ลำดับตอนที่ #67
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #67 : Chapter 55.5: สองเด็กสาวในปราสาทอาฮัมบรา
เมื่อทาบาสะลืมตาขึ้น
เธอคิดว่าตัวเองอยู่ในแดนแห่งความฝัน
เธอนอนอยู่บนเตียงที่อ่อนนุ่ม มีทั้งหลังคาและม่านที่ไม่ได้ชักปิด ตั้งอยู่กลางห้องที่กว้างขวางและสว่างด้วยแสงแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานสูง ชุดนอนที่สวมอยู่แม้แต่ตอนที่เป็นธิดาขององค์ชายก็ยังไม่เคยได้สัมผัส เมื่อควานหาแว่นตาก็พบหนึ่งคู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง กรอบประดับประดาด้วยอัญมณีเลอค่าอย่างสวยงาม
สำรวจร่างกายตัวเอง เธอไม่พบหรือรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ บาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ก็หายดีไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็น เธอสังเกตเห็นเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งจากยุคราชวงศ์คาเป้ ยุคที่ราชอาณาจักรกาเลียเพียบพร้อมทั้งด้านความมั่งคั่ง ศิลปะ และการทหาร
และราชินีของทริสเทนกำลังนั่งมองเธอจากด้านซ้ายของเตียง
‘...ท่าทางจะฝันไปจริงๆ’
คิดได้ดังนั้นทาบาสะก็หันไปทางโต๊ะข้างหัวเตียงตัวเดิมเตรียมจะถอดแว่นและล้มตัวลงนอนต่อ เพื่อจะได้ตื่นจากความฝัน
“ตื่นแล้วรึ”
เสียงหนึ่งหยุดทาบาสะไว้ ที่เก้าอี้ยาวใกล้กับประตูห้องมีชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ ทาบาสะจำได้แม่นว่าเป็นชายที่ไปจับตัวเธอที่คฤหาสน์ออร์เลียง และผู้ที่เธอพ่ายแพ้แม้จะต่อสู้อย่างสุดกำลัง
ทาบาสะมองหาไม้เท้าของเธอ แต่ไม่พบ หากไม่มีไม้เท้าเธอก็ไม่มีทางสู้ และอย่างไรเวทมนตร์โบราณของเอลฟ์ก็อยู่ในระดับที่พลังของเธอเอื้อมไม่ถึง
ก่อนหน้านี้ ทาบาสะไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไร แต่หลังจากตัดใจทิ้งภารกิจเธอกับซิลฟีดก็บินข้ามชายแดนและถึงคฤหาสน์ออร์เลียงในตอนเช้า เมื่อทำภารกิจล้มเหลวทางราชสำนักก็มีข้ออ้างจะกำจัดเธอได้ เธอตั้งใจจะพาท่านแม่กับเพร์เซอรังไปหลบซ่อนที่ใดสักแห่ง แต่กลับพบหุ่นแบบเดียวกับที่เคยจู่โจมโรงเรียน และที่ห้องด้านในสุดก็พบ...ชายคนนั้น ส่วนเตียงของท่านแม่ก็ว่างเปล่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ แม้ความโกรธจะทำให้พลังเวทของเธอสูงทะลุขีดปกติ แต่พลังนั้นกลับย้อนมาทำร้ายเธอเสียเอง เมื่อนั้นเธอจึงได้เข้าใจความน่ากลัวที่แท้จริงของเวทมนตร์โบราณ ไม่ว่าจะมีเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ไร้ค่า
“...คุณเป็นใครกัน”
“สมาชิกสภาผู้อาวุโสแห่งเนฟเธส...ไม่สิ ตอนนี้ข้าเป็นแค่ [บิดาชาร์] แห่งซาฮารา”
“แล้วที่นี่คือที่ไหน?”
“ปราสาทอาฮัมบรา”
ทาบาสะผู้รอบรู้ย่อมรู้จักชื่อนั้น ท่าทางระหว่างที่หมดสติเธอจะถูกพามาไกลทีเดียว
ตอนนั้นเองที่ทาบาสะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอนึกว่าอยู่ในความฝัน เธอหันกลับไปทางราชินีแห่งทริสเทนซึ่งมองเธออย่างพิศวงแต่พยายามไม่จ้องจนเกินไป สุดท้ายเธอก็กลับมาถามคนที่ใจเธอโทษให้เป็นต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง
“ทำไมราชินีแห่งทริสเทนถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ราชินี? อ้อ ผู้นำที่ถืออำนาจบริหารเบ็ดเสร็จในวัฒนธรรมคนเถื่อนของพวกเจ้าสินะ คงต้องถามเจ้าตัว ตอนที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่นี่นางก็อยู่ก่อนแล้ว”
ที่คำว่า ‘พวกเจ้า’ ทำให้ทาบาสะรู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว
“...ท่านแม่ของฉันอยู่ที่ไหน?” เป็นคำถามเดียวกับที่เธอถามที่คฤหาสน์ออร์เลียง
“อยู่ห้องข้างๆ นี้เอง”
ห้องที่ทาบาสะอยู่เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องรับรองชนชั้นสูง ประตูที่เอลฟ์ชี้ไปเป็นทางไปห้องคนรับใช้ซึ่งเล็กกว่า
ทาบาสะกระโจนออกจากเตียงและวิ่งตรงไปกระชากประตู
ท่านแม่ของเธอนอนอยู่บนเตียงในห้องนั้น ดวงตาปิดสนิท บนโต๊ะกระจกที่มุมห้องมีตุ๊กตาวางอยู่ตัวหนึ่ง ตุ๊กตาที่บัดนี้ได้ชื่อ ‘ชาร์ล็อตต์’ และความรักของมารดาไปจากเธอ ขณะที่เธอรับชื่อ ‘ทาบาสะ’ ของมันมา
ทาบาสะตวัดสายตาเกลียดชังกลับไปที่บิดาชาร์ซึ่งเดินตามเข้ามา
“คิดจะทำอะไรกับพวกเรา?”
“ช่วยลดเสียงด้วย เดี๋ยวนางจะตื่น” บิดาชาร์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเธอเป็นเพียงหนูทะเลทรายที่จับมาเป็นสัตว์ทดลอง มีให้เพียงความสงสารและสมเพชอันน้อยนิด
“ส่วนคำถามนั้น คำตอบของเจ้ากับนางต่างกัน”
เมื่อบิดาชาร์ไม่ยอมอธิบายต่อทาบาสะจึงถามด้วยตัวเอง
“จะทำอะไรกับท่านแม่?”
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าได้รับคำสั่งให้ ‘ควบคุมตัว’ อยู่ที่นี่เท่านั้น”
“แล้วฉันล่ะ?”
ครั้งนี้บิดาชาร์มีอาการลังเลชั่วอึดใจ แต่ก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบเดิม
“ข้าจะให้เจ้าได้บอกลากับจิตใจของตัวเองด้วยพลังของภูตแห่งวารี หลังจากนั้นก็เป็นคำสั่งให้ ‘ควบคุมตัว’ เจ้าเช่นเดียวกัน”
ทาบาสะเข้าใจ ชะตากรรมของเธอจะเป็นเหมือนกับท่านแม่ สูญเสียความเป็นตัวเอง
“ตอนนี้?”
“เป็นยาชนิดพิเศษ เริ่มปรุงวันนี้จะเสร็จในคืนวันที่สิบ ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าเถอะ”
“ยาที่ทำให้ท่านแม่เป็นแบบนี้...พวกคุณเป็นคนทำเหรอ?”
บิดาชาร์พยักหน้า
“ยาที่ให้ผลได้อย่างคงที่เช่นนี้มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่สามารถสร้างได้ ถึงข้าจะรู้สึกสมเพชในชะตากรรมของเจ้า แต่ข้าเองตอนนี้ก็มีสถานะคล้ายถูกจองจำเช่นเดียวกัน นี่คงจะเป็นเจตจำนงของ ‘ปณิธานอันยิ่งใหญ่’ ยอมจำนนแต่โดยดีเถอะ”
ทาบาสะมองออกไปนอกหน้าต่าง ใต้แสงแดดอันเจิดจ้าเธอมองเห็นกำแพงปราสาทที่ผุพัง ปราสาทอาฮัมบราเป็นปราสาทร้างที่ไม่มีใครดูแลมาเนิ่นนาน โจเซฟคงจะเป็นผู้สั่งให้ตกแต่งห้องให้เธอกับท่านแม่ ‘พักอาศัย’
หรือบางทีอาจเป็นมารยาทแบบอารมณ์ขันแกมประชดที่ราชาแห่งกาเลียถนัดและมอบให้ราชินีแห่งทริสเทน
กำแพงปราสาทส่วนใหญ่ยังตั้งอยู่ ทำให้ทาบาสะมองไม่เห็นถึงข้างนอก แต่สามารถมองลงไปถึงทางเข้าหลักด้านหน้าตัวปราสาทซึ่งมีทหารเฝ้าอยู่ จำนวนทหารที่ประจำการปราสาทหลังนี้ไม่แน่ชัด แต่อย่างไรไม่มีไม้เท้าเธอก็พาท่านแม่หลบหนีออกไปไม่ได้อยู่แล้ว
“อสูรรับใช้ของฉันล่ะ?” ทาบาสะถามเมื่อไม่เห็นซิลฟีดอยู่ด้านนอก
“มังกรสังคีตสินะ ข้าไม่ได้นำมาด้วย”
เอลฟ์ตนนี้มองตัวตนที่แท้จริงของซิลฟีดออกอย่างง่ายดาย สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์โบราณเช่นเดียวกัน
ทาบาสะรู้สึกโล่งใจที่ซิลฟีดหนีไปได้ แต่หนีไปได้แล้วคงจะไปขอความช่วยเหลือจากคนที่โรงเรียนแน่ เธอเม้มริมฝีปาก นึกถึงใบหน้าของคีร์เก้กับเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นเป็นอย่างแรก ทั้งคู่เป็นสองคนสุดท้ายที่เธอได้พบหน้า
ป่านนี้เรื่องที่เธอลอบทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นและให้ความร่วมมือกับการลักพาตัวเด็กสาวผมสีชมพูคงจะรู้ถึงหูคีร์เก้และอาจทุกคนที่โรงเรียนแล้ว
อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางมาช่วยคนทรยศอย่างเธอ
และถึงแม้เพื่อนของเธออาจเล่าสถานการณ์ที่บังคับมือของเธอให้ฟังจนทำให้คนที่โรงเรียนเปลี่ยนใจได้จริง เรื่องที่ราชสำนักกาเลียเป็นผู้จับกุมเธอย่อมหมายความว่าศัตรูเป็นอาณาจักรทั้งอาณาจักร เพื่อนของเธอแม้จะดูกล้าบ้าบิ่นแต่ก็ฉลาดกว่าที่เห็น ย่อมรู้ว่าการเป็นศัตรูกับทั้งอาณาจักรด้วยตัวคนเดียวหรือกับเพื่อนไม่กี่คนนั้นยากเพียงใด
แล้วยิ่งเด็กหนุ่มคนนั้นกับกลุ่มนักเรียนชาย เป็นราชองครักษ์แล้ว จะให้เดิมพันทั้งอาณาจักรเพื่อเธอคนเดียวได้อย่างไร
แต่ราชินีของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นบางที...
แต่เวลาของเธอนั้นเหลือน้อยเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเธอก็หมดหวังแล้ว
แล้วมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องคิดเรื่องเหล่านี้ด้วย เธอไม่หวังให้ใครช่วยเหลือมาก่อน ไม่ว่าเมื่อไรเธอก็ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวเสมอ หากจะมีใครให้เธอหวังพึ่งก็มีแต่... แต่ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
...ว่าไปแล้วราชินีของทริสเทนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผู้ที่เป็นเป้าหมายคือเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นไม่ใช่หรือ เธอเองก็เห็นตอนที่ ‘เขา’ พาเด็กสาวคนนั้นกระโดดลงมาจากระเบียง
...งานเต้นรำ เธอไม่ได้เข้าร่วมจึงลืมไป ราชินีคงจะได้รับเชิญมาโดยที่เธอไม่รู้และจำแลงร่างเป็นเด็กสาวผมสีชมพูซึ่งเป็นคนรู้จักที่ใกล้ชิด
ทาบาสะผละออกจากหน้าต่างและตรงดิ่งกลับไปที่ห้องเดิมพร้อมกับคำถามที่ต้องการคำตอบเร่งด่วน
จับผิดตัวหมายความว่าทำงานพลาด หรือว่า ‘เขา’ จะได้รับการลงโทษ...แม้จะไม่ใช่อัศวินที่อยู่ใต้อำนาจราชสำนักเหมือนกับเธอ
ราชินีแห่งทริสเทนผงะเมื่อเห็นเธอย่างสามขุมเข้าไปหา
“คุณเองก็ถูกจับตัวมาเหรอ...”
“ช—ใช่”
อังริเอตต้าตกใจกับความกะทันหันของเด็กสาวสวมแว่นคนนี้ พอตื่นขึ้นมาไม่ทันไรก็ผลุนผลันลงจากเตียงไปที่ห้องข้างๆ ซึ่งมารดานอนอยู่ เธอไม่รู้สถานการณ์จึงไม่กล้าตามไปรบกวน แต่จู่ๆ เด็กคนนี้ก็กลับมาหาเธอแล้วถามคำถามนี้
“คนที่จับตัวคุณมาคือใคร...”
ก่อนจะคิดไปร้อยแปดทาบาสะต้องยืนยันข้อสันนิษฐานแรกเสียก่อน
ทว่าคำถามของเธอดูจะทำให้เด็กสาวผมสีน้ำตาลเกาลัดสลดลง
ถามเรื่องถูกจับไม่เป็นไร แต่ก้มหน้าเมื่อถามถึงคนลงมือ...
“คุณก็เป็นเพื่อนของหลุยส์สินะคะ ฉันจำได้ว่าเราเคยพบกัน...ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะรู้จักเขา...เอ็กซ์...”
...เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ทาบาสะเริ่มปรับลมหายใจได้และนั่งลงที่ขอบเตียง
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ หลังจากพาฉันมาที่ห้องนี้เมื่อเช้าของวันที่แล้ว เขาก็ออกไปข้างนอก...”
ทาบาสะก้มหน้าลง คำตอบนั้นบอกเธอสองอย่าง อย่างแรกคือเขาดูไม่ได้รับโทษอะไร อีกข้อหนึ่งคือเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับโจเซฟจริง
ถ้าอย่างนั้นก็เธอก็หมดหวังจริงๆ แล้ว
ด้วยประสบการณ์ที่ปฏิบัติภารกิจอันตรายในฐานะอัศวินบุปผาอุดรมาอย่างยาวนานทำให้ทาบาสะมีทักษะวิเคราะห์สถานการณ์การต่อสู้ที่เป็นเลิศ
มีผู้คุมเป็นเอลฟ์ที่ทรงพลัง เธอไม่มีไม้เท้า ถึงมีก็ไม่มีทางที่จะช่วยท่านแม่และหนีออกไปได้ในเวลาเดียวกัน จะทำเช่นนั้นได้ด้วยจำนวนที่น้อยที่สุดต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับหน่วยราชองครักษ์หนึ่งหน่วย เวลาของเธอเหลืออีกสิบวัน และเป็นสิบวันที่ไม่สามารถออกไปจากห้องนี้ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้เลย
ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ช่วงชิงความรู้สึกอื่นๆ ของเธอไปจนหมด แม้แต่ความโกรธ
‘อย่างน้อย...อาจจะได้ไปที่เดียวกับท่านแม่...’ ความคิดนั้นทำให้เกิดความรู้สึกโล่งใจท่ามกลางการปล่อยวาง
“...คือว่า ขอถามอะไรหน่อยได้รึเปล่าคะ?”
ทาบาสะเงยหน้า พอใช้ความคิดแล้วเธอก็ลืมไปเลยว่าราชินีของทริสเทนนั่งอยู่ต่อหน้าเธอ แต่ที่จริงเธอก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์แต่แรกแล้ว
“ทำไมคุณถึงถูกจับตัวมาหรือคะ?”
คำถามแบบนั้นเอง ในสถานการณ์นี้เป็นคำถามที่ธรรมดามาก และเป็นคำถามที่ทาบาสะในยามปกติจะเลี่ยงการตอบด้วยการทำเมินเฉย แต่อาจจะด้วยการยอมรับชะตากรรมที่เพิ่งผ่านไป ทาบาสะเกิดความรู้สึกอยากจะลองใช้ ‘อิสรภาพ’ ที่ได้มาใหม่นี้ดู ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือการเล่าเรื่องที่พยายามปิดเป็นความลับเสมอมาให้ใครสักคนฟังบ้าง
“เรื่องเล่าอาจจะยาว คุณยังอยากจะฟังอยู่รึเปล่า?”
