ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #65 : Chapter 54: ความโกลาหลในราชสำนัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 184
      7
      4 พ.ค. 61

    ใต้แสงจันทร์แฝดที่เฝ้ามองฮาลเคกิเนีย คนกลุ่มหนึ่งยืนเป็นวงกลมในโรงจอดเครื่องบินที่สถานศึกษาเวทมนตร์ แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันใต้บรรยากาศเคร่งเครียด
     
    ...สรุปสถานการณ์ตอนนี้ ศัตรูคือราชาอาณาจักรกาเลียกับนานะ ท่านเอ็กซ์ไปอยู่ฝั่งนั้นโดยไม่รู้เหตุผล แล้วก็ลักพาตัวราชินีไป ส่วนทาบาสะมีตัวประกันบังคับให้ต้องเชื่อฟังฝ่ายนั้น แต่ทำงานพลาดก็เลยถูกปลดตำแหน่งแล้วกลายเป็นนักโทษ เท่านี้สินะ
     
    เลเวียธานกล่าวโดยสรุปจากเรื่องที่แต่ละฝ่ายเล่า ผู้ที่เหลืออยู่ในวงประชุมมีเพียงเธอ เด็กสาวผมสีชมพู เด็กสาวผมสีทองม้วนเป็นลอน หญิงสาวผมสีน้ำเงินที่ได้ผ้าคลุมไหล่จากเด็กสาวผมทองปิดบังร่างกาย และสมาชิกหน่วยอัศวินครบครัน ส่วนนักเรียนหญิงที่เหลือกลับไปกันหมดแล้ว
     
    เท่านี้สินะ อะไรของเจ้า? คนที่ลักพาตัวองค์หญิงไปก็คือเพื่อนของเจ้า ยังมีหน้าทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรอีกเหรอ!?”
     
    หลุยส์ที่ยังกลุ้มใจเรื่องอังริเอตต้าโพล่งออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความกังวลของตัวเองบังตาทำให้ไม่เห็นสัญญาณเล็กๆ ว่าเลเวียธานเองก็ไม่ได้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างที่กล่าวหา ส่วนหนึ่งก็เพราะเลเวียธานซ่อนความรู้สึกได้ดี
     
    จะคิดสงสัยฉันก็ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้มีเป้าหมายอยู่ที่เดียวกัน ศัตรูคนเดียวกัน ยังไงร่วมมือกันก็เป็นทางที่ดีที่สุด
     
    ร่วมมือ? แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายศัตรูอีกคน? เรื่องอะไรพวกเราจะยอมติดกับง่ายๆ!”
     
    คำพูดของหลุยส์ทำให้เลเวียธานหวนนึกถึงเหตุการณ์อย่างเดียวกันที่เพิ่งจะเกิดขึ้นและเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าความสงสัยของหลุยส์เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว และตัวเธอเองควรจะมีในตอนนั้น
     
    ก็ไม่รู้หรอก ฉันยืนยันอะไรไม่ได้เลย แต่คนที่รู้เรื่องศัตรูดีที่สุดก็คือฉัน ถ้าคิดจะช่วยราชินีกับทาบาสะกลับมาจริงๆ ล่ะก็มีแต่ต้องร่วมมือกันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เลิกหวังไปได้เลย เลเวียธานกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นหลักเป็นการ แต่หลุยส์ไม่อยู่ในสภาพจิตใจที่พร้อมจะฟังเหตุผลนัก
     
    ฮะ?! ไม่ต้องร่วมมือกับคนอย่างเจ้าพวกเราก็ช่วยองค์หญิงกลับมาได้!”
     
    เลเวียธานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ
     
    อืม การจะเอาชนะศัตรูหนนี้พลังของเธอขาดไม่ได้ ฉันถึงอยากให้พวกเธอช่วย
     
    คำพูดที่เหมือนยอมในการโต้เถียง(ฝ่ายเดียว)เป็นการไม่สุมไฟในอกหลุยส์เพิ่มและทำให้มันอ่อนความแรงลงบ้าง ไซโตะฉวยโอกาสนั้นพูดขึ้น
     
    ฉันก็คิดว่าควรจะร่วมมือกันไว้ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องไปช่วยองค์หญิงกับทาบาสะ...แล้วก็หาคำตอบเรื่องหมอนั่นด้วย
     
    ไซโตะหันไปพูดกับสมาชิกหน่วย
     
    องค์หญิงกับทาบาสะถูกลักพาตัวไป เป็นถึงอัศวินต้องไปช่วยอยู่แล้ว ใช่มั้ยพวกเรา?!”
     
    แหงอยู่แล้ว! จับตัวผู้หญิงไปขังไว้ตั้งสองคนแบบนี้เป็นการกระทำชั่วร้ายที่อภัยให้ไม่ได้!” มาลิคอร์นสนับสนุนเต็มที่เมื่อมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยว
     
    ใบหน้าของหญิงสาวผมสีน้ำเงินสดใสขึ้นเมื่อได้ยินว่าหน่วยอัศวินจะไปช่วยพี่สาว
     
    ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับความคิดนี้
     
    แต่ถ้าคิดตามหลักเหตุผลแล้ว...จะสู้กับศัตรูแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก
     
    เรย์นาล เด็กหนุ่มสวมแว่นเจ้าหลักการของกลุ่มซึ่งนั่งจิบเครื่องดื่มฟังกลุ่มพูดกันอย่างเงียบๆ มาตลอด บัดนี้ก้าวออกมาข้างหน้าและเปิดปากขึ้นเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องแสดงความเห็น
     
    ไซโตะชักสีหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปเกือบประชิดตัวเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่า
     
    อะไร นายกลัวเหรอ?
     
    เรย์นาลตอบอย่างใจเย็น
     
    ไม่ใช่เรื่องกลัว แต่ลองคิดให้ดี เราเป็นอัศวินของทริสเทนแล้ว จะไปสร้างศัตรูกับต่างอาณาจักรตามใจชอบได้ยังไง
     
    ราชินี้ของทริสเทนถูกจับตัวไป อัศวินก็ต้องไปช่วยสิ ไซโตะกล่าวสิ่งที่คิดว่าแน่นอนอยู่แล้ว
     
    ถ้ามองผิวเผินก็เป็นอย่างนั้น แต่ความรับผิดชอบของอัศวินขึ้นอยู่กับอาณาจักรเท่าๆ กับราชินี ตอนนี้เรื่องก็อยู่ในการพิจารณาของราชสำนัก พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางไปที่ราชวัง จะคิดทำอะไรก็ต้องรอการตัดสินของราชสำนักก่อนถึงจะถูก
     
    ...ฉันก็ว่างั้นเหมือนกัน
     
    นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ  จากนั้นคนอื่นๆ ที่เห็นด้วยกับความคิดของเรย์นาลก็ยกมือตามกัน
     
    ความเห็นของหน่วยอัศวินแบ่งออกเป็นสองฝั่งในจำนวนเกือบเท่ากันพอดิบพอดี
     
    จะเป็นอัศวินไปทำไมถ้าไม่ช่วยราชินีของตัวเองกับคนเดือดร้อน?!” เป็นข้อโต้แย้งของฝ่ายไซโตะ
     
    เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงระดับอาณาจักรเชียวนะ มันใหญ่กว่าแค่อัศวินไม่อัศวินเยอะ!” เป็นข้อโต้แย้งของฝ่ายเรย์นาล
     
    ข้อขัดแย้งที่ไม่มีใครยอมใครนี้สุดท้ายก็ถูกส่งต่อให้ผู้บัญชาการของหน่วย กีช
     
    ห—หา ฉันเหรอ?
     
    มันแหงอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ไซโตะพูด เรย์นาลพยักหน้า เป็นเรื่องเดียวที่เห็นตรงกัน
     
    อ—อา คือว่า...ความเห็นฝ่ายนั้นก็ดี ฝ่ายนี้ก็ดี...ช่วยคนเดือดร้อน...ความรับผิดชอบกับอาณาจักร ก็...ดีทั้งคู่นะ
     
    ดีทั้งคู่อะไรของนาย! ตัดสินใจให้มันเด็ดขาดสิยะ!” มอนท์โมรันซี่ตะคอกด้วยความหงุดหงิด ทำให้กีชยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก
     
    สุดท้ายคนที่กล่าวแทรกความวุ่นวายขึ้นคือเลเวียธาน
     
    ฉันอยากจะติดต่อกับหน่วยปืนคาบศิลาก่อน ถ้าได้การสนับสนุนจากอาณาจักรก็ยิ่งสะดวกขึ้น
     
    แม้จะไม่ได้ตั้งใจเสียทีเดียว แต่ความเห็นของเลเวียธานก็เข้าทางเดียวกับเรย์นาล ทั้งการพูดถึงอาเนียสซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาดาบยังทำให้ไซโตะเอนมาทางเดียวกันด้วย
     
    ...งั้นก็ไปวังก่อน แต่หลังจากนั้นยังไงก็จะไปช่วยองค์หญิงกับทาบาสะแน่ๆ  เข้าใจนะ? ไซโตะกล่าวกับกลุ่มของเรย์นาล แสดงจุดยืนชัดเจน
     
    ...ฉันไม่ด่วนตัดสินใจ ฟังความเห็นของราชสำนักก่อนค่อยว่ากัน เรย์นาลตอบอย่างเยือกเย็น
     
    ได้ข้อสรุปดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจจะแยกย้ายกันไปเข้านอน เพราะก็ดึกมากแล้ว
     
    เดี๋ยวสิ ยังเหลือปริศนาข้อหนึ่งยังไม่ได้คำตอบเลย หลุยส์ท้วงทุกคน ก่อนจะชี้ไปที่หญิงสาวผมสีน้ำเงิน
     
    ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?
     
    ก—ก็บอกว่าเป็นน้องสาวของท่านพี่ทาบาสะไงล่ะ กิ๊ว!”
     
    ไม่มีใครเชื่อคำอ้างนี้จากใจจริง ที่เชื่อเรื่องเล่าเพราะตรงกับที่ไซโตะได้ฟังจากคีร์เก้เท่านั้น
     
    ตอแหล! ทาบาสะน่ะ... หลุยส์ตาขวางมองภูเขาสองลูกใต้ผ้าคลุมที่หญิงสาวได้รับจากมอนท์โมรันซี่ ...ไม่ต่างจากฉัน จะไปมีน้องสาวอย่างเธอได้ยังไง?!”
     
    หลุยส์เถียงหัวชนฝา โดยไม่ได้คำนึงถึงพี่สาวคนรองของตัวเองเลย
     
    จริงๆ นะ! อิลเป็นน้องสาวของท่านพี่จริงๆ เนอะ!”
     
    เลเวียธานฟังบทสนทนาด้วยความพิศวงอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจสถานการณ์
     
    อ้าว นี่ยังไม่ได้บอกหรอกเหรอ?
     
    บอก? เรื่องอะไร? ไซโตะถาม
     
    ก็ผู้หญิงคนนั้นน่ะที่จริง—
     
    กิ๊ว! ไม่ได้ ท่านพี่บอกไว้ว่าห้ามพูดเด็ดขาดเลยเนอะ!” อิลคุคูร้องกลบเสียงของเลเวียธาน
     
    ท่านพี่ของเธอตอนนี้โดนจับไปอยู่ไม่ใช่รึไง? คำสั่งนั้นสำคัญกว่าชีวิตของทาบาสะรึไง?
     
    อิลคุคูชะงักไป ก่อนจะหยีตาแสดงสีหน้าลำบากใจสุดขีด
     
    เลเวียธานถือวิสาสะตัดสินใจแทน
     
    ผู้หญิงนั่นจริงๆ แล้วคืออสูรรับใช้ของทาบาสะ
     
    อิลคุคูสะดุ้งอ้าปากค้าง ขณะที่คนอื่นๆ เอ๋อสนิท
     
    อสูรรับใช้...ไม่ใช่มังกรลมนั่นหรอกเหรอ? มอนท์โมรันซี่ถามเพื่อยืนยันว่าเข้าใจไม่ผิด
     
    ที่ชื่อซิลฟีด? ไซโตะทวนข้อมูลที่จำได้เพิ่มเติม
     
    อา นั่นล่ะ ตัวเดียวกัน หรือคนเดียวกัน อยากจะเรียกอะไรก็แล้วแต่
     
    แต่ละคนในที่นี้รู้จักอสูรรับใช้ของทาบาสะมากน้อยต่างกันไป แต่คนที่ช็อกที่สุดคือมาลิคอร์น ผู้ซึ่งตกหลุมรักหญิงสาวปริศนาผู้หล่นทับตัวเองเข้าเต็มเปา
     
    ไม่จริง! นางฟ้าที่สวรรค์ประทานมาให้ฉันจากฟากฟ้าจะเป็นมังกรน่าเกลียดยังงั้นได้ยังไง เป็นไปไม่ได้!”
     
    ใจของมาลิคอร์นปฏิเสธจึงไม่ทันสังเกต แต่คนอื่นๆ ในที่นั้นฉุกคิดได้จากคำพูดนั้น
     
    ...หล่นมาจากฟ้า?
     
