที่เราทราบอย่างแน่ชัดก็เพราะนานะบอก...แล้ว ที่ประชุมมีความเห็นว่าอย่างไรหรือพะยะค่ะ เรื่องแผน?
     
    ...เจ็ดส่วนเห็นด้วย สองส่วนเป็นกลาง หนึ่งส่วนคิดว่าควรนำเข้าประชุมสภาที่ทริสทาเนียอีกครั้ง ค่ะ
     
    ราชาแห่งกาเลีย สำหรับทริสเทนถือเป็นอันตรายที่เคยลงมือจริงมาแล้ว ไม่แปลกหากเสียงจะเป็นไปในทางบวกพะยะค่ะ
     
    เพราะมีข้ออ้างหลอกคนอื่นกับตัวเองก็เลยง่ายน่ะสิ อาเนียสเสริมอย่างประชดประชัน
     
    ...น่าเสียใจ แต่ที่อาเนียสพูดคงจะเป็นความจริง พวกเขาเป็นขุนนางในอำนาจมานาน ข้ารู้ความคิดของพวกเขาดี  'ถ้ากำจัดโจเซฟได้อย่างไรก็เป็นผลดีต่ออาณาจักร เรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์ค่อยหลังจากนั้นถ้าแผนการแรกสำเร็จ'  ใช้เรื่องผลประโยชน์ต่ออาณาจักรบังหน้า หลอกคนอื่นและตนเองว่าที่ตอบตกลงต่อข้อเสนอของสันตะปาปามิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน
     
    ขณะเดียวกันในหัวเตรียมป้ายสลักชื่อตัวเองไว้พร้อมปักบนดินของแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว สันตะปาปาขอความร่วมมือจากพวกตัวเองก่อนเยอร์มาเนีย อัลเบี้ยนก็ไร้อำนาจ กาเลียก็เป็นศัตรู มีโอกาสได้ต่อแถวหน้าเนื้อชิ้นโตเป็นคนแรกอย่างนี้มีเหรอจะระงับความโลภไว้ได้ อาเนียสพ่นลม
     
    ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่จะนำมาซึ่งผลอันโอชะนั้นก็คือหลุยส์กับทิฟฟาเนีย ซึ่งในสายตาของพวกเขาเป็น ความว่างเปล่า ที่เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เด็กสาว ไม่จำเป็นต้องเปื้อนมือตัวเองไม่ว่าเลือดของกาเลียหรือเลือดของทั้งคู่ ความรับผิดชอบส่วนใหญ่อยู่ที่องค์สันตะปาปา อยู่ที่โรมาเลีย ตัวเองเพียงแต่รอรับผลประโยชน์... อังริเอตต้าถอนใจในตอนท้าย เหนื่อยเกินจะกล่าวถ้อยคำตำหนิ
     
    เหมือนทุกทีสินะพะยะค่ะ
     
    เหมือนทุกทีจริงๆ เลยค่ะ
     
    สันตะปาปาก็คงรู้ทั้งหมดนั้นและใช้ให้เป็นประโยชน์
     
    ในฐานะผู้ปกครองฉันชื่นชมในสติปัญญา แต่ในฐานะมนุษย์ทำใจเห็นด้วยได้ยากจริงๆ ค่ะ
     
    ใบหน้าถอนใจของเอ็กซ์และอังริเอตต้าราวกับถอดมาจากแบบเดียวกัน ทั้งที่ควรจะชินแล้วแต่อาเนียสมองอย่างประหลาดตานิดๆ
     
    อย่างไรก็ตาม เราจะดำเนินตามคำขอของสันตะปาปาไปก่อน ฉันจะส่งจดหมายด่วนถึงราชวังให้เรียกพวกหลุยส์มาและให้การสนับสนุนเท่าที่จำเป็น แต่ไม่รู้ว่าปุบปับอย่างนี้มาซารินิจะเตรียมเรือเหาะให้พวกเขาได้รึเปล่า...
     
    ...ที่โรงเรียนพวกเขามีเรือเหาะรุ่นใหม่ที่อาจารย์คนหนึ่งสร้างขึ้น มีความเร็วเหนือกว่าเรือเหาะธรรมดามาก หากอาศัยเรือเหาะลำนั้นแม้ต้องอ้อมก็คงมาถึงได้ไม่ยากเพคะ
     
    มีเรือแบบนั้นด้วยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็วางใจได้ไปเปลาะหนึ่ง
     
    อังริเอตต้าถึงจะรู้สึกตงิดใจที่เหมือนโยนความรับผิดชอบให้อย่างนั้น แต่ตอนนี้ก็มีเรื่องที่ต้องกังวลอยู่แล้ว ถ้าอาเนียสพูดอย่างนั้นก็คงเชื่อตามนั้นได้
     
    เรื่องต่อไป ในระหว่างสิบวันก่อนจะถึงวันพิธี ซึ่งก็คงจะเป็นวันเริ่มแผนการของสันตะปาปา เราควรจะทำอย่างไร อาเนียส คุณเอ็กซ์ พวกท่านว่าอย่างไร?
     
    ลอบเข้าห้องสันตะปาปาไปหาข้อมูล...อะไรอย่างนั้นต้องตัดออกไปก่อน... อาเนียสพูดพลางชำเลืองมองเอ็กซ์ซึ่งยิ้มแห้งๆ
     
    ตราบเท่าที่ยังไม่รู้เลยว่าแผนการของสันตะปาปาจะออกมาเป็นอย่างไรบ้างก็คิดแผนรับมือไม่ได้ คงต้องหาข้อมูลเท่าที่จะทำได้เพคะ
     
    หาข้อมูล...ถึงจะบอกว่าหาข้อมูล แต่ไม่เจาะจงว่าเรื่องอะไรจากที่ไหนแบบนี้ก็ลำบากนะ
     
    ก่อนอื่น ในวิหารนี้คงเป็นไปไม่ได้พะยะค่ะ ที่นี่มีแต่ผู้ศรัทธาในตัวสันตะปาปา และหากเราไปตระเวนถามซอกแซกเรื่องสันตะปาปา แม้สันตะปาปาจะอยากทำเป็นไม่เห็นไปก่อนก็คงทำไม่ได้พะยะค่ะ
     
    สันตะปาปา...อาจจะรู้ความคลางแคลงใจของพวกเราอยู่แล้วสินะคะ...
     
    ต้องคิดอย่างนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้วพะยะค่ะ หากฟังเรื่องเช่นนั้นแล้วไม่คลางแคลงใจสักนิดต่างหากยิ่งผิดปกติ
     
    ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เชื่อใจตัวเองเต็มร้อย แต่ไม่รู้ว่าความสงสัยนั้นถึงเรื่องอะไรและถึงขั้นไหน
     
    ...ก็เหลือแต่ในเมืองสินะเพคะ
     
    อืม สันตะปาปาดูได้รับการสนับสนุนจากราษฎรอย่างมหาศาลก็จริง แต่ไม่มีผู้นำคนใดที่มัดใจคนได้ทุกคน นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ไม่ได้กำเนิดที่โรมาเลียแต่เดิม ผู้ซึ่งทางทำมาหากินขัดต่อคำสอนขององค์ศาสดา...คนเช่นนั้นต้องมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากความนิยมของสันตะปาปาจะมีจุดบอดก็คงอยู่ที่พวกเขาเหล่านั้น แต่ในทางกลับกันข้อมูลที่ได้ก็อาจจะไม่สลักสำคัญนัก...
     
    ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลยพะยะค่ะ
     
    ถ้าเช่นนั้น พวกท่านสองคนก็เห็นว่าควรดำเนินการตามนี้ไปก่อนใช่ไหม? หรือมีความคิดที่ดีกว่าก็ขอให้เสนอมาได้เลย
     
    นอกจากนั้นมีความคิดอื่นๆ ที่เสนอขึ้นมาอีกสองสามอย่าง แต่ตกไปเพราะผลลัพธ์ไม่คุ้มเสี่ยงบ้าง เป็นไปได้ยากบ้าง ที่สุดแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าจะหาโอกาสเข้าไปในเมืองเพื่อสืบเบื้องหน้าเบื้องหลังที่คนทั่วไปไม่รู้เกี่ยวกับสันตะปาปา
     
    พระราชเสาวนีย์ส่งด่วนกลับไปยังทริสเทนในวันนั้น และถึงมือไซโตะในคืนนั้น อังริเอตต้า อาเนียส และเอ็กซ์ดำเนินกิจกรรมในมหาวิหารราวกับบทสนทนาวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
     
    [...]
     
    [.....]
     
    หกวันต่อมา ทั้งสามคนอยู่ในห้องอังริเอตต้าเช่นเคย แต่มีบางส่วนเปลี่ยนไป คือเครื่องแต่งกายของเอ็กซ์และอังริเอตต้า
     
    เอ็กซ์สลัดคราบผู้ติดตามราชินีออกไป สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีน้ำเงินเทา ปกคอเสื้อ ไหล่ และปกข้อมือขลิบทอง สายรัดเสื้อที่เอวเป็นสีแดงและขาว สวมเล็กกิ้งน้ำเงินเทาใกล้เคียงกับเสื้อ และรองเท้าบูทสีดำสนิท ดูภายนอกเป็นชายหนุ่มผู้ดีที่เดินทางมาจากต่างแดนคนหนึ่ง
     
    อังริเอตต้าอาจพูดได้ว่าไม่ต่างจากเดิมมาก ยังคงสวมชุดกระโปรงยาวซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายมาตรฐานหญิงผู้ดี แต่เปลี่ยนจากสีขาวสะอาดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ของราชินีผู้ยังครองพรหมจรรย์มาเป็นสีแดงม่วงซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ที่ไหล่พองเล็กน้อย ต้นแขนลงไปหุ้มด้วยถุงมือยาวสีดำ ตัวกระโปรงเป็นระบายสองชั้น ชั้นบนเป็นผ้าเนื้อเดียวกับชุดท่อนบน ชั้นล่างเป็นผ้าสีแดงชมพู อ่อนลงมาเล็กน้อย เส้นผมบนศีรษะปิดบังด้วยหมวกปีกแคบสีดำ เป็นหญิงสาวผู้ดีที่บรรยากาศเงียบขรึมนิดๆ  โทนสีตรงข้ามกับชุดปกติของราชินีอังริเอตต้า
     
    ทั้งสองชุดนี้ประกอบขึ้นจากเสื้อผ้าที่ขนมาจากราชวังที่ทริสทาเนียเผื่อเลือกสำหรับทั้งอังริเอตต้า เอ็กซ์ และอาเนียส
     