อังริเอตต้าตอบด้วยรอยยิ้ม
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนั่งคิดเรื่อยเปื่อย อย่างน้อยมีคุณอยู่ด้วยก็ทำให้เบื่อน้อยลงบ้าง ฉันอยากจะฟังทุกอย่างที่คุณสามารถพูดได้ค่ะ”
“งั้นก็ตกลง...แต่ฉันก็อยากฟังเรื่องเล่าของคุณบ้าง”
“เรื่องเล่าของฉัน? ชีวิตของฉันค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ถ้าคุณอยากฟังก็ตกลงค่ะ”
“อืม”
ทาบาสะไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แต่ในเวลานี้เธออาจเห็นด้วย ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ นอกจากอยู่กับท่านแม่แล้วหากมีใครสักคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้นอกจากเอลฟ์นั่นคงจะดีไม่น้อย และเธอก็รู้สึกสนใจชีวิตอย่างองค์หญิงที่เธอถูกช่วงชิงไปกลางคันว่าจะเป็นอย่างไร จะเหมือนในหนังสือที่เธออ่านหรือไม่
ทาบาสะจึงเริ่มต้นเล่า ตั้งแต่ชาติกำเนิดของเธอ วันที่โชคชะตาทอดทิ้งเธอและครอบครัว
[...]
เมื่ออาเนียสรุดมาถึงที่เกิดเหตุเธอก็พบประตูที่เปิดกว้างกับยามที่เพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมางัวเงีย และแน่นอน ภายในห้องขังว่างเปล่า
อาเนียสเรียกรองหัวหน้าเอมิลีซึ่งมาถึงก่อนเข้ามาถาม
“รายงาน”
“ค่ะ ทหารที่เฝ้าหอคอยให้การว่าได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากในห้อง เมื่อมองเข้าไปก็เห็นลูกกรงที่หน้าต่างถูกตัดและไม่มีนักโทษอยู่ข้างใน จึงเปิดประตูเข้าไปตรวจดู แต่จู่ๆ คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็หมดสติไปก่อน คนที่เข้าไปตรวจถูกนักโทษทั้งสามคนลอบทำร้าย จากนั้นก็หมดสติไปเช่นเดียวกัน จากอาการแล้วคาดว่าจะเป็นยานอนหลับชนิดรุนแรงค่ะ”
“แต่นักโทษไม่มีของแบบนั้นติดตัว ดังนั้นก็ต้องเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก”
“มีโอกาสเป็นไปได้สูงค่ะ”
ลอบขึ้นหอคอยที่มียามเฝ้าหลังดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงได้โดยไม่มีพยานพบเห็น ไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้กับประตูหรือหน้าต่าง
ในหมู่คนที่อาเนียสรู้จัก มีอยู่แค่คนหนึ่งในกลุ่มสองคนที่ทำได้ เพราะมีร่างกายที่เล็ดลอดเข้าได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นช่องที่แคบเพียงใด
ขณะที่คิดอาเนียสไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้า ไม่ใช่เพราะการฝืน แต่เพราะตัวเธอเองยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรรู้สึกอย่างไร โมโห โล่งใจ
“สามคนนั้น ยังไงซะเป้าหมายก็คงจะเป็นการข้ามชายแดนไปที่อาณาจักรกาเลีย”
“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะไปด้วยเรือเหาะรุ่นใหม่ที่นักเรียนคนหนึ่งนำมาจากเยอร์มาเนียก็ได้นะคะ”
“ก็อาจจะ เรือนั่นตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“ตอนที่ทางราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบความเป็นเจ้าของเมื่อสองวันก่อนยังอยู่ที่สถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทนค่ะ แต่หากผู้หลบหนีตั้งใจใช้เรือเหาะข้ามชายแดนไปที่กาเลียจริงตอนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว”
“หน่วยอัศวินมังกรกำลังรวมตัวเตรียมออกตามหา คงจะไปตรวจที่โรงเรียนด้วยอยู่แล้ว ปล่อยทางนั้นจัดการไปก็แล้วกัน”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรคะ?”
อาเนียสหันไปมองทางหน้าต่างที่ลูกกรงยังคงสภาพดี ทั้งที่คำให้การของยามบอกว่าลูกกรงถูกตัด แต่อาเนียสไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น
“จริงสิคะ วันที่นักโทษทั้งสามถูกจับกุม หน่วยแมนติคอร์รับหน้าที่ส่งตัวลูกสาวของดยุคลา วาลลิแยร์กลับคฤหาสน์ ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องรึเปล่านะคะ”
อาเนียสหันกลับมามองรองหัวหน้าแล้วเลิกคิ้ว
“รู้มาจากไหนน่ะ?”
“ฉันทราบจากสมาชิกหน่วยแมนติคอร์ที่เป็นผู้ไปส่งโดยตรงค่ะ”
“หืม...แล้วทำไมถึงมาบอกเธอได้ล่ะ ยิ่งกว่านั้น ไปเจอกันตอนไหนล่ะ”
“เรื่องนั้น...คือว่า...”
อาเนียสยิ้มเป็นนัยเมื่อเห็นรองหัวหน้าหลบสายตา ก่อนจะหุบยิ้มแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ
ถึงตัวเองจะเกลียดผู้ใช้เวทมนตร์ แต่อาเนียสก็ไม่คิดจะบังคับความคิดนั้นให้กับใคร หากสมาชิกหน่วยเธอที่มีแต่สามัญชนสามารถสานสัมพันธ์กับสมาชิกหน่วยแมนติคอร์ที่ล้วนแต่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตำหนิติเตียน
“...เรื่องดูถูกหน่วยของเราก็เงียบไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว หัวหน้าก็ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
แต่เมื่อเป็นเรื่องตัวเธอเอง อาเนียสก็มีคำตอบเพียงคำตอบเดียว
“ไม่เกี่ยวกับเกรงใจ ฉันแค่ไม่สนใจ”
“คงไม่ใช่เพราะคิดว่าไม่มีใครสนใจหรอกนะคะ เพราะในหน่วยแมนติคอร์เองก็มีอยู่คนหรือสองคน ...เขา...เป็นคนบอกฉันเองค่ะ ฉะนั้นไม่ผิดแน่”
อาเนียสยอมรับว่าคิดอย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่ใช่เหตุผล
“งั้นเหรอ แต่ก็อย่างที่ว่าไป ฉันไม่สนใจ”
“ในหน่วยเรามีหลายคนที่อยากเห็นหัวหน้ายืนที่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์ซักวันนะคะ” รองหัวหน้าเอมิลียิ้ม
“ฉันไม่สนใจจะเป็นซิสเตอร์ซักเท่าไหร่”
“หัวหน้าคะ...” เอมิลีเป็นฝ่ายถอนใจบ้าง
“ล้อเล่นกันพอแล้ว ถ้าที่พูดมาเรื่องมิสวาลลิแยร์จริงล่ะก็...ก็มีงานให้พวกเราทำ”
เอมิลีสลัดคราบหญิงสาวธรรมดาทิ้งไปและกลับสู่ความเป็นอัศวินดังเดิม
อาเนียสมองความเป็น ‘อัศวิน’ ของรองหัวหน้า ซึ่งคงจะอยู่บนใบหน้าของเธอเช่นเดียวกัน
อัศวินสาวหายใจเข้าและออก ทำสมองให้โล่งและบอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกอย่างไรทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือตามตัวนักโทษและผู้ช่วยหลบหนีกลับมา สำหรับผู้เป็นทหารและอัศวิน ความรู้สึกส่วนตัวต้องอยู่นอกเหนือจากหน้าที่
“พอจะคาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูได้...”
อาเนียสนึกทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้ง ‘ศัตรู’ เธอใช้คำนั้นเรียกเด็กสามคนกับคนที่มาช่วยพวกเขาจากการถูกจองจำ
ใช่แล้ว คนที่ขัดคำสั่งของราชสำนักก็คือศัตรูของราชสำนัก และก็เป็นศัตรูของเธอด้วย ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไรก็ตาม แม้จะเป็นคำว่า ‘ช่วยเหลือองค์ราชินี’ หากไร้หลักประกันโดยผู้ปกครองหูของทหารก็ไม่รับฟัง
คณะปกครองเป็นมันสมองของอาณาจักร เจ้าหน้าที่รับผิดชอบแต่ละส่วนเป็นแขนขา และทหารอย่างพวกเธอก็เป็นดาบและโล่ เมื่อทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่บิดพลิ้วต่างหากอาณาจักรจึงจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง
แม้ตัวเธอจะรู้สึกขัดแย้ง แต่ร่างกายเธอก็ยังต้องขยับด้วยความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่...
“ใครน่ะ!?”
เสียงสมาชิกหน่วยที่ไปตรวจที่อื่น อาเนียสสลัดความคิดทิ้งไปในพริบตาและวิ่งตามไปทางที่ได้ยินเสียง มาจากห้องที่อยู่ถัดไปสามห้อง เป็นห้องที่นอกจากคนทำความสะอาดเดือนละสองครั้งก็ไม่มีใครก้าวเข้าไปมานานมาก กระทั่งหน่วยของเธอต้องตรวจสอบที่เกิดเหตุ
อาเนียสกับสมาชิกหน่วยอีกสองคนก้าวเข้าไปในห้องอย่างไม่รอช้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้องมีคนอื่นนอกจากหน่วยของเธอ แต่หน่วยของเธอตรวจสอบบริเวณนี้นานแล้ว หมายความว่าเพิ่งจะเข้ามา โดยที่ไม่ถูกยามข้างนอกพบตัว
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนแหงนหน้ามองเพดานห้อง ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องและเสียงฝีเท้าของพวกเธอ
“นาย...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
อาเนียสถาม คิดว่าเสียงของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายคุ้นหูบ้าง แต่ก็ไม่เป็นดังคาด เด็กหนุ่มย่อตัวแล้วกระโดดเอื้อมมือขึ้นไปบนเพดาน ตอนนั้นเองอาเนียสจึงได้เห็นว่ามีนกฮูกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนราวที่ยึดตะเกียงเวทมนตร์ไว้กับเพดาน อาเนียสสงสัยว่านกฮูกมาอยู่ในนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้ว่าคนทำความสะอาดปิดหน้าต่างไม่สนิทมันจึงยึดที่นี่เป็นแหล่งอาศัยชั่วคราว
มือของเด็กหนุ่มคว้าตัวมันและนำลงมาระดับสายตา นกฮูกพยายามตีปีกเพื่อสลัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม แต่กำลังที่ต่างกันทำให้ไม่มีทีท่าว่าจะทำได้
กระทั่งเครื่องเรือนในห้องถูกพัดครูดไปกับพื้นจนชนผนัง
ทุกครั้งที่ปีกของนกฮูกสะบัด แรงลมที่ออกมาพัดข้าวของขนาดเล็กปลิวทะลุกระจกหน้าต่างออกไปด้านนอก ตะเกียงบนเพดานส่ายราวกับจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ อาเนียสกับหน่วยปืนคนอื่นๆ ต้องย่อตัวและเกาะขอบประตูเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพัดกระเด็น
อาเนียสพยายามเปิดเปลือกตาและมองลอดนิ้วมือที่ยกขึ้นบังพายุขนาดย่อม เธอเห็นเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้แต่ชายเสื้อก็แนบนิ่งกับต้นขา ราวกับจุดนั้นไม่มีแม้แต่ลมเอื่อยๆ หน้าผากของเด็กหนุ่มเปล่งแสงสีแดงซึ่งอาเนียสเห็นไม่ชัดท่ามกลางลมแรง
จากนั้นไม่นานพายุก็สงบลง อาเนียสกับหน่วยปืนค่อยๆ หาหลักยืนที่มั่นคงหลังจากถูกพายุเมื่อครู่สูบแรงไปจนขาสั่น เด็กหนุ่มปล่อยนกฮูกบินออกไปนอกหน้าต่าง
ดูเหมือนจะเสร็จธุระแล้ว เพราะเด็กหนุ่มหันมาพูดกับอาเนียส
“พวกไซโตะเป็นยังไงบ้าง?”
อาเนียสขึงตามองเด็กหนุ่มที่บุกรุกเข้ามาแล้วก็ถามคำถามตามใจชอบ
“หนีออกไปแล้ว ไม่ใช่พวกของนายหรอกเหรอที่ช่วยออกไป”
“หนีออกไป? ถูกจับ...ยังงี้นี่เอง” เด็กหนุ่มพูดเองและทำท่าเข้าใจเอง
อาเนียสส่งสัญญาณมือให้หน่วยปืนข้างหลังชักดาบออกมา และสังเกตว่าถึงตอนนี้เด็กสาวผมสีฟ้าอีกคนก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
“...มีคำถามที่อยากถามอยู่สองสามข้อ แต่ไว้ถึงห้องสอบสวนก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ขอจับข้อหาบุกรุกราชวัง”
เด็กหนุ่มมองอาเนียสที่ชักดาบออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“พวกไซโตะจะไปที่กาเลียใช่รึเปล่า?”
“ก็คงยังงั้น ไม่ได้อยู่ด้วยแล้วรู้ได้ยังไง?”
“คงจะไปช่วยราชินีที่ฉันจับไป”
เสียงหายใจเฮือกของหน่วยปืนตรงกับความรู้สึกที่ทำให้อาเนียสเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่เปลือกตากลับลงอย่างอันตราย
“จำได้ใช่มั้ย ฉันเคยถามว่า ‘นายเป็นภัยกับองค์ราชินีรึเปล่า?’ ”
“ตอนนั้นฉันตอบว่า ‘ไม่แน่’ ”
“ฉันจะถือว่านายไม่ได้โกหกก็แล้วกัน แต่ตอนนี้จะขอให้คายที่อยู่ขององค์ราชินีออกมาล่ะนะ”
“ปราสาทอาฮัมบรา อยู่ทะเลทรายชายแดนตะวันออกของกาเลีย”
“...คำตอบเดียวกับที่พวกไซโตะบอกเลยนี่” อาเนียสข้ามคำถามเรื่องสาเหตุที่ยอมบอกง่ายๆ
“...ถ้าอย่างนั้นคงได้เจอกับเลเวียธานแล้ว”
“ฉันคิดมานานแล้ว ส่วนที่น่าหงุดหงิดที่สุดของนายก็คือคำตอบกำกวมแบบนี้ล่ะ วันนี้จะได้ดัดนิสัยนั่นซะที”
อาเนียสสะบัดมือส่งสัญญาณให้หน่วยปืนสี่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าไปควบคุมตัวเด็กหนุ่ม ทั้งสี่ตีวงล้อมตัวเป้าหมาย ก่อนจะขยับเข้าไปพร้อมกัน ยื่นดาบออกไปพาดต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกรง ล้อมตัวเด็กหนุ่มระดับหน้าอกไม่ให้ขยับแขนได้
อาเนียสไม่มีเกณฑ์ประเมินความสามารถของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทานี้อย่างแน่ชัด นอกจากคำพูดของไซโตะว่าเด็กหนุ่มคนนี้เหนือกว่าตัวเองที่มีพลังของอสูรรับใช้มาก จะจับกุมคนเช่นนี้จำเป็นต้องรอบคอบ
ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองมาที่อาเนียสราวกับไม่รับรู้ดาบที่ล้อมตัวเองไว้
ทันใดนั้นพายุที่เหมือนกับเมื่อครู่ทั้งความกะทันหันและความรุนแรงก็พัดมาอีกครั้ง แค่วูบเดียว สังเกตจากการที่หน่วยปืนทั้งสี่คนถูกพัดกระเด็นไปคนละทาง ศูนย์กลางของแรงลมคือเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเอง
อาเนียสอดคิดในหัวไม่ได้ว่าราวกับเด็กหนุ่มได้ความสามารถประหลาดของนกฮูกเมื่อครู่นี้ไป
“เธอเป็นแค่ทหาร หรือเป็นมากกว่านั้น...”
เด็กหนุ่มกล่าวคำพูดกำกวมทิ้งท้าย ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะอาบร่างของตัวเอง แล้วทั้งแสงทั้งเด็กหนุ่มก็หายวับไป
อาเนียสกับหน่วยปืนยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รองหัวหน้าจะได้สติและออกคำสั่ง
“ตามหาให้พบ! อาจจะยังอยู่ในสวน!”