    ซิลฟี่ไม่ได้น่าเกลียดซะหน่อยเนอะ! น่ารักจะตายไปเนอะ!”
     
    บวกกับคำพูดของเจ้าตัว
     
    พลันเสียงฮือฮาก็ดังกลับขึ้นมาอีกครั้ง
     
    กว่าเสียงจะสงบลงก็ตอนที่อาจารย์ที่ได้ยินเสียงเอะอะเข้ามาไล่ให้ไปนอน
     
    [...]
     
    [.....]
     
    อังริเอตต้าตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดหลังและคอ เตียงที่เธอใช้นอนพักผ่อนแข็งราวกับหิน ปราศจากเครื่องรองหลังและศีรษะใดๆ ทั้งสิ้น
     
    ตั้งแต่ถูกพาตัวมาเมื่อสองคืนก่อนเธอก็ถูกขังไว้แต่ในห้องนี้ มีเพียงอาหารสองมื้อที่รสชาติจืดชืดกับอุปกรณ์ชดเชยกิจกรรมสำคัญอื่นๆ สำหรับร่างกายมนุษย์ที่ไม่ควรกล่าวกับหญิงสาว
     
    ความอยากอาหารมีน้อยทั้งที่หิวจนท้องร้อง นอนไม่หลับทั้งที่ลืมตาแทบไม่ขึ้น มีแต่หมดสติไปเองเมื่อร่างกายถึงขีดจำกัดเท่านั้น อาการกัดเล็บหนักขึ้นจนแทบไม่เหลือให้กัด ในแง่ของสุขภาพ อังริเอตต้าเรียกได้ว่ากำลังผ่านช่วงที่ตกต่ำที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
     
    แต่อาการปวดเมื่อยแทบไม่ได้อยู่ในความคิดของเธอเลย เพราะมันช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่เธอเผชิญอยู่อันเป็นสาเหตุหลักของความทุกข์
     
    ในฐานะที่ได้รับการฝึกอย่างองค์หญิงมา การปฏิบัติตัวและเตรียมจิตใจในสถานการณ์ที่ตกเป็นนักโทษเช่นนี้ย่อมได้รับการปลูกฝังมาบ้าง แม้จะเป็นครั้งแรกที่มีกรณีเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงเธอก็ไม่น่าเสียความเยือกเย็นถึงเพียงนี้ หากไม่เพราะทัศนียภาพรอบตัวแตกต่างจากที่เธอรู้จักโดยสิ้นเชิง
     
    ตั้งแต่มาถึงที่นี่ จนกระทั่งถูกพามาที่ห้องนี้ซึ่งเธอใช้เวลาทั้งหมดที่ผ่านมาอาศัยนั่งๆ นอนๆ ไม่มีสิ่งใดที่เธอรู้สึกคุ้นเคยหรือแม้แต่ทำความเข้าใจได้เลย
     
    สิ่งปลูกสร้างที่เธออยู่ในขณะนี้ไม่มีหน้าต่างให้เห็นภายนอก อาจจะอยู่ใต้ดินหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็มีแสงสว่างตลอดเวลาด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่คล้ายโคมไฟ ทว่าภายในเป็นแสงชนิดอื่นที่ไม่ใช่เปลวไฟ พื้นจรดเพดาน ทั้งวัสดุที่ใช้ก่อสร้างและสีสันรูปทรงไม่มีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมใดที่เธอรู้จัก โดยเฉพาะวัสดุ เธอไม่รู้เลยว่าคืออะไร ไม่ใช่ไม้ หิน หรือโลหะใดๆ ที่กล่าวถึงไว้ในประวัติศาสตร์การแปรธาตุ แม้แต่ประตูซึ่งเป็นสิ่งสามัญจนเธอไม่เคยคิดว่าจะมีแบบอื่นไปได้ สิ่งที่เป็นประตูของที่นี่ไม่มีทั้งด้ามจับหรือรูกุญแจ เปิดปิดเองโดยไม่มีใครแตะต้องหรือแสดงท่าทางว่าใช้เวทมนตร์
     
    พูดถึงแล้ว สิ่งเดียวที่เธอสัมผัสความเป็นเวทมนตร์ได้คือหุ่นประหลาดมีดวงตาสีแดงดวงเดียวที่เข้ามาดูแลภายในห้องวันละสองเวลาเท่านั้น
     
    จะบอกว่าเธอมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่ฮาลเคกิเนียที่เธอรู้จักเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอก็เริ่มสงสัยว่าอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ยิ่งเมื่อเธอรู้เรื่องที่มีอีกโลกหนึ่งอยู่จริงๆ จากเด็กหนุ่มอสูรรับใช้ของหลุยส์
     
    หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นดินแดนของเอลฟ์ ที่เธอรู้มา เอลฟ์มีวิทยาการที่ก้าวหน้าฮาลเคกิเนียไปหลายเท่า แต่ก็กล่าวกันว่าเอลฟ์ทั้งหมดต่างมีเส้นผมสีทองสว่าง แม้ไม่นับหูยาวที่อาจซ่อนไว้หลังหมวกก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าอาจจะเป็นดินแดนมายาที่เล่าขานกันว่าอยู่หลังดินแดนของเอลฟ์ไปอีก ความเป็นไปได้มีมากเหลือเกิน
     
    แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเองเลย ไม่รู้สาเหตุที่ตัวเองถูกกักตัวไว้ ไม่รู้ว่าชะตากรรมเลวร้ายอะไรรออยู่ สถานที่แตกต่างจนเธอไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เป้าหมายที่แท้จริงคือหลุยส์จึงจะใช้เธอเป็นเหยื่อล่ออย่างนั้นหรือ แต่ตอนนั้นเธอได้ยินว่า เปลี่ยนแผน ดังนั้นอาจไม่ใช่ก็ได้
     
    ทั้งเสียงที่เธอได้ยินตอบโต้อย่างปริศนากับผู้หญิงผมสีชมพูคนนั้นก็สะกิดใจเธออย่างน่าหงุดหงิด คล้ายกับอยู่ในความทรงจำที่เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แต่ก็นึกมันออกมาไม่ได้
     
    แล้วตอนนี้สถานการณ์ที่วังเป็นอย่างไร ราชินีหายไปทั้งคนต้องเกิดความสับสนขึ้นไม่ใช่น้อยแน่ๆ  คาร์ดินัลมาซารินิจะจัดการอย่างไร จะส่งคนมาช่วยเหลือเธอหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเธออยู่ที่ไหน แม้แต่เธอเองยังไม่รู้เลย หน่วยราชองครักษ์ที่เธอผลักดันให้จัดตั้งเอง อาเนียส หลุยส์ หรือเกินความสามารถของทุกคนที่เธอรู้จักไปแล้ว
     
    และอีกข้อหนึ่งที่รบกวนใจของเธอ ก็คือความฝันที่รบกวนเธอในช่วงที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะยังไม่ได้คำตอบ คำตอบนั้นเธอได้ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ถูกพามาที่นี่แล้ว แต่เป็นปริศนาที่เกิดขึ้นมาใหม่ในเวลาเดียวกัน
     
    คำถามมากมายที่ไร้คำตอบนี้สับเปลี่ยนวนเวียนในหัวของอังริเอตต้าอย่างไม่มีว่างเว้น ในห้องที่มีเพียงความคิดของตัวเองเป็นเพื่อนและศัตรูเธอได้แต่นั่งประสานมือประคองหน้าผากอยู่ข้างเตียง วันเวลาผ่านไปทั้งช้าและเร็ว ราวกับสถานที่แห่งนี้ตัดขาดจากกระแสเวลาภายนอกโดยสิ้นเชิง
     
    เวลากลับมาเดินเป็นปกติอีกครั้งเมื่อเธอได้ยินเสียงประหลาดที่ดังทุกครั้งที่ประตูเปิดและร่างที่อยู่หน้าประตูไม่ใช่หุ่นที่มีดวงตากลมสีแดงอย่างทุกครั้ง สิ่งแรกที่จับสายตาของอังริเอตต้าคือผ้าพันคอสีแดง
     
    เธอลุกพรวดขึ้นจากเตียงที่นั่งอยู่
     
    คุณ... เสียงพูดคำแรกตลอดสองคืนหนึ่งวันในห้องอันเงียบสงัด เสียงของเธอแหบแห้งเพราะขาดน้ำและการพักผ่อน
     
    ไม่มีคำใดต่อจากนั้น ราวกับเธอลืมวิธีการพูดไป
     
    ดวงตาสีเขียวที่เปล่งแสงจางๆ มองมาที่เธอ ชั่วพริบตาหนึ่งอังริเอตต้ารู้สึกราวกับมีคำพูดบางอย่างถ่ายทอดมาจากใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น
     
    ย้ายห้อง ตามมา
     
    ร่างในชุดเกราะสีน้ำเงินกล่าวเพียงสั้นๆ  แต่ก็พอจะยืนยันคำตอบของอังริเอตต้าอีกครั้งและทำให้เธอได้ความสามารถในการพูดกลับมา
     
    คุณคือเอ็กซ์...
     
    ...ใช่ เขาลังเลเพียงเล็กน้อยก่อนตอบ
     
    แต่อังริเอตต้ายังไม่พอใจกับการยืนยันแค่นั้น
     
    คุณคือเอ็กซ์...เพื่อนของท่านไซโตะกับหลุยส์...และเป็นผู้ที่เคยช่วยฉันสมัยเด็กที่เกือบถูกลักพาตัวไปจากวัง...
     
    คราวนี้เขาไม่ตอบ แต่สำหรับอังริเอตต้าเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว
     
    ...ทำไมคนอย่างคุณจึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ คุณเป็นเพื่อนกับหลุยส์ไม่ใช่หรือ? ทำไมจึงคิดจะลักพาตัวเธอ?
     
    เอ็กซ์หันหลัง ทำให้เธอไม่เห็นใบหน้าเมื่อเขาตอบ
     
    ...คนอย่างฉัน  เธอจำเรื่องเมื่อตอนนั้นได้แค่ไหน จำได้รึเปล่าว่าเธอพบฉันได้ยังไง?
     
    อังริเอตต้าฉุกคิด ที่เธอจำได้ชัดเจนมีเพียงเหตุการณ์ลักพาตัวเท่านั้น แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นยังเป็นเศษเสี้ยวที่จับความไม่ได้ อาจเพราะเธอในวัยเด็กยังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้
     
    ...จำได้ก็เท่านั้น ถ้าเป็นเธอตอนนี้อาจมีโอกาสอยู่น้อยนิด แต่เธอตอนนั้นยังไม่โตพอจะมองเห็น
     
    อังริเอตต้าไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงที่ฟังผิวเผินเหมือนเรียบสนิทนั้นแฝงความหวังและการตัดรอนตัวเองไว้อยู่อย่างละครึ่ง
     
    จะตามมาได้รึยัง? เขาถามย้ำ แต่ไม่ฟังดูเป็นการเร่งแต่อย่างใด
     
    ช่วยตอบคำถามสักสองข้อได้ไหมคะ ที่นี่คือที่ไหน? แล้วหลุยส์เป็นอย่างไรบ้าง?
     
    ข้อแรกตามฉันมาก่อนแล้วจะบอก ส่วนข้อสอง ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนั้น
     
    อังริเอตต้ายังหวั่นใจว่าจะถูกพาไปที่ใดอีก แต่เมื่อไม่มีวิธีจะยื้อต่อไปแล้วเธอก็ตามไปอย่างเงียบๆ  ประตูข้างหลังเลื่อนปิดเองโดยไม่มีใครสั่งยังคงทำให้เธอรู้สึกระแวง(ถ้ามันปิดทับเธอขึ้นมา...)
     