    อาเนียสที่ยังอยู่ในชุดกระโปรงของตัวเองทวนกับทั้งสอง
     
    ฝ่าบาทและเอ็กซ์จะแฝงตัวไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยว ตระเวนไปตามจุดที่กำหนดไว้เพื่อหาข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับองค์ศาสดาหรือการเคลื่อนไหวของศาสนจักร และกลับมาที่มหาวิหารก่อนตะวันตกดิน ตามนี้นะเพคะ
     
    อังริเอตต้าและเอ็กซ์พยักหน้า เป็นข้อสรุปจากการปรึกษากันสามคน
     
    นี่คือแผนที่อย่างคร่าวๆ ของเมืองหลวงโรมาเลีย พร้อมกับสถานที่ที่อาจจะได้ข้อมูลเพคะ
     
    อาเนียสยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นให้อังริเอตต้า บนกระดาษเป็นแผนที่ที่เขียนขึ้นอย่างประณีตและได้สัดส่วน
     
    ตัวแผนที่เป็นของที่หน่วยปืนขอมาจากอัศวินวิหารใน วงและข้อความอธิบายสถานที่ที่น่าสนใจเป็นของรองหัวหน้าเอมิลีที่รวบรวมจากรายงานสมาชิกหน่วยที่แอบสำรวจมาระหว่างแสร้งทำเป็นลงไป ทัศนศึกษา
     
    ขอบคุณท่านและหน่วยปืนทุกคนมาก ต้องระมัดระวังใต้สายตากำกับของอัศวินวิหารคงจะลำบากน่าดู
     
    ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเพคะ ในสายตาอัศวินวิหารพวกเราไม่ต่างจากแม่บ้านเล่นเป็นอัศวิน เพียงแค่กล่าวว่าจะลงไปทำธุระในเมืองก็คิดเอาเองว่าลงไปเที่ยวสนุกสนาน ไม่ต้องหาข้ออ้างซับซ้อนอะไรเลยเพคะ
     
    อาเนียสกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับจะสื่อว่า ชินแล้ว  แต่คนที่รู้จักอย่างเอ็กซ์และอังริเอตต้าเห็นความคุกรุ่นที่พยายามซ่อนไว้ในแววตา เป็นผลของการอาบคำสบประมาทว่าเป็นสามัญชนและเป็นหญิงมาตลอด
     
    จะให้พวกเขาตระเวนรวบรวมข้อมูลเองก็ย่อมได้...แต่ฝ่าบาทคงไม่ประสงค์จะเปิดเผยเกินความจำเป็น
     
    อืม ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจพวกท่านหรอกนะ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนและละเอียดอ่อน แม้แต่ข้าเองก็ยังมีหลายเรื่องที่คิดไม่ตก
     
    พวกหม่อมฉันไม่มีผู้ใดตั้งคำถามกับฝ่าบาทหรอกเพคะ
     
    ขอบใจมาก ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ ฝากที่นี่ด้วยนะ อาเนียส
     
    ขอพระองค์เสด็จโดยสวัสดิภาพเพคะ
     
    เอ็กซ์กับอังริเอตต้าออกจากอาคารที่พักโดยไม่ให้ใครเห็น เข้าปะปนกับแขกที่มาเยี่ยมมหาวิหาร ไม่มีใครสงสัยว่าผู้หญิงที่เดินสวนเป็นราชินีแห่งทริสเทน
     
    ทั้งคู่พบกับจูลิโอที่หน้าทางเข้าวิหาร จูลิโอไม่โบกมือหรือแสดงกิริยาที่เป็นการเรียกความสนใจ รอจนทั้งคู่เข้าไปใกล้จึงกล่าวทักทาย
     
    ฝ่าบาทและเอ็กซ์ วันนี้สินะพะยะค่ะที่จะทรงออกเสด็จประพาสเมือง
     
    อืม องค์สันตะปาปาทรงเมตตายิ่งนักที่ประทานพระอนุญาตคำขอเอาแต่ใจของข้า
     
    มิได้พะยะค่ะ อุตส่าห์เชิญพระองค์มาถึงเมืองหลวงของเราทั้งทีก็อยากจะให้ทรงได้เห็นเสน่ห์ของโรมาเลีย หากไม่เพราะความยุ่งยากที่มากับการเป็นองค์สันตะปาปา พระองค์คงจะทรงอาสาเป็นมัคคุเทสก์เองแล้วพะยะค่ะ
     
    กับสันตะปาปาคนนั้น จินตนาการได้ไม่ยากเลย เอ็กซ์นึกในใจ
     
    ราชินีทั้งคนจะหายตัวไปทั้งวัน มีโอกาสสูงที่จะถูกรู้เข้า ดังนั้นการเข้าไปในเมืองของเอ็กซ์กับอังริเอตต้าจึงถือเป็นการ เที่ยวชมเมือง ตามที่ขออนุญาตจากสันตะปาปา
     
    จูลิโอมองเอ็กซ์กับอังริเอตต้าสลับกันพลางพยักหน้าส่งเสียง ฮืม ฮืม
     
    มีอะไรหรือ ท่านจูลิโอ?
     
    อ๊ะ ขอประทานอภัยที่จ้องเกินไปพะยะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่คิดว่าเลือกเครื่องแต่งกายดีจริงๆ  อย่างกับคู่รักที่เดินทางมาฮันนีมูนอย่างไรอย่างนั้นเลยพะยะค่ะ
     
    เอ๊ะ...!?”
     
    จากรอยยิ้มหยอกเย้าของจูลิโอก็รู้ว่าจงใจแซว แต่อังริเอตต้าก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้อยู่ดี
     
    โอ๊ะ ปากของกระหม่อมเสียมารยาทอีกแล้ว ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ ใครๆ มักจะเตือนกระหม่อมอยู่เสมอว่าชอบพูดมากเกินไป
     
    คงจะโดนองค์สันตะปาปาดุบ่อยล่ะสิ
     
    ก็อย่างนั้นล่ะ
     
    อังริเอตต้าชำเลืองเอ็กซ์ที่พูดกับจูลิโอได้เป็นปกติไม่มีอาการเขินอายหรืออึดอัดแม้สักนิด แล้วก็สงสัยว่าคิดอย่างไรกับคำแซวเมื่อครู่นี้
     
    กระหม่อมไม่รบกวนแล้ว โรมาเลียแห่งนี้หากทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่ไม่น่าโสภาบางแง่บ้างก็เป็นเมืองที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เมืองหนึ่ง ขอให้เสด็จประพาสเมืองให้สนุกนะพะยะค่ะ
     
    จูลิโอโค้งคำนับ จากนั้นต่างก็แยกกันไปตามทาง เอ็กซ์กับอังริเอตต้าเดินผ่านประตูหน้าออกมาจากเขตมหาวิหาร
     
    ถนนเต็มไปด้วยผู้คนสมกับเป็นถนนที่ตัดผ่านหน้าทางเข้ามหาวิหาร ไม่ถึงกับเบียดเสียด แต่ก็แออัดระดับหนึ่ง
     
    อังริเอตต้าชำเลืองแขนขวาของตัวเองและแขนซ้ายของเอ็กซ์ที่อยู่ห่างกันราวสองคืบ คำพูดของจูลิโอเมื่อครู่ผุดขึ้นมา พลันใบหน้าก็ร้อนขึ้น
     
    ถ้าควงแขนกัน...จะเหมือนจริงมากขึ้น แต่ว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น...
     
    ในหัวอังริเอตต้าไล่เหตุผลข้ออ้าง ไม่ให้พลัดหลงจากกันในฝูงชน เพื่อความสมจริง
     
    อ้างกับตัวเองยังไม่ทันจบ ข้อมือซ้ายก็ถูกดึงเบาๆ ให้เดินตามไป
     
    ระวังอย่าให้พลัดจากกันนะ
     
    ค—ค่ะ...
     
    เพื่อความแนบเนียน ภาษาพูดทั้งกิริยาก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน ถึงจะรู้ว่าเป็นความจำเป็น แต่อังริเอตต้าก็ก้มหน้ามองดูมือที่จับข้อมือตัวเองตลอดทางที่เอ็กซ์จูงเดินผ่านถนนใหญ่ และเลี้ยวเข้าตรอกข้างทาง
     
    ราชินี เมื่อไม่ได้อยู่ในที่ที่ต้องเป็นราชินี ก็กลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ที่มีประสบการณ์การเป็นเด็กสาวน้อยกว่าเด็กสาวทั่วไป
     
    น่าจะเป็นที่นั่น
     
    สายตาเอ็กซ์มองไปที่อาคารเก่าสีซีดหลังเล็กหลังหนึ่ง ป้ายข้างหน้าบอกว่าเป็นโรงเตี๊ยมแต่ถ้าถามคนที่มาเห็นครั้งแรกคงจะนึกว่าปิดกิจการไปแล้ว
     
    เอ็กซ์เงี่ยหูฟัง สอดส่องดูตรอกที่ไร้คน ก่อนจะพาอังริเอตต้าเปิดประตูบานพับมีรอยบิ่นรอยผุเข้าไป เสียงบานพับเก่าขึ้นสนิมเสียดสีกัน
     
    ชั้นล่างมีโต๊ะเปล่าวางอยู่สี่ห้าโต๊ะ แต่ละโต๊ะมีส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง ไม่ขาดเก้าอี้ไป ก็ขอบโต๊ะหักบิ่น ทุกตัวฝุ่นจับ เห็นได้ไม่ยากว่าไม่มีการรับประทานอาหารบนนั้นมาอย่างน้อยสามสิบสี่สิบวันแล้ว ที่ผนังฝั่งหนึ่งเป็นชั้นวางของและตู้แบบมีกระจก แต่บนชั้นไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นกับไม้แกะสลักเล็กๆ สองสามชิ้น กระจกที่ประตูตู้ก็แตกร้าว
     
    จุดที่สะอาดที่สุดคือเคาน์เตอร์ที่มุมห้อง ชายใบหน้าเหี่ยวย่นนั่งเฝ้าอยู่ ขาพาดบนเคาน์เตอร์ ข้างๆ เป็นขวดเหล้าที่เปิดฝา ใบหน้าแดงก่ำหันมาทางเอ็กซ์กับอังริเอตต้าที่เดินเข้าไปหา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
     
    ชนชั้นสูงเหรอ มีอะไรให้รับใช้?ชายหลังเคาน์เตอร์พูดอย่างไร้ความเกรงกลัว
     
    เราจองห้องไว้ ชื่อ จูลิโอ
     
    ชายหลังเคาน์เตอร์เลื่อนแค่ดวงตามองเอ็กซ์ที่เป็นคนพูด สลับไปที่อังริเอตต้า แล้วลงไปที่ถาดวางกุญแจข้างตัว แล้วหยิบกุญแจหนึ่งดอกวางลงบนเคาน์เตอร์
     