ขณะเดียวกัน อาเนียสได้แต่มองจุดที่เด็กหนุ่มยืนอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้ คำพูดประโยคเดียวของเด็กหนุ่ม กำกวมอย่างน่าหงุดหงิดเหมือนที่ผ่านมา แต่สะกิดใจเธอมากกว่าที่คาด
‘แค่ทหาร...หรือมากกว่านั้น...’
ความโกรธเอ่อขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่อาเนียสก็ไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอตัดคำพูดนั้นออกไปจากสมองอย่างรวดเร็วบนฐานว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายชวนให้สับสนหงุดหงิด
“ไม่ต้องตาม”
“เอ๋?” เอมิลีประหลาดใจคำสั่งของหัวหน้า
“บอกให้ทุกคนไปรวมกันที่สวนหน้าหอคอย เธอตามฉันไปหาคาร์ดินัล”
ไม่ว่าคนน่าโมโหนั่นจะพูดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าต้องทำ
[...]
เป็นตาของอังริเอตต้าที่ต้องเป็นฝ่ายเล่าชีวิตการเป็นองค์หญิงและราชินี ในแง่หนึ่งจะบอกว่าเล่ายากกว่าอุปสรรคชีวิตของทาบาสะก็ได้ การจะหยิบยกจุดสำคัญจากชีวิตที่มีกิจวัตรซ้ำซากและวนเป็นวงจรเดิมๆ ขึ้นมาโดยไม่ให้ฟังดูน่าเบื่อนั้นทำไม่ได้ง่ายๆ
สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ทาบาสะรับเอาทุกคำพูดอย่างไม่ตกหล่น ราวกับเป็นเครื่องดื่มเลิศรสแสนหายากที่ไม่อยากเหลือไว้แม้แต่หยดเดียว และสำหรับทาบาสะ ชีวิตที่เธอควรได้สัมผัสแต่ไม่เคยมีโอกาสก็นับเป็นเช่นนั้น
โอกาสเช่นนี้ทำให้ทาบาสะได้รับฟังความจริงในใจของผู้นำก่อนและหลังการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนทุกหัวระแหงทั้งในและนอกเขตปกครองของตนเอง ช่างแตกต่างกับราชาแห่งกาเลียที่เธอรู้จักเหลือเกิน แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรใช้โจเซฟเป็นมาตรฐานคนเป็นราชา แต่ก็ได้ข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนขึ้น
และยังทำให้ทาบาสะได้คิด หากสถานการณ์กลับกัน ท่านพ่อของเธอได้เป็นราชาจริงและเธอได้เป็นองค์หญิง ชีวิตของเธออาจจะเป็นอย่างองค์หญิงแห่งทริสเทน เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วชีวิตของเธอตอนนี้อาจจะเหมาะสมกับเธอมากกว่าก็ได้ ไม่นับคำสั่งไร้เหตุผลทั้งหลายและเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ของเธอ
เมื่อก่อนเธอจะหยุดตัวเองทันทีที่เกิดฝันหวานเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อชะตากรรมของเธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วเธอก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะห้ามตัวเองอีก
หากเธอสูญเสียจิตใจไปอย่างน้อยโลกที่เธอไปอยู่อาจจะเป็นอย่างนั้น เธอเป็นเจ้าหญิง มีชีวิตเหมือนอย่างเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ หรือบางทีอาจจะเป็นหญิงสาวที่ถูกมังกรร้ายจับตัวไป สักครั้งหนึ่งที่เธอได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นนอกจากมือของตัวเอง
ทาบาสะคิดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่มีเนื้อเรื่องทำนองนั้น เป็นหนังสือที่เธอชอบมากเสียด้วย...
เมื่ออังริเอตต้าไม่เหลือสิ่งที่จะพูดอีก ความเงียบก็กลับเข้ามายังห้องที่สว่างไสวด้วยแสงแดด แต่บรรยากาศระหว่างเด็กสาวทั้งสองผ่อนความตึงเครียดลง ทั้งคู่ไม่ได้บอกแก่กัน แต่ต่างคิดกับตัวเองว่านานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นมากเท่านี้นับแต่ได้พบเพื่อนรักที่มีอยู่เพียงคนเดียว
อังริเอตต้าเองก็รู้สึกประหลาดใจ ทีแรกเธอไม่ได้ตั้งใจจะเล่าละเอียดและเปิดเผยความรู้สึกเท่าที่ทำไป อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการถูกจองจำสามวันที่ผ่านมา อาจเพราะแสงสีความเงียบในห้องนี้ชวนให้เปิดเผยความรู้สึก หรืออาจเป็นเหตุผลง่ายๆ อย่างเพราะเธอรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้
“น่าเสียดายจริงๆ นะคะที่สมัยเด็กเราไม่ได้พบกัน”
ทาบาสะมองรอยยิ้มของอังริเอตต้า เธอจำได้ว่าราชินีของทริสเทนรู้จักกับเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นมาตั้งแต่เด็ก ตัวเธอเองตอนเป็นเด็กไม่มีคนอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร
“...ถึงจะรู้จักกันคุณก็คงช่วยอะไรลูกสาวชนชั้นสูงต่างอาณาจักรไม่ได้” เป็นนิสัยของทาบาสะไปแล้วที่มักพูดความจริงที่ไม่สวยงามเพื่อเตือนคู่สนทนา
“นั่นสินะคะ...คนทั่วไปอาจคิดว่าการอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรหมายถึงจะทำอะไรก็ย่อมได้ แต่หากได้มายืนอยู่จริงๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ราชินีทำไม่ได้นั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า”
ตั้งแต่ตอนยังเป็นองค์หญิง แค่การเลือกคู่ครองของตัวเอง ชายที่เธอรักเป็นชายเพียงหนึ่งเดียวที่แทบไม่มีทางสมหวังด้วย ชายที่ตำแหน่งบีบคั้นให้ต้องแต่งงานเป็นผู้ที่เธอไม่ได้รู้จักชอบพอด้วยแม้แต่น้อย และหลังจากเป็นราชินี อย่าว่าแต่เรื่องทำได้หรือไม่ได้ เพียงแค่งานและภาระที่ต้องรับผิดชอบ เธอก็ไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดว่าต้องการหรือไม่ต้องการอะไร
“...อย่างน้อยราชสำนักก็ต้องส่งอัศวินมาช่วยราชินีกลับไป คุณมีความสำคัญต่อความมั่นคงของอาณาจักร ไม่ใช่ตัวตนที่แม้หายไปก็ไม่มีใครสังเกตเห็น...”
อังริเอตต้ารู้ว่าเด็กสาวสวมแว่นหมายถึงตัวเอง แต่เธอในตอนนี้ไม่มีคำพูดใดจะให้กำลังใจอีกฝ่ายได้
“ไม่แน่เสมอไปหรอกค่ะ ทริสเทนตอนนี้ไม่มีกำลังคนหรือทรัพยากรที่จะทำศึกกับอาณาจักรที่เข้มแข็งอย่างกาเลียได้ ชีวิตเดียวจะมีค่าสักเพียงใดเมื่อเทียบกับอาณาจักรและราษฎร แม้ชีวิตนั้นจะเป็นของราชินีก็ตาม...”
“ไม่หรอก หากเป็นเขาล่ะก็...”
เด็กหนุ่มผมสีดำคนนั้น เธอไม่ได้รู้จักสนิทชิดเชื้อ แต่สามัญชนได้เป็นถึงหน่วยราชองครักษ์เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้ไม่แสดงออกแต่เธอเองก็รู้สึกทึ่งกับวีรกรรมที่ลือกันว่าเขาสร้างไว้ หยุดทัพเจ็ดหมื่น ก่อนหน้านั้นที่เธออยู่ในเหตุการณ์ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ยอมถอยหนีพายุอันทรงพลังจากองค์หญิงตรงหน้าเธอนี้กับองค์ชายเวลส์ที่ได้รับชีวิตเทียม
แม้เธอจะหมดหวังแล้ว แต่ราชินีแห่งทริสเทนยังมีอยู่ ไม่เหมือนกับตัวเธอ มีคนอีกมากที่ยังไม่ทอดทิ้งราชินี หากไม่เพราะเป็นราชินี ก็เพราะเป็นอังริเอตต้า
“ตอนนี้พวกเขาอาจจะกำลังมาที่นี่แล้วก็ได้”
ไม่ใช่นิสัยของทาบาสะที่จะพูดให้ความหวังคนอื่นเช่นนี้ แต่เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องมาช่วยคุณด้วยแน่นอน...หากเป็นหลุยส์กับท่านไซโตะย่อมไม่ทอดทิ้งคุณเพราะคุณหันคทาใส่พวกเขาแน่ ฉันเองก็เคยทำเช่นนั้นมาก่อนและถูกพวกเขาช่วยมาก่อนแล้ว คุณคงจำได้”
ทาบาสะจำได้ แม้เจตนาจะต่างกันแต่ราชินีก็เคยหันคทาใส่ทั้งสองคนจริงๆ และทั้งสองก็ไม่ได้ทอดทิ้งราชินีแต่ประการใด ถ้าอย่างนั้นแล้ว ไม่แน่บางที... แต่เธอคงไม่มีวันได้คำตอบ หลังจากวันที่สิบ จิตใจที่ผุพังของเธอคงไม่รับรู้แม้ว่าพวกเขาจะมา
“พวกไซโตะกำลังมา”
เสียงที่ตอบคำถามในใจของเธอไม่ใช่ของราชินีหรือเอลฟ์ที่อยู่ในห้อง แต่มาจากผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้อง
ทาบาสะและอังริเอตต้าหันไปทางประตูพร้อมกัน และทั้งคู่มองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาด้วยแววตาที่ลังเลแบบเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
“ฉันรู้เพราะถามอาเนียสมา” เด็กหนุ่มตอบโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องถาม
“คุณได้พบกับอาเนียสด้วยเหรอคะ?” อังริเอตต้าถามแทบจะทันที ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนั้น
“พวกไซโตะหลบหนีการควบคุมตัวของราชสำนัก ตอนนี้น่าจะกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่”
อังริเอตต้ากับทาบาสะเบิกตากว้าง เรื่องที่ทั้งคู่สนทนากันเมื่อครู่ได้รับคำยืนยันเร็วขนาดนี้ เป็นในทางที่คิดไว้ว่ายาก และได้ฟังจากปากคนที่ไม่คาดคิด
ยิ่งกว่านั้น ราชวังทริสเทนกับที่นี่ แม้ด้วยความเร็วของมังกรลมก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันเต็มในการเดินทางขาเดียว อีกเท่าตัวหากไปกลับ แต่ราชินีทริสเทนบอกทาบาสะว่าเขาเพิ่งออกไปตอนเช้าของเมื่อวาน
อังริเอตต้าซึ่งถูกพาตัวจากทริสเทนมาที่ปราสาทหลังนี้ในพริบตายอมรับแล้วว่ามีอีกมากที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับคนกลุ่มนี้
“แต่ว่า...รู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่นี่...” ส่วนที่ไม่อยากมีความหวังกับอะไรง่ายๆ ของอังริเอตต้าถามกลับไป
“เลเวียธานคงจะเป็นคนบอก”
เลเวียธาน ทั้งคู่รู้จักในชื่อของเด็กสาวที่อยู่ข้างเด็กหนุ่มตลอดเวลา
“...หมายความว่าเธอคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่กับคุณด้วย?”
“ก็อย่างนั้นล่ะ”
อังริเอตต้าคิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดก่อน
“...ถ้าเช่นนั้นฉันก็เป็นเหยื่อล่อ และเธอคนนั้นกำลังหลอกให้หลุยส์มาติดกับ”
“เลเวียธานไม่ได้ร่วมมือกับฝั่งฉัน เรื่องที่เป็นกับดักทางนั้นคงรู้กันทุกคน”
ทาบาสะทั้งประหลาดใจและพิศวง เธอได้เห็นหลักฐานของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มามากจนเกินพอเสียด้วยซ้ำ การที่ทั้งคู่แยกฝ่ายกัน ซ้ำเด็กหนุ่มยังกล่าวถึงได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ...ไม่สิ...
...น้ำเสียงและแววตาของเด็กหนุ่ม เธอคิดไปเองหรือเปล่า เล็กน้อยมากจนเธอไม่แน่ใจ แต่มันคือความยินดี...
“บิดาชาร์”
เอลฟ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นส่วนใหญ่และความไม่พอใจส่วนน้อยที่พยายามเก็บไว้ ราวกับไม่ชอบใจที่ถูก ‘คนเถื่อน’ เรียกชื่อของตัวเองห้วนๆ
“นานะมีเรื่องจะพูดด้วย ให้ลงไปหาข้างล่าง ฉันจะเฝ้าที่นี่แทนชั่วคราว”
บิดาชาร์ขมวดคิ้วส่วนหนึ่งด้วยความไม่พอใจส่วนหนึ่งด้วยความข้องใจ
“คำสั่งให้เฝ้าที่นี่ข้าได้รับมาจากชายที่มีตำแหน่งถืออำนาจเบ็ดเสร็จในสังคมของพวกเจ้า คำพูดของวัตถุนอกรีตที่เลียนแบบสิ่งมีชีวิตและเคลื่อนไหวด้วยวิญญาณเทียมมีความสำคัญมากกว่ารึ?”