    ทางเดินหน้าห้องให้บรรยากาศต่างจากวังที่คุ้นเคยโดนสิ้นเชิง หลังจากเดินมาได้ครู่สั้นๆ อังริเอตต้าก็มาถึงห้องที่พอทำความเข้าใจได้ว่าเป็นห้องรับรอง มีโต๊ะเตี้ยๆ และเก้าอี้นวมยาว
     
    ผู้หญิงผมสั้นสีชมพูซึ่งเป็นหนึ่งในเพียงสองสิ่งที่พอเรียกได้ว่ามีชีวิตในสถานที่แห่งนี้ยืนรอพวกเธออยู่
     
    พบเป้าหมายทางตะวันตกเฉียงเหนือ
     
    คนนำทางของเธอพยักหน้ากับคำรายงานสั้นๆ ที่อังริเอตต้าไม่เข้าใจ ผู้หญิงที่จนตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ชื่อส่งวัตถุชิ้นหนึ่งให้เขา อังริเอตต้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันมีรูปร่างเหมือนสิ่งที่ครอบหูผู้หญิงคนนั้นอยู่
     
    ครั้งนี้เปลี่ยนรูปร่างด้วย พาราชินีไปส่งที่ห้องก่อนค่อยออกไป
     
    คราวนี้ผู้หญิงปริศนาหันมาพูดกับอังริเอตต้าโดยตรง
     
    กรุณาถอดมงกุฎออกด้วย อย่าให้ใครเห็น
     
    อังริเอตต้าทำตาม ถอดออกมาถือไว้กับตัว สองมือประคองไว้ที่หน้าท้อง พยายามให้มือปิดมากที่สุดโดยไม่ดูน่าสงสัย
     
    หลังจากกลับมาแล้ว ฉันมีคำขอ
     
    ผู้หญิงปริศนาหันมาพยักหน้าให้คนนำทางของเธอ ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปทางเดินซึ่งนำลงไปยังชั้นล่าง ชั้นที่อังริเอตต้ามาถึงทีแรก
     
    ไปกันต่อ
     
    พวกเธอสองคนที่เหลือเดินต่อไปอีกทางซึ่งพาวนสูงขึ้น เนื่องจากไม่มีหน้าต่างอังริเอตตต้าจึงไม่มั่นใจ แต่เธอเดาว่าน่าจะขึ้นมาประมาณสามชั้นก่อนที่พื้นและผนังจะเริ่มเปลี่ยนเป็นหิน สัญลักษณ์แรกของโลกที่เธอคุ้นเคย ในความรู้สึกของเธอ ราวกับทางเดินตรงยาวนี้เป็นรอยต่อระหว่างโลกที่เธอรู้จักกับโลกลึกลับอีกใบหนึ่ง
     
    ก่อนจะถึงบันไดที่สุดทาง คนที่นำหน้าเธอหยุดเดิน อังริเอตต้าหยุดตามแต่ไม่กล้าถามเหตุผล
     
    ราวหนึ่งนาทีแห่งความเงียบผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบนทางเดินอันว่างเปล่า ทันใดนั้นร่างที่อยู่ข้างหน้าเธอก็ถูกอาบด้วยแสงสว่างซึ่งปรากฏขึ้นอย่างไร้เหตุผล
     
    เมื่ออังริเอตต้าลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างที่อยู่ข้างหน้าเธอก็เปลี่ยนไป
     
    เส้นผมสีบรอนซ์เทา เสื้อคลุมสีเงิน ผ้าพันคอสีแดง เป็นอีกรูปลักษณ์ที่อังริเอตต้าคุ้นตาเช่นกัน เด็กหนุ่มที่เธอรู้จักในฐานะอีกคนหนึ่งและอีกชื่อหนึ่งมาเป็นระยะเวลานาน
     
    เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเหลียวกลับมามองเธอด้วยดวงตาสีเขียว นอกจากสิ่งนั้นก็มีเพียงผ้าพันคอสีแดงที่ยังหลงเหลือจากเค้าเดิมเมื่อครู่
     
    ความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับตัวตนของเด็กหนุ่มและรูปลักษณ์เมื่อครู่ที่อังริเอตต้าอาจเคยมีก็ได้จางหายไปหมดสิ้น
     
    เด็กหนุ่มหันกลับไป นำอุปกรณ์ที่ได้รับจากผู้หญิงเมื่อครู่ขึ้นมาสวมที่หูขวา แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
     
    ไปต่อ
     
    เมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายอังริเอตต้าก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่คล้ายจะเป็นห้องๆ หนึ่งในปราสาทเก่าแก่ เต็มไปด้วยร่องรอยความทรุดโทรมที่ไม่ได้รับการซ่อมแซม และเมื่อออกมาจากห้องนั้นอังริเอตต้าก็ได้คำใบ้แรกของสถานที่ที่เธออยู่
     
    นอกหน้าต่างซึ่งแสงตะวันแรกของเธอในสองวันลอดผ่านเข้ามาเป็นผืนทรายสุดลูกหูลูกตา
     
    ที่นี่คือ...
     
    ปราสาทอาฮัมบรา
     
    อังริเอตต้าตาโต ชื่อนั้นเธอรู้จัก ปราสาทซึ่งก่อสร้างโดยเอลฟ์เมื่อพันปีก่อนและอยู่ท่ามกลางสมรภูมิชิงดินแดนระหว่างมนุษย์กับเอลฟ์มาโดยตลอดจนกระทั่งตกเป็นอาณาเขตของกาเลีย
     
    แม้จะเป็นปราสาทหลังเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญนัก แต่การที่สามารถใช้สถานที่เช่นนี้ได้...หมายความว่ากลุ่มที่ต้องการตัวหลุยส์มีความเกี่ยวพันกับราชสำนักกาเลีย...
     
    หรือว่าจะเป็น...ผู้ใช้ความว่างเปล่า?!’
     
    นึกถึงเรื่องที่หลุยส์เล่าให้ฟัง อังริเอตต้าหันขวับไปทางเด็กหนุ่ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเห็นหน้าผากของเขาหลายครั้งแล้ว ไม่มีรูนแบบเดียวกับที่หลังมือซ้ายของอสูรรับใช้ของหลุยส์ เหลือก็แต่ผู้หญิงปริศนาคนนั้นซึ่งผมปรกหน้าผากจนเธอไม่มีโอกาสได้มองชัดๆ
     
    เด็กหนุ่มนำทางเธอต่อไปอย่างเงียบๆ  หลังจากเข้าสู่ส่วนที่พอเรียกได้ว่าคนอาศัยอยู่ได้พวกเธอก็พบทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่อย่างไร้ความกระตือรือร้น ทหารนายนั้นมองมาทางพวกเธอสองคนด้วยความระแวง
     
    พาไปที่ห้องที่เตรียมไว้ที
     
    ทหารนายนั้นดูจะเข้าใจความหมายของประโยคนั้น เพราะพยักเพยิดให้พวกเธอตามไปโดยไม่ปริปาก ดูจากกิริยาท่าทางแล้วการประจำการที่นี่คงจะสร้างทั้งความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายอย่างมาก นอกจากความประหลาดใจกับชุดกระโปรงสีขาวที่ดูราคาแพงในทีแรกแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจจะมองเธออีก หากเธอไม่สวมมงกุฎคงไม่มีทางที่ใครจะรู้จริงๆ ว่าเธอเป็นราชินี
     
    ห้องนี้ล่ะ
     
    ห้องที่นายทหารเปิดประตูให้พวกเธอเข้าไปกล่าวได้ว่าโอ่โถงแม้แต่สำหรับอังริเอตต้าที่เคยชินกับห้องบรรทมของราชินี มีทั้งเก้าและโต๊ะรับรอง เตียงหลังใหญ่ที่อยู่กลางห้องมีกระทั่งหลังคาและม่าน พื้นและผนังเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งหรูหราระดับที่ผู้คุ้นเคยกับราชวังทริสเทนยังต้องหยุดดู
     
    ในหลายๆ แง่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากห้องก่อนหน้าชนิดฟ้ากับเหว หากเป็นห้องนี้อย่างน้อยๆ ทางด้านร่างกายของอังริเอตต้าก็คงจะได้รับความสบายขึ้นบ้าง
     
    แต่ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงนี้
     
    อังริเอตต้าตื่นจากความอลังการของห้องพักใหม่และหันกลับไปจะถามเด็กหนุ่ม ก็พบว่าเขากำลังจะออกจากห้อง
     
    เดี๋ยวก่อน! ห้องนี้...
     
    ฉันไม่รู้ แค่ทำตามคำสั่ง
     
    คำสั่ง...ทำไมคุณต้องทำตามคำสั่งของผู้หญิงคนนั้นด้วย?
     
    ...เพื่อชดใช้
     
    ราชินีแห่งทริสเทนไม่มีทางจะทราบ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอเคยให้คำตอบเช่นเดียวกันกับเด็กสาวอีกคนมาก่อน และก็จากไปโดยไม่อธิบายใดๆ เพิ่มเช่นเดียวกัน
     
    แม้จะเปลี่ยนสถานที่ แต่ที่สุดอังริเอตต้าก็กลับมาอยู่ในสถานการณ์เดิม คือมีเพียงความคิดตัวเองเป็นเพื่อน และความคิดแรกของเธอก็คือสถานการณ์ที่ราชสำนัก
     
    เธอนั่งลงบนเตียงใหม่ที่อ่อนนุ่มกว่าเดิม และมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงสว่างลอดเข้ามา เมื่อได้เห็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ราวกับไร้ทางออกเธอจึงได้เข้าใจ
     
    หากไม่ฝันหวาน โอกาสที่จะมีคนมาช่วยเธอนั้นแทบไม่มี ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ และแม้จะรู้ ที่นี่คือกาเลีย มือของราชสำนักทริสเทนเอื้อมมาไม่ถึง หากร้องเรียนกับทางราชสำนักกาเลีย นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรไม่ว่าทางราชสำนักกาเลียจะรู้เห็นการลักพาตัวของเธอหรือไม่ ยังเป็นการเปิดเผยความอ่อนแอภายในอาณาจักร ประเทศเล็กๆ อย่างทริสเทนหากเปิดโอกาสเช่นนั้นคงไม่พ้นต้องถูกแทรกแซงจนตกเป็นอาณานิคมของเยอร์มาเนียหรือกาเลีย
     
    เธอเข้าใจ สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงไม่ใช่ตัวผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความเป็นอยู่ของสถาบันที่เรียกว่าราชวงศ์ หากเป็นคาร์ดินัลมาซารินิก็คงจะบอกเช่นนี้ หากเป็นตัวเธอเองที่เป็นราชินีก็ต้องพูดเช่นนั้น
     
    จะกระทำการใดๆ อันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอาณาจักรไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นราชสำนัก อัศวิน ชนชั้นสูง ผู้มีที่อำนาจต่างก็ไม่สามารถยื่นมาเข้ามาได้ เธอไม่ควรจะหวังพึ่งใคร ไม่ว่าจะเป็นอาเนียส หน่วยราชองครักษ์ทั้งสองที่เธอเป็นผู้ก่อตั้ง หรือแม้แต่หลุยส์เพื่อนรักของเธอ
     
    คนคนเดียวที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ที่เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเธอยังเด็ก ก็ไม่เหลือให้เธอแม้แต่เศษเสี้ยวของความหวังแล้ว
     
    เธอเข้าใจ แม้จะอยากให้ใครสักคนช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่มากเพียงใด เธอก็มีแต่ต้องเข้าใจเท่านั้น
     
    เพราะเธอคือราชินี
     
    กรงทองของสายเลือดราชวงศ์ แม้ในเวลาที่เธอไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากชีวิตดวงเล็กๆ ของตัวเอง ก็ไม่ปล่อยให้เธอรอดพ้นไปได้
     
    สิ่งเดียวที่พอประคองจิตใจของเธอไว้ได้ คือการรู้ว่าเพื่อนรักของเธอยังปลอดภัย
     
    ม—หม่อมฉันมีนามว่าหลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์เพคะ! ขอฝากตัวเป็นนางกำนัลขององค์หญิงด้วยเพคะ!’
     
    มาคิดดูแล้ว ที่เธอได้รู้จักกับหลุยส์ก็ไม่ใช่เพราะกรงทองนี้หรอกหรือ หากเพื่อเธอคนนั้นแล้ว แม้จะกลัว แต่เด็กสาวที่ชื่ออังริเอตต้าคนนี้จะยอมเป็นราชินีจนถึงที่สุด
     
    [...]
     