    ขึ้นไปขวามือสุดทางเดิน
     
    ชายหลังเคาน์เตอร์ตอบแค่นั้นแล้วหันไปยกขวดเหล้าดื่ม หมดความสนใจสองคนข้างหน้า ชำเลืองแค่แวบหนึ่งเมื่อเอ็กซ์พูด ขอบใจ พร้อมกับหยิบกุญแจไป
     
    เอ็กซ์นำอังริเอตต้าเดินขึ้นบันไดไม้ที่มีรอยผุและรอยซ่อมหลายจุด แต่ละขั้นที่ถูกเหยียบส่งเสียงร้องจนอังริเอตต้าต้องก้มมองด้วยความระแวง
     
    ชั้นสองเป็นทางเดินยาวซ้ายมือและขวามือ มีประตูทั้งสิ้นเจ็ดบาน เอ็กซ์เลี้ยวขวาไปบนทางเดินที่ไม่แคบไม่กว้าง เทียบกับชั้นล่างแล้วชั้นบนดูจะทำความสะอาดบ่อยกว่า แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสะอาด กลิ่นราและกลิ่นอับชื้นปริศนาอื่นๆ ที่อังริเอตต้าไม่รู้จักปนเปกัน
     
    เอ็กซ์ใช้กุญแจไขเข้าห้องที่อยู่สุดทาง โล่งใจที่ไขทีเดียวก็เปิดได้ และเปิดประตูเข้าไป
     
    ในห้องมีเตียงเก่าๆ ที่สะอาดใช้ได้ โต๊ะเก่าๆ  และตะเกียงน้ำมัน นอกจากกลิ่นน้ำมันจางๆ ที่เพิ่มขึ้นมาแล้วกลิ่นปริศนาเมื่อครู่ก็ชัดขึ้น แต่อังริเอตต้าก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร
     
    ที่ข้างเตียงมีถุงผ้าถุงหนึ่งมัดปากวางอยู่ เอ็กซ์ตรงไปที่ถุง แกะเชือก แล้วหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาวางลงบนเตียง เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกับคทาไม้สั้นๆ หนึ่งด้าม
     
    ที่โรมาเลียการพกอาวุธหราติดตัวในเมืองเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ถ้าเก็บไว้ในสัมภาระก็ไม่ถือว่าผิด ดังนั้นจะขนมาไว้ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น แต่ต้องเป็นคทาไม้ธรรมดาทั่วไป ไม้เท้าคริสตัลประจำตัวอังริเอตต้าเด่นเกินไป
     
    ส่วนเสื้อผ้านั้น ชุดหนึ่งเป็นชุดนักเดินทางที่เอ็กซ์สวมประจำ อีกชุดหนึ่งประกอบด้วยเสื้อแขนสั้น ถุงมือหนัง เล็กกิ้ง รองเท้าบูท เข็มขัด และสายรัดผม ดูภายนอกเหมือนนักเดินทางหรือทหารรับจ้าง ตรงข้ามกับคราบผู้ดีในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
     
    ถ้างั้นเธอเปลี่ยนก่อน ฉันจะรอด้านนอก
     
    แม้ในสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนตัวก็ไม่ควรประมาท จนกว่าจะกลับคืนชุดราชินีและองครักษ์ดังเดิม ทั้งคู่เป็นคนธรรมดาที่ใช้ภาษาธรรมดา
     
    เอ็กซ์ออกไปจากห้องและปิดประตู อังริเอตต้าต้องสวมเสื้อผ้าที่ไม่ชินเพียงคนเดียว แม้จะใช้เวลาไปบ้างแต่ในที่สุดทุกชิ้นก็เข้าที่จนได้
     
    เสร็จแล้วค่ะ
     
    เอ็กซ์เปิดประตูกลับเข้ามาและดูผลงาน
     
    เป็นอย่าง—เป็นยังไงบ้างคะ แปลกตรงไหนรึเปล่า?
     
    เรียบร้อยดี
     
    อังริเอตต้ารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้คำตอบมากกว่านั้น
     
    ต่อมาก็เป็นเอ็กซ์ ซึ่งให้อังริเอตต้าเลือกว่าจะรอข้างในหรือข้างนอก อังริเอตต้าใจไม่แข็งพอจึงเปิดประตูออกไปอย่างเดียวกับที่เอ็กซ์ทำ กลับเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงบอกว่าเสร็จแล้ว
     
    ม—เอ่อ เรียบร้อยดีค่ะ
     
    ขอบใจ
     
    อังริเอตต้าหยิกตัวเองในสมอง จะบอกว่า เหมาะดี ก็เป็นชุดที่เขาสวมประจำอยู่แล้ว เลยเปลี่ยนมาเป็นอีกคำ ก็ยังไม่จำเป็นอยู่ดี สติตัวเองจะกระเจิงไปถึงไหน
     
    เครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ขั้นตอนสุดท้าย อังริเอตต้าเดินไปที่โต๊ะซึ่งวางขวดแก้วที่นำติดตัวมาด้วยสามขวด แต่ละขวดมีของเหลวต่างสีบรรจุอยู่ สีน้ำตาลเข้ม สีเทา และสีทองหม่น
     
    เป็นน้ำยาเวทมนตร์สำหรับย้อมสี
     
    ฉันไม่เคยใช้ ต้องทำยังไงเหรอ?
     
    หยดหรือทาลงบนพื้นผิวที่ต้องการย้อมค่ะ หนึ่งหยดย้อมได้กว้างกว่าสีย้อมธรรมดา การกระจายก็สม่ำเสมอกว่า เห็นขวดเล็กๆ อย่างนี้ย้อมได้เยอะนะคะ
     
    ตั้งแต่ที่งานเลี้ยงริมทะเลสาบแล็กโดเรี่ยนเมื่อสี่ปีก่อนที่ให้หลุยส์ปลอมตัวเป็นตัวเอง อังริเอตต้าก็ไม่ได้ใช้อีกเลย แต่วิธีสร้างยังจำได้ดี และแน่นอนว่าคุณภาพก็ดีกว่าตอนเป็นเด็ก
     
    อืม...จะย้อมให้ตัวเองต้องมีกระจก ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้คนอื่นช่วย
     
    งั้นถ้าไม่ว่าอะไรก็ผลัดกันทำก็แล้วกันนะ
     
    ค่ะ...
     
    อังริเอตต้าซ้อมกับชุดของเอ็กซ์ก่อน เอ็กซ์ถอดเฉพาะเสื้อนอกวางลงบนโต๊ะ แล้วอังริเอตต้าก็หยดสีเทาลงบนเนื้อผ้า สีเงินเปลี่ยนเป็นสีเทา จุดเล็กๆ ที่หลงเหลืออังริเอตต้าก็ใช้นิ้วทา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วอังริเอตต้าก็หยิบคทาไม้ขึ้นมาร่ายคาถาล้างสีที่อยู่บนนิ้วออกไป
     
    แนบเนียนจริงๆ  อย่างกับเป็นสีนี้มาตั้งแต่แรก เอ็กซ์หยิบเสื้อตัวเองขึ้นมาดูด้วยความทึ่ง ไม่ทันไรสีก็แห้งสนิทแล้ว
     
    ต่อไปก็สีผม ช่วยนั่งบนเตียงด้วยค่ะ
     
    เอ็กซ์ทำตาม อังริเอตต้าค่อยๆ เทน้ำยาลงบนศีรษะของเอ็กซ์ เส้นผมสีบรอนซ์เทาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มตั้งแต่จุดที่ถูกน้ำยาไปจนถึงปลายเส้น
     
    กับเส้นผมแค่สัมผัสถูกน้ำยาก็จะเปลี่ยนสีทั้งเส้นได้เองค่ะ
     
    อังริเอตต้าใช้นิ้วจุ่มน้ำยาแตะเส้นที่เหลือๆ ก็เสร็จ
     
    ในชุดสีเทากับเส้นผมสีตาลเข้มที่หาได้ดาษดื่น ตราบเท่าที่ไม่หาภาพมาเปรียบเทียบ แค่มองผ่านๆ ไม่รู้แน่ว่าเป็นคนเดียวกัน
     
    ถึงตาอังริเอตต้านั่งเรียบร้อยบนเตียงบ้าง
     
    เอ็กซ์หยิบขวดที่เหลืออยู่มาเปิดฝา และตั้งใจทำตามอย่างอังริเอตต้า แต่ความไม่เคยชินทำให้เททีละน้อยๆ  และต้องใช้นิ้วช่วยมากกว่าตัวอย่าง ผลข้างเคียงคือนิ้วคนทาเปื้อนสี และคนนั่งก็กุมเข่ากลั้นใจจนหน้าแดงก่ำ
     
    ฟู่ เสร็จแล้ว ขอโทษทีที่ทำช้าไปหน่อย เอ็กซ์ชื่นชมผลงาน เส้นผมสีน้ำตาลเกาลัดเปลี่ยนเป็นสีทองหม่นครบทุกเส้น
     
    ข—ขอบคุณค่ะ
     
    อังริเอตต้านั่งรออยู่บนเตียง ดูเอ็กซ์เก็บขวดเปล่าและเสื้อผ้าที่สวมมาจากมหาวิหารคืนถุงมัดปาก แล้วจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา
     
    ? มีอะไรเหรอ?
     
    อ๊ะ ป—เปล่าค่ะ ก็แค่ ลอบออกมาข้างนอก อำพรางกาย เปลี่ยนสีผม ตอนที่ขึ้นครอง—ตอนที่...เปลี่ยนมาเป็นอาชีพตอนนี้ทำใจคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้มาทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ก็เลยรู้สึกคิดถึงตัวเองสมัยเด็กนิดหน่อยน่ะค่ะ
     
    อา เข้าใจเลย ตอนที่ฉันรับเป็นผู้นำเนโออาร์คาเดียก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริงต้องต้องแอบไปไหนมาไหนมากกว่าเดิมซะอีก
     
    ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะไปไหนก็เป็นเรื่องใหญ่โตไปหมดสินะคะ
     
    จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นคนดูแลแท้ๆ แต่ทำไมแค่จะเดินไปไหนมาไหนถึงยากเหลือเกิน
     
    อดีตผู้นำและราชินีปัจจุบันหัวเราะกับประสบการณ์ที่คล้ายกัน และก็สมกับคนในตำแหน่งดังกล่าว สามารถควบคุมตัวเองให้กลับเข้าเรื่องสำคัญได้ในทันที
     
    ทบทวนอีกครั้ง เราสองคนจะตระเวนไปตามจุดที่กำกับไว้ในแผนที่ สืบหาข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ข่าวลือ เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสันตะปาปาและการเคลื่อนไหวของโรมาเลีย จากนั้นจะกลับมาที่นี่ คืนชุดเดิม แล้วกลับมหาวิหารก่อนตะวันตกดิน
     