“ถ้าถูกถามอย่างนั้นให้ตอบว่า ‘ใช่’ นานะบอกมา”
บิดาชาร์ปิดหนังสือที่อ่านอยู่และวางลงกับโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่ประตู ผ่านเด็กหนุ่มที่ร่างเล็กกว่าไป แล้วหันกลับมาพูดกับอังริเอตต้าและทาบาสะ ราวกับไม่รับรู้ตัวตนของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
“ถ้ารู้สึกเบื่อก็ลองอ่านหนังสือดู ข้านำมาจากที่พักอาศัยขนาดใหญ่ใกล้กับทะเลสาบแห่งนั้นหลายเล่ม” บิดาชาร์ชี้ไปที่กองหนังสือหกเจ็ดเล่มบนโต๊ะรับแขก
“หนังสือของมนุษย์มีการเติมแต่งด้วยการตีความส่วนตัวทำให้น่าสนใจกว่าบันทึกที่เป็นข้อเท็จจริงล้วนของพวกเรา โดยเฉพาะ [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] นั้นน่าสนใจทีเดียว โดยเนื้อแล้วคล้ายกับวีรบุรุษ [อานูบิส] ของพวกเรา”
บิดาชาร์ออกจากห้องไปโดยไม่รอคำตอบ เอ็กซ์ปิดประตูและตรงไปนั่งเก้าอี้เยื้องกับตัวที่บิดาชาร์นั่งอยู่เมื่อสักครู่ ห่างจากกองหนังสือประมาณสามช่วงแขน แล้วหลับตา ไม่แสดงท่าทีว่าต้องการสื่อสารกับพวกทาบาสะแต่อย่างใด
ทาบาสะลุกขึ้น ทำให้อังริเอตต้าตกใจเล็กน้อย และเดินไปที่โต๊ะ เหลือบมองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่ไม่ได้หันมาสนใจ แล้วเลื่อนสายตากลับมาที่กองหนังสือ
ทาบาสะหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นเล่มที่บิดาชาร์กล่าวถึง [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี]
ตำนานวีรบุรุษอิวาลดีผู้ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากองค์ศาสดาบริมิร์ มีมือซ้ายที่เปล่งแสง ถือดาบและหอกนับไม่ถ้วนต่อกรกับศัตรูมากมาย มังกร ปีศาจ อมนุษย์ นอกจากตัวละครกับแก่นเรื่องดังกล่าวแล้วรายละเอียดปลีกย่อยมีความแตกต่างกันไปในมือคนเขียนแต่ละคน เพราะต้นฉบับดั้งเดิมไม่เหลืออยู่แล้ว
วีรบุรุษแห่งอิวาลดีเป็นหนังสือที่ผ่านอุปสรรคมามากมาย ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนังสือนอกรีต มีช่วงหนึ่งที่ถูกล่าเผาทำลาย ไม่เคยเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะไม่ว่าในฐานะวรรณกรรมหรือเทววิทยา เพราะกล่าวกันว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยสามัญชนผู้ไม่พอใจการปกครองของชนชั้นสูง ตัวละครเอกอิวาลดีไม่ใช้เวทมนตร์แต่ใช้อาวุธทั่วไป ทว่าตัวละครนั้นเองก็ไม่ได้เป็นสามัญชน และไม่ได้เป็นชายเสมอไป บางฉบับก็เป็นหญิง เป็นบุตรของเทพแห่งดวงตะวัน บ้างก็ว่าภรรยาของเขาที่เป็น
แม้กระนั้นความสนุกก็ยังทำให้หนังสือเล่มนี้ก็เป็นที่อ่านกันอย่างแพร่หลาย คนอย่างทาบาสะไม่มีเหตุผลที่จะศึกษาหนังสือเล่มนี้ ตัวเธอเองไม่เลือกเรื่องที่เป็นศีลธรรมและตรงไปตรงมา แต่หนังสือที่ท่านแม่มักจะอ่านกล่อมเธอหลับตอนเด็กเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่สอนให้เธอรู้จักเสน่ห์ของการอ่าน แม้หลังจากความสนใจเธอเปลี่ยนไปที่สิ่งอื่นเธอจะไม่ได้เปิดมันมานานมากแล้ว แต่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นหนังสือที่เธออ่านบ่อยที่สุด
ทาบาสะมองปกที่มีร่องรอยของกาลเวลา ก่อนจะยื่นหนังสือให้เด็กหนุ่ม
เอ็กซ์สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างยื่นมาตรงหน้าตัวเองก็ลืมตาขึ้น
“คุณเอาไปอ่านสิ”
ดวงตาสีเขียวมองเธอแทนคำถาม ทาบาสะเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคาดหวังอะไร แต่เธอก็อยากให้เด็กหนุ่มได้อ่านเรื่องที่เธอเคยอ่านเรื่องนี้
เอ็กซ์เลื่อนสายตาจากทาบาสะลงมาที่ปก
“...ไม่ล่ะ ฉันไม่รู้สึกอยากอ่านเรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษ”
ทาบาสะรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลดแขนลงที่หน้าท้อง
หากเด็กหนุ่มปฏิเสธเธอก็จะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ทีแรก นั่นคืออ่านหนังสือเล่มนี้อย่างที่ท่านแม่เคยอ่านให้เธอฟัง คิดแล้วทาบาสะก็เดินกลับเข้าไปในห้องที่ท่านแม่หลับอยู่
ภายในห้องเหลือแต่อังริเอตต้ากับเอ็กซ์ ทั้งคู่นั่งอยู่กับที่ของตัวเองและไม่ส่งเสียง แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน คนหนึ่งเพราะไม่มีความต้องการ อีกคนหนึ่งเพราะความประหม่า
อังริเอตต้ามองประตูที่ปิดลงเมื่อเด็กสาวสวมแว่นผ่านเข้าไป แล้วหันกลับมาที่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว หลังจากนั่งอึดอัดมานานอังริเอตต้าก็ลุกขึ้น และเดินเข้าไปที่โต๊ะ
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาไม่แม้แต่กระดิกตัว จนกระทั่งอังริเอตต้านั่งลงข้างๆ ดวงตาสีเขียวเปิดขึ้นและชำเลืองมองเธอด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ออกปากถาม
เมื่ออังริเอตต้าขยับเข้าไปใกล้ขึ้นจนเกือบจะแนบชิดเด็กหนุ่มจึงรักษาความเงียบต่อไปไม่ได้
“...มีอะไร”
“ฉันสงสัย...คุณที่เคยช่วยฉันตอนยังเป็นเด็กไว้ครั้งหนึ่ง และยังพยายามเต็มที่เพื่อเตือนสติฉันที่หลงไปกับภาพลวงตาเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณดูไม่เหมือนคนที่จะร่วมมือกับกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อหลุยส์ได้เลย”
“เธอตีความผิดไปเอง การที่ฉันเคยช่วยเธอไม่ได้หมายความว่าฉันอยู่ ‘ฝ่ายเธอ’ และจะทำต่อไปตลอด ฉันแค่ใช้บุญคุณที่ติดค้างไว้”
“บุญคุณ? คุณไม่ใช่หรอกหรือที่เป็นฝ่ายมีบุญคุณต่อฉันตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยทำสิ่งใดให้แก่คุณเลย”
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้บุญคุณที่ว่าฉันตัดสินใจว่าใช้ไปหมดแล้ว”
เขาบอกเธอแล้วเมื่อตอนเช้า ว่ามีที่มาที่ไปซึ่งเธอไม่เข้าใจ
“ก่อนหน้านี้คุณพูดไว้ว่าฉันไม่สามารถเข้าใจเหตุผลของการกระทำคุณได้ แต่หากไม่เล่าจะรู้ได้อย่างไร”
สายตาของเด็กหนุ่มไม่ทำให้อังริเอตต้าหวั่นใจเหมือนเมื่อตอนเช้า ความกล้านี้มาจากการได้พบกับเด็กสาวสวมแว่นหรือไม่อังริเอตต้าไม่แน่ใจ แต่เธอจะใช้ความกล้านี้อย่างคุ้มค่าที่สุด
“ไม่ล่ะ ไม่ต้องเข้าใจหรอก ให้คนอื่นมาเข้าใจน่ะฉันพอแล้ว”
คำพูดของเด็กหนุ่ม ราวกับเคยมีคนเช่นนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วด้วยทางใดทางหนึ่ง
“แต่ฉันอยากเข้าใจค่ะ”
“งั้นเธอคงต้องพยายามเอาเองแล้ว เพราะฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องเล่า” เด็กหนุ่มพูดพลางมองอังริเอตต้าด้วยแววตาเย็นชา ราวกับไล่ให้เธอถอยไป
แต่อังริเอตต้านั่งอยู่อย่างนั้น สบตากับเด็กหนุ่มโดยไม่เบือนหน้าหนี
“...เธอไม่กลัวฉันรึไง?”
“...ฉันก็กำลังทดสอบอยู่ค่ะ”
ทีแรกที่มาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอังริเอตต้ารู้สึกกลัวทุกสิ่งและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการที่เธอถูกพามา แต่หลังจากความตระหนกช่วงแรกผ่านไปเธอก็เริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ มากขึ้น และหนึ่งในนั้นก็คือการที่ตัวเด็กหนุ่มเองไม่ทำให้เธอรู้สึกกลัว คงเพราะที่ผ่านมาความเห็นของเธอต่อเขาเป็นไปในทางบวกมาตลอด แม้ว่าจะถูกบังคับลักพาตัวมา ความคิดนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืน
ยิ่งกว่านั้น ตอนที่เขาเข้ามาในห้องเมื่อครู่นี้และเธอเห็นสายตาที่เขามองมา เธอกลับรู้สึกว่าเขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายกลัว...บางสิ่งในตัวเธอ และบางสิ่งในตัวเด็กสาวสวมแว่นคนนั้นเช่นกัน
อังริเอตต้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้ช่วยเธอในการหนีออกไปจากที่นี่เลย แต่ส่วนหนึ่งในใจของเธอต้องการจะรู้เหลือเกิน ความรู้สึกที่หัวใจบีบคั้นนี้ เธอไม่เคยมีความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้เลยตั้งแต่...
‘ท่านเวลส์...คำขอของท่าน...’
[...]
[.....]
ทาบาสะปิดประตูห้องลงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่รบกวนแม่ที่เพิ่งจะผล็อยหลับไป เด็กสาวสวมแว่นมองเงาของตัวเองที่ทอดลงบนประตูจางๆ ดวงจันทร์ที่เพิ่งจะปรากฏหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องแสงเข้ามาทางหน้าต่างด้านหลังเธอ
[วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ออกเดินทางไปช่วยลูกสาวเจ้าเมืองที่กดขี่ข่มเหงเขาและชาวบ้านจากถ้ำของมังกรร้าย หนังสือที่ท่านแม่มักจะอ่านกล่อมเธอนอน ไม่ใช่แค่ทาบาสะคนเดียวที่จำได้ เมื่อเธออ่านออกเสียงแต่ละถ้อยคำ ท่านแม่ซึ่งมักจะตื่นตระหนกและกล่าวหาเธอเป็นคนร้ายก็นิ่งฟังอย่างสงบ
เป็นครั้งแรกตลอดสามปีที่ผ่านมาที่ได้เห็นดวงตาของท่านแม่มองมาที่ตัวเองโดยไม่มีแววของความเกลียดชัง ความรู้สึกของเธอในตอนนั้นคงเป็นรองเพียงเมื่อท่านแม่หายเป็นปกติเท่านั้น แต่เวลานั้นคงไม่มีวันมาถึง ดังนั้นนี่จึงเป็นความรู้สึกยินดีที่สุดตั้งแต่สามปีก่อนจนถึงวันนี้ และอีกสิบวันสุดท้ายของชีวิตเธอ
ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นอีกครั้งทำให้เธอนึกออก สมัยเป็นเด็กเธอเคยสงสัยว่าเหตุใดหนังสือจึงชื่อว่า [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] ในเมื่อ ‘อิวาลดี’ เป็นชื่อของตัวเอก ชื่อหนังสือก็ควรจะตรงตัว ‘วีรบุรุษอิวาลดี’ แต่บัดนี้เธอได้คำตอบแล้ว
‘วีรบุรุษ’ ในชื่อหนังสือไม่ได้กล่าวถึงอิวาลดี แต่กล่าวถึงความกล้าหาญที่สถิตอยู่ในหัวใจของอิวาลดี วีรกรรมของอิวาลดีที่เกิดจากหัวใจดวงนั้นสร้างความปรารถนาที่จะเป็นวีรบุรุษเช่นอิวาลดีในหัวใจของผู้อ่าน
แต่ทาบาสะไม่เหมือนคนเหล่านั้น ตัวละครที่ดึงดูดสายตาของเธอมากกว่าคือหญิงสาวที่ถูกมังกรร้ายจับตัวไป เธอในตอนเด็กอยากจะเป็นหญิงสาวที่มีผู้กล้าหาญมาช่วยจากชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย เป็นความปรารถนาที่เธอได้รำลึกอีกครั้งเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าชีวิตของราชินีแห่งทริสเทนเมื่อตอนบ่าย
และเมื่อคิดถึงความปรารถนาในสมัยเด็ก ริมฝีปากของทาบาสะก็คลี่เป็นรอยยิ้มขมขื่น
เธอในตอนนี้ได้เป็นหญิงสาวคนนั้นแล้วไม่ใช่หรือ ถูกกักขังในสถานที่ที่ไม่อาจหนีออกไปได้ สิ่งที่ต่างจากในหนังสือคือชายหนุ่มผู้กล้าหาญจะมาช่วยเหลือเธอนั้นไม่มีตัวตนอยู่
และคนเดียวที่อาจเป็นได้...ก็กลายเป็นมังกรร้ายผู้คุมขังเธออีกตนไปแล้ว
ทาบาสะหันหลังกลับและมองไปที่เก้าอี้ซึ่ง ‘มังกรร้าย’ เฝ้าอยู่ก่อนที่เธอจะเข้าไปในห้อง ทว่าเธอพบเพียงราชินีแห่งทริสเทนที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวนั้น ส่วนผู้ที่เธอมองหานั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตามองหน้าหนังสือที่ประคองในมือซ้าย
ทาบาสะไม่รู้ว่าราชินีไปอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นได้อย่างไร แต่คงจะผล็อยหลับไป และเด็กหนุ่มก็ย้ายไปนั่งเก้าอี้อีกตัว
เธอประหลาดใจอยู่พอสมควรที่เขาไม่อุ้มราชินีไปที่เตียง หรือหากไม่อยากเสี่ยงทำให้ตื่นอย่างน้อยก็น่าจะนำผ้าห่มมาห่มให้ ไม่แม้แต่จุดเตาผิงที่ข้างผนัง ทะเลทรายเวลากลางคืนอุณหภูมิต่ำผิดกับเวลากลางวันลิบลับ แม้ไม่สัมผัสเองเพียงเห็นร่างที่ขดด้วยความหนาวเย็นบนเก้าอี้นวมก็สามารถรู้ได้
ทาบาสะเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่นั่งอยู่ เด็กหนุ่มไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือแม้เธอจะยืนอยู่ข้างเก้าอี้แล้ว
“ช่วยพาเธอคนนั้นไปที่เตียงหน่อย”
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
ตอบทันทีด้วยเสียงเรียบสนิท อย่างคนที่ไม่แยแสใดๆ แต่ทาบาสะรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบเกินไป ราวกับรอให้เธอถามอยู่แล้ว
“ฉันขอให้ช่วย นอกเหนือหน้าที่” ตัวเธอเองไม่มีแรงกายพอจะทำเช่นนั้นได้
ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบ และเด็กหนุ่มยังไม่เงยหน้าขึ้นมาเช่นเคย ทาบาสะรออยู่ครู่ใหญ่จึงเดินไปที่เตียง แล้วนำผ้าห่มกลับมาคลุมให้ราชินีที่นอนหนาวอยู่บนเก้าอี้นวมพร้อมทั้งถอดมงกุฏวางลงบนโต๊ะข้างๆ เรียบร้อยแล้วจึงหันหลังกลับ แต่ในอึดใจสุดท้ายเธอสังเกตว่าสายตาของเด็กหนุ่มอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของหน้าหนังสือตลอดเวลา
ทาบาสะไม่รู้ว่าควรตีความอย่างไรจึงเก็บไว้ในใจแล้วกลับไปขึ้นเตียง ก่อนจะหันกลับไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อมองให้แน่ใจ
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เดิมปิดหนังสือลงโดยไม่คั่นหน้าหรือพับมุมกระดาษ ดวงตาสีเขียวซึ่งหลบแสงจันทร์ใต้เงาของเส้นผมสีบรอนซ์เทาจ้องมองปกหลังด้วยใบหน้าคงเดิม ราวกับไม่ได้รู้สึกตัวว่าปิดหนังสือลงแล้ว
เธอมองเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดแว่นพับวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างเรียบร้อย แล้วดึงผ้าห่มอีกผืนขึ้นมาคลุมถึงไหล่พร้อมกับตะแคงตัวลงนอน
บรรยากาศเช่นนี้ ในความมืดและเงียบสงัด เขาสวมผ้าพันคอสีแดงนั่งอยู่คนเดียวขณะที่เธอเข้านอนก่อน ทาบาสะหวนนึกถึงครั้งที่เธอพบกับเขาครั้งแรกในป่าแห่งนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นมามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมาก เธอฝ่าฟันอุปสรรคและเติบโตขึ้น ความลับหลายอย่างของเขาถูกเปิดเผย แม้ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับตอนที่เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่สิ้นหวังอยู่ในป่าและเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
แต่เธอก็ยังมองเงาของร่างบนเก้าอี้ที่พร่ามัว ราวกับจะทำให้ความรู้สึกในตอนนั้นกลับมาได้ และในชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกว่าทำสำเร็จ จนกระทั่งมันค่อยๆ กลืนหายไปพร้อมกับสติของเธอ
[...]
[.....]