    เหมือนงานพบผู้ปกครอง เป็นความรู้สึกของไซโตะต่อการถูกเรียกมาสอบสวนที่ราชสำนัก
     
    คำว่า เหมือน นี้เป็นในความหมายของการที่อยู่ในห้องปิดและเผชิญหน้ากับผู้ที่มีอำนาจจะทำให้ชีวิตเขาเลวร้ายลงได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ แต่ถ้าเรื่องความหนักหนา แค่ถูกอาจารย์บอกแม่ว่า ผลการเรียนควรพัฒนา เทียบไม่ได้เลยกับสถานการณ์ปัจจุบัน
     
    เพราะที่โรงเรียนไม่ได้มีคณะผู้รับผิดชอบอาณาจักรทั้งอาณาจักรอยู่พร้อมหน้ากันและส่งสายตาจับผิดอาชญากรมาที่เขากับเพื่อนอย่างตอนนี้
     
    ผู้ที่อยู่ ฝั่งเขา มีเพียงกีชซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอัศวิน เขาผู้เป็นรองหัวหน้าหน่วย และผู้อำนวยการออสมันเท่านั้น หลุยส์แม้จะพยายามประท้วงและอ้างความเป็นนางกำนัลของราชินีแต่ที่สุดก็ถูกปฏิเสธการเข้าร่วมประชุม ในจำนวนนี้คนที่ยืนตัวตรงอย่างองอาจและไม่ใช่ด้วยความเกร็งมีเพียงชายชราเท่านั้น
     
    ถ้าทุกท่านพร้อมแล้วก็ขอเริ่มการประชุม ชายสวมหมวกสีเทาแต่งกายคล้ายบาทหลวงและนั่งในตำแหน่งที่ท่าทางใหญ่ที่สุดกล่าวเปิด การประชุม
     
    คำที่ใช้เรียกพวกไซโตะคือ พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีความหมายแฝงเป็น ผู้ที่สามารถผลักความรับผิดชอบให้ได้
     
    อันดับแรกขอเริ่มจากคำให้การของผู้อำนวยการโรงเรียนและหน่วยอัศวินอองดีนซึ่งอยู่ในสถานที่เกิดเหตุก่อน เริ่มจากผู้อำนวยการ เชิญ
     
    ไซโตะรู้สึกโล่งใจครึ่งหนึ่งที่ชายวัยกลางคนท่าทางคล้ายบาทหลวงคนนี้ไม่ได้ดูมีอคติกับพวกเขาเป็นพิเศษ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็รู้ว่าไม่ได้มีความคิดเมตตากับพวกเขาเช่นกัน
     
    ออสมันเริ่มต้นกล่าวอย่างไม่มีอาการประหม่า
     
    วันเกิดเหตุเป็นวันที่โรงเรียนของเราจัดงานเต้นรำดังที่ได้รับแจ้งไปในสารเชิญ ผู้ร่วมงานใช้เมจิคไอเทมแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเป็นคนอื่น องค์ราชินีก็ทรงปกปิดรูปลักษณ์ของพระองค์เช่นกันดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้การเคลื่อนไหวของฝ่าบาทอย่างแน่ชัด
     
    ไซโตะได้ยินเสียงพึมพำทำนอง เล่นอะไรเป็นเด็กๆ  ทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด  แต่ท่าทางในที่ประชุมจะมีกฎร่วมกันว่าให้ทำเป็นไม่ได้ยิน
     
    ขณะเกิดเหตุมีผู้เห็นเหตุการณ์ไม่มากนัก เพราะคนร้ายลงมืออย่างรวดเร็วและไร้เสียง นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่ามีบุคคลปริศนาแต่งกายประหลาดนำตัวหลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์ลงไปจากระเบียง เรามาทราบภายหลังว่าเป็นฝ่าบาทจำแลงพระวรกาย
     
    หมายความว่ายังไงกัน อธิบายให้ละเอียดซิ?!”
     
    ผู้ที่โพล่งออกมาแทบจะในทันทีหลังผู้อำนวยการกล่าวจบเป็นผู้ที่ไซโตะรู้จักใบหน้าดี และเป็นหนึ่งใน บุคคลที่มีอำนาจจะทำให้ชีวิตของเขาเลวร้ายลงได้ ดังที่กล่าวไป ที่น่ากลัวที่สุดคือเป็นผู้ที่มีเหตุจูงใจให้ทำเช่นนั้นด้วย
     
    เพราะเป็นคนที่ถูกไซโตะลักตัวลูกสาวออกมาจากบ้าน
     
    ...ทางเรามีเหตุให้เชื่อได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของคนร้ายคือมิสหลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์บุตรสาวของท่าน คนร้ายอาจไม่ทราบเรื่องการจำแลงกายจึงได้นำตัวฝ่าบาทไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
     
    หลุยส์เป็นเป้าหมาย? มันเรื่องอะไรกัน?
     
    ไซโตะรู้ว่าที่บ้านของหลุยส์ยังไม่รู้เรื่อง ความว่างเปล่า  ดูจากสีหน้าผู้ที่อยู่ในที่ประชุมแล้ว ผู้ที่ไม่รู้ก็คงมีอยู่ไม่น้อย
     
    น่าใจเย็นก่อน ดยุคลา วาลลิแยร์ คำถามไว้หลังจากเราฟังคำให้การของ หน่วยอัศวิน' ก่อนก็แล้วกัน
     
    ขุนนางอีกคนหนึ่งพูดขึ้น จากน้ำเสียงและการเน้นคำ คงไม่ใช่คนที่ยินดีกับการจัดตั้งหน่วยของพวกเขาสักเท่าไร
     
    ถ้าเช่นนั้น กีช เดอ กรามองต์ ไซโตะ ชูวาลิเยร์ เดอ ฮิรากะ เชิญ
     
    เขากับกีชสบตากัน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงคือเขา พวกเขาจึงตกลงกันไว้ว่าให้เขาเป็นคนเล่า
     
    ผมอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่องค์หญิ—ฝ่าบาทถูกลักพาตัวไป ระหว่างที่ผมคุยกับฝ่าบาทอยู่เพราะคิดว่าเป็นหลุยส์ คน...ร้ายก็มาแล้วก็พาตัวองค์—ฝ่าบาทลงไปจากระเบียง...ครับ ไซโตะยังมีปัญหาเรื่องระดับภาษาที่ถูกต้อง และเรื่องตำแหน่งที่ใช้เรียกอังริเอตต้า ทำให้เขารู้สึกว่าถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษแม้จะไม่มีใครท้วงติง
     
    จากที่เล่ามา เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าท่าน แล้วท่านทำอย่างไร?
     
    คำถามของชายแต่งกายคล้ายบาทหลวงมีน้ำเสียงของคำถาม มัวทำอะไรอยู่ แฝงอยู่ด้วย
     
    ผมก็กระโดดตามลงไป แต่ก็มี...คนเข้ามาขวาง ระหว่างนั้นคนร้ายกับฝ่าบาทก็หายไป...
     
    เสียงพ่นลมหายใจ ท่าทางจะมีคนที่คิดว่าเขาแต่งเรื่องขึ้นกลบความผิดพลาดตัวเอง
     
    คนคนนั้นเป็นใคร?
     
    เป็น...ชูวาลิเยร์ของกาเลีย
     
    เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในทันที จนชายแต่งกายคล้ายบาทหลวงหลุดจากอาการประหลาดใจ(แค่ไม่ถึงสองวินาที)จึงดึงความสงบกลับมา
     
    ทุกท่านโปรดเงียบก่อน...ขอบคุณ
     
    คราวนี้ไซโตะตกเป็นเป้าสนใจยิ่งกว่าอีกสองคน
     
    เรื่องนี้เป็นเบาะแสที่สำคัญและเป็นข้อกล่าวหาที่หนักหนามาก ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคนร้ายเป็นอัศวินของกาเลีย?
     
    ก—ก็เพราะว่า... ไซโตะลังเล เขาจะพิสูจน์อย่างไรโดยไม่ทำให้ทาบาสะมีความผิด
     
    ...ว่าอย่างไร
     
    อาจจะด้วยแรงกดดันมีส่วนเสริม ไซโตะตัดสินใจพูดความจริงออกไป
     
    เพราะว่า...เขาเป็นนักเรียนที่โรงเรียนแล้วก็...เป็นเพื่อนของพวกเราเอง
     
    เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ดังกว่าครั้งที่แล้ว และถูกทำให้สงบลงโดยชายสวมหมวกบาทหลวงเช่นเคย
     
    ผู้อำนวยการออสมัน เป็นความจริงรึ?
     
    ...ข้ามิได้เห็นด้วยตัวเอง แต่ชื่อที่ทางหน่วยอัศวินอองดีนให้มาเป็นนักเรียนของเราและเป็นอัศวินบุปผาของกาเลียจริง และคนผู้นั้นก็หายตัวไปจากโรงเรียนของเราหลังจากเหตุการณ์นั้น
     
    ขุนนางอีกคนหนึ่งกล่าวสวนขึ้นมาแทบจะในทันที
     
    คนร้ายลักพาตัวฝ่าบาทไปจากโรงเรียนของท่าน ผู้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายก็เป็นนักเรียนในโรงเรียนของท่าน คำถามเรื่องความปลอดภัยและข้อสงสัยการเป็นกบฏต่อราชวงศ์ที่จะเกิดขึ้นจะเป็นเช่นไร ผู้อำนวยการ ท่านรู้ใช่ไหมว่าเพียงแค่สองข้อนี้ก็สามารถทำให้โรงเรียนของท่านถูกปิดและบุคลากรทั้งหมดถูกริบความเป็นชนชั้นสูงได้ทันที
     
    ไซโตะหายใจเฮือก ไม่คิดว่าโทษจะร้ายแรงถึงขนาดนั้น แม้ส่วนตัวเขาไม่สนใจเรื่องชนชั้นสูง แต่ถ้าคนที่เขารู้จักหน้าค่าตาต้องประสบความลำบากถึงขนาดนั้น...และยิ่งกว่านั้น สถานที่ที่เป็นเหมือนกับบ้านของเขาในโลกแห่งนี้ต้องมาหายไป...
     
    ถ้างั้นให้พวกเราไปช่วยองค์หญิงกลับมาเถอะ เรามีเบาะแสว่าคนร้ายจับตัวองค์หญิงไปไว้ที่ไหน ไซโตะพูดออกไปเสียงดังฟังชัดจนตัวเองยังประหลาดใจ ทั้งไม่แก้คำเรียกอังริเอตต้าด้วย
     
    รู้สึกจะเบาะแสเยอะเหลือเกินนะ ไปเอามาจากไหนช่วยบอกหน่อยได้มั้ย?
     
    ขุนนางอีกคน เสียงของคนถามบ่งชัดว่าเป็นกับดักที่รอจะงับหากเขาตอบไม่ระวัง
     
    และที่จริงเขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรด้วย จะบอกความจริงว่าคนที่จับเป็นเพื่อนของเขาเองและเบาะแสมาจากคนรู้จักของเพื่อนคนนั้นที่หนีกลับมา จะได้โดนจับขังกันหมด
     
    ว่ายังไง?
     
    ไซโตะกัดฟัน หากไม่พูดอะไรก็ไม่มีอะไรเดินหน้า ไม่มีทางอื่นนอกจากพูดความจริงเท่านั้นหรือ
     
    ย—อย่าดูถูกค—ความสามารถของหน่วยเราสิ
     
    ผู้ที่พูดขึ้นมาคือกีช แม้จะด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นและยังต้องกลืนน้ำลายหลายครั้ง ไซโตะมองเพื่อนอย่างประหลาดใจ
     
    ในหน่วยข—ของเรามีผู้ใช้ลมที่เก่งกาจ สามารถจับเสียงของคนร้ายได้ว—ว่าจะนำตัวฝ่าบาทไปที่ปราสาทอาฮัมบรา
     
    โกหกทั้งเพ ไซโตะรู้ดี กีชรู้ดี แต่อาการพิรุธของกีชนั้นชัดเจนเกินความปกติไปจนต้องสงสัยว่าอาจไม่โกหกแต่เกร็งจนจะกัดลิ้นตัวเองมากกว่า
     
    ความน่าเชื่อถือของคำอ้างจากกีชเป็นที่หารือกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ข้อสรุปจะยกให้ชายสวมชุดบาทหลวง(คาร์ดินัลมาซารินิ ตอนนี้ไซโตะรู้แล้ว)
     
    ข้อมูลของพวกท่านเราจะรับไว้พิจารณา แต่คำขอออกค้นหาฝ่าบาทนั้นไม่อนุญาต
     
    ทำไมล่ะครับ?!”
     
    ขณะนี้พวกท่านมีตำแหน่งเป็นหน่วยอัศวินของทริสเทน ในสายตาของต่างอาณาจักรการกระทำของพวกท่านก็คือการกระทำของทริสเทน หากส่งพวกท่านไปอย่างลับๆ แล้วถูกทางการของกาเลียจับได้อาจจะนำไปสู่สงคราม
     
    งั้นก็ส่งไปอย่างเป็นทางการสิ ไม่ได้เหรอครับ?
     
    เรื่องนั้นทางเราก็พิจารณาอยู่ อาจต้องใช้เวลาตกลงกับทางราชสำนักกาเลียสักพัก
     
    สักพักนี่นานแค่ไหน? ไซโตะไม่ยอมลดละ
     
    เจ้าหนูนี่จะถามอะไรเซ้าซี้นักหนา คิดว่าได้ตำแหน่งแล้วใหญ่โตขึ้นมามากรึไง? ขุนนางคนหนึ่งส่งสายตารังเกียจมาที่เขา แต่ไซโตะไม่สนใจ
     
    ทางเราจะเร่งดำเนินการ อย่างเร็วที่สุดคาดว่าจะเสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์
     
    ตั้งหนึ่งอาทิตย์ นานเกินไปแล้ว!”
     
    จะเดือดร้อนไปทำไม ยังไงหน่วยอัศวินสมมุติอย่างเจ้าก็ไม่ได้รับเลือกให้ไปอยู่แล้ว
     
    ขุนนางคนเดียวกับเมื่อครู่ ท่าทางจะต่อต้านการจัดตั้งหน่วยของพวกเขาอย่างหนักทีเดียว ทางที่ประชุมปล่อยให้ผ่านไปเหมือนไม่ได้ยินเช่นเคย แม้จะมีสายตาตำหนิส่งไปบ้าง
     
    ตอนนี้ขอให้พวกท่านกลับไปประจำหน้าที่ที่โรงเรียนดังเดิมไปก่อน หากได้เรื่องอย่างไรแล้วจะแจ้งให้พวกท่านทราบ
     
    ไปประจำหน้าที่ดังเดิม ราชินีถูกลักพาตัวไปแล้วหน่วยราชองครักษ์จะยังเหลือหน้าที่อะไรอีก สรุปก็คือบอกให้พวกเขา กลับไปเรียนหนังสือให้สมกับเป็นนักเรียน เสียนั่นเอง
     
    ทำไมเป็นยังงั้นเล่า! แล้วจะมีอัศวินไปทำไม!”
     