    อังริเอตต้าพยักหน้า
     
    ฉันกับคุณเป็นทหารรับจ้างที่เพิ่งเสร็จงานคุ้มกันขบวนสัมภาระมาที่เมืองหลวงสินะคะ
     
    ฉันชื่อ [เลแวนท์]”
     
    ส่วนฉันชื่อ [อิรีนน์]”
     
    เลแวนท์กับอิรีนน์พยักหน้า ทบทวนบทบาทที่จำเป็นแล้วก็ถึงเวลาออกปฏิบัติ ทั้งคู่ออกจากห้อง เลแวนท์พกกุญแจกับแผนที่ ส่วนอิรีนน์เก็บคทาไว้ในรองเท้าบูท ลงบันไดมาที่ชั้นล่าง
     
    อิรีนน์ชำเลืองมองชายที่เคาน์เตอร์ และหวั่นใจที่อีกฝ่ายมองตอบ แต่แค่ชั่วอึดใจก่อนจะเลื่อนสายตากลับไป ปราศจากท่าทีว่าใส่ใจในธุระของคนแปลกหน้าสองคน
     
    ทั้งคู่ออกจากโรงเตี๊ยมตามหลังชายหญิงอีกคู่หนึ่งไปติดๆ ผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งกายเหมือนคนงานก่อสร้างหรือใกล้เคียง  ผู้หญิงอายุยี่สิบถึงสามสิบ แวบแรกเครื่องแต่งกายดูค่อนข้างมิดชิด แต่มองดูสักพักวิธีการใส่ดูเปิดเนื้อหนังในจุดที่ไม่เตะตาแวบแรก
     
    อิรีนน์หยุดเดินและเหลียวหลังมองชายหญิงคู่นั้นเดินกลับไปทางถนนใหญ่ที่พวกตัวเองผ่านมา เลแวนท์หยุดเช่นกันและหันไปถามเพื่อนร่วมทาง
     
    มีอะไรเหรอ?
     
    ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่ สองคนเมื่อกี้นี้เป็นคู่รักกันรึเปล่า?
     
    ระหว่างสองคนนั้นอิรีนน์สัมผัส อุณหภูมิ ที่ไม่น่าจะมีระหว่างเพื่อนหรือคนรู้จักธรรมดา แต่ขณะเดียวกันก็ราวกับขาดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
     
    อา จะว่าเป็นก็เป็น แค่ชั่วคราว
     
    ชั่วคราว...?
     
    อิรีนน์กะพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกขึ้น
     
    ในวินาทีนั้นอิรีนน์ก็ได้คำตอบว่ากลิ่นปริศนานั้นมาจากไหน และต้องเอามือปิดใบหน้าที่ร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
     
    ที่พักที่คนของเราเตรียมไว้ไม่น่าโสภานัก แต่ก็จำเป็นหากต้องการหลบเลี่ยงสายตาของทางโรมาเลีย ต้องขอประทานอภัยล่วงหน้าเพคะ
     
    อ๊า...อย่างนี้นี่เอง...ที่อาเนียสเตือนหมายถึงอย่างนี้นี่เอง...
     
    ก็จริงที่ถ้าเป็นสถานที่ที่ทำอย่างนี้แล้วยังไม่โดนจับได้ โอกาสที่จะพบกับอัศวินวิหารหรือเรื่องจะแพร่งพรายออกไปก็แทบจะไม่มี
     
    ...เพิ่งจะรู้สินะว่าที่นั่นเป็นที่แบบไหน
     
    อิรีนน์พยักหน้าทั้งยังปิดหน้า
     
    คุณ...เคยเข้าที่แบบนั้นมาก่อนเหรอคะ
     
    ถึงได้รู้ คือความหมายที่คิดทีแรก แต่พอถามออกไปก็รู้สึกตัวว่าอีกความหมายหนึ่งที่เห็นง่ายกว่าคืออะไร
     
    ครั้งนึง นานมาแล้ว สมัยที่เพิ่งมาถึงโลกนี้แรกๆ และไม่ค่อยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คิดแค่ว่าเป็นที่พัก ไม่ได้คิดมากกว่านั้น
     
    ยังงั้น...เหรอคะ
     
    รู้สึกจะเป็นตอนนั้นล่ะที่รู้สึกตัวว่ารู้จักมนุษย์ไม่ดีเท่าที่คิดไว้
     
    ความรู้สึกของอิรีนน์ต่อคำถามและคำตอบนั้นพลิกไปมาหลายตลบเสียจนตัดสินใจพยายามเลิกคิดถึงมันไป
     
    ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศรัทธา ในเมืองหลวงที่มหาวิหารตั้งอยู่ สถานที่แบบนั้น...
     
    อิรีนน์รู้ดี ขีดจำกัดของอำนาจผู้ปกครอง ไม่ว่าจะตั้งมั่นกับทิศทางในการเปลี่ยนแปลงประเทศเพียงใดก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้อยู่ โรงเตี๊ยมโทรมๆ แห่งนั้นก็เป็นหลักฐานหนึ่งในโรมาเลียแห่งนี้
     
    เลแวนท์ดูแผนที่และนำเดินทะลุตรอกมาโผล่ที่ถนนอีกเส้น
     
    ถนนเส้นนี้เล็กกว่าถนนใหญ่ที่ผ่านหน้ามหาวิหาร แต่ความสะอาดกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ด้อยกว่ากัน พื้นสะอาดปราศจากขยะ โคมไฟข้างถนนที่เรียงห่างกันพอดีทุกดวง แสงอาทิตย์สะท้อนหินสีขาวบนถนนสว่างไปทุกทิศทาง ถ้าแค่จุดนี้ก็สมกับที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสง
     
    กับเมื่อกี้นี้อย่างกับคนละโลกกันเลยนะคะ
     
    ถ้าเป็นเมืองใหญ่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะนะ
     
    ตรอกเมื่อครู่นี้แม้ไม่ถึงกับสกปรก แต่เทียบกับถนนใหญ่แล้วก็เหมือนกลางคืนกับกลางวัน
     
    ตามประวัติศาสตร์แล้วราชอาณาจักรโรมาเลียในอดีตประกาศตนเป็นประเทศศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะเริ่มการรวบรวมนครรัฐอื่นๆ เป็นประเทศราช ผังเมืองที่แบ่งเป็นสัดส่วนเรียบร้อยราวตารางหมากรุกในปัจจุบันก็เป็นการปรับปรุงในสมัยนั้นเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์ดังที่โฆษณา แต่ภาพอันเป็นระเบียบที่เห็นจากบนฟ้าก็ซ่อนอีกภาพหนึ่งไว้เมื่อลงมาดูถึงที่
     
    ด้านมืดของประเทศแห่งแสง หาง่ายกว่าที่คิดไว้ซะอีก
     
    แน่นอนอิรีนน์รู้ว่าประเทศไหนๆ รวมถึงทริสเทนที่อตัวเองปกครองก็มีอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่เมื่อคิดอย่างนี้แล้วการจะสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของอาณาจักรแห่งแสงนี้ก็ดูเป็นไปได้ขึ้นมา
     
    เลแวนท์ดูแผนที่อีกครั้งด้วยสีหน้าครุ่นคิด
     
    อืม...สถานที่ส่วนใหญ่เป็นผับหรือไม่ก็บาร์ มีแต่ที่ที่ไม่น่าไปแต่เช้าๆ สายๆ ทั้งนั้น
     
    ผับบาร์ สถานที่รวบรวมข้อมูลประเภทข่าวลืออันดับต้นๆ  อิรีนน์เองก็ยังเคยไหว้วานเพื่อนรักให้แฝงตัวเข้าไปสืบว่าราษฎรมีความเห็นอย่างไรกับการปกครองทริสเทนในปัจจุบัน แล้วก็ได้ผลตามคาด ในรายงานเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ไม่มีวันได้ยินนอกเคหะสถานหลังตะวันตกดินเด็ดขาด
     
    เงื่อนไขคือต้องกลับไปก่อนตะวันตกดิน ลำบากแล้วสินะ...
     
    อิรีนน์ตัวเกร็งขึ้นมา นึกถึงบทสนทนากับอาเนียสเมื่อคืนระหว่างที่องครักษ์อีกคนไปอาบน้ำ
     
    พูดตามตรง ภารกิจครั้งนี้คาดหวังอะไรไม่ได้เลยเพคะ หัวหน้าหน่วยปืนคาบศิลากล่าวหน้าตาย
     
    ...ท่านก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันสินะ
     
    หม่อมฉันทราบมาว่ามิสวาลลิแยร์เคยช่วยเป็นสายข่าวให้กับฝ่าบาทและได้รายงานที่เป็นประโยชน์มาไม่ใช่น้อย แต่ครั้งนั้นมิสวาลลิแยร์อยู่ในตำแหน่งที่สามารถฟังบทสนทนาได้ตลอดเวลา ทุกวันโดยไม่ถูกสงสัยหรือระแวง เป็นเวลาถึงสองเดือน เทียบกันแล้วที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปกับเอ็กซ์ในวันพรุ่งนี้ไม่ต่างจากการเสด็จประพาสเมืองเลยเพคะ
     
    ตามที่อ้างกับองค์สันตะปาปาเลยสินะ...
     
    ฉะนั้นทรงลืมเรื่องภารกิจแล้วเสด็จประพาสตามพระประสงค์เถิดเพคะ
     
    เอะ—แบบนั้นไม่ได้หรอก ทั้งท่านทั้งหน่วยปืนลงแรงเตรียมการสำหรับแผนการนี้ไม่ใช่เพื่อความสุขส่วนตัวของข้า
     
    หม่อมฉันคงกล่าวแทนสมาชิกหน่วยคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่หม่อมฉันลงแรงไปก็เพื่อความสุขส่วนพระองค์ของฝ่าบาทนั่นล่ะพะยะค่ะ
     
    เอ๋? แต่ว่าคุณเอ็กซ์ตั้งใจกับภารกิจขนาดนั้น ถ้าข้าทำอะไรเอาแต่ใจอย่างนั้นจะถูกว่าเอาได้
     
    อาเนียสไม่พูดออกมา แต่อังริเอตต้ารู้จักองครักษ์ตัวเองมานานพอจะอ่านได้ สีหน้าเบื่อหน่ายนิดๆ บอกว่า คนเป็นราชินีเป็นฝ่ายกังวลจะถูกสามัญชนคนเดียวต่อว่าเสียอย่างนั้น
     
    เจ้านั่นก็รู้อย่างเดียวกับเราล่ะเพคะ ว่าภารกิจครั้งนี้คาดหวังอะไรไม่ได้ ที่แสดงออกว่าตั้งใจเช่นนั้นก็เพราะเกรงใจฝ่าบาท
     
    ...อย่างนั้นเหรอ?
     