นอกหน้าต่างพระจันทร์แฝดแสดงรูปลักษณ์อย่างไร้สิ่งบดบัง ฉายแสงลงมายังเบื้องล่าง เข้ามาในห้องที่มืดสลัว พาดผ่านเด็กสาวผมสีฟ้าที่หลับอยู่บนเตียงกลางห้อง และหยุดที่ครึ่งร่างกายท่อนล่างเด็กสาวผมสีน้ำตาลเกาลัดที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเก้าอี้นวม
เอ็กซ์นั่งพิงพนักเก้าอี้ ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วตั้งแต่เด็กสาวสวมแว่นเข้านอนและในห้องนี้เหลือเพียงเขาที่ยังตื่นอยู่ เขาไม่ได้ขยับตัวไปไหน หนังสือที่ปิดยังวางอยู่บนตัก
สายตาของเขาเลื่อนจากหน้าต่างมาที่ร่างบนเก้าอี้ยาวแล้วต่อไปที่ร่างบนเตียง คนหลังนี้เขาไม่ได้รวมในการคำนวณทีแรก แต่ก็ทำให้หลักประกันเพิ่มขึ้น
‘คำขอ’ คราวนี้นานะลังเลบ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม
การเตรียมการพร้อมแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่รอเท่านั้น
เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของเขา
บทสรุปของความมืดที่อยู่ในใจของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้รู้
--
PBW:“ตอนนี้เน้นชีวิตฝั่งอังริเอตต้ากับทาบาสะ ขณะที่พวกไซโตะกำลังแล่นเรือเหาะไปที่บ้านหลุยส์”
DX:“เจ้าเอ็กซ์ออกเยอะกว่าตอนที่แล้วอีก แต่มี <.5> หมายความว่าโฟกัสของเรื่องตอนนี้ไปอยู่ที่กลุ่มเจ้าหนูพวกนั้นแทนสินะ”
เธอนอนอยู่บนเตียงที่อ่อนนุ่ม มีทั้งหลังคาและม่านที่ไม่ได้ชักปิด ตั้งอยู่กลางห้องที่กว้างขวางและสว่างด้วยแสงแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานสูง ชุดนอนที่สวมอยู่แม้แต่ตอนที่เป็นธิดาขององค์ชายก็ยังไม่เคยได้สัมผัส เมื่อควานหาแว่นตาก็พบหนึ่งคู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง กรอบประดับประดาด้วยอัญมณีเลอค่าอย่างสวยงาม
สำรวจร่างกายตัวเอง เธอไม่พบหรือรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ บาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ก็หายดีไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็น เธอสังเกตเห็นเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งจากยุคราชวงศ์คาเป้ ยุคที่ราชอาณาจักรกาเลียเพียบพร้อมทั้งด้านความมั่งคั่ง ศิลปะ และการทหาร
และราชินีของทริสเทนกำลังนั่งมองเธอจากด้านซ้ายของเตียง
‘...ท่าทางจะฝันไปจริงๆ’
คิดได้ดังนั้นทาบาสะก็หันไปทางโต๊ะข้างหัวเตียงตัวเดิมเตรียมจะถอดแว่นและล้มตัวลงนอนต่อ เพื่อจะได้ตื่นจากความฝัน
“ตื่นแล้วรึ”
เสียงหนึ่งหยุดทาบาสะไว้ ที่เก้าอี้ยาวใกล้กับประตูห้องมีชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ ทาบาสะจำได้แม่นว่าเป็นชายที่ไปจับตัวเธอที่คฤหาสน์ออร์เลียง และผู้ที่เธอพ่ายแพ้แม้จะต่อสู้อย่างสุดกำลัง
ทาบาสะมองหาไม้เท้าของเธอ แต่ไม่พบ หากไม่มีไม้เท้าเธอก็ไม่มีทางสู้ และอย่างไรเวทมนตร์โบราณของเอลฟ์ก็อยู่ในระดับที่พลังของเธอเอื้อมไม่ถึง
ก่อนหน้านี้ ทาบาสะไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไร แต่หลังจากตัดใจทิ้งภารกิจเธอกับซิลฟีดก็บินข้ามชายแดนและถึงคฤหาสน์ออร์เลียงในตอนเช้า เมื่อทำภารกิจล้มเหลวทางราชสำนักก็มีข้ออ้างจะกำจัดเธอได้ เธอตั้งใจจะพาท่านแม่กับเพร์เซอรังไปหลบซ่อนที่ใดสักแห่ง แต่กลับพบหุ่นแบบเดียวกับที่เคยจู่โจมโรงเรียน และที่ห้องด้านในสุดก็พบ...ชายคนนั้น ส่วนเตียงของท่านแม่ก็ว่างเปล่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ แม้ความโกรธจะทำให้พลังเวทของเธอสูงทะลุขีดปกติ แต่พลังนั้นกลับย้อนมาทำร้ายเธอเสียเอง เมื่อนั้นเธอจึงได้เข้าใจความน่ากลัวที่แท้จริงของเวทมนตร์โบราณ ไม่ว่าจะมีเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ไร้ค่า
“...คุณเป็นใครกัน”
“สมาชิกสภาผู้อาวุโสแห่งเนฟเธส...ไม่สิ ตอนนี้ข้าเป็นแค่ [บิดาชาร์] แห่งซาฮารา”
“แล้วที่นี่คือที่ไหน?”
“ปราสาทอาฮัมบรา”
ทาบาสะผู้รอบรู้ย่อมรู้จักชื่อนั้น ท่าทางระหว่างที่หมดสติเธอจะถูกพามาไกลทีเดียว
ตอนนั้นเองที่ทาบาสะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอนึกว่าอยู่ในความฝัน เธอหันกลับไปทางราชินีแห่งทริสเทนซึ่งมองเธออย่างพิศวงแต่พยายามไม่จ้องจนเกินไป สุดท้ายเธอก็กลับมาถามคนที่ใจเธอโทษให้เป็นต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง
“ทำไมราชินีแห่งทริสเทนถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ราชินี? อ้อ ผู้นำที่ถืออำนาจบริหารเบ็ดเสร็จในวัฒนธรรมคนเถื่อนของพวกเจ้าสินะ คงต้องถามเจ้าตัว ตอนที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่นี่นางก็อยู่ก่อนแล้ว”
ที่คำว่า ‘พวกเจ้า’ ทำให้ทาบาสะรู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว
“...ท่านแม่ของฉันอยู่ที่ไหน?” เป็นคำถามเดียวกับที่เธอถามที่คฤหาสน์ออร์เลียง
“อยู่ห้องข้างๆ นี้เอง”
ห้องที่ทาบาสะอยู่เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องรับรองชนชั้นสูง ประตูที่เอลฟ์ชี้ไปเป็นทางไปห้องคนรับใช้ซึ่งเล็กกว่า
ทาบาสะกระโจนออกจากเตียงและวิ่งตรงไปกระชากประตู
ท่านแม่ของเธอนอนอยู่บนเตียงในห้องนั้น ดวงตาปิดสนิท บนโต๊ะกระจกที่มุมห้องมีตุ๊กตาวางอยู่ตัวหนึ่ง ตุ๊กตาที่บัดนี้ได้ชื่อ ‘ชาร์ล็อตต์’ และความรักของมารดาไปจากเธอ ขณะที่เธอรับชื่อ ‘ทาบาสะ’ ของมันมา
ทาบาสะตวัดสายตาเกลียดชังกลับไปที่บิดาชาร์ซึ่งเดินตามเข้ามา
“คิดจะทำอะไรกับพวกเรา?”
“ช่วยลดเสียงด้วย เดี๋ยวนางจะตื่น” บิดาชาร์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเธอเป็นเพียงหนูทะเลทรายที่จับมาเป็นสัตว์ทดลอง มีให้เพียงความสงสารและสมเพชอันน้อยนิด
“ส่วนคำถามนั้น คำตอบของเจ้ากับนางต่างกัน”
เมื่อบิดาชาร์ไม่ยอมอธิบายต่อทาบาสะจึงถามด้วยตัวเอง
“จะทำอะไรกับท่านแม่?”
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าได้รับคำสั่งให้ ‘ควบคุมตัว’ อยู่ที่นี่เท่านั้น”
“แล้วฉันล่ะ?”
ครั้งนี้บิดาชาร์มีอาการลังเลชั่วอึดใจ แต่ก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบเดิม
“ข้าจะให้เจ้าได้บอกลากับจิตใจของตัวเองด้วยพลังของภูตแห่งวารี หลังจากนั้นก็เป็นคำสั่งให้ ‘ควบคุมตัว’ เจ้าเช่นเดียวกัน”
ทาบาสะเข้าใจ ชะตากรรมของเธอจะเป็นเหมือนกับท่านแม่ สูญเสียความเป็นตัวเอง
“ตอนนี้?”
“เป็นยาชนิดพิเศษ เริ่มปรุงวันนี้จะเสร็จในคืนวันที่สิบ ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าเถอะ”
“ยาที่ทำให้ท่านแม่เป็นแบบนี้...พวกคุณเป็นคนทำเหรอ?”
บิดาชาร์พยักหน้า
“ยาที่ให้ผลได้อย่างคงที่เช่นนี้มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่สามารถสร้างได้ ถึงข้าจะรู้สึกสมเพชในชะตากรรมของเจ้า แต่ข้าเองตอนนี้ก็มีสถานะคล้ายถูกจองจำเช่นเดียวกัน นี่คงจะเป็นเจตจำนงของ ‘ปณิธานอันยิ่งใหญ่’ ยอมจำนนแต่โดยดีเถอะ”
ทาบาสะมองออกไปนอกหน้าต่าง ใต้แสงแดดอันเจิดจ้าเธอมองเห็นกำแพงปราสาทที่ผุพัง ปราสาทอาฮัมบราเป็นปราสาทร้างที่ไม่มีใครดูแลมาเนิ่นนาน โจเซฟคงจะเป็นผู้สั่งให้ตกแต่งห้องให้เธอกับท่านแม่ ‘พักอาศัย’
หรือบางทีอาจเป็นมารยาทแบบอารมณ์ขันแกมประชดที่ราชาแห่งกาเลียถนัดและมอบให้ราชินีแห่งทริสเทน
กำแพงปราสาทส่วนใหญ่ยังตั้งอยู่ ทำให้ทาบาสะมองไม่เห็นถึงข้างนอก แต่สามารถมองลงไปถึงทางเข้าหลักด้านหน้าตัวปราสาทซึ่งมีทหารเฝ้าอยู่ จำนวนทหารที่ประจำการปราสาทหลังนี้ไม่แน่ชัด แต่อย่างไรไม่มีไม้เท้าเธอก็พาท่านแม่หลบหนีออกไปไม่ได้อยู่แล้ว
“อสูรรับใช้ของฉันล่ะ?” ทาบาสะถามเมื่อไม่เห็นซิลฟีดอยู่ด้านนอก
“มังกรสังคีตสินะ ข้าไม่ได้นำมาด้วย”
เอลฟ์ตนนี้มองตัวตนที่แท้จริงของซิลฟีดออกอย่างง่ายดาย สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์โบราณเช่นเดียวกัน
ทาบาสะรู้สึกโล่งใจที่ซิลฟีดหนีไปได้ แต่หนีไปได้แล้วคงจะไปขอความช่วยเหลือจากคนที่โรงเรียนแน่ เธอเม้มริมฝีปาก นึกถึงใบหน้าของคีร์เก้กับเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นเป็นอย่างแรก ทั้งคู่เป็นสองคนสุดท้ายที่เธอได้พบหน้า
ป่านนี้เรื่องที่เธอลอบทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นและให้ความร่วมมือกับการลักพาตัวเด็กสาวผมสีชมพูคงจะรู้ถึงหูคีร์เก้และอาจทุกคนที่โรงเรียนแล้ว
อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางมาช่วยคนทรยศอย่างเธอ
และถึงแม้เพื่อนของเธออาจเล่าสถานการณ์ที่บังคับมือของเธอให้ฟังจนทำให้คนที่โรงเรียนเปลี่ยนใจได้จริง เรื่องที่ราชสำนักกาเลียเป็นผู้จับกุมเธอย่อมหมายความว่าศัตรูเป็นอาณาจักรทั้งอาณาจักร เพื่อนของเธอแม้จะดูกล้าบ้าบิ่นแต่ก็ฉลาดกว่าที่เห็น ย่อมรู้ว่าการเป็นศัตรูกับทั้งอาณาจักรด้วยตัวคนเดียวหรือกับเพื่อนไม่กี่คนนั้นยากเพียงใด
แล้วยิ่งเด็กหนุ่มคนนั้นกับกลุ่มนักเรียนชาย เป็นราชองครักษ์แล้ว จะให้เดิมพันทั้งอาณาจักรเพื่อเธอคนเดียวได้อย่างไร
แต่ราชินีของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นบางที...
แต่เวลาของเธอนั้นเหลือน้อยเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเธอก็หมดหวังแล้ว
แล้วมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องคิดเรื่องเหล่านี้ด้วย เธอไม่หวังให้ใครช่วยเหลือมาก่อน ไม่ว่าเมื่อไรเธอก็ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวเสมอ หากจะมีใครให้เธอหวังพึ่งก็มีแต่... แต่ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
...ว่าไปแล้วราชินีของทริสเทนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผู้ที่เป็นเป้าหมายคือเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นไม่ใช่หรือ เธอเองก็เห็นตอนที่ ‘เขา’ พาเด็กสาวคนนั้นกระโดดลงมาจากระเบียง
...งานเต้นรำ เธอไม่ได้เข้าร่วมจึงลืมไป ราชินีคงจะได้รับเชิญมาโดยที่เธอไม่รู้และจำแลงร่างเป็นเด็กสาวผมสีชมพูซึ่งเป็นคนรู้จักที่ใกล้ชิด
ทาบาสะผละออกจากหน้าต่างและตรงดิ่งกลับไปที่ห้องเดิมพร้อมกับคำถามที่ต้องการคำตอบเร่งด่วน
จับผิดตัวหมายความว่าทำงานพลาด หรือว่า ‘เขา’ จะได้รับการลงโทษ...แม้จะไม่ใช่อัศวินที่อยู่ใต้อำนาจราชสำนักเหมือนกับเธอ
ราชินีแห่งทริสเทนผงะเมื่อเห็นเธอย่างสามขุมเข้าไปหา
“คุณเองก็ถูกจับตัวมาเหรอ...”
“ช—ใช่”
อังริเอตต้าตกใจกับความกะทันหันของเด็กสาวสวมแว่นคนนี้ พอตื่นขึ้นมาไม่ทันไรก็ผลุนผลันลงจากเตียงไปที่ห้องข้างๆ ซึ่งมารดานอนอยู่ เธอไม่รู้สถานการณ์จึงไม่กล้าตามไปรบกวน แต่จู่ๆ เด็กคนนี้ก็กลับมาหาเธอแล้วถามคำถามนี้
“คนที่จับตัวคุณมาคือใคร...”
ก่อนจะคิดไปร้อยแปดทาบาสะต้องยืนยันข้อสันนิษฐานแรกเสียก่อน
ทว่าคำถามของเธอดูจะทำให้เด็กสาวผมสีน้ำตาลเกาลัดสลดลง
ถามเรื่องถูกจับไม่เป็นไร แต่ก้มหน้าเมื่อถามถึงคนลงมือ...
“คุณก็เป็นเพื่อนของหลุยส์สินะคะ ฉันจำได้ว่าเราเคยพบกัน...ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะรู้จักเขา...เอ็กซ์...”
...เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ทาบาสะเริ่มปรับลมหายใจได้และนั่งลงที่ขอบเตียง
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ หลังจากพาฉันมาที่ห้องนี้เมื่อเช้าของวันที่แล้ว เขาก็ออกไปข้างนอก...”
ทาบาสะก้มหน้าลง คำตอบนั้นบอกเธอสองอย่าง อย่างแรกคือเขาดูไม่ได้รับโทษอะไร อีกข้อหนึ่งคือเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับโจเซฟจริง
ถ้าอย่างนั้นก็เธอก็หมดหวังจริงๆ แล้ว
ด้วยประสบการณ์ที่ปฏิบัติภารกิจอันตรายในฐานะอัศวินบุปผาอุดรมาอย่างยาวนานทำให้ทาบาสะมีทักษะวิเคราะห์สถานการณ์การต่อสู้ที่เป็นเลิศ
มีผู้คุมเป็นเอลฟ์ที่ทรงพลัง เธอไม่มีไม้เท้า ถึงมีก็ไม่มีทางที่จะช่วยท่านแม่และหนีออกไปได้ในเวลาเดียวกัน จะทำเช่นนั้นได้ด้วยจำนวนที่น้อยที่สุดต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับหน่วยราชองครักษ์หนึ่งหน่วย เวลาของเธอเหลืออีกสิบวัน และเป็นสิบวันที่ไม่สามารถออกไปจากห้องนี้ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้เลย
ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ช่วงชิงความรู้สึกอื่นๆ ของเธอไปจนหมด แม้แต่ความโกรธ
‘อย่างน้อย...อาจจะได้ไปที่เดียวกับท่านแม่...’ ความคิดนั้นทำให้เกิดความรู้สึกโล่งใจท่ามกลางการปล่อยวาง
“...คือว่า ขอถามอะไรหน่อยได้รึเปล่าคะ?”
ทาบาสะเงยหน้า พอใช้ความคิดแล้วเธอก็ลืมไปเลยว่าราชินีของทริสเทนนั่งอยู่ต่อหน้าเธอ แต่ที่จริงเธอก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์แต่แรกแล้ว
“ทำไมคุณถึงถูกจับตัวมาหรือคะ?”
คำถามแบบนั้นเอง ในสถานการณ์นี้เป็นคำถามที่ธรรมดามาก และเป็นคำถามที่ทาบาสะในยามปกติจะเลี่ยงการตอบด้วยการทำเมินเฉย แต่อาจจะด้วยการยอมรับชะตากรรมที่เพิ่งผ่านไป ทาบาสะเกิดความรู้สึกอยากจะลองใช้ ‘อิสรภาพ’ ที่ได้มาใหม่นี้ดู ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือการเล่าเรื่องที่พยายามปิดเป็นความลับเสมอมาให้ใครสักคนฟังบ้าง
“เรื่องเล่าอาจจะยาว คุณยังอยากจะฟังอยู่รึเปล่า?”