    ไซโตะประท้วงเสียงดัง ซึ่งคงทำให้ความไม่พอใจของขุนนางในที่ประชุมสะสมขึ้นมามากพอสมควรแล้ว
     
    เจ้าหนู ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าวาดฝันอะไรไว้ตอนที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่อัศวินก็ต้องอยู่ใต้คำสั่งของผู้ปกครอง และเมื่อฝ่าบาทไม่อยู่ ในขณะนี้ผู้ปกครองก็คือพวกเรา หน้าที่ของพวกเราคือรักษาอาณาจักรทริสเทนให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่ใช่เล่นบทละครเวที หากเจ้าช่วยฝ่าบาทกลับมาได้แต่ต้องทำสงครามกับกาเลีย เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทรงยินดีงั้นรึ?
     
    ขุนนางวัยชราพูดเสียงต่ำเป็นการขู่ ไซโตะรู้สึกกลัวขึ้นมากะทันหัน อาจเป็นนิสัยที่ถูกปลูกฝังมาให้กลัวคนอายุมากหรือไม่เขาก็ไม่แน่ใจ แต่ไซโตะก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของขุนนางคนนี้ได้
     
    อังริเอตต้าที่เขารู้จัก หากเป็นองค์หญิงคนนั้นคงยอมเสียสละตัวเองเพื่ออาณาจักรอย่างไม่ต้องสงสัย
     
    แต่อังริเอตต้าอีกคนที่เขาเห็นเป็นบางครั้ง คนที่เป็นเด็กสาวธรรมดา คนที่เศร้าเสียใจกับการจากไปของคนรัก คนที่ดีใจเมื่อได้เห็นหน้าเพื่อน คนที่เคยยอมสละทุกสิ่งเพื่อภาพลวงตา เด็กสาวคนนั้นถูกลักพาตัวไป แม้ภายนอกอาจจะดูเข้มแข็ง แต่ภายในใจต้องรู้สึกหวาดกลัวและร้องหาคนช่วยอย่างแน่นอน
     
    แต่เขาก็เป็นอัศวินของหน่วยราชองครักษ์ แม้ในคำสาบานจะเป็นทำนองให้อิสระเขา(เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก)แต่เรื่องนั้นก็มีแค่องค์หญิง หลุยส์ แล้วก็อาเนียสที่รู้ เขาต้องเชื่อฟังคำสั่งราชินี ซึ่งคงเป็นตามที่ขุนนางบอกไว้ ทว่าคำสั่งให้ทอดทิ้งตัวเองนั้น...
     
    ในที่สุดไซโตะก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่เขากลัว ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับตำแหน่งของอัศวิน น้ำหนักของการตัดสินใจที่ทำให้แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าควรจะเชื่อมั่นในสิ่งใด
     
    ...เขาไม่อยากให้ต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าหากเป็นเพียงทางเดียว แม้จะเป็นการทำลายความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเอง แต่นี่ก็คือคำตอบของเขา
     
    ขุนนางในที่ประชุมมองเป็นตาเดียวเมื่อเขายกมือขึ้นปลดเข็มกลัดและผ้าคลุมสีดำออก กีชตาแทบถลนเมื่อเข้าใจสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ
     
    ถ้างั้นผมไม่เป็นแล้วอัศวิน เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่มั้ย?
     
    ปฏิกิริยาแต่ละคนต่างกันไป มีทั้งเลิกคิ้ว หรี่ตา นิ่วหน้า แต่โดยรวมแล้วก็ประหลาดใจกับคำประกาศของเขา
     
    ...เจ้าแน่ใจแล้ว หรือเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ มาซารินิเป็นคนเดียวที่ไม่แสดงอาการประหลาดใจทางใบหน้า
     
    แน่ใจยิ่งกว่าตอนที่รับตำแหน่งอีก ถ้าเป็นอัศวินแล้วไปช่วยองค์หญิงไม่ได้ งั้นก็ขอกลับเป็นสามัญชนกระจอกๆ ที่ไปช่วยเด็กผู้หญิงคนนึงได้เหมือนเดิมดีกว่า
     
    ไซโตะเพียงแค่พูดสิ่งที่คิดตามตรง แต่คำพูดหรือน้ำเสียงที่ดูแน่วแน่ของเขาคงจะไปกระตุ้นบางอย่างในตัวเพื่อนของเขาเข้า กีชจึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น
     
    ถ—ถ้างั้น ข—ข—ข้าเองก็...!”
     
    กีช นายไม่ต้องฝืนตัวเองก็ได้ นายเป็นชนชั้นสูงอยู่แล้ว ไม่อยากให้พ่อผิดหวังใช่มั้ยล่ะ
     
    ไซโตะเพียงแต่พูดตามที่คิด แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นแรงผลักสุดท้ายที่กีชต้องการ
     
    ...เมื่อปกป้ององค์ราชินีไม่ได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ ข้าขอรับผิดชอบความบกพร่องต่อหน้าที่ด้วยการสละตำแหน่ง
     
    กีชไม่มีเข็มกลัดและผ้าคลุมของชูวาลิเยร์ แต่ปลดผ้าคลุมเครื่องแบบนักเรียนของตัวเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งใจแน่วแน่
     
    กีช นาย...
     
    เสียงขุนนางในที่ประชุมแค่นหัวเราะดังมาสองสามครั้งพร้อมกับคำเสียดสีพึมพำ เช่น เพราะอย่างนี้ถึงได้บอกว่าไม่ควรให้ยศถาบรรดาศักดิ์สามัญชนกับพวกเด็กนักเรียน  มันไม่รู้คุณค่า!’
     
    คาร์ดินัลมาซารินิพูดกับพวกเขาอีกครั้ง
     
    พวกเจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนใจสินะ
     
    ไซโตะเงียบและให้คำตอบทางแววตา ในที่สุดคาร์ดินัลมาซารินิก็ถอนใจ
     
    ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก...
     
    มาซารินิหันไปพูดอะไรบางอย่างกับชายชุดอัศวินที่ยืนอยู่ข้างๆ  ชายคนนั้นเดินเดินอ้อมโต๊ะประชุม ผ่านหลังพวกไซโตะออกประตูไป ประตูปิดลงสักพักก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
     
    ไซโตะหันกลับไปมอง อาเนียสเดินตามหลังชายเมื่อครู่เข้ามา และสมาชิกหน่วยปืนคนอื่นๆ ที่รออยู่นอกห้องก่อนไซโตะเข้ามาก็ยืนเรียงกันอยู่ข้างหลังอาเนียสอีกที เหมือนกับ...
     
    คุมตัวสองคนนี้ไว้ เป็นคำสั่งสั้นๆ เรียบๆ จากคาร์ดินัลมาซารินิ
     
    กีชยืนตัวแข็งขณะถูกหน่วยปืนสองคนเข้าล็อกตัว ไซโตะเห็นผู้หญิงร่างใหญ่เหมือนหมีเข้ามาก็ตอบสนองตามสัญชาตญาณ ก้าวขาและหมุนตัวหลบ แต่เมื่อหยุดเคลื่อนไหวไหล่และแขนขวาก็ถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา ไซโตะเหลียวกลับไปสบตากับอาเนียสซึงคงใบหน้าของ อัศวิน
     
    อาเนียส ไหนว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่สนใจ นอกจากกำราบศัตรูของราชินีไงเล่า!”
     
    ไซโตะยกเอาคำที่เคยได้ยินจากปากอัศวินสาวเองมาพูด ทว่าไม่ได้ปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา
     
    เดี๋ยวก่อน มีเหตุผลอะไรต้องจับกุมนักเรียนของข้าด้วย ผู้อำนวยการกล่าวเสียงเข้ม
     
    เพื่อความปลอดภัยของอาณาจักร จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจหรือเรื่องคลี่คลายเท่านั้น โปรดเข้าใจด้วย คาร์ดินัลมาซารินิตอบด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
     
    หน่วยปืนสองคนประชิดหลังออสมัน หากเป็นเวลาอื่นชายชราคงจะดีใจจนออกนอกหน้า แต่เวลาได้แต่กัดฟันใต้หนวดเคราสีขาวเท่านั้น
     
    ไซโตะกับกีชถูกพาตัวออกจากห้อง เพื่อนสมาชิกหน่วยอัศวินต่างพากันตกใจกับสภาพของพวกเขา ไม่มีผ้าคลุม ถูกล็อกตัว
     
    เดี๋ยวสิ มาจับหัวหน้ากับรองฯพวกเราเรื่องอะไร?!” สมาชิกหน่วยอองดีนประท้วง
     
    ไซโตะมองเพื่อนๆ อย่างเป็นเชิงขอโทษ
     
    โทษทีนะ...ฉันกับกีชสละตำแหน่งแล้ว พวกเราไม่ใช่อัศวินแล้ว...
     
    กีชก้มหน้าสลด เรย์นาลขมวดคิ้วขณะที่คนอื่นๆ แสดงอาการช็อกต่างกันไป
     
    แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน ทำไมต้องจับสองคนนี้ด้วย?!” หลุยส์เข้ามาขวางและพูดกับอาเนียส
     
    คำสั่งคาร์ดินัล ไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศโดยพลการ น้ำเสียงของอาเนียสเหมือนกับตอนที่ฝึกดาบให้ไซโตะ ไม่อ่อนข้อใดๆ ทั้งสิ้น
     
    หมายความว่ายังไง...
     
    หลุยส์ยังไม่เข้าใจ แต่มาลิคอร์นซึ่งรู้นิสัยของไซโตะและกีชเวลาอยู่ในหน่วยดีดูจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้
     
    พวกนายยอมสละกระทั่งตำแหน่งเพื่อจะไปช่วยเด็กสาวที่กำลังลำบาก...ฉันตัดสินใจแล้ว! ฉันเองก็จะดำเนินวิถีผู้กล้าที่แท้จริง!”
     
    มาลิคอร์นถอดผ้าคลุมโยนลงกับพื้น
     
    ถึงจะต้องเจอกับอะไรก็ช่าง ฉันจะขอติดตามพวกนายไปจนถึงก้นบึ้งของขุมนรก!”
     
    [...]
     
    แกร๊ง!
     
    มาลิคอร์นนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้อง พึมพำ ไม่เอา ไม่อา~ อยู่คนเดียวหลังจากถูกดันเข้าห้องบนหอคอยทิศตะวันตกของราชวังพร้อมกับไซโตะและกีช
     
    ห้องไม่กว้างไม่แคบ มีเตียงและโต๊ะเตรียมไว้ให้ ดูเตรียมไว้ให้คนที่สูงกว่าสามัญชน ทว่ามันก็ยังถือว่าเป็นห้องขัง เห็นได้ชัดเจนจากหน้าต่างเหล็กดัดและประตูเสริมโลหะที่มีทหารถือขวานด้ามยาวเฝ้าสองฝั่ง
     
    กีชนั่งลงบนเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง ภายนอกฟ้ายังสว่างไสว ทว่าแสงที่ส่องเข้ามาดูหม่นหมองราวกับถูกแปรเปลี่ยนด้วยบรรยากาศภายในห้อง
     
    ฮ่า~ อุตส่าห์คิดว่าโชคดีที่ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในที่ประชุมด้วย แต่ถ้ารู้เรื่องนี้เข้า ท่านพ่อกับท่านพี่จะเสียใจขนาดไหน...ทั้งสองคนภูมิใจกับฉันขนาดนั้นแท้ๆ ตอนที่ได้ยินว่าฉันได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ แถมยังเรียกฉันว่า ความหวังของตระกูล อีก...
     
    ไซโตะมองเพื่อนที่ทำตาละห้อย
     
    ขอโทษจริงๆ ที่ให้พวกนายต้องมาเจออะไรอย่างนี้ด้วย ไซโตะไม่เสียใจที่ตัวเองพูดแบบนั้นออกไป แต่เสียใจที่ลากเพื่อนมาพัวพันด้วย
     
    กีชหันมาโบกมือให้ไซโตะราวบอกว่า ไม่ต้องคิดมาก
     
    หัวหน้าหน่วยที่ทอดทิ้งรองฯของตัวเองไม่ใช่แบบที่ฉันอยากจะเป็นหรอก แล้วอีกอย่าง...ฉันรู้สึกว่าอยู่กับนายมีแต่เรื่องสนุก ได้เจอประสบการณ์ตื่นเต้นที่ถ้าเอาแต่ตามทางที่วางไว้ไม่มีทางได้เจอ...
     