    สีหน้าอาเนียส: ทรงไม่เห็นจริงๆ หรือเพคะ?’ “เช่นนั้นล่ะเพคะ อย่างไรเสียก็คงยังติดใจเรื่องที่ปราสาทอาฮัมบราอยู่ คงจะยังเกรงใจฝ่าบาทไปอีกพักใหญ่ ดังนั้นฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใดก็ใช้เจ้านั่นให้คุ้มเถิดเพคะ
     
    ถ้าทำอย่างนั้น...มีความรู้สึกว่าใครอีกคนจะต่อว่าข้าภายหลัง เช่นคนที่อยู่ที่โรงเรียนทริสเทนตอนนี้
     
    ...ถ้าไม่รู้ก็ไม่เสียหาย พรุ่งนี้เจ้านั่นอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าบาทแล้วเพคะ จะทรงลากไปรอบเมือง ให้พาปีนกำแพงข้ามลำธารก็แล้วแต่พระประสงค์ ที่จริงแล้ว โปรดทำเช่นนั้นเถิดเพคะ
     
    อาเนียส...ยังเคืองเขาเรื่องเมื่อวันก่อนอยู่สินะ
     
    ทรงคิดไปเอง
     
    อิรีนน์กลืนน้ำลาย ละเรื่องที่อาเนียสหวังเล่นงานเลแวนท์ทางอ้อมไป ตอนนี้ชายหนุ่มข้างหน้าอยู่ในมือตัวเองแล้ว จะใช้ให้ทำอะไรก็ได้
     
    จะอย่างนี้ หรือว่าอย่างนั้น แม้แต่เรื่องอย่างว—อ๊า! เรื่องแบบนั้นอีกแล้ว เลิกคิด! เลิกคิด!’
     
    อิรีนน์โทษความคิดไม่งามของตัวเองกับคู่ชายหญิงเมื่อครู่
     
    อิรีนน์
     
    “! เปล่านะคะ!”
     
    เอ๋?
     
    อ๊ะ
     
    อิรีนน์รวบรวมสติกับความกล้า กระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
    ถ้าอย่างนั้นพวกเรา...หาข้อมูลข้างนอกก่อนมั้ยคะ อาจจะได้อะไรบ้างก็ได้
     
    เลแวนท์เลิกคิ้วมองอิรีนน์ท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า
     
    นั่นสินะ ถ้ายังไงก็จะคลำหาในที่มืดอยู่แล้วก็ใช้เวลาให้เต็มที่ดีกว่า
     
    อิรีนน์ถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจ
     
    แล้วมีที่ไหนที่อยากไปรึเปล่าล่ะ?
     
    อิรีนน์กลั้นหายใจ แววตาและรอยยิ้มอย่างที่คุ้นเคย ทั้งสองสิ่งดูคล้ายกับสันตะปาปา อ่อนโยนและดูเฉลียวฉลาด ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าคิดอะไรอยู่
     
    หรือว่าเขาจะรู้...?
     
    ไม่มีทางได้คำตอบหากไม่ถาม แต่อิรีนน์ก็ไม่อยากจะอายไปมากกว่านี้จึงทำเหมือนความสงสัยนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
     
    นั่นสินะคะ ถ้างั้น...ไปที่ลานกว้างก่อนก็แล้วกันค่ะ
     
    ก็ดีเหมือนกัน ตามแผนที่แล้วก็...
     
    เลแวนท์ดูแผนที่แล้วเริ่มเดินนำไปทางลานกว้าง
     
    กลางลานกว้างเป็นน้ำพุสามชั้นรูปทรงโรมาเลีย รอบข้างเป็นร้านค้าแผงลอย คนซื้อคนขายต่อรองราคากันเสียงจอแจ อิรีนน์มองไปรอบๆ อย่างตื่นตา
     
    ตลาดเนี่ยที่ไหนๆ ก็ไม่ต่างกันเลยนะ ที่ทริสเทนก็เหมือนกัน
     
    ค่ะ...
     
    ที่ถนนบัวร์ดุนนีของทริสเทนเองก็เป็นภาพคล้ายๆ กัน ตัวเองก็เคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่บรรยากาศนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย เสียง ภาพ ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ราวกับอาบความรู้สึกของชาวเมืองทั่วร่าง
     
    สมัยยังเด็กฉันกับหลุยส์เคยไปเดินเที่ยวในเมือง บรรยากาศตอนนั้นก็อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ค่ะ แต่หลังจากโตขึ้น ต้องเป็นองค์หญิงตลอดเวลา ย่านการค้าที่ฉันรู้จักก็มีแต่ถนนเส้นยาวที่ผู้คนยืนเรียงกันเป็นแถวเปิดทางให้กับขบวนรถม้าที่ฉันนั่ง ราวกับมีกำแพงกั้นอยู่ ...อ๊ะ ต้องปิดบังตัวตนสินะคะ ขอโทษด้วยค่ะ...
     
    อังริเอตต้ารู้สึกตัวและบังคับตัวเองกลับเป็นอิรีนน์อีกครั้ง
     
    เลแวนท์ไม่กล่าวโทษด้วยคำพูดหรือสายตา เพียงแต่ยิ้มรับ
     
    ถ้างั้นไปเดินดูรอบๆ กันหน่อยมั้ยล่ะ
     
    อิรีนน์พยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินดูรอบลานกว้าง
     
    ถ้าจะมีข้อใดที่เป็นเอกลักษณ์ของย่านการค้าแห่งนี้ก็คือการแบ่งพื้นที่และจัดเรียงร้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่หาในประเทศอื่นได้ยาก แต่เมื่อเพิ่มลูกค้านักท่องเที่ยวเข้าไปแล้ว ภาพความวุ่นวายก็ไม่ต่างกัน
     
    หลังจากเดินผ่านแผงขายของสดและเครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านมาได้สักพัก อิรีนน์ก็สะดุดตาแผงหนึ่ง เป็นโต๊ะไม้ธรรมดาปูด้วยแผ่นหนังเก่าๆ  เจ้าของร้านเป็นชายวัยสามสิบแต่งตัวเหมือนพ่อค้าทั่วไป
     
    สินค้าบนแผงนอกจากจะมีความหลากหลายทั้งรูปร่างและสีสันแล้ว บางชิ้นอิรีนน์ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร โดยรวมแล้วแผงนี้ขายอะไรกันแน่
     
    ...ร้านของที่ระลึกน่ะ
     
    อะ ค่ะ อิรีนน์นึกสงสัยในใจว่าตัวเองความคิดอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ
     
    อ๊ะ แต่ถ้าเป็นของที่ระลึก...จะซื้อกลับไปซักชิ้นสองชิ้นดีมั้ยนะ?
     
    ถ้าเป็นอุปกรณ์ทำครัว เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องมือทำงาน เสื้อผ้า ถึงซื้อไปก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่ถ้าเป็นของประดับตกแต่งเล็กน้อยที่ใส่ในห้องตัวเองหรือนำติดตัวได้ก็น่าจะไม่มีปัญหา
     
    คุณหนูสนใจชิ้นไหนลองหยิบดูได้นะ! รับรองได้ว่าทุกชิ้นมีแต่ที่โรมาเลียเท่านั้น! ดูสร้อยเส้นนี้สิครับ สีสันสวยงามใช่มั้ยล่ะ! ทำจากเปลือกหอยที่หาได้เฉพาะชายหาดทางตะวันตกและทางใต้ของโรมาลัยเท่านั้น! หรือว่าจะกระถางเผาเครื่องหอมนี่ งานฝีมือเลยนา! ลวดลายแบบนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักบวช โบสถ์หลายๆ ที่ก็ใช้กัน!”
     
    อิรีนน์ผงะ ไม่เคยถูกโฆษณาสินค้าอย่างดุเดือดขนาดนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เลแวนท์มองแผงแล้วก็พูด
     
    มีอะไรที่อยากได้รึเปล่า? ถ้ามีก็อย่าให้เกินชิ้นเดียวนะ อย่าให้รบกวนงานต่อไปของเราด้วย
     
    โอ้ พี่ชายก็มาด้วยกันสินะ ทำงานอะไรกันล่ะ?
     
    ทหารรับจ้าง แต่รับงานพิเศษหน่อย โทษทีนะที่บอกไม่ได้
     
    ไม่เป็นไรๆ! เชิญเลือกได้ตามสบายเลย!”
     
    เจ้าของร้านเว้นช่องให้หายใจหายคอบ้าง อิรีนน์นึกขอบคุณเลแวนท์ในใจแล้วก็ตั้งใจดูสินค้า
     
    อืม...มีหลากหลายขนาดนี้พอถูกบอกว่าชิ้นเดียวแล้วก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดีเลย...
     
    เมื่อพิจารณาจนลงมาเหลือแค่สามชิ้น อิรีนน์ก็เริ่มกังวลว่านานเกินไปจะรบกวนเจ้าของร้านกับลูกค้าคนอื่น จึงตัดสินใจเลือกมาชิ้นหนึ่ง
     
    โอ้ คุณหนูมีรสนิยมจริงๆ! หุ่นสัมฤทธิ์ตัวนี้เป็นรุ่นสุดท้ายของช่างฝีมือเยี่ยม! ที่จริงขายเป็นชุด แต่เจ้าตัวนี้กับเพื่อนมันสองตัวหลุดกลุ่มมาเพราะคนทำลืมลงคาถาคงสภาพ ฉันเลยได้มาขายถูกๆ! ถ้าขายปกติตกตัวละเป็นสิบเอคิวเลยนะ! แต่เจ้าตัวนี้ฉันขายสองเหรียญทองใหม่พอ! ถูกใช่มั้ยล่ะ!”
     
    อิรีนน์มองดูหุ่นสัมฤทธิ์รูปคนสวมชุดนักบวชตัวเท่าฝ่ามือที่ถืออยู่ ไม่รู้เลยว่าราคาถูกหรือไม่ แล้วที่เจ้าของร้านกล่าวมาเป็นเรื่องจริงกี่ส่วน แต่อิรีนน์ถูกใจตัวนี้เพราะเหตุผลส่วนตัว
     
    มีอะไรที่เหมาะจะเป็นของฝากให้คนเป็นอัศวินมั้ย พอดีอยากซื้อไปฝากเพื่อนน่ะ
     
    อิรีนน์เงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของร้านหันไปแนะนำสินค้าให้เลแวนท์ที่ตั้งใจฟัง
     
    มีเพื่อนในที่สูงด้วยนะพี่ชาย! ถ้างั้นสายประดับคทานี่เป็นยังไงล่ะ ไม่ได้เป็นโลหะราคาแพง แต่ก็...ทำจากขนของเพกาซัสเลยนะ เจ้าของร้านยื่นหน้าเข้ามากระซิบตอนท้าย
     
    จริงเหรอ? ได้มายังไงน่ะ? เลแวนท์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยพลางมองเชือกเส้นสั้นๆ ที่ติดพู่ขนสีขาวเล็กๆ
     
    เก็บเอาแถวนี้ล่ะ พวกอัศวินวิหารขี้อวดจะตาย เตร่ไปเตร่มาบนหลังเพกาซัสไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าตั้งใจจริงล่ะก็หาเก็บได้ง่ายจะตายไป แต่ก็ไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรหรอก มีดีแค่เป็นขนเพกาซัสแท้ๆ สำหรับคนชอบ
     
    เลแวนท์พยักหน้า รู้สึกทึ่งอีกครั้งกับหัวการค้าของมนุษย์ที่เปลี่ยนทุกอย่างให้มีราคาได้
     
    น่าสนใจนะ...แต่เพื่อนของฉันไม่ได้เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เลยไม่มีคทา
     
    เอ๋? อัศวินแต่ไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์? พี่ชายมาจากประเทศไหนเนี่ย?
     