อังริเอตต้าตอบด้วยรอยยิ้ม
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนั่งคิดเรื่อยเปื่อย อย่างน้อยมีคุณอยู่ด้วยก็ทำให้เบื่อน้อยลงบ้าง ฉันอยากจะฟังทุกอย่างที่คุณสามารถพูดได้ค่ะ”
“งั้นก็ตกลง...แต่ฉันก็อยากฟังเรื่องเล่าของคุณบ้าง”
“เรื่องเล่าของฉัน? ชีวิตของฉันค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ถ้าคุณอยากฟังก็ตกลงค่ะ”
“อืม”
ทาบาสะไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แต่ในเวลานี้เธออาจเห็นด้วย ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ นอกจากอยู่กับท่านแม่แล้วหากมีใครสักคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้นอกจากเอลฟ์นั่นคงจะดีไม่น้อย และเธอก็รู้สึกสนใจชีวิตอย่างองค์หญิงที่เธอถูกช่วงชิงไปกลางคันว่าจะเป็นอย่างไร จะเหมือนในหนังสือที่เธออ่านหรือไม่
ทาบาสะจึงเริ่มต้นเล่า ตั้งแต่ชาติกำเนิดของเธอ วันที่โชคชะตาทอดทิ้งเธอและครอบครัว
[...]
เมื่ออาเนียสรุดมาถึงที่เกิดเหตุเธอก็พบประตูที่เปิดกว้างกับยามที่เพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมางัวเงีย และแน่นอน ภายในห้องขังว่างเปล่า
อาเนียสเรียกรองหัวหน้าเอมิลีซึ่งมาถึงก่อนเข้ามาถาม
“รายงาน”
“ค่ะ ทหารที่เฝ้าหอคอยให้การว่าได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากในห้อง เมื่อมองเข้าไปก็เห็นลูกกรงที่หน้าต่างถูกตัดและไม่มีนักโทษอยู่ข้างใน จึงเปิดประตูเข้าไปตรวจดู แต่จู่ๆ คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็หมดสติไปก่อน คนที่เข้าไปตรวจถูกนักโทษทั้งสามคนลอบทำร้าย จากนั้นก็หมดสติไปเช่นเดียวกัน จากอาการแล้วคาดว่าจะเป็นยานอนหลับชนิดรุนแรงค่ะ”
“แต่นักโทษไม่มีของแบบนั้นติดตัว ดังนั้นก็ต้องเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก”
“มีโอกาสเป็นไปได้สูงค่ะ”
ลอบขึ้นหอคอยที่มียามเฝ้าหลังดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงได้โดยไม่มีพยานพบเห็น ไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้กับประตูหรือหน้าต่าง
ในหมู่คนที่อาเนียสรู้จัก มีอยู่แค่คนหนึ่งในกลุ่มสองคนที่ทำได้ เพราะมีร่างกายที่เล็ดลอดเข้าได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นช่องที่แคบเพียงใด
ขณะที่คิดอาเนียสไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้า ไม่ใช่เพราะการฝืน แต่เพราะตัวเธอเองยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรรู้สึกอย่างไร โมโห โล่งใจ
“สามคนนั้น ยังไงซะเป้าหมายก็คงจะเป็นการข้ามชายแดนไปที่อาณาจักรกาเลีย”
“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะไปด้วยเรือเหาะรุ่นใหม่ที่นักเรียนคนหนึ่งนำมาจากเยอร์มาเนียก็ได้นะคะ”
“ก็อาจจะ เรือนั่นตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“ตอนที่ทางราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบความเป็นเจ้าของเมื่อสองวันก่อนยังอยู่ที่สถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทนค่ะ แต่หากผู้หลบหนีตั้งใจใช้เรือเหาะข้ามชายแดนไปที่กาเลียจริงตอนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว”
“หน่วยอัศวินมังกรกำลังรวมตัวเตรียมออกตามหา คงจะไปตรวจที่โรงเรียนด้วยอยู่แล้ว ปล่อยทางนั้นจัดการไปก็แล้วกัน”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรคะ?”
อาเนียสหันไปมองทางหน้าต่างที่ลูกกรงยังคงสภาพดี ทั้งที่คำให้การของยามบอกว่าลูกกรงถูกตัด แต่อาเนียสไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น
“จริงสิคะ วันที่นักโทษทั้งสามถูกจับกุม หน่วยแมนติคอร์รับหน้าที่ส่งตัวลูกสาวของดยุคลา วาลลิแยร์กลับคฤหาสน์ ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องรึเปล่านะคะ”
อาเนียสหันกลับมามองรองหัวหน้าแล้วเลิกคิ้ว
“รู้มาจากไหนน่ะ?”
“ฉันทราบจากสมาชิกหน่วยแมนติคอร์ที่เป็นผู้ไปส่งโดยตรงค่ะ”
“หืม...แล้วทำไมถึงมาบอกเธอได้ล่ะ ยิ่งกว่านั้น ไปเจอกันตอนไหนล่ะ”
“เรื่องนั้น...คือว่า...”
อาเนียสยิ้มเป็นนัยเมื่อเห็นรองหัวหน้าหลบสายตา ก่อนจะหุบยิ้มแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ
ถึงตัวเองจะเกลียดผู้ใช้เวทมนตร์ แต่อาเนียสก็ไม่คิดจะบังคับความคิดนั้นให้กับใคร หากสมาชิกหน่วยเธอที่มีแต่สามัญชนสามารถสานสัมพันธ์กับสมาชิกหน่วยแมนติคอร์ที่ล้วนแต่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตำหนิติเตียน
“...เรื่องดูถูกหน่วยของเราก็เงียบไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว หัวหน้าก็ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
แต่เมื่อเป็นเรื่องตัวเธอเอง อาเนียสก็มีคำตอบเพียงคำตอบเดียว
“ไม่เกี่ยวกับเกรงใจ ฉันแค่ไม่สนใจ”
“คงไม่ใช่เพราะคิดว่าไม่มีใครสนใจหรอกนะคะ เพราะในหน่วยแมนติคอร์เองก็มีอยู่คนหรือสองคน ...เขา...เป็นคนบอกฉันเองค่ะ ฉะนั้นไม่ผิดแน่”
อาเนียสยอมรับว่าคิดอย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่ใช่เหตุผล
“งั้นเหรอ แต่ก็อย่างที่ว่าไป ฉันไม่สนใจ”
“ในหน่วยเรามีหลายคนที่อยากเห็นหัวหน้ายืนที่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์ซักวันนะคะ” รองหัวหน้าเอมิลียิ้ม
“ฉันไม่สนใจจะเป็นซิสเตอร์ซักเท่าไหร่”
“หัวหน้าคะ...” เอมิลีเป็นฝ่ายถอนใจบ้าง
“ล้อเล่นกันพอแล้ว ถ้าที่พูดมาเรื่องมิสวาลลิแยร์จริงล่ะก็...ก็มีงานให้พวกเราทำ”
เอมิลีสลัดคราบหญิงสาวธรรมดาทิ้งไปและกลับสู่ความเป็นอัศวินดังเดิม
อาเนียสมองความเป็น ‘อัศวิน’ ของรองหัวหน้า ซึ่งคงจะอยู่บนใบหน้าของเธอเช่นเดียวกัน
อัศวินสาวหายใจเข้าและออก ทำสมองให้โล่งและบอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกอย่างไรทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือตามตัวนักโทษและผู้ช่วยหลบหนีกลับมา สำหรับผู้เป็นทหารและอัศวิน ความรู้สึกส่วนตัวต้องอยู่นอกเหนือจากหน้าที่
“พอจะคาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูได้...”
อาเนียสนึกทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้ง ‘ศัตรู’ เธอใช้คำนั้นเรียกเด็กสามคนกับคนที่มาช่วยพวกเขาจากการถูกจองจำ
ใช่แล้ว คนที่ขัดคำสั่งของราชสำนักก็คือศัตรูของราชสำนัก และก็เป็นศัตรูของเธอด้วย ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไรก็ตาม แม้จะเป็นคำว่า ‘ช่วยเหลือองค์ราชินี’ หากไร้หลักประกันโดยผู้ปกครองหูของทหารก็ไม่รับฟัง
คณะปกครองเป็นมันสมองของอาณาจักร เจ้าหน้าที่รับผิดชอบแต่ละส่วนเป็นแขนขา และทหารอย่างพวกเธอก็เป็นดาบและโล่ เมื่อทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่บิดพลิ้วต่างหากอาณาจักรจึงจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง
แม้ตัวเธอจะรู้สึกขัดแย้ง แต่ร่างกายเธอก็ยังต้องขยับด้วยความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่...
“ใครน่ะ!?”
เสียงสมาชิกหน่วยที่ไปตรวจที่อื่น อาเนียสสลัดความคิดทิ้งไปในพริบตาและวิ่งตามไปทางที่ได้ยินเสียง มาจากห้องที่อยู่ถัดไปสามห้อง เป็นห้องที่นอกจากคนทำความสะอาดเดือนละสองครั้งก็ไม่มีใครก้าวเข้าไปมานานมาก กระทั่งหน่วยของเธอต้องตรวจสอบที่เกิดเหตุ
อาเนียสกับสมาชิกหน่วยอีกสองคนก้าวเข้าไปในห้องอย่างไม่รอช้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้องมีคนอื่นนอกจากหน่วยของเธอ แต่หน่วยของเธอตรวจสอบบริเวณนี้นานแล้ว หมายความว่าเพิ่งจะเข้ามา โดยที่ไม่ถูกยามข้างนอกพบตัว
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนแหงนหน้ามองเพดานห้อง ราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องและเสียงฝีเท้าของพวกเธอ
“นาย...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
อาเนียสถาม คิดว่าเสียงของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายคุ้นหูบ้าง แต่ก็ไม่เป็นดังคาด เด็กหนุ่มย่อตัวแล้วกระโดดเอื้อมมือขึ้นไปบนเพดาน ตอนนั้นเองอาเนียสจึงได้เห็นว่ามีนกฮูกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนราวที่ยึดตะเกียงเวทมนตร์ไว้กับเพดาน อาเนียสสงสัยว่านกฮูกมาอยู่ในนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้ว่าคนทำความสะอาดปิดหน้าต่างไม่สนิทมันจึงยึดที่นี่เป็นแหล่งอาศัยชั่วคราว
มือของเด็กหนุ่มคว้าตัวมันและนำลงมาระดับสายตา นกฮูกพยายามตีปีกเพื่อสลัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม แต่กำลังที่ต่างกันทำให้ไม่มีทีท่าว่าจะทำได้
กระทั่งเครื่องเรือนในห้องถูกพัดครูดไปกับพื้นจนชนผนัง
ทุกครั้งที่ปีกของนกฮูกสะบัด แรงลมที่ออกมาพัดข้าวของขนาดเล็กปลิวทะลุกระจกหน้าต่างออกไปด้านนอก ตะเกียงบนเพดานส่ายราวกับจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ อาเนียสกับหน่วยปืนคนอื่นๆ ต้องย่อตัวและเกาะขอบประตูเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพัดกระเด็น
อาเนียสพยายามเปิดเปลือกตาและมองลอดนิ้วมือที่ยกขึ้นบังพายุขนาดย่อม เธอเห็นเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้แต่ชายเสื้อก็แนบนิ่งกับต้นขา ราวกับจุดนั้นไม่มีแม้แต่ลมเอื่อยๆ หน้าผากของเด็กหนุ่มเปล่งแสงสีแดงซึ่งอาเนียสเห็นไม่ชัดท่ามกลางลมแรง
จากนั้นไม่นานพายุก็สงบลง อาเนียสกับหน่วยปืนค่อยๆ หาหลักยืนที่มั่นคงหลังจากถูกพายุเมื่อครู่สูบแรงไปจนขาสั่น เด็กหนุ่มปล่อยนกฮูกบินออกไปนอกหน้าต่าง
ดูเหมือนจะเสร็จธุระแล้ว เพราะเด็กหนุ่มหันมาพูดกับอาเนียส
“พวกไซโตะเป็นยังไงบ้าง?”
อาเนียสขึงตามองเด็กหนุ่มที่บุกรุกเข้ามาแล้วก็ถามคำถามตามใจชอบ
“หนีออกไปแล้ว ไม่ใช่พวกของนายหรอกเหรอที่ช่วยออกไป”
“หนีออกไป? ถูกจับ...ยังงี้นี่เอง” เด็กหนุ่มพูดเองและทำท่าเข้าใจเอง
อาเนียสส่งสัญญาณมือให้หน่วยปืนข้างหลังชักดาบออกมา และสังเกตว่าถึงตอนนี้เด็กสาวผมสีฟ้าอีกคนก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
“...มีคำถามที่อยากถามอยู่สองสามข้อ แต่ไว้ถึงห้องสอบสวนก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ขอจับข้อหาบุกรุกราชวัง”
เด็กหนุ่มมองอาเนียสที่ชักดาบออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“พวกไซโตะจะไปที่กาเลียใช่รึเปล่า?”
“ก็คงยังงั้น ไม่ได้อยู่ด้วยแล้วรู้ได้ยังไง?”
“คงจะไปช่วยราชินีที่ฉันจับไป”
เสียงหายใจเฮือกของหน่วยปืนตรงกับความรู้สึกที่ทำให้อาเนียสเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่เปลือกตากลับลงอย่างอันตราย
“จำได้ใช่มั้ย ฉันเคยถามว่า ‘นายเป็นภัยกับองค์ราชินีรึเปล่า?’ ”
“ตอนนั้นฉันตอบว่า ‘ไม่แน่’ ”
“ฉันจะถือว่านายไม่ได้โกหกก็แล้วกัน แต่ตอนนี้จะขอให้คายที่อยู่ขององค์ราชินีออกมาล่ะนะ”
“ปราสาทอาฮัมบรา อยู่ทะเลทรายชายแดนตะวันออกของกาเลีย”
“...คำตอบเดียวกับที่พวกไซโตะบอกเลยนี่” อาเนียสข้ามคำถามเรื่องสาเหตุที่ยอมบอกง่ายๆ
“...ถ้าอย่างนั้นคงได้เจอกับเลเวียธานแล้ว”
“ฉันคิดมานานแล้ว ส่วนที่น่าหงุดหงิดที่สุดของนายก็คือคำตอบกำกวมแบบนี้ล่ะ วันนี้จะได้ดัดนิสัยนั่นซะที”
อาเนียสสะบัดมือส่งสัญญาณให้หน่วยปืนสี่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าไปควบคุมตัวเด็กหนุ่ม ทั้งสี่ตีวงล้อมตัวเป้าหมาย ก่อนจะขยับเข้าไปพร้อมกัน ยื่นดาบออกไปพาดต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกรง ล้อมตัวเด็กหนุ่มระดับหน้าอกไม่ให้ขยับแขนได้
อาเนียสไม่มีเกณฑ์ประเมินความสามารถของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทานี้อย่างแน่ชัด นอกจากคำพูดของไซโตะว่าเด็กหนุ่มคนนี้เหนือกว่าตัวเองที่มีพลังของอสูรรับใช้มาก จะจับกุมคนเช่นนี้จำเป็นต้องรอบคอบ
ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองมาที่อาเนียสราวกับไม่รับรู้ดาบที่ล้อมตัวเองไว้
ทันใดนั้นพายุที่เหมือนกับเมื่อครู่ทั้งความกะทันหันและความรุนแรงก็พัดมาอีกครั้ง แค่วูบเดียว สังเกตจากการที่หน่วยปืนทั้งสี่คนถูกพัดกระเด็นไปคนละทาง ศูนย์กลางของแรงลมคือเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเอง
อาเนียสอดคิดในหัวไม่ได้ว่าราวกับเด็กหนุ่มได้ความสามารถประหลาดของนกฮูกเมื่อครู่นี้ไป
“เธอเป็นแค่ทหาร หรือเป็นมากกว่านั้น...”
เด็กหนุ่มกล่าวคำพูดกำกวมทิ้งท้าย ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะอาบร่างของตัวเอง แล้วทั้งแสงทั้งเด็กหนุ่มก็หายวับไป
อาเนียสกับหน่วยปืนยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รองหัวหน้าจะได้สติและออกคำสั่ง
“ตามหาให้พบ! อาจจะยังอยู่ในสวน!”
ขณะเดียวกัน อาเนียสได้แต่มองจุดที่เด็กหนุ่มยืนอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้ คำพูดประโยคเดียวของเด็กหนุ่ม กำกวมอย่างน่าหงุดหงิดเหมือนที่ผ่านมา แต่สะกิดใจเธอมากกว่าที่คาด
‘แค่ทหาร...หรือมากกว่านั้น...’