    กีช... ไซโตะไม่อยากเชื่อ แต่เขาเกิดความคิดว่ากีชสมเป็นลูกผู้ชายขึ้นมา
     
    นึกแล้ว...คิดจะทำเป็นพระเอกไปช่วยผู้หญิง...ไอ้อ้วนอย่างฉันดันทำกร่างเลยเป็นแบบนี้... มาลิคอร์นคร่ำครวญ
     
    ทำใจดีไว้น่า คงอยู่ในนี้ไม่นานหรอก ไซโตะเข้าไปที่มุมห้องพยายามปลอบเพื่อน ขณะเดียวกันกีชก็เดินมาตบไหล่ไซโตะด้วยรอยยิ้มเป็นมั่นเหมาะ
     
    นึกแล้วอย่างนายต้องไม่พูดทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะถูกจับโดยไม่มีแผนอะไร
     
    ไซโตะมองเพื่อนอย่างงงๆ
     
    เอ่อ เปล่า...ก็แค่หลุยส์ยังอยู่ข้างนอก น่าจะหาทางช่วยอะไรพวกเราได้...
     
    [...]
     
    หลุยส์! กลับบ้านไปกับพ่อ!”
     
    จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะคะ เพิ่งจะเปิดเทอมได้แค่เดือนเดียวเอง
     
    อย่าใช้เรื่องเรียนเป็นข้ออ้าง สองครั้งแล้วที่ไปเสี่ยงอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ครั้งที่แล้วถึงกับลอบไปกับกองทัพ ยังไงซะครั้งนี้ก็คิดจะลอบไปช่วยราชินีอีกล่ะสิ พ่อไม่รู้ว่าเรื่องที่ลูกเป็นเป้าหมายนั้นเป็นจริงแค่ไหน แต่ยังไงพ่อก็ไม่อนุญาต!”
     
    อุตส่าห์รออยู่สองชั่วโมงเพื่อจะขอผู้รับผิดชอบให้ปล่อยตัวพวกไซโตะ(อาเนียสไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น)แต่คนแรกที่เดินออกมา... หลุยส์นึกในใจว่าดวงไม่เข้าข้างตัวเองเอาเสียเลยที่พ่อของตัวเองมาอยู่ที่นี่
     
    ด้วยความบังเอิญ ดยุคลา วาลลิแยร์เดินทางมาที่ราชวังเพื่อทำธุระ ระหว่างนั้นได้พบกับหัวหน้าหน่วยแมนติคอร์ที่กำลังลาดตระเวน หัวหน้าหน่วยแมนติคอร์ซึ่งคุ้นเคยกับภรรยาดยุคดีจึงได้แจ้งเรื่องการลักพาตัวราชินีให้ดยุคทราบในฐานะหนึ่งในตระกูลใหญ่ของอาณาจักร
     
    เนื่องจากในสงครามกับอัลเบี้ยนทางลา วาลลิแยร์ซึ่งไม่เห็นด้วยกับสงครามเลือกที่จะจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินมหาศาลแทนการส่งทหารเข้าร่วมแม้แต่คนเดียวจนถูกครหาว่าขาดความจงรักภักดี เมื่อได้ฟังเหตุการณ์คราวนี้ด้วยหูตัวเองดยุคลา วาลลิแยร์จึงตัดสินใจมีส่วนร่วมในภาวะวิกฤตของอาณาจักรด้วย
     
    ดยุคกึ่งนึกไว้อยู่แล้วว่าลูกสาวคนเล็กจอมอยู่ไม่สุขอาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกแล้ว และก็เป็นจริง
     
    แต่ว่า ท่านพ่อคะ...
     
    ไม่มีแต่ เรื่องคราวนี้ห้ามลูกเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด มติของที่ประชุมออกมาแล้ว ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของราชสำนัก...แม่ของลูกจะโมโหเอานะ
     
    ส่วนสุดท้ายนี้ทั้งพ่อและลูกต่างหน้าซีดแทบจะพร้อมๆ กัน ดยุคดึงความเยือกเย็นกลับมาอย่างรวดเร็วและกล่าวกับหลุยส์เสียงเด็ดขาด
     
    กลับไปที่คฤหาสน์กับพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่มีข้อแม้
     
    แต่ท่านพ่อ...ต้องร่วมการประชุมไม่ใช่เหรอคะ? หลุยส์พยายามหาข้ออ้างเลี่ยง
     
    เดี๋ยวค่อยกลับมาก็ได้ พลาดแค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอก ไปได้แล้ว
     
    ดยุคคว้าข้อมือลูกสาวและดึงให้เดินตามออกไป ทหารและคนงานในวังทำเป็นไม่ได้ยินการโต้เถียงของพ่อลูกเพราะไม่อยากเสี่ยงตกเป็นเป้าโทสะของดยุค
     
    ครู่หนึ่งผ่านไป ร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง หยุดยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่ดยุคและลูกสาวอยู่เมื่อครู่
     
    แต่ไม่มีใครแม้แต่ชายตามอง เพราะร่างนั้นล่องหนต่อตาเปล่า เลเวียธานมองไปรอบๆ โดยที่ดวงตาไม่สะดุดกับสิ่งใด พรายสาวขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินกลับออกไปทางเดิม สำหรับผู้ที่อยู่ในห้อง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเข้าหรือออกนอกจากดยุคกับลูกสาว
     
    [...]
     
    หลุยส์ถูกกึ่งจูงกึ่งลากผ่านประตูหน้าราชวัง ท่านพ่อของเธอมองตรง สีหน้าบอกชัดว่าไม่พร้อมรับฟังเสียงใดทั้งนั้น ไม่สังเกตหรือสนใจว่าการถูกพ่อบังคับจูงผ่านคนงานและทหารเฝ้าประตูทำให้หลุยส์รู้สึกอายเพียงใด
     
    พวกเธอยืนรอขณะทหารไปนำพาหนะมาจากโรงเก็บตามที่ท่านพ่อของเธอขอ พาหนะนั้นคือมังกรขนาดโตเต็มวัย ดูเหมือนว่าพอได้รับสาส์นเชิญแล้วท่านพ่อของเธอจะรีบบินมาเข้าร่วมการประชุมทันที
     
    เพราะเป็นเรื่องใหญ่ด้วย แต่ก็อาจเพราะคำครหาว่าตระกูลลา วาลลิแยร์ขาดความภักดีต่อราชวงศ์และทริสเทนซึ่งสืบเนื่องมาจากการเลือกที่จะจ่ายภาษีจำนวนมากแทนการส่งทหารร่วมสงครามทกับอัลเบี้ยนครั้งที่เพิ่งผ่านไป การแสดงออกถึงความใส่ใจนี้อาจเพื่อลบคำครหานั้น
     
    แต่เมื่อเป็นเรื่องของลูกสาว เรื่องเหล่านั้นก็ถูกโยนออกไปกองไว้ข้างๆ  ดยุคพร้อมจะทิ้งการประชุมหนึ่งวันเพื่อนำตัวลูกสาวกลับไปส่งที่คฤหาสน์ด้วยตัวเอง
     
    หลุยส์หลุดจากความคิดเมื่อจะถูกพ่อดันให้ขึ้นหลัง
     
    เดี๋ยวสิคะท่านพ่อ! จะให้หนูกลับบ้านโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ได้ยังไง!”
     
    เหตุผลก็บอกไปแล้วไง เพื่อไม่ให้ลูกทำอะไรโง่ๆ
     
    สีผมของหลุยส์ซึ่งค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เกิดสะดุดตาชายในชุดอัศวินซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น
     
    ดยุคลา วาลลิแยร์กับบุตรสาว พวกท่านกำลังจะไปที่ใดรึ?
     
    ท่านเดอ เซแซร์... หลุยส์กล่าวชื่อของหัวหน้าหน่วยแมนติคอร์ซึ่งคุ้นหน้ากันดี
     
    ข้ากำลังจะไปส่งลูกสาวที่คฤหาสน์ ดยุคตอบ ทั้งสองรู้จักกันผ่านทางภรรยาของดยุค
     
    ขออภัยหากล่วงเกิน แต่การประชุมยังไม่สิ้นสุดลงไม่ใช่รึ?
     
    ข้ารู้ แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวข้าทำอะไรบุ่มบ่ามข้าจึงจำเป็นต้องกักตัวไว้ที่คฤหาสน์
     
    การตอบความจริงแสดงถึงความคุ้นเคยระหว่างทั้งคู่ เช่นเดียวกับคำพูดต่อมาของหัวหน้าหน่วยแมนติคอร์
     
    หากไม่รังเกียจ ให้หน่วยของข้าไปส่งมิสวาลลิแยร์แทน เช่นนั้นท่านจะไม่ต้องพลาดการประชุม
     
    แน่ใจรึ? หน่วยราชองครักษ์ทำหน้าที่ดั่งพาหนะรับจ้าง
     
    หน้าที่ของหน่วยราชองครักษ์คือรับใช้ฝ่าบาท มิสวาลลิแยร์เป็นนางพระกำนัล หากอยู่ในความสามารถเราก็ควรจะช่วยเหลือ
     
    หลุยส์สังเกตสีหน้าของทั้งคู่ และระลึกได้ว่าเหตุผลเป็นแค่ข้ออ้าง ที่จริงแล้วก็แค่ รู้จักกัน ก็เลยจะช่วย แค่นั้น
     
    สถานการณ์แย่ลงสำหรับหลุยส์ ผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม(ส่งเธอกลับบ้าน)เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
     
    ท่านเดอ เซแซร์! ข้าแค่ต้องการช่วยฝ่าบาทกลับมาเท่านั้น!”
     
    แต่ก็เป็นอย่างที่เธอคิด แม้จะแสดงสีหน้าชัดเจนว่าเข้าใจเธอ แต่หัวหน้าหน่วยแมนติคอร์ก็สั่งให้สมาชิกหน่วยนำแมนติคอร์มา จากนั้นเธอก็ถูกพาขึ้นฟ้าสูงแปดร้อยเมล ตรงไปทางคฤหาสน์วาลลิแยร์
     
    หลังจากส่งลูกสาวไปกับคนที่ไว้ใจได้แล้วดยุคก็บอกลาหัวหน้าหน่วยแมนติคอร์และกลับเข้าไปในวัง
     
    ตลอดการสนทนามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองทั้งสามจนกระทั่งเด็กสาวผมสีชมพูออกเดินทาง สายตาคู่นั้นมองร่างของแมนติคอร์ที่เล็กลงไปเรื่อยๆ อย่างพิจารณา ก่อนจะออกไปจากสถานที่นั้นอย่างไร้เสียง
     
    [...]
     
    [.....]
     
    แสงแดดลอดผ่านลูกกรงเหล็กตกกระทบเปลือกตา ไซโตะงัวเงียขยี้ตามองทิศที่แสงส่องมา
     
    เช้าแล้วเหรอ...
     
    ที่สุดแล้วพวกเขาสามคนก็ติดอยู่ในห้องขังตลอดทั้งวัน อาหารไม่ขาดแคลน ไม่เท่าโรงเรียนแต่ก็ถือว่าใช้ได้ ที่นอนก็ไม่ต่างจากเตียงที่หอพักนักเรียนมากนัก แต่ความสบายเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของไซโตะเลย
     
    หนึ่งวัน...ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่จะเสียเวลาไม่ได้แท้ๆ...!’
     
    การที่หลุยส์ไม่ปรากฏตัวมาให้เขาเห็นเลยแสดงว่าการเจรจาไม่ได้ผล หรือบางทีอาจจะถูกพ่อคุมตัวไว้ก็ได้ กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็อาจถูกส่งกลับบ้านไปแล้ว แล้วยังหน่วยอัศวินอองดีนอีก เสียทั้งหัวหน้าทั้งรองหัวหน้า ถ้าหากถูกยุบไป...
     
    ขณะที่กลุ่มของพวกเขากระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง เวลาก็ผ่านไปอย่างไม่คอยท่า ความกังวลต่างๆ นานาขืนตาเขาไว้ไม่ให้หลับลงตลอดคืน
     
    กีชกับมาลิคอร์นกำลังกรนอยู่ข้างหลังเขา อาจจะด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งคู่หลับไปตั้งแต่หัวค่ำ
     
    จะทำยังไงต่อดี...ให้รอจนปล่อยตัวไปเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
     
    ในใจของเขาเองยังแอบหวังเล็กๆ ว่าอาเนียสจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ หรือเห็นแก่ความตั้งใจที่จะช่วยอังริเอตต้า หรืออะไรก็ช่างมาแอบปล่อยเขาไป แต่คิดสักนิดก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่อาเนียสจะทำผิดกฎ
     
    ใบหน้าของอาเนียสตอนที่จับตัวพวกเขา ไซโตะเข้าใจความหมายของใบหน้านั้น เพราะก่อนจะตัดสินใจดังนี้เขาเองก็ลังเลอยู่เช่นเดียวกัน เรย์นาลก็พูดอยู่ตลอด อาเนียสก็แค่ตัดสินใจเลือกทางตรงข้ามกับเขาเท่านั้น
     
    ไม่สิ คิดเรื่องพวกนั้นไปก็ไม่ได้อะไร ต้อง...ออกไปจากที่นี่ให้ได้!’
     