    ทริสเทน
     
    โอ้ จริงสินะ รู้สึกเหมือนจะได้ยินข่าวลือว่ามีหน่วยอัศวินที่เป็นสามัญชน เรื่องจริงสิเนี่ย ยังงี้นี่เอง ยังงี้นี่เอง เจ้าของร้านพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง
     
    ถ้างั้นแนะนำของเด็ดๆ ให้เลย
     
    เจ้าของร้านหยิบวัตถุโลหะทรงยาวหัวมนยาวประมาณสิบห้าเซนติเมตรขึ้น
     
    ที่กลัดผ้าคลุม ถึงไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์แต่เป็นอัศวินก็ต้องมีผ้าคลุมใช่มั้ยล่ะ?
     
    เลแวนท์พยักหน้าพลางรับที่กลัดผ้าคลุมจากเจ้าของร้านค้ามาดู ทำจากทองเหลือง มีลวดลายนูนด้านหนึ่งเป็นรูปม้าศึกยกขาคู่หน้า อีกด้านเป็นกุหลาบสามดอก เจ้าของร้านเข้ามากระซิบอีกครั้ง
     
    ไม่ใช่แค่กลัดผ้าคลุมได้อย่างเดียวนะ ถ้ากดตรงกุหลาบดอกตรงกลางล่ะก็...จะตกใจ อย่าทำต่อหน้าอัศวินวิหารก็แล้วกัน ไม่งั้นไม่รับผิดชอบนะ
     
    เลแวนท์สบตากับเจ้าของร้านซึ่งยิ้มยักคิ้วอย่างเป็นนัย แล้วก็พอเข้าใจ
     
    ถ้างั้นสองอันเท่าไหร่?
     
    สองอันห้าเหรียญทองใหม่ไปเลยก็แล้วกัน ลดให้นิดหน่อย
     
    รวมกับนั่นด้วย
     
    ในชุดมีเงินจำนวนหนึ่งเตรียมมาให้พร้อม เลแวนท์จ่ายเจ็ดเหรียญทองใหม่ เสร็จแล้วก็หันกลับไปเจอกับอิรีนน์ที่มองตัวเองตาปริบๆ
     
    ...ซื้อไปฝากอาเนียสเหรอคะ?
     
    อืม
     
    ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร ที่พวกตัวเองสองคนได้ออกมาเดินอยู่ในเมืองได้อย่างวางใจก็เพราะหัวหน้าหน่วยปืนคนนั้น มีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปถือว่าสมควรตามธรรมเนียมเสียด้วยซ้ำ
     
    แต่อิรีนน์ก็ยังอดจ้องเลแวนท์หน้าตายไม่ได้อยู่พักหนึ่ง
     
    ทั้งคู่จากร้านของที่ระลึกมา เดินดูแผงอื่นต่อ ระหว่างนั้นอิรีน์ก็พูดขึ้น
     
    รู้มั้ยคะ เพื่อโอนงบประมาณไปสนับสนุนการบุกโจมตีอัลเบี้ยน ที่ราชวังทริสเทนต้องปรับอะไรหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือราชินีห้ามหน่วยราชองครักษ์คล้องโซ่เงินประดับคทาเพื่อเป็นตัวอย่างในการละความหรูหราฟุ่มเฟือย
     
    ? ไม่รู้เลย สีหน้าเลแวนท์ราวกับจะถามอีกว่า ทำไมถึงพูดขึ้นตอนนี้
     
    ตอนนี้สถานการณ์ทางการเงินของทริสเทนยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มร้อย ต่อไปราชินีอาจจะห้ามอัศวินใช้ที่กลัดผ้าคลุมมีลวดลายก็ได้นะคะ
     
    เห? สีหน้าเลแวนท์สงสัยอะไรหลายอย่าง เช่น ราชินีก็เธอไม่ใช่เหรอ กับ ทำไม?
     
    อิรีนน์เดินไปดูแผงต่อไปโดยไม่หันกลับมาให้คำตอบ
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ช่วงเช้าเหมือนผ่านไปในพริบตาสำหรับอิรีนน์
     
    ในชีวิตสิบแปดปีเป็นครั้งแรกที่ได้เดินไปในเมืองด้วยขาของตัวเอง ฟัง ดู สัมผัสโดยไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องสถานะ
     
    ดูดอกไม้ในร้านโดยไม่ต้องรู้สึกเห็นใจเจ้าของร้านที่เกร็งจนตัวสั่น เข้าร้านเสื้อผ้าราคาถูกได้โดยไม่มีผู้ติดตามห้ามปราม แวะตลาดที่คนพลุกพล่านโดยไม่ต้องมีใครเป็นห่วงความปลอดภัย
     
    ครั้งหนึ่งที่ได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชน ไม่ใช่มองลงมาจากที่สูง
     
    ตลอดเวลานั้นคนที่นำทางและคอยตอบข้อสงสัยเป็นคนที่น่าจะแปลกถิ่นมากกว่าเสียอีก
     
    ใกล้ได้เวลามื้อกลางวันแล้ว ไปหาร้านแถวๆ นี้กันมั้ย?
     
    ก็ดีนะคะ
     
    ทั้งคู่เข้าบทบาทคนเดินเที่ยวในเมืองแทบจะเต็มร้อย
     
    ใช่ว่าจะลืมภารกิจเดิมไปโดยสิ้นเชิง แต่คำถามง่ายๆ ที่ถามโดยไม่ดูมีพิรุธนั้นก็ได้รับคำตอบไปในทางเดียว ว่าองค์สันตะปาปาเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสไม่แพ้คนก่อนๆ แม้อายุยังน้อย ว่าตั้งใจเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นจริง เพิ่มเติมจากผู้ตอบที่เป็นเพศหญิงก็คือมีรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล ทั้งหมดทั้งมวลแล้วก็เพียงแต่เสริมภาพลักษณ์เดิมว่าเป็นผู้ปกครองที่ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศของตัวเอง
     
    การสืบข้อมูลแบบคลำหาในที่สว่างในช่วงเช้าผ่านไป เป็นเวลาพักกลางวัน
     
    เลแวนท์ดูแผนที่ และพาเลี้ยวเข้าซอยทางขวา เทียบกับหลายตรอกซอกซอยที่เข้าออกมา ความแคบปานกลาง บรรยากาศและความสว่างก็ปานกลาง เหมือนตรอกขนาดกลางทั่วๆ ไปที่หาที่ไหนก็ได้
     
    เลแวนท์ตรงไปที่ผับแห่งเดียวในซอย ที่นี่ดูเป็นผับจริงๆ เพราะมีลูกค้าจริงๆ  ไม่ใช่แค่โต๊ะเปล่าเหมือนที่พักที่ทั้งคู่ไปฝากเสื้อผ้าไว้
     
    ก่อนเข้าไปเลแวนท์พูดกับอิรีนน์เสียงเบา
     
    ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ แต่ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่วงไว้ในแผนที่*
     
    อังริเอตต้าชะงัก ก่อนจะพยักหน้า
     
    เข้าใจแล้วค่ะ
     
    เล่นมามากแล้ว อังริเอตต้าก็รู้สึกว่าได้เวลาทำงานจริงๆ จังๆ เสียที
     
    หลังจากสูดหายใจลึกๆ เตรียมใจแล้วอิรีนน์ก็ตามหลังเลแวนท์ผ่านประตูที่ไม่หักและบานพับไม่ส่งเสียงร้องดังนักเข้าไปนั่งที่โต๊ะว่าง อิรินน์สังเกตเห็นคนในผับบางคนชำเลืองมาทางพวกตัวเอง
     
    ขาประจำน่ะ เห็นพวกเราไม่คุ้นหน้า ทำตัวเป็นธรรมชาติไว้
     
    อิรีนน์ห้ามตัวไม่ให้พยักหน้าหรือตอบกลับและพยายามทำตัวให้ผ่อนคลายที่สุด แต่ไม่แน่ใจว่าธรรมชาติในผับเป็นอย่างไรจึงออกมาเหมือนประหม่านิดๆ แบบคนไม่คุ้นที่ ส่วนเลแวนท์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของร้านไปแล้ว
     
    พนักงานเข้ามารับรายการแล้วก็กลับไป ความจดจ่อกับภารกิจทำให้อิรีนน์ไม่มีอารมณ์จะตั้งใจเลือกอาหารเสียด้วยซ้ำ น่าเสียดายโอกาสที่จะได้สัมผัสการรับประทานอาหารในเมืองสักครั้ง
     
    ตอนนั้นความหมายของคำขอโทษเมื่อครู่ก็ชัดเจน พร้อมกับความจริงอีกข้อ
     
    อา...เขารู้จริงๆ ด้วย และยอมเป็นเพื่อนเที่ยวตามใจอิรีนน์ ตามที่อาเนียสคาดไว้
     
    เพื่อเป็นการตอบแทนอย่างน้อยก็ควรจะตั้งใจให้สมกับที่พูดเอาไว้ว่าออกมาทำงาน
     
    ระหว่างที่รออาหารเลแวนท์ก็ชวนคุย
     
    งานเสร็จแล้ว กว่างานต่อไปจะมาก็เมื่อไหร่ไม่รู้ ระหว่างนี้ทำอะไรดี?
     
    อิรีนน์สะดุ้ง เนื้อหาการพูดคุยสัพเพเหระไม่ได้ตกลงกัน แต่ต้องพูดอะไรสักอย่าง ทางที่เหลือจึงมีเพียงยึดตามบทบาทที่วางไว้แล้วด้นสดไป
     
    นั่นสินะคะ อุตส่าห์มาทั้งที ก็คงเดินเที่ยวล่ะมั้งคะ?
     