ความโกรธเอ่อขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่อาเนียสก็ไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอตัดคำพูดนั้นออกไปจากสมองอย่างรวดเร็วบนฐานว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายชวนให้สับสนหงุดหงิด
“ไม่ต้องตาม”
“เอ๋?” เอมิลีประหลาดใจคำสั่งของหัวหน้า
“บอกให้ทุกคนไปรวมกันที่สวนหน้าหอคอย เธอตามฉันไปหาคาร์ดินัล”
ไม่ว่าคนน่าโมโหนั่นจะพูดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าต้องทำ
[...]
เป็นตาของอังริเอตต้าที่ต้องเป็นฝ่ายเล่าชีวิตการเป็นองค์หญิงและราชินี ในแง่หนึ่งจะบอกว่าเล่ายากกว่าอุปสรรคชีวิตของทาบาสะก็ได้ การจะหยิบยกจุดสำคัญจากชีวิตที่มีกิจวัตรซ้ำซากและวนเป็นวงจรเดิมๆ ขึ้นมาโดยไม่ให้ฟังดูน่าเบื่อนั้นทำไม่ได้ง่ายๆ
สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ทาบาสะรับเอาทุกคำพูดอย่างไม่ตกหล่น ราวกับเป็นเครื่องดื่มเลิศรสแสนหายากที่ไม่อยากเหลือไว้แม้แต่หยดเดียว และสำหรับทาบาสะ ชีวิตที่เธอควรได้สัมผัสแต่ไม่เคยมีโอกาสก็นับเป็นเช่นนั้น
โอกาสเช่นนี้ทำให้ทาบาสะได้รับฟังความจริงในใจของผู้นำก่อนและหลังการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนทุกหัวระแหงทั้งในและนอกเขตปกครองของตนเอง ช่างแตกต่างกับราชาแห่งกาเลียที่เธอรู้จักเหลือเกิน แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรใช้โจเซฟเป็นมาตรฐานคนเป็นราชา แต่ก็ได้ข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนขึ้น
และยังทำให้ทาบาสะได้คิด หากสถานการณ์กลับกัน ท่านพ่อของเธอได้เป็นราชาจริงและเธอได้เป็นองค์หญิง ชีวิตของเธออาจจะเป็นอย่างองค์หญิงแห่งทริสเทน เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วชีวิตของเธอตอนนี้อาจจะเหมาะสมกับเธอมากกว่าก็ได้ ไม่นับคำสั่งไร้เหตุผลทั้งหลายและเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ของเธอ
เมื่อก่อนเธอจะหยุดตัวเองทันทีที่เกิดฝันหวานเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อชะตากรรมของเธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วเธอก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะห้ามตัวเองอีก
หากเธอสูญเสียจิตใจไปอย่างน้อยโลกที่เธอไปอยู่อาจจะเป็นอย่างนั้น เธอเป็นเจ้าหญิง มีชีวิตเหมือนอย่างเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ หรือบางทีอาจจะเป็นหญิงสาวที่ถูกมังกรร้ายจับตัวไป สักครั้งหนึ่งที่เธอได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นนอกจากมือของตัวเอง
ทาบาสะคิดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่มีเนื้อเรื่องทำนองนั้น เป็นหนังสือที่เธอชอบมากเสียด้วย...
เมื่ออังริเอตต้าไม่เหลือสิ่งที่จะพูดอีก ความเงียบก็กลับเข้ามายังห้องที่สว่างไสวด้วยแสงแดด แต่บรรยากาศระหว่างเด็กสาวทั้งสองผ่อนความตึงเครียดลง ทั้งคู่ไม่ได้บอกแก่กัน แต่ต่างคิดกับตัวเองว่านานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นมากเท่านี้นับแต่ได้พบเพื่อนรักที่มีอยู่เพียงคนเดียว
อังริเอตต้าเองก็รู้สึกประหลาดใจ ทีแรกเธอไม่ได้ตั้งใจจะเล่าละเอียดและเปิดเผยความรู้สึกเท่าที่ทำไป อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการถูกจองจำสามวันที่ผ่านมา อาจเพราะแสงสีความเงียบในห้องนี้ชวนให้เปิดเผยความรู้สึก หรืออาจเป็นเหตุผลง่ายๆ อย่างเพราะเธอรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้
“น่าเสียดายจริงๆ นะคะที่สมัยเด็กเราไม่ได้พบกัน”
ทาบาสะมองรอยยิ้มของอังริเอตต้า เธอจำได้ว่าราชินีของทริสเทนรู้จักกับเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นมาตั้งแต่เด็ก ตัวเธอเองตอนเป็นเด็กไม่มีคนอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร
“...ถึงจะรู้จักกันคุณก็คงช่วยอะไรลูกสาวชนชั้นสูงต่างอาณาจักรไม่ได้” เป็นนิสัยของทาบาสะไปแล้วที่มักพูดความจริงที่ไม่สวยงามเพื่อเตือนคู่สนทนา
“นั่นสินะคะ...คนทั่วไปอาจคิดว่าการอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรหมายถึงจะทำอะไรก็ย่อมได้ แต่หากได้มายืนอยู่จริงๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ราชินีทำไม่ได้นั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า”
ตั้งแต่ตอนยังเป็นองค์หญิง แค่การเลือกคู่ครองของตัวเอง ชายที่เธอรักเป็นชายเพียงหนึ่งเดียวที่แทบไม่มีทางสมหวังด้วย ชายที่ตำแหน่งบีบคั้นให้ต้องแต่งงานเป็นผู้ที่เธอไม่ได้รู้จักชอบพอด้วยแม้แต่น้อย และหลังจากเป็นราชินี อย่าว่าแต่เรื่องทำได้หรือไม่ได้ เพียงแค่งานและภาระที่ต้องรับผิดชอบ เธอก็ไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดว่าต้องการหรือไม่ต้องการอะไร
“...อย่างน้อยราชสำนักก็ต้องส่งอัศวินมาช่วยราชินีกลับไป คุณมีความสำคัญต่อความมั่นคงของอาณาจักร ไม่ใช่ตัวตนที่แม้หายไปก็ไม่มีใครสังเกตเห็น...”
อังริเอตต้ารู้ว่าเด็กสาวสวมแว่นหมายถึงตัวเอง แต่เธอในตอนนี้ไม่มีคำพูดใดจะให้กำลังใจอีกฝ่ายได้
“ไม่แน่เสมอไปหรอกค่ะ ทริสเทนตอนนี้ไม่มีกำลังคนหรือทรัพยากรที่จะทำศึกกับอาณาจักรที่เข้มแข็งอย่างกาเลียได้ ชีวิตเดียวจะมีค่าสักเพียงใดเมื่อเทียบกับอาณาจักรและราษฎร แม้ชีวิตนั้นจะเป็นของราชินีก็ตาม...”
“ไม่หรอก หากเป็นเขาล่ะก็...”
เด็กหนุ่มผมสีดำคนนั้น เธอไม่ได้รู้จักสนิทชิดเชื้อ แต่สามัญชนได้เป็นถึงหน่วยราชองครักษ์เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้ไม่แสดงออกแต่เธอเองก็รู้สึกทึ่งกับวีรกรรมที่ลือกันว่าเขาสร้างไว้ หยุดทัพเจ็ดหมื่น ก่อนหน้านั้นที่เธออยู่ในเหตุการณ์ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ยอมถอยหนีพายุอันทรงพลังจากองค์หญิงตรงหน้าเธอนี้กับองค์ชายเวลส์ที่ได้รับชีวิตเทียม
แม้เธอจะหมดหวังแล้ว แต่ราชินีแห่งทริสเทนยังมีอยู่ ไม่เหมือนกับตัวเธอ มีคนอีกมากที่ยังไม่ทอดทิ้งราชินี หากไม่เพราะเป็นราชินี ก็เพราะเป็นอังริเอตต้า
“ตอนนี้พวกเขาอาจจะกำลังมาที่นี่แล้วก็ได้”
ไม่ใช่นิสัยของทาบาสะที่จะพูดให้ความหวังคนอื่นเช่นนี้ แต่เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องมาช่วยคุณด้วยแน่นอน...หากเป็นหลุยส์กับท่านไซโตะย่อมไม่ทอดทิ้งคุณเพราะคุณหันคทาใส่พวกเขาแน่ ฉันเองก็เคยทำเช่นนั้นมาก่อนและถูกพวกเขาช่วยมาก่อนแล้ว คุณคงจำได้”
ทาบาสะจำได้ แม้เจตนาจะต่างกันแต่ราชินีก็เคยหันคทาใส่ทั้งสองคนจริงๆ และทั้งสองก็ไม่ได้ทอดทิ้งราชินีแต่ประการใด ถ้าอย่างนั้นแล้ว ไม่แน่บางที... แต่เธอคงไม่มีวันได้คำตอบ หลังจากวันที่สิบ จิตใจที่ผุพังของเธอคงไม่รับรู้แม้ว่าพวกเขาจะมา
“พวกไซโตะกำลังมา”
เสียงที่ตอบคำถามในใจของเธอไม่ใช่ของราชินีหรือเอลฟ์ที่อยู่ในห้อง แต่มาจากผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้อง
ทาบาสะและอังริเอตต้าหันไปทางประตูพร้อมกัน และทั้งคู่มองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาด้วยแววตาที่ลังเลแบบเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
“ฉันรู้เพราะถามอาเนียสมา” เด็กหนุ่มตอบโดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องถาม
“คุณได้พบกับอาเนียสด้วยเหรอคะ?” อังริเอตต้าถามแทบจะทันที ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนั้น
“พวกไซโตะหลบหนีการควบคุมตัวของราชสำนัก ตอนนี้น่าจะกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่”
อังริเอตต้ากับทาบาสะเบิกตากว้าง เรื่องที่ทั้งคู่สนทนากันเมื่อครู่ได้รับคำยืนยันเร็วขนาดนี้ เป็นในทางที่คิดไว้ว่ายาก และได้ฟังจากปากคนที่ไม่คาดคิด
ยิ่งกว่านั้น ราชวังทริสเทนกับที่นี่ แม้ด้วยความเร็วของมังกรลมก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันเต็มในการเดินทางขาเดียว อีกเท่าตัวหากไปกลับ แต่ราชินีทริสเทนบอกทาบาสะว่าเขาเพิ่งออกไปตอนเช้าของเมื่อวาน
อังริเอตต้าซึ่งถูกพาตัวจากทริสเทนมาที่ปราสาทหลังนี้ในพริบตายอมรับแล้วว่ามีอีกมากที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับคนกลุ่มนี้
“แต่ว่า...รู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่นี่...” ส่วนที่ไม่อยากมีความหวังกับอะไรง่ายๆ ของอังริเอตต้าถามกลับไป
“เลเวียธานคงจะเป็นคนบอก”
เลเวียธาน ทั้งคู่รู้จักในชื่อของเด็กสาวที่อยู่ข้างเด็กหนุ่มตลอดเวลา
“...หมายความว่าเธอคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่กับคุณด้วย?”
“ก็อย่างนั้นล่ะ”
อังริเอตต้าคิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดก่อน
“...ถ้าเช่นนั้นฉันก็เป็นเหยื่อล่อ และเธอคนนั้นกำลังหลอกให้หลุยส์มาติดกับ”
“เลเวียธานไม่ได้ร่วมมือกับฝั่งฉัน เรื่องที่เป็นกับดักทางนั้นคงรู้กันทุกคน”
ทาบาสะทั้งประหลาดใจและพิศวง เธอได้เห็นหลักฐานของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มามากจนเกินพอเสียด้วยซ้ำ การที่ทั้งคู่แยกฝ่ายกัน ซ้ำเด็กหนุ่มยังกล่าวถึงได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ...ไม่สิ...
...น้ำเสียงและแววตาของเด็กหนุ่ม เธอคิดไปเองหรือเปล่า เล็กน้อยมากจนเธอไม่แน่ใจ แต่มันคือความยินดี...
“บิดาชาร์”
เอลฟ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นส่วนใหญ่และความไม่พอใจส่วนน้อยที่พยายามเก็บไว้ ราวกับไม่ชอบใจที่ถูก ‘คนเถื่อน’ เรียกชื่อของตัวเองห้วนๆ
“นานะมีเรื่องจะพูดด้วย ให้ลงไปหาข้างล่าง ฉันจะเฝ้าที่นี่แทนชั่วคราว”
บิดาชาร์ขมวดคิ้วส่วนหนึ่งด้วยความไม่พอใจส่วนหนึ่งด้วยความข้องใจ
“คำสั่งให้เฝ้าที่นี่ข้าได้รับมาจากชายที่มีตำแหน่งถืออำนาจเบ็ดเสร็จในสังคมของพวกเจ้า คำพูดของวัตถุนอกรีตที่เลียนแบบสิ่งมีชีวิตและเคลื่อนไหวด้วยวิญญาณเทียมมีความสำคัญมากกว่ารึ?”