    เดอร์ฟลิงเกอร์กับคทาของกีชกับมาลิคอร์นอยู่ในห้องข้างๆ  ถ้าแค่ในห้องนี้มีสิ่งที่เป็น อาวุธ แม้แต่สักชิ้นเดียว พลังของกันดาล์ฟร์ก็อาจจะช่วยให้เขาพังประตูเสริมเหล็กออกไปได้ แต่เขาหาจนทั่วแล้ว ไม่มีแน่นอน
     
    โธ่เว้ย! ต้องทำยังไง...!’
     
    โทษทีที่ให้รอ มาแล้ว
     
    ไซโตะสะดุ้ง ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องหาต้นตอของเสียง กีชกับมาลิคอร์นก็หลับอยู่ ไม่เห็นร่างเจ้าของเสียงที่ใดเลย
     
    ไซโตะกำลังจะก้มลงดูใต้เตียงเพื่อความแน่ใจ แต่แค่ลุกขึ้นจากเตียงเขาก็เห็นแอ่งน้ำอยู่ข้างหน้า และยังไม่ทันที่เขาจะได้นึกสงสัยว่ามันมาได้อย่างไร แอ่งน้ำก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างสีฟ้าที่เขาคุ้นเคย
     
    เธอ...!”
     
    มาช่วยแล้ว รีบไปเถอะ
     
    เลเวียธานพูดก่อนจะเดินไปปลุกสองคนที่ยังหลับอยู่ เอามือปิดปากไม่ให้ทั้งคู่เอ็ดตะโรจนยามได้ยิน
     
    แต่ว่าจะออกไปยังไง อาวุธของพวกเราก็ยังอยู่ห้องข้างๆ นั้น...
     
    เลเวียธานเท้าเอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกทั้งสามให้เข้าไปรวมกันที่มุมห้อง
     
    ทหารสองคนในชุดเกราะและขวานด้ามยาวยืนเฝ้าประตูมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง คนหนึ่งส่งเสียงหาวอย่างไม่ปิดบัง
     
    ทำไมเราต้องมาเฝ้าไอ้เด็กสามคนนี้ด้วย? อาวุธก็ไม่มี ปล่อยไว้เฉยๆ ก็ได้นี่
     
    เฮ้ย ข้างในมีของเยอะแยะ อาจจะมีวิธีหนีที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ต้องมีคนเฝ้าไว้จะได้รู้ไงเล่า
     
    เสียงประหลาดดังขึ้นจากหลังบานประตูกลางระหว่างทั้งคู่ คล้ายเสียงกระโดด ทหารมองหน้ากัน
     
    แกว่าใช่มั้ย?
     
    ก็หันไปดูดิ จะยากอะไร
     
    ทั้งคู่มองลอดลูกกรงบนช่องประตู
     
    ภายในห้องว่างเปล่า ไม่เพียงเท่านั้น หน้าต่างที่ควรจะมีลูกกรงกลับว่างโล่งให้แสงแดดส่องผ่านเข้ามาได้อย่างไร้สิ่งบดบัง
     
    เฮ้ย!”
     
    ตั้งแต่เมื่อไหร่!? ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย?
     
    คนถือกุญแจไขประตู และยืนเฝ้าประตูขณะที่อีกคนเข้าไปสำรวจด้านใน คนสำรวจเดินเข้าไปที่หน้าต่าง
     
    หืม?
     
    แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาดูผิดปกติ ทหารยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ
     
    แล้วก็ถูกเด็กหนุ่มสามคนกระโจนเข้าใส่
     
    มาจา—!!”
     
    ไซโตะกับกีชใช้มือคนละข้างปิดปากทหารเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างร่วมกับมาลิคอร์นยึดตัวและแขนทั้งสองข้างเอาไว้
     
    ไซโตะชำเลืองไปที่หน้าประตู ทหารที่ยืนเฝ้าไม่ส่งเสียงใดๆ  เอนตัวมาข้างหน้าช้าๆ  ก่อนจะถูกร่างที่เกือบโปร่งใสวางให้นั่งพิงผนัง
     
    เลเวียธานแสดงร่าง เดินเข้ามาหาพวกไซโตะ มือเปิดขวดขาปริศนาจ่อที่จมูกของทหาร เพียงครู่สั้นๆ แรงขัดขืนพวกไซโตะก็หยุดลง
     
    นั่นมันอะไรน่ะ? กีชถาม
     
    ยาสลบ เด็กผู้หญิงผมม้วนเป็นคนทำให้
     
    มอนท์โมรันซี่!?” กีชร้องชื่อแฟนของตัวเองด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ
     
    เลเวียธานปิดฝาขวดยา ก่อนจะกวักมือเรียกให้ทั้งสามตามออกไปหน้าห้อง มือขวาถือพวงกุญแจที่ได้มาจากทหารอีกคน
     
    หลังจากพวกไซโตะได้อาวุธคืนจากห้องข้างๆ ก็เป็นการหลบหนี เลเวียธานปิดประตูและล็อกกุญแจคืนอย่างเดิมเพื่อให้ถูกพบช้าลง แล้วหันกลับมาที่ทั้งสาม
     
    เราจะเดินออกไปทางประตูหน้า
     
    ห้ะ?
     
    เลเวียธานตอบเสียงประหลาดใจของไซโตะด้วยการคลุมร่างทั้งสามไว้ด้วยของเหลวจากร่างกายตัวเอง อย่างเดียวกับตอนที่ให้ไปหลบมุมห้อง
     
    ต—ตกลงทำอะไรเนี่ย? มาลิคอร์นรู้สึกประหลาดที่มีอะไรบางอย่างสัมผัสตัวเองทั้งร่าง
     
    ตามมาเหอะน่า เงียบๆ ไว้ด้วย แล้วอย่าขยับตัวมากถ้าไม่จำเป็น
     
    ทั้งสามเดินผ่านทางเดินทอดยาว ลงบันได ผ่านทหารที่ยืนคุยกันสามคนในระยะเกือบจะกระชั้นชิด กีชเกือบร้องห้ามแต่ถูกไซโตะเอามือปิดปาก
     
    ออกจากหอคอย ผ่านลานหน้าวัง ออกประตูหน้า ตลอดเวลาไซโตะรู้สึกใจสั่นระริก แต่ก็ยังน้อยกว่ากีชกับมาลิคอร์นที่เกร็งจนดูเหมือนจะเป็นลมล้มพับไปได้ตลอดเวลา
     
    จนกระทั่งพ้นระยะสายตาของยามเฝ้าประตูวังมาแล้วเลเวียธานจึงถอนของเหลวที่ปกคลุมทั้งสามกลับไป
     
    มาลิคอร์นปล่อยคำถามที่อดกลั้นมานานทันที
     
    ม—เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ! ทำไมไม่มีใครมองพวกเราเลย ตอนที่หลบอยู่มุมห้องก็อีก ทหารคนนั้นเดินไปที่หน้าต่างเฉยเลย ยังกับเราล่องหนยังไงยังงั้น!”
     
    สาเหตุที่มาลิคอร์นประหลาดใจขนาดนี้ก็เพราะพวกเขาทั้งสี่คนเองยังมองเห็นกันได้ตามปกติ
     
    เลเวียธานเท้าเอวในลักษณะที่สื่อว่าไม่อยู่ในอารมณ์จะอธิบายยืดยาว
     
    อธิบายไปก็ซับซ้อน นายน่ะ เข้าใจเรื่องแสงกับการมองเห็นมั้ย?
     
    ไซโตะผงะเมื่อถูกชี้ ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ  เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์
     
    สรุปสั้นๆ ก็คือฉันใช้การหักเหของแสงทำให้คนอื่นรับภาพพวกเราไม่ได้ แค่นั้นก็แล้วกัน
     
    แน่นอนว่ากีชกับมาลิคอร์นไม่เข้าใจมากขึ้นเลย ไซโตะเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แต่อย่างไรก็ตามหนีจากการถูกคุมขังมาได้แล้ว ทั้งสามทิ้งไว้แค่นั้น
     
    แล้ว...หนีออกมาได้ก็จริง แต่จะทำไงกันต่อ? กีชถามอย่างไม่มั่นใจ
     
    ไปสมทบกับคนที่เหลือ
     
    ทั้งสี่เดินซอกแซกในเมือง ใช้ถนนที่คนพลุกพล่านบ้าง ตรอกซอกซอยที่คนน้อยบ้าง พยายามหลบสายตาของทางการ ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย
     
    ที่นี่มัน...
     
    ไซโตะจำได้ทันที กีชก็จำได้เมื่อมายืนที่หน้าประตูได้สักพัก
     
    โรงเตี๊ยม [ภูตน้อยเจ้าเสน่ห์]  แต่เป็นเวลาเช้าดังนั้นจึงยังไม่เปิดทำการ
     
    เข้าไปสิ
     
    ทั้งสามเดินเข้าไป ผ่านส่วนร้านอาหารที่ว่างเปล่า เก้าอี้ยังไม่ได้นำลงมาจากบนโต๊ะ ผ่านไปที่ด้านหลังของร้าน
     
    คนแรกที่ไซโตะเห็นคือเจ้าของร้านสคาร์รอนซึ่งตรงเข้ามาทักทายพวกเขาก่อน นอกจากเจ้าของร้านแล้วก็ยังมีคนคุ้นหน้าอีกมาก
     
    คีร์เก้ มอนมอน? อาจารย์โคลแบร์!”
     
    ไซโตะคิดว่าทั้งสามยังอยู่ที่โรงเรียน แต่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ...
     
    พวกเธอ...แต่งตัวอย่างนั้นทำไม...?
     
    ชุดที่คีร์เก้สวมนั้นวาบหวาม ดูคล้ายนักเต้นรำ นั่นไม่น่าแปลกใจ แต่ที่มอนท์โมรันซี่แต่งกายอย่างเดียวกันทั้งที่แสดงออกว่าอายสุดขีด กับโคลแบร์ที่สวมชุดราวกับบาทหลวงนั้นเขาไม่เข้าใจ
     
    คีร์เก้ยิ้มแฉ่ง
     
    มีของพวกนายด้วยนะ คุณเจ้าของร้านเตรียมไว้ให้ พวกเราจะเดินทางไปอย่างลับๆ ต้องมีการปลอมตัวใช่มั้ยล่ะ!”
     
    ไซโตะแอบคิดอยู่ในใจว่าคีร์เก้มีความสุขมากเกินไปที่ต้องปลอมตัว แต่ไม่พูดออกมาเพราะอาจารย์โคลแบร์ดูจะอึดอัดพออยู่แล้ว
     
    พวกเธอจะไปช่วยเพื่อนกันใช่มั้ยล่ะ อะฮั้นสนับสนุนเต็มที่เลยฮ่า~”
     
    สคาร์รอนเอนตัวเข้าไปหาไซโตะด้วยอาการตุ้งติ้งอย่างที่คนรู้จักคุ้นเคย ไซโตะยิ้มแห้งพลางยกสองมือขึ้นกั้น ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางรถกับม้า
     
    ว่าแต่เตรียมไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนเรามาแบบนี้ พวกคีร์เก้เป็นคนบอกเหรอครับ?
     
    เลเวียจังยังไงล่ะจ๊ะ พอมาบอกปุ๊บพวกเราก็รีบจัดเตรียมให้ทันที ว่าแต่ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพวกเธอรู้จักกันด้วยน่ะ โลกนี้ช่างกลมจริงๆ~”
     
    ไซโตะหันไปทางเลเวียธานซึ่งยืนจ้องหน้าเขาเหมือนกำลังรออะไรอยู่
     
    ...เลเวียจัง?
     
    เลเวียธานตบหน้าผากตัวเองเหมือนสุดกลั้น ท่าทางจะกำลังรอสิ่งนี้เอง
     
    อา...ฉันรับหน้าที่มาทางนี้ ส่วนคนที่ไปบอกพวกคีร์เก้ก็...
     
    ทางที่เลเวียธานผายมือไป สมาชิกหน่วยอัศวินที่ไม่ได้ถูกจับเดินออกมาจากหลังมุมร้านอย่างอายๆ นำโดยเรย์นาล
     
    พวกนาย...ไม่ได้กลับไปแล้วหรอกเหรอ...
     
    ไซโตะคิดว่าหลังจากทั้งเขาและกีชถูกจับทั้งยังบอกสละตำแหน่ง คนที่เหลือโดยเฉพาะกลุ่มเรย์นาลที่ไม่เห็นด้วยกับเขาแต่แรกจะกลับไปที่โรงเรียนอย่างเงียบๆ
     
    พวกเราออกมาจากวังแล้ว ทีแรกก็คิดว่าจะกลับไปเฉยๆ นั่นล่ะ เพราะแค่นักเรียนอย่างเราทำอะไรไม่ได้...แต่พี่สาวคนนั้นให้พวกเราช่วยส่งต่อข้อความให้พวกอาจารย์ที่โรงเรียน...
     