    อิรีนน์เกือบตบหน้าผากตัวเองเรื่องภาษาที่ใช้พูด แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็มีแต่ต้องไปตามนั้น
     
    ที่เที่ยวเหรอ...ถึงกับเรียกกันว่าประเทศศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรแห่งแสง น่าจะมีที่ให้ไปอยู่บ้างล่ะมั้ง อย่างมหาวิหารที่สันตะปาปาคนใหม่อยู่นั่นน่ะ
     
    ที่แบบนั้นจะให้คนนอกเข้าเหรอคะ?
     
    ฮืม ไม่ลองไปดูก็ไม่รู้
     
    อาหารมาถึง ทั้งคู่เริ่มลงมือรับประทานอย่างเงียบๆ  อิรีนน์ไม่มั่นใจพอจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน แค่รับรสชาติอาหารยังทำได้ลำบาก
     
    ผ่านไปครึ่งจานเลแวนท์ก็พูดขึ้น
     
    พูดถึงวิหาร สันตะปาปาคนใหม่นี่เห็นว่าอายุยี่สิบกว่าๆ เองนี่จริงรึเปล่า?
     
    เอ ก็ได้ยินมาว่าอย่างนั้นนะคะ
     
    ไหวเหรอนั่นน่ะ ปกติคนเป็นบาทหลวงต้องแบบเป็นคนแก่ๆ ดูผ่านโลกมามากน่าเลื่อมใสอะไรอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ?
     
    เอ่อ เท่าที่ได้ยินมาสันตะปาปาองค์ปัจจุบันเป็นที่เคารพของรา—ผู้คน ผลงานก็มีเยอะแล้วด้วย บางคนว่าราวกับองค์ศาสดากลับลงมาจุติอีกครั้งหนึ่งเลยค่ะ
     
    เห สุดยอดเลยนี่ อายุน้อยแท้ๆ แต่ทำดีกว่าคนเก่าๆ อีกเหรอ ตัวจริงจะเป็นพ่อพระขนาดไหนนะ ชักอยากเห็นแล้ว
     
    หึ
     
    เสียงแค่นหัวเราะมาจากโต๊ะด้านหลังเลแวนท์ ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งเพิ่งหันหน้ากลับไป แต่จากฝั่งที่อิรีนน์นั่งเห็นว่าชายคนนั้นฟังบทสนทนาอยู่
     
    ฉันพูดอะไรผิดเหรอ? เลแวนท์หันหลังกลับไปถาม
     
    เปล่า ไม่มีไร
     
    เสียงตอบกับยักไหล่จงใจให้ดูเยาะเย้ย
     
    นึกว่าสันตะปาปาคนปัจจุบันเป็นที่รักของทุกคนซะอีก
     
    ในที่สุดชายคนนั้นก็หันหน้ามา เป็นใบหน้าของชายวัยราวสามสิบปลายๆ ที่มีแผลเป็นถูกของมีคมกับไฟเผา
     
    ไอ้หนู ไม่เคยมาโรมาเลียล่ะสินะ
     
    ก็ครั้งแรก
     
    ถ้างั้นก็อย่าสงสัยมาก เที่ยวให้สนุกไปก็พอแล้ว
     
    พูดจบชายมีแผลเป็นก็หันกลับไปหาเพื่อนร่วมโต๊ะที่สังเกตสถานการณ์อย่างระแวดระวัง
     
    เลแวนท์เองก็หันกลับมาหาเพื่อนร่วมโต๊ะ
     
    อิรีนน์ สันตะปาปาคนปัจจุบันทำอะไรให้คนทั่วไปไม่พอใจด้วยเหรอ?
     
    อ—เอ อิรีนน์ชั่งใจว่าควรตอบอย่างไร ก็...ไม่นะคะ ได้ยินว่าทั้งตั้งเมืองปลอดภาษี กำกับราคาขนมปังให้ราคาถูกด้วย น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระได้...
     
    เสียงแค่นหัวเราะมาจากทิศเดิม
     
    แน่น้อน ท่านนักบุญ ผู้มาโปรดคนยากไร้ เด็กเมื่อวานซืนเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นล่ะสิ แต่ฉันเคยเห็นมาเป็นสิบแล้ว อย่างสันตะปาปาคนก่อนนั่นไง
     
    บรรยากาศในผับเริ่มอึดอัดขึ้นมา เพื่อนร่วมโต๊ะเตือน ชายมีแผลเป็นก็ลดรอยยิ้มลง แต่ยังไม่ลืมทิ้งท้าย
     
    เห็นไอ้โรงเตี๊ยมสกปรกๆ ในหลืบติดกับถนนใหญ่นั่นมั้ย? ได้ยินเรื่องพวกนักบวชนักบุญตั้งหน้าเตรียมอาวุธเตรียมทหารแถวชายแดนบ้างมั้ย? ถ้าดูแล้วยังคิดยังงั้นได้อยู่อีกก็ไม่มีอะไรจะพูดล่ะ
     
    หลังจากนั้นบรรยากาศในผับก็เงียบกริบไปพักใหญ่ กว่าจะเริ่มมีเสียงพูดคุยกลับมาก็ตอนที่เลแวนท์และอิรีนน์จ่ายเงินและกลับออกมา
     
    ทั้งคู่เดินต่อไปในตรอกเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
     
    ...ชายแดน
     
    ...ค่ะ
     
    โรมาเลียติดกับกาเลียเท่านั้น
     
    คงไม่ใช่...สงครามหรอกนะคะ
     
    ไม่แน่ ทางโรมาเลียไม่น่าจะเริ่มก่อน แบบนั้นจะขัดกับภาพลักษณ์ที่สร้างไว้ แต่อาจจะทำอะไรให้ฝ่ายกาเลียจู่โจมเข้ามา
     
    หรือจะเป็นแผนการปราบกาเลียที่ตรัสไว้...แต่ที่ตรัสในที่ประชุมเพียงแต่กล่าวว่าจะบีบคั้นให้สละบัลลังก์เท่านั้น ไม่ได้ตรัสเกี่ยวกับสงครามไว้เลย...
     
    อาจเป็นมาตรการรับมือผู้ใช้ความว่างเปล่าฝ่ายกาเลีย เมียวธ์วิทนิร์ควบคุมเมจิคไอเทมได้ทุกชนิด กองทัพหุ่นเวทมนตร์ก็ใช้ได้
     
    อาจจะ...เป็นอย่างนั้นก็ได้นะคะ อิรีนน์พูดอย่างไม่มั่นใจ
     
    ...สมมุติว่าทางโรมาเลียคาดไว้ว่าจะเกิดสงครามจริงๆ  ถ้าตอบโต้ในนามของการป้องกันตัวและกำจัดโจเซฟที่โด่งดังในด้านไม่ดีได้จะยิ่งเพิ่มภาพลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และความเที่ยงธรรมให้สันตะปาปาและกองทัพ ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ที่อัลเบี้ยนไม่มีอำนาจแล้ว ถ้าได้ชัยชนะเหนือกาเลียที่มีกำลังทหารเกรียงไกรที่สุดได้...
     
    ...ก็เหมือนประกาศว่าโรมาเลียไร้ศัตรูในฮาลเคกิเนีย ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ยังเป็นศัตรูได้...ก็จะมีแต่เอลฟ์
     
    ในตอนนั้นถ้าประกาศเจตนารมณ์ที่จะชิงแดนศักดิ์สิทธิ์คืนมา ผู้คนในฮาลเคกิเนียก็จะเกิดความคิดขึ้นมาเอง ว่า ถ้าเป็นสันตะปาปาคนนี้ ถ้าเป็นโรมาเลียตอนนี้อาจจะทำได้จริงก็ได้
     
    เรื่องนั้น...ไม่รู้สินะคะ เอลฟ์เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวในอาลเคกิเนียมาช้านาน เพียงแค่ชนะกาเลียได้ไม่น่าจะเปลี่ยนความคิดของชนชั้นสูงส่วนใหญ่ได้ โดยเฉพาะคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี
     
    ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นสันตะปาปาคนนั้นถึงได้มีแผนสองแผนสาม ถ้าไม่ได้ด้วยเสียงมวลชนก็ต้องด้วยแรงกดดันจากสังคมชนชั้นเดียวกัน ถ้าไม่ได้ด้วยความศรัทธาก็ต้องได้ด้วยความโลภ แม้จะไม่ได้ในทีเดียว แต่ถ้าสร้างฐานเสียงที่ดีได้และรักษาภาพลักษณ์ให้เสมอต้นเสมอปลายไว้ ค่อยๆ แผ่อิทธิพลออกไปเรื่อยๆ  ไม่จำเป็นต้องกุมความคิดเห็นได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่เฉพาะบุคคลที่มีอิทธิพลในฮาลเคกิเนียแห่งนี้ซักเจ็ดแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ
     
    ถ้าทำอย่างนั้น...ก็ไม่ใช่นักบุญแต่เป็นนักการเมืองไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ
     
    สันตะปาปาก็ไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็น สำหรับคนคนนั้น ผลลัพธ์ถือเป็นเด็ดขาด วิธีการเป็นเรื่องรอง
     
    อิรีนน์ไม่มีคำตอบโต้ เพราะตัวเองก็รู้สึกเช่นนั้นจากสันตะปาปาเช่นกัน
     
    ...ยิ่งกว่านั้น ถึงไม่ต้องทำเรื่องยุ่งยากขนาดนั้นก็มีวิธีที่จะพลิกความเห็นของคนจำนวนมากในทุกชนชั้นได้ในทีเดียวอยู่
     
    วิธีแบบนั้นมีด้วยเหรอคะ?
     
    ชนชั้นสูงที่ทริสเทนหัวแข็งแค่ไหน อิรีนน์รู้ดี จึงทำใจเชื่อลำบาก
     
    ความว่างเปล่า
     
    อิรีนน์หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองเลแวนท์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
     
    องค์สันตะปาปาจะทรง...เปิดเผยความว่างเปล่าต่อสาธารณะงั้นเหรอคะ?
     
    จะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ ที่รู้แน่คือไม่เป็นผลดีกับสมดุลทางการเมืองในขณะนี้ อิรีนน์ถึงได้พยายามปิดบังตัวตนของเพื่อนรักมาตลอด
     
    ความว่างเปล่าของศาสดามีอยู่จริง และหลังจากปราบโจเซฟได้ก็รวมอยู่ที่โรมาเลีย ที่สันตะปาปา คิดว่าจะเป็นยังไง

    ตำนานกล่าวว่าเมื่อความว่างเปล่ามารวมกัน พลังขององค์ศาสดาจะตื่นขึ้น...ถ้าเชื่อตามตำนาน ก็เท่ากับองค์สันตะปาปาทรงเป็นผู้ปลุกองค์ศาสดารุ่นที่สอง...
     