“ถ้าถูกถามอย่างนั้นให้ตอบว่า ‘ใช่’ นานะบอกมา”
บิดาชาร์ปิดหนังสือที่อ่านอยู่และวางลงกับโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่ประตู ผ่านเด็กหนุ่มที่ร่างเล็กกว่าไป แล้วหันกลับมาพูดกับอังริเอตต้าและทาบาสะ ราวกับไม่รับรู้ตัวตนของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
“ถ้ารู้สึกเบื่อก็ลองอ่านหนังสือดู ข้านำมาจากที่พักอาศัยขนาดใหญ่ใกล้กับทะเลสาบแห่งนั้นหลายเล่ม” บิดาชาร์ชี้ไปที่กองหนังสือหกเจ็ดเล่มบนโต๊ะรับแขก
“หนังสือของมนุษย์มีการเติมแต่งด้วยการตีความส่วนตัวทำให้น่าสนใจกว่าบันทึกที่เป็นข้อเท็จจริงล้วนของพวกเรา โดยเฉพาะ [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] นั้นน่าสนใจทีเดียว โดยเนื้อแล้วคล้ายกับวีรบุรุษ [อานูบิส] ของพวกเรา”
บิดาชาร์ออกจากห้องไปโดยไม่รอคำตอบ เอ็กซ์ปิดประตูและตรงไปนั่งเก้าอี้เยื้องกับตัวที่บิดาชาร์นั่งอยู่เมื่อสักครู่ ห่างจากกองหนังสือประมาณสามช่วงแขน แล้วหลับตา ไม่แสดงท่าทีว่าต้องการสื่อสารกับพวกทาบาสะแต่อย่างใด
ทาบาสะลุกขึ้น ทำให้อังริเอตต้าตกใจเล็กน้อย และเดินไปที่โต๊ะ เหลือบมองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่ไม่ได้หันมาสนใจ แล้วเลื่อนสายตากลับมาที่กองหนังสือ
ทาบาสะหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นเล่มที่บิดาชาร์กล่าวถึง [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี]
ตำนานวีรบุรุษอิวาลดีผู้ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากองค์ศาสดาบริมิร์ มีมือซ้ายที่เปล่งแสง ถือดาบและหอกนับไม่ถ้วนต่อกรกับศัตรูมากมาย มังกร ปีศาจ อมนุษย์ นอกจากตัวละครกับแก่นเรื่องดังกล่าวแล้วรายละเอียดปลีกย่อยมีความแตกต่างกันไปในมือคนเขียนแต่ละคน เพราะต้นฉบับดั้งเดิมไม่เหลืออยู่แล้ว
วีรบุรุษแห่งอิวาลดีเป็นหนังสือที่ผ่านอุปสรรคมามากมาย ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนังสือนอกรีต มีช่วงหนึ่งที่ถูกล่าเผาทำลาย ไม่เคยเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะไม่ว่าในฐานะวรรณกรรมหรือเทววิทยา เพราะกล่าวกันว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยสามัญชนผู้ไม่พอใจการปกครองของชนชั้นสูง ตัวละครเอกอิวาลดีไม่ใช้เวทมนตร์แต่ใช้อาวุธทั่วไป ทว่าตัวละครนั้นเองก็ไม่ได้เป็นสามัญชน และไม่ได้เป็นชายเสมอไป บางฉบับก็เป็นหญิง เป็นบุตรของเทพแห่งดวงตะวัน บ้างก็ว่าภรรยาของเขาที่เป็น
แม้กระนั้นความสนุกก็ยังทำให้หนังสือเล่มนี้ก็เป็นที่อ่านกันอย่างแพร่หลาย คนอย่างทาบาสะไม่มีเหตุผลที่จะศึกษาหนังสือเล่มนี้ ตัวเธอเองไม่เลือกเรื่องที่เป็นศีลธรรมและตรงไปตรงมา แต่หนังสือที่ท่านแม่มักจะอ่านกล่อมเธอหลับตอนเด็กเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่สอนให้เธอรู้จักเสน่ห์ของการอ่าน แม้หลังจากความสนใจเธอเปลี่ยนไปที่สิ่งอื่นเธอจะไม่ได้เปิดมันมานานมากแล้ว แต่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นหนังสือที่เธออ่านบ่อยที่สุด
ทาบาสะมองปกที่มีร่องรอยของกาลเวลา ก่อนจะยื่นหนังสือให้เด็กหนุ่ม
เอ็กซ์สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างยื่นมาตรงหน้าตัวเองก็ลืมตาขึ้น
“คุณเอาไปอ่านสิ”
ดวงตาสีเขียวมองเธอแทนคำถาม ทาบาสะเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคาดหวังอะไร แต่เธอก็อยากให้เด็กหนุ่มได้อ่านเรื่องที่เธอเคยอ่านเรื่องนี้
เอ็กซ์เลื่อนสายตาจากทาบาสะลงมาที่ปก
“...ไม่ล่ะ ฉันไม่รู้สึกอยากอ่านเรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษ”
ทาบาสะรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลดแขนลงที่หน้าท้อง
หากเด็กหนุ่มปฏิเสธเธอก็จะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ทีแรก นั่นคืออ่านหนังสือเล่มนี้อย่างที่ท่านแม่เคยอ่านให้เธอฟัง คิดแล้วทาบาสะก็เดินกลับเข้าไปในห้องที่ท่านแม่หลับอยู่
ภายในห้องเหลือแต่อังริเอตต้ากับเอ็กซ์ ทั้งคู่นั่งอยู่กับที่ของตัวเองและไม่ส่งเสียง แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน คนหนึ่งเพราะไม่มีความต้องการ อีกคนหนึ่งเพราะความประหม่า
อังริเอตต้ามองประตูที่ปิดลงเมื่อเด็กสาวสวมแว่นผ่านเข้าไป แล้วหันกลับมาที่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว หลังจากนั่งอึดอัดมานานอังริเอตต้าก็ลุกขึ้น และเดินเข้าไปที่โต๊ะ
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาไม่แม้แต่กระดิกตัว จนกระทั่งอังริเอตต้านั่งลงข้างๆ ดวงตาสีเขียวเปิดขึ้นและชำเลืองมองเธอด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ออกปากถาม
เมื่ออังริเอตต้าขยับเข้าไปใกล้ขึ้นจนเกือบจะแนบชิดเด็กหนุ่มจึงรักษาความเงียบต่อไปไม่ได้
“...มีอะไร”
“ฉันสงสัย...คุณที่เคยช่วยฉันตอนยังเป็นเด็กไว้ครั้งหนึ่ง และยังพยายามเต็มที่เพื่อเตือนสติฉันที่หลงไปกับภาพลวงตาเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณดูไม่เหมือนคนที่จะร่วมมือกับกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อหลุยส์ได้เลย”
“เธอตีความผิดไปเอง การที่ฉันเคยช่วยเธอไม่ได้หมายความว่าฉันอยู่ ‘ฝ่ายเธอ’ และจะทำต่อไปตลอด ฉันแค่ใช้บุญคุณที่ติดค้างไว้”
“บุญคุณ? คุณไม่ใช่หรอกหรือที่เป็นฝ่ายมีบุญคุณต่อฉันตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยทำสิ่งใดให้แก่คุณเลย”
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้บุญคุณที่ว่าฉันตัดสินใจว่าใช้ไปหมดแล้ว”
เขาบอกเธอแล้วเมื่อตอนเช้า ว่ามีที่มาที่ไปซึ่งเธอไม่เข้าใจ
“ก่อนหน้านี้คุณพูดไว้ว่าฉันไม่สามารถเข้าใจเหตุผลของการกระทำคุณได้ แต่หากไม่เล่าจะรู้ได้อย่างไร”
สายตาของเด็กหนุ่มไม่ทำให้อังริเอตต้าหวั่นใจเหมือนเมื่อตอนเช้า ความกล้านี้มาจากการได้พบกับเด็กสาวสวมแว่นหรือไม่อังริเอตต้าไม่แน่ใจ แต่เธอจะใช้ความกล้านี้อย่างคุ้มค่าที่สุด
“ไม่ล่ะ ไม่ต้องเข้าใจหรอก ให้คนอื่นมาเข้าใจน่ะฉันพอแล้ว”
คำพูดของเด็กหนุ่ม ราวกับเคยมีคนเช่นนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วด้วยทางใดทางหนึ่ง
“แต่ฉันอยากเข้าใจค่ะ”
“งั้นเธอคงต้องพยายามเอาเองแล้ว เพราะฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องเล่า” เด็กหนุ่มพูดพลางมองอังริเอตต้าด้วยแววตาเย็นชา ราวกับไล่ให้เธอถอยไป
แต่อังริเอตต้านั่งอยู่อย่างนั้น สบตากับเด็กหนุ่มโดยไม่เบือนหน้าหนี
“...เธอไม่กลัวฉันรึไง?”
“...ฉันก็กำลังทดสอบอยู่ค่ะ”
ทีแรกที่มาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอังริเอตต้ารู้สึกกลัวทุกสิ่งและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการที่เธอถูกพามา แต่หลังจากความตระหนกช่วงแรกผ่านไปเธอก็เริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ มากขึ้น และหนึ่งในนั้นก็คือการที่ตัวเด็กหนุ่มเองไม่ทำให้เธอรู้สึกกลัว คงเพราะที่ผ่านมาความเห็นของเธอต่อเขาเป็นไปในทางบวกมาตลอด แม้ว่าจะถูกบังคับลักพาตัวมา ความคิดนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืน
ยิ่งกว่านั้น ตอนที่เขาเข้ามาในห้องเมื่อครู่นี้และเธอเห็นสายตาที่เขามองมา เธอกลับรู้สึกว่าเขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายกลัว...บางสิ่งในตัวเธอ และบางสิ่งในตัวเด็กสาวสวมแว่นคนนั้นเช่นกัน
อังริเอตต้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้ช่วยเธอในการหนีออกไปจากที่นี่เลย แต่ส่วนหนึ่งในใจของเธอต้องการจะรู้เหลือเกิน ความรู้สึกที่หัวใจบีบคั้นนี้ เธอไม่เคยมีความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้เลยตั้งแต่...
‘ท่านเวลส์...คำขอของท่าน...’
[...]
[.....]
ทาบาสะปิดประตูห้องลงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่รบกวนแม่ที่เพิ่งจะผล็อยหลับไป เด็กสาวสวมแว่นมองเงาของตัวเองที่ทอดลงบนประตูจางๆ ดวงจันทร์ที่เพิ่งจะปรากฏหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องแสงเข้ามาทางหน้าต่างด้านหลังเธอ
[วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ออกเดินทางไปช่วยลูกสาวเจ้าเมืองที่กดขี่ข่มเหงเขาและชาวบ้านจากถ้ำของมังกรร้าย หนังสือที่ท่านแม่มักจะอ่านกล่อมเธอนอน ไม่ใช่แค่ทาบาสะคนเดียวที่จำได้ เมื่อเธออ่านออกเสียงแต่ละถ้อยคำ ท่านแม่ซึ่งมักจะตื่นตระหนกและกล่าวหาเธอเป็นคนร้ายก็นิ่งฟังอย่างสงบ
เป็นครั้งแรกตลอดสามปีที่ผ่านมาที่ได้เห็นดวงตาของท่านแม่มองมาที่ตัวเองโดยไม่มีแววของความเกลียดชัง ความรู้สึกของเธอในตอนนั้นคงเป็นรองเพียงเมื่อท่านแม่หายเป็นปกติเท่านั้น แต่เวลานั้นคงไม่มีวันมาถึง ดังนั้นนี่จึงเป็นความรู้สึกยินดีที่สุดตั้งแต่สามปีก่อนจนถึงวันนี้ และอีกสิบวันสุดท้ายของชีวิตเธอ
ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นอีกครั้งทำให้เธอนึกออก สมัยเป็นเด็กเธอเคยสงสัยว่าเหตุใดหนังสือจึงชื่อว่า [วีรบุรุษแห่งอิวาลดี] ในเมื่อ ‘อิวาลดี’ เป็นชื่อของตัวเอก ชื่อหนังสือก็ควรจะตรงตัว ‘วีรบุรุษอิวาลดี’ แต่บัดนี้เธอได้คำตอบแล้ว
‘วีรบุรุษ’ ในชื่อหนังสือไม่ได้กล่าวถึงอิวาลดี แต่กล่าวถึงความกล้าหาญที่สถิตอยู่ในหัวใจของอิวาลดี วีรกรรมของอิวาลดีที่เกิดจากหัวใจดวงนั้นสร้างความปรารถนาที่จะเป็นวีรบุรุษเช่นอิวาลดีในหัวใจของผู้อ่าน
แต่ทาบาสะไม่เหมือนคนเหล่านั้น ตัวละครที่ดึงดูดสายตาของเธอมากกว่าคือหญิงสาวที่ถูกมังกรร้ายจับตัวไป เธอในตอนเด็กอยากจะเป็นหญิงสาวที่มีผู้กล้าหาญมาช่วยจากชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย เป็นความปรารถนาที่เธอได้รำลึกอีกครั้งเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าชีวิตของราชินีแห่งทริสเทนเมื่อตอนบ่าย
และเมื่อคิดถึงความปรารถนาในสมัยเด็ก ริมฝีปากของทาบาสะก็คลี่เป็นรอยยิ้มขมขื่น
เธอในตอนนี้ได้เป็นหญิงสาวคนนั้นแล้วไม่ใช่หรือ ถูกกักขังในสถานที่ที่ไม่อาจหนีออกไปได้ สิ่งที่ต่างจากในหนังสือคือชายหนุ่มผู้กล้าหาญจะมาช่วยเหลือเธอนั้นไม่มีตัวตนอยู่
และคนเดียวที่อาจเป็นได้...ก็กลายเป็นมังกรร้ายผู้คุมขังเธออีกตนไปแล้ว
ทาบาสะหันหลังกลับและมองไปที่เก้าอี้ซึ่ง ‘มังกรร้าย’ เฝ้าอยู่ก่อนที่เธอจะเข้าไปในห้อง ทว่าเธอพบเพียงราชินีแห่งทริสเทนที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวนั้น ส่วนผู้ที่เธอมองหานั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตามองหน้าหนังสือที่ประคองในมือซ้าย
ทาบาสะไม่รู้ว่าราชินีไปอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นได้อย่างไร แต่คงจะผล็อยหลับไป และเด็กหนุ่มก็ย้ายไปนั่งเก้าอี้อีกตัว
เธอประหลาดใจอยู่พอสมควรที่เขาไม่อุ้มราชินีไปที่เตียง หรือหากไม่อยากเสี่ยงทำให้ตื่นอย่างน้อยก็น่าจะนำผ้าห่มมาห่มให้ ไม่แม้แต่จุดเตาผิงที่ข้างผนัง ทะเลทรายเวลากลางคืนอุณหภูมิต่ำผิดกับเวลากลางวันลิบลับ แม้ไม่สัมผัสเองเพียงเห็นร่างที่ขดด้วยความหนาวเย็นบนเก้าอี้นวมก็สามารถรู้ได้
ทาบาสะเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่นั่งอยู่ เด็กหนุ่มไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือแม้เธอจะยืนอยู่ข้างเก้าอี้แล้ว
“ช่วยพาเธอคนนั้นไปที่เตียงหน่อย”
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
ตอบทันทีด้วยเสียงเรียบสนิท อย่างคนที่ไม่แยแสใดๆ แต่ทาบาสะรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบเกินไป ราวกับรอให้เธอถามอยู่แล้ว
“ฉันขอให้ช่วย นอกเหนือหน้าที่” ตัวเธอเองไม่มีแรงกายพอจะทำเช่นนั้นได้
ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบ และเด็กหนุ่มยังไม่เงยหน้าขึ้นมาเช่นเคย ทาบาสะรออยู่ครู่ใหญ่จึงเดินไปที่เตียง แล้วนำผ้าห่มกลับมาคลุมให้ราชินีที่นอนหนาวอยู่บนเก้าอี้นวมพร้อมทั้งถอดมงกุฏวางลงบนโต๊ะข้างๆ เรียบร้อยแล้วจึงหันหลังกลับ แต่ในอึดใจสุดท้ายเธอสังเกตว่าสายตาของเด็กหนุ่มอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของหน้าหนังสือตลอดเวลา
ทาบาสะไม่รู้ว่าควรตีความอย่างไรจึงเก็บไว้ในใจแล้วกลับไปขึ้นเตียง ก่อนจะหันกลับไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อมองให้แน่ใจ
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เดิมปิดหนังสือลงโดยไม่คั่นหน้าหรือพับมุมกระดาษ ดวงตาสีเขียวซึ่งหลบแสงจันทร์ใต้เงาของเส้นผมสีบรอนซ์เทาจ้องมองปกหลังด้วยใบหน้าคงเดิม ราวกับไม่ได้รู้สึกตัวว่าปิดหนังสือลงแล้ว
เธอมองเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดแว่นพับวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างเรียบร้อย แล้วดึงผ้าห่มอีกผืนขึ้นมาคลุมถึงไหล่พร้อมกับตะแคงตัวลงนอน
บรรยากาศเช่นนี้ ในความมืดและเงียบสงัด เขาสวมผ้าพันคอสีแดงนั่งอยู่คนเดียวขณะที่เธอเข้านอนก่อน ทาบาสะหวนนึกถึงครั้งที่เธอพบกับเขาครั้งแรกในป่าแห่งนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นมามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมาก เธอฝ่าฟันอุปสรรคและเติบโตขึ้น ความลับหลายอย่างของเขาถูกเปิดเผย แม้ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับตอนที่เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่สิ้นหวังอยู่ในป่าและเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
แต่เธอก็ยังมองเงาของร่างบนเก้าอี้ที่พร่ามัว ราวกับจะทำให้ความรู้สึกในตอนนั้นกลับมาได้ และในชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกว่าทำสำเร็จ จนกระทั่งมันค่อยๆ กลืนหายไปพร้อมกับสติของเธอ
[...]
[.....]
นอกหน้าต่างพระจันทร์แฝดแสดงรูปลักษณ์อย่างไร้สิ่งบดบัง ฉายแสงลงมายังเบื้องล่าง เข้ามาในห้องที่มืดสลัว พาดผ่านเด็กสาวผมสีฟ้าที่หลับอยู่บนเตียงกลางห้อง และหยุดที่ครึ่งร่างกายท่อนล่างเด็กสาวผมสีน้ำตาลเกาลัดที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเก้าอี้นวม
เอ็กซ์นั่งพิงพนักเก้าอี้ ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วตั้งแต่เด็กสาวสวมแว่นเข้านอนและในห้องนี้เหลือเพียงเขาที่ยังตื่นอยู่ เขาไม่ได้ขยับตัวไปไหน หนังสือที่ปิดยังวางอยู่บนตัก
สายตาของเขาเลื่อนจากหน้าต่างมาที่ร่างบนเก้าอี้ยาวแล้วต่อไปที่ร่างบนเตียง คนหลังนี้เขาไม่ได้รวมในการคำนวณทีแรก แต่ก็ทำให้หลักประกันเพิ่มขึ้น
‘คำขอ’ คราวนี้นานะลังเลบ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม
การเตรียมการพร้อมแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่รอเท่านั้น
เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของเขา
บทสรุปของความมืดที่อยู่ในใจของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้รู้
--
PBW:“ตอนนี้เน้นชีวิตฝั่งอังริเอตต้ากับทาบาสะ ขณะที่พวกไซโตะกำลังแล่นเรือเหาะไปที่บ้านหลุยส์”
DX:“เจ้าเอ็กซ์ออกเยอะกว่าตอนที่แล้วอีก แต่มี <.5> หมายความว่าโฟกัสของเรื่องตอนนี้ไปอยู่ที่กลุ่มเจ้าหนูพวกนั้นแทนสินะ”
PBW:“ก็ยังงั้นล่ะ จะครบถ้วนต้องไซโตะและเลเวียธาน...แล้วที่จริงตอนแรกก็ไม่มีหรอก .5 เนื้อหารวมอยู่ในตอนหลัก แต่เผอิญวันนี้ทางฝั่งไซโตะเหมือนเป็นวันว่างที่หลังจากหนีออกมาขี้นเรือเหาะแล้วก็ไม่มีอะไรเลย เลยถือเป็นตอน .5 ไปซะ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น