    เรย์นาลก้าวเข้ามาใกล้ไซโตะกับกีชด้วยใบหน้าของคนที่มีสิ่งที่เก็บไว้ในใจ
     
    ฉันขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วย ฉันเอาแต่พูดว่าเป็นไปไม่ได้ อ้างข้อจำกัดเรื่องจุดยืนของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างเดียว แต่พี่สาวคนนั้นทำให้ฉันตาสว่าง แทนที่จะมัวแต่จมปลักกับสิ่งที่ทำไม่ได้ สู้เอาเวลาคิดหาทางทำสิ่งที่ทำได้ก่อนซะจะดีกว่า...
     
    ไซโตะรู้สึกประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเรย์นาลยอมคนถึงขนาดนี้
     
    แล้วอีกอย่าง ฉันเริ่มเข้าใจคำพูดของนายขึ้นมาบ้างแล้ว...อัศวินจะทิ้งหัวหน้ากับรองหัวหน้าได้ยังไง
     
    ถึงใครจะว่ายังไงก็ช่าง นายกับกีชเหมาะสมจะเป็นหัวหน้ากับรองฯของพวกเราที่สุดแล้ว
     
    เสียงให้กำลังใจของเพื่อนๆ ทำให้ไซโตะรู้สึกซาบซึ้งจนต้องกลั้นน้ำตา
     
    ว่าแต่...พี่สาว? ไซโตะหมายถึงคำที่เรย์นาลใช้เรียกเลเวียธาน
     
    เลเวียธานดูภายนอกก็เหมือนเด็กสาวอายุราว 14-15 ปี น้อยกว่าเรย์นาลอย่างแน่นอน และไม่ได้มีบรรยากาศของ ความเป็นพี่สาว แบบพี่สาวคนรองของหลุยส์ที่เขาเคยพบด้วย ไซโตะไม่เข้าใจที่มาของคำเรียก
     
    เรย์นาลก้มหน้าและขยับแว่นในลักษณะที่ดูเป็นหลักการสมกับบุคลิกตัวเอง แต่ซ่อนแก้มที่เป็นสีแดงระเรื่อไว้ได้ไม่มิด
     
    ก็...เทียบกับทุกคนที่ฉันรู้จักมาแล้วมีความเยือกเย็น คิดอะไรเป็นเหตุผลขั้นตอน ฉันหลงตัวเองว่ารู้จักใช้สมองฉลาดกว่าคนอื่น แต่พอได้พบกับพี่สาวแล้วก็รู้ว่าตัวเองยังเด็กมาก
     
    ไซโตะเหงื่อตก นึกในใจไม่กล้าพูดออกมาว่าเพื่อนผู้เป็นเสียงแห่งเหตุผลของกลุ่มกำลังคืบเข้าไปใกล้คน อย่าง กีชกับมาลิคอร์นโดยไม่รู้ตัว
     
    ว่าแต่ พวกพวกเราโดนจับก็มีแผนทันทีเลย ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเธอเนี่ย
     
    เลเวียธานยักไหล่
     
    แล้ว...ที่ว่าจะติดต่อกับอาเนียสก็ไม่ได้ทำสินะ?
     
    ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะ ...แต่คิดไปคิดมาแล้วเปลี่ยนใจ เพราะแผนเพิ่มอาจารย์คนหนึ่งขึ้นมาด้วย เลเวียธานไม่รู้ว่าใครรู้ความลับของอาจารย์ผมบางแล้วบ้างจึงไม่พูด
     
    แล้วดูจากตอนที่จับพวกนาย...พูดอะไรไปก็คงไม่ฟัง ตามที่คาดไว้
     
    ไซโตะหน้าสลดลงเล็กน้อย เขาเองใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรที่ต้องถูกคนที่เป็นเหมือนอาจารย์อีกคนจับเข้าตาราง และตอนนี้ก็ไม่ต่างกับศัตรูกัน
     
    น่า ถึงจะไม่มีหน่วยราชองครักษ์ แค่พวกเราก็เหลือแหล่น่า เรือเหาะก็จอดอยู่นอกเมืองนี้เอง
     
    ไซโตะรู้สึกใจชื้นขึ้น ถ้าไปด้วยเรือเหาะของโคลแบร์ก็สามารถไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
     
    โคลแบร์คงจะเดาความคิดของไซโตะออกจึงได้เอ่ยขึ้น
     
    เราไม่ไปด้วยเรือเหาะหรอกนะ
     
    อ้าว...ทำไมล่ะครับ?
     
    ถ้ารู้ว่าพวกเธอหนีออกมา มีโอกาสที่ออสท์ลันท์จะถูกเพ่งเล็ง ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะใช้เป็นตัวล่อกำลังทางอากาศไปทางชายแดนเยอร์มาเนีย ทางราชสำนักจะคิดว่าเราใช้วิธีอ้อมเข้ากาเลียทางเยอร์มาเนียเพื่อเลี่ยงด่านตรวจ
     
    ไซโตะพยักหน้า คีร์เก้อธิบายเสริม
     
    แล้วเรือลำเบ้อเริ่มขนาดนี้แค่ผ่านชายแดนเข้าไปกาเลียก็รู้กันทั้งประเทศแล้ว จากนั้นจะเอาเรือไปไว้ไหน?
     
    อีกอย่างฉันไม่อยากให้เรือต้องเสี่ยงเสียหาย โคลแบร์ยิ้มให้ไซโตะ หลังจากช่วยฝ่าบาทกับมิสทาบาสะแล้วเราจะใช้เรือลำนี้เดินทางไปตะวันออกด้วยกันไม่ใช่เหรอ?
     
    ตะวันออก หนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะเป็นเส้นทางกลับโลกของตัวเอง ไซโตะยิ้มอย่างซาบซึ้ง
     
    ถ้างั้น จะไปกันเมื่อไหร่? ไซโตะรู้สึกมีกำลังขึ้นมา
     
    แต่ถูกเลเวียธานรั้งไว้
     
    ยังไปไม่ได้ ติดปัญหาอยู่อย่างนึง
     
    ปัญหา?
     
    หลุยส์ วาลลิแยร์
     
    ไซโตะนึกขึ้นได้และมองไปรอบๆ  แต่ก็ไม่เห็นเด็กสาวผมสีชมพูแม้แต่เงา
     
    ยัยนั่นโดนพ่อส่งตัวกลับคฤหาสน์ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วน่ะสิ ป่านนี้คงอยู่ที่นั่นแล้ว ต้องไปรับก่อนถึงจะไปได้
     
    ไซโตะทำหน้าปั้นยาก คฤหาสน์วาลลิแยร์ หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะกลับไปเหยียบอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งที่แล้วทำเขาเกือบโดนจับตัดหัว และยิ่งกว่านั้น...
     
    ...ไปกันแค่นี้ก็ได้ องค์หญิงกับทาบาสะรออยู่ จะชักช้าไม่ได้
     
    ไซโตะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แต่หลอกใครหลายคนไม่ได้ กีชหลับตายิ้มแล้วตบบ่า
     
    สมแล้วที่เป็นนาย คงไม่อยากให้หลุยส์ไปเสี่ยงอันตรายด้วยล่ะสิ
     
    ม—ไม่ใช่เฟ้ย ก็แค่ ยัยศูนย์สนิทไปด้วยไม่ไปด้วยก็คงไม่ต่างกัน...
     
    ไม่ได้
     
    เลเวียธานเอ่ยเสียงเด็ดขาด
     
    จะต่อกรกับศัตรูคราวนี้พลังของหลุยส์ วาลลิแยร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
     
    พวกกีชมีสีหน้าพิศวง แต่คนที่รู้อย่างไซโตะก้มหน้า นอกจากนั้น คีร์เก้ซึ่งเป็นมือวางอันดับหนึ่งคนแขวะเด็กสาวผมสีชมพูเองก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเงียบๆ
     
    ทุกคนฟังทางนี้กันก่อน
     
    โคลแบร์เรียกพวกเขา ก่อนจะกางแผนที่ลงบนเดอร์ฟลิงเกอร์ซึ่งใหญ่พอจะเป็นแผ่นรองแก้ขัดได้ การปรึกษาเรื่องหลุยส์หยุดลงชั่วคราว ทุกคนยื่นหน้าเข้าไปดูขณะที่นิ้วของโคลแบร์ไล่ตามเส้นถนน
     
    ก่อนอื่นเราจะนั่งเรือเหาะไปรับมิสวาลลิแยร์ที่นี่ จากนั้นพวกเราจะใช้ม้าไปเส้นทางบกทางนี้
     
    ถึงตรงนี้คีร์เก้ก็เสริมขึ้น
     
    ฉันกับซิลฟีดจะแยกตัวไปที่คฤหาสน์ออร์เลียงก่อน เผื่อว่าที่นั่นจะมีเบาะแสอะไรบ้าง แล้วก็อยากไปดูด้วยว่าคฤหาสน์กับพ่อบ้านเป็นยังไงบ้าง
     
    แต่ซิลฟีดบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ? จะไปไหวเหรอ? ไซโตะถาม
     
    ก็คงจะช้าหน่อยล่ะ ไปกลับรวมเวลาพักด้วย คงจะใช้เวลาซักสองวัน
     
    ถ้าอย่างนั้นมิสเซิร์บสต์ กลับมาพบกันที่เมืองก่อนถึงชายแดนที่นี่ โคลแบร์เลือกจุดนัดพบจากบนแผนที่
     
    รับทราบแล้วค่ะฌอง! ฉันจะคิดถึงคุณนะ!”
     
    คีร์เก้ก้าวกระโดดเข้ามาหอมแก้มโคลแบร์หนึ่งทีอย่างรวดเร็วก่อนจะจรลีออกไปโดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียง มิสเซิร์บสต์!’ ของโคลแบร์ นอกจากพวกไซโตะกับกีชที่มองตาปริบๆ แล้วก็มีมอนท์โมรันซี่ที่ถอนใจเฮือกใหญ่
     
    โคลแบร์หันไปทางนักเรียนที่มองตัวเองเป็นตาเดียวกันแล้วก็กระแอมไออย่างเขินๆ
     
    อะแฮ่ม อันดับแรกเราก็จะไปขึ้นเรือเหาะที่จอดไว้นอกเมืองก่อน ทุกคนไม่มีคำถามนะ?
     
    คนที่ยกมือขึ้นคือไซโตะเอง
     
    ทำไมอาจารย์ถึงช่วยพวกเรามากขนาดนี้ล่ะครับ? มากเสียจนเขาไม่คิดว่าจะใช้หนี้ได้หมดในชีวิตนี้
     
    โคลแบร์มองตอบด้วยแววตาที่สื่อว่า ถามอะไรอย่างนั้น?
     
    มิสทาบาสะเป็นนักเรียนของฉัน อาจารย์ก็ต้องช่วยนักเรียนอยู่แล้วนี่
     
    ทั้งที่เขาควรจะคาดเดาคำตอบนี้ไว้อยู่แล้ว แต่ไซโตะก็อดรำลึกอีกครั้งไม่ได้ว่าเพราะเหตุนี้เขาจึงได้มองอาจารย์โคลแบร์อย่างที่ไม่เคยมองอาจารย์คนใด
     
    สคาร์รอนตบมือสองครั้งเรียกทุกคน
     
    พวกเธอที่เหลือก็เตรียมชุดไว้ให้แล้ว มารับไปได้เลยนะฮ้า
     
    ไซโตะนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ตัวเอง
     
    ฉันด้วยเหรอ?
     
    ขณะที่พวกไซโตะที่เพิ่งมาถึงไปเลือกชุดของตัวเอง สคาร์รอนก็เดินเข้ามาหาเลเวียธาน
     
    เลเวียจัง ฉันไม่เห็นซาวิเยร์จังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?
     
    สคาร์รอนรู้แค่ว่าพวกเลเวียธานกำลังจะเดินทางไปช่วยเพื่อนที่ถูกจับไปเท่านั้น เลเวียธานหันไปยิ้มให้อย่างแน่วแน่
     
    กำลังจะไปรับ จะพากลับมาให้ได้
     
    ...ยังงั้นเองเหรอ พยายามเข้านะ พวกเธอสองคนต้องได้กลับมานั่งในร้านภูตน้อยพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉันจะรอนะ
     
    วางใจได้เลย
     
    --
     
    แนะนำตัวละคร
     
    *(รูปหายาก)*
     
    มาลิคอร์น เดอ กรังเปร
     
    ข้อมูล : หนึ่งในสมาชิกหน่วยอัศวินอองดีน นักเรียนปีเดียวกับหลุยส์ เวทมนตร์ธาตุลมระดับดอท ชอบอาหารทุกชนิดดังที่เห็นได้จากหุ่น โดยแก่นมีนิสัยขี้ขลาด หลังจากผ่านการรับใช้กองทัพมาและถูกผู้บังคับบัญชากึ่งล้างสมองด้วยคำพูดให้มั่นใจในความสามารถตัวเองมากขึ้นก็มีความหลงตัวเองขึ้นมานิดๆ  แต่เนื้อแท้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน
     