    ต่อให้มีคนไม่เชื่อบ้างในทีแรก แต่ความว่างเปล่าเป็นของจริง พิสูจน์ได้ง่ายๆ  ความว่างเปล่าที่ทำลายกองทัพเรืออัลเบี้ยนที่เกรียงไกรในครั้งเดียว ที่ปราบราชาโจเซฟลงได้ กับพวกเอลฟ์เป็นอีกเรื่อง แต่ในฮาลเคกิเนียไม่มีอะไรมีอำนาจต่อรองมากกว่านั้นอีกแล้ว
     
    ได้ความร่วมมือโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ วิตโตริโอพูดไว้ว่าจะใช้วิธีนี้กับเอลฟ์ แต่ก่อนหน้านั้นก็ใช้กับฮาลเคกิเนียก่อนได้
     
    ต่างกับเรกอง กิสตาที่คำปณิธานเป็นข้ออ้างแล้วใช้กำลังทหารกำราบ วิตโตริโอเป็นของจริง
     
    ไม่สิคะ จะทำอย่างนั้นได้ผู้ใช้ความว่างเปล่าคนอื่นๆ ก็ต้องร่วมมือ หลุยส์...กับทิฟฟาเนียไม่มีทางยอมรับแผนการเช่นนั้นเด็ดขาดเลยค่ะ
     
    ถ้าขออย่างตรงไปตรงมาล่ะก็นะ
     
    คำพูดนั้นสื่อความครบทั้งหมด
     
    อิรีนน์ก้มหน้า ความคิดที่ประดังเข้ามาเกินกว่าจะเมินเฉย
     
    ที่จริงแล้วในใจก็รู้สึกระแคะระคายจุดประสงค์ของสันตะปาปาอยู่ ว่าจะเปลี่ยนแปลงฮาลเคกิเนียรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และจะใช้ความว่างเปล่า หลุยส์ และทิฟฟาเนียเป็นเครื่องมือ แต่ถูกอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนให้ฟังอย่างละเอียดแบบนี้ จะทำเป็นไม่เห็นหรือปลอบใจตัวเองก็ไม่ได้แล้ว
     
    แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าข่าวลือนั้นจะจริงรึเปล่าล่ะนะ
     
    เอ๋?
     
    ที่ว่าโรมาเลียเตรียมการจะรบกับกาเลีย
     
    ข่าวลือที่ได้ฟังจากชายแปลกหน้าเมื่อครู่
     
    อา...จริงสินะคะ...
     
    ขึ้นชื่อว่าเป็นข่าวลือควรฟังหูไว้หู อิรีนน์ก็รู้ แต่เพราะเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีแต่เรื่องเหลือเชื่อ เลยเผลอสันนิษฐานไปเป็นตุเป็นตะ
     
    แล้วต่อให้ที่สันนิษฐานมาทั้งหมดเมื่อกี้เป็นความจริง  เราก็รู้แล้ว มีโอกาสให้แก้ไขเยอะแยะ ถ้าทำคนเดียวไม่ไหวก็มีพวกมิสวาลลิแยร์ มีอาเนียส หรือแม้แต่ราษฎรชาวทริสเทน
     
    ราษฎร? สองข้อแรกอิรีนน์เข้าใจได้ง่ายๆ  แต่แปลกใจข้อหลัง
     
    แน่นอน สำหรับราชาราชินี ขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือผู้คนของเรานี่ล่ะ
     
    สายตาของเลแวนท์ที่พูดประโยคนั้นดูเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง อิรีนน์คิดว่าคงจะนึกถึงผู้คนในอดีตอาณาจักรของตัวเอง
     
    ราษฎรคือขุมพลัง...
     
    อิรีนน์รู้ว่าความนิยมในหมู่ราษฎรเป็นฐานสำคัญของการคงอำนาจภายในอาณาจักร และเป็นตัวบอกว่าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะราชินีได้ดีเพียงใด แต่ไม่เคยถึงเรื่องการต่อสู้กับศัตรูภายนอก
     
    ถ้าราษฎรอยู่ข้างเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว จริงสินะ...
     
    กำแพงที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรไม่ใช่กำลังทางทหาร ไม่ใช่เครื่องต่อรองทางการเมือง แต่คือความเป็นปึกแผ่น หน้าที่หนึ่งของผู้เป็นราชาราชินีก็คือเป็นศูนย์กลางของการรวมพลังนั้น
     
    ถ้าทริสเทนเป็นอาณาจักรทื่เข้มแข็งได้ดังนั้น ไม่ว่าเล่ห์กลใดๆ ก็ยากจะแทรกเข้ามาได้
     
    ภาพของทริสเทนผุดขึ้นในหัวของอิรีนน์ ทริสทาเนียที่มองจากหน้าต่างห้องนอน หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทที่รถม้าเคยแล่นผ่าน ราษฎรที่หล่อเลี้ยงชีวิตของอาณาจักร ทหารที่ลาดตระเวนอย่างแข็งขัน เหล่าหนุ่มสาวสวมชุดนักเรียนที่เป็นอนาคต จะดีเพียงใดหากภาพทั้งหมดแนบสนิทเป็นผืนเดียวกันอย่างไม่มีผู้ใดแยกได้
     
    เรามีประเทศที่อยากจะสร้าง ไม่มีเวลาไปร่วมแผนการราวีคนอื่นอย่างนั้นหรอก
     
    สงครามสองครั้งก็เกินพอแล้ว ชาวทริสเทนต้องคิดอย่างเดียวกันแน่
     
    อ๊ะ ถ้าราชาโจเซฟถูกโค่นอำนาจจริง ผู้ปกครองคนต่อไปก็อาจจะเป็นมิสชาร์ล็อตต์...แต่ฉันรู้สึกว่าเขาจะปฏิเสธค่ะ
     
    อืม...ยังงั้นเหรอ?
     
    ใช่ค่ะ ด้วยสิ่งที่เขาพบเจอมา มงกุฎของกาเลียคงมีแต่จะกระตุ้นความรู้สึกที่ไม่ดี เป็นโซ่ตรวนที่ไม่ต้องการ
     
    นั่นสินะ...โดยเฉพาะข้อหลังนี่เห็นด้วยเลย เลแวนท์หัวเราะเบาๆ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ อิรีนน์ก็ถอนใจเบาๆ
     
    ฉันเองถ้าทำได้...
     
    และนอกจากนั้น
     
    บนบัลลังก์ของกาเลียไม่ใช่สถานที่ที่มิสชาร์ล็อตต้องการ รับไปก็มีแต่จะพาเขาไปไกลจากที่ที่เขาอยากจะอยู่จริงๆ
     
    อิรีนน์มองเลแวนท์ที่ไม่รู้ความคิดของตัวเอง
     
    งั้น นอกจากมิสทาบาสะแล้วยังมีใครอีกเหรอ?
     
    ขึ้นอยู่กับบทสรุปการครองราชย์ของราชาโจเซฟ องค์หญิงอิซาเบลล์อาจจะไม่เสียสิทธิ์ในบัลลังก์ก็ได้ค่ะ
     
    เป็นคนยังไงเหรอ?
     
    ไม่เคยพบกับตัวก็เลยไม่รู้ค่ะ...ราชาโจเซฟจะเลี้ยงลูกแบบไหนจินตนาการไม่ออก ถ้าเป็นมิสชาร์ล็อตต์น่าจะรู้นะคะ
     
    ถามไว้ก็น่าจะดีนะ
     
    นั่นสินะคะ
     
    ทั้งคู่เดินพ้นตรอกมาถึงถนนอีกเส้น ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเอะอะ ผู้คนบนถนนแหงนหน้าชี้มือชี้ไม้ขึ้นฟ้า
     
    เกิดอะไรขึ้น?
     
    อิรีนน์กับเลแวนท์มองตาม แล้วก็เห็นต้นเหตุ
     
    มังกรหนึ่งตัวกับผู้ใช้เวทมนตร์หนึ่งกลุ่มบินอยู่บนฟ้า อัศวินบนหลังม้ามีปีกไล่ตาม
     
    นั่นมันเพกาซัส อัศวินวิหารนี่คะ!”
     
    มังกรที่ถูกไล่ตามอยู่นั่น ซิลฟีด อสูรรับใช้ของมิสทาบาสะ คนที่เหาะอยู่ก็คืออัศวินอองดีน
     
    อิรีนน์ตั้งใจสังเกตมังกรอีกครั้งแล้วก็จำได้ มังกรสีน้ำเงินที่แปลงร่างเป็นหญิงสาวได้
     
    เพิ่งจะเจ็ดวันเท่านั้นเอง ไม่สิ กว่าจดหมายจะไปถึงพวกเขาก็หนึ่งวันเต็ม นั่งรถม้าจากซิตตาเดลลามาถึงที่นี่ก็อีกหนึ่งวัน ทำไมมาถึงเร็วนัก? แล้วอัศวินวิหารเหล่านั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?
     
    ตามไปดูกันเถอะ
     
    --
     
    PBW:“ตัดฉับ ที่จริงเป็นตอนเดียวกับตอนหน้า แต่มันชักจะยาวเกินไปแล้ว...ลงแต่ละตอนเบราว์เซอร์จะค้าง...
     
    DX:“ก็อปจาก Word มาลงนี่มันยากขนาดนี้เลยนะ เห็นขั้นตอนแล้วดูลูกผีลูกคนสุดๆ
     
    PBW:“ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือตั้งแต่ทำงานปีที่สองมางานเยอะขึ้นเป็นเท่าตัว เวลาว่างลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางวันนี่วิ่งว่อนที่ทำงานทั้งวัน
     
    DX:“ติดกับของชีวิตคนทำงานเข้าแล้วสินะ น่าสมเพช
     
    PBW:“ดิ้นรนอยู่เฟ้ย กับดักที่ใหญ่หลวงที่สุดคือถึงจะเลิกงานมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนนี่ล่ะ สุดท้ายก็เล่นเกมหรือทำอย่างอื่นจนหมดวัน มีแต่เสาร์อาทิตย์ที่สมองปลอดโปร่งแล้วพอมีเวลาเขียนบ้าง แต่คนเขียนเป็นประเภททำอะไรวันละน้อยๆ  ทำทีเดียวยาวๆ ติดกันไม่ได้ ไม่อึดพอ ถึงว่างทั้งวันก็ใช้เวลาได้อย่างมากสองสามชั่วโมงอยู่ดี
     
    DX:“ลาออกมาซะ แล้วมาทำงานอยู่บ้าน
     
    PBW:“ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว แต่—เรื่องงานช่างมันเถอะ ไม่มาพูดในนี้ งานประจำคนเขียนตอนนี้คือสภาพดีมากๆ แล้ว เวลาว่างที่มากกว่านี้โดยที่เครียดน้อย(เกณฑ์มาตรฐานวัดจากโพสต์คร่ำครวญทั้งหลายที่เห็นบนเฟซบุ๊ค)คงหาแทบไม่มีแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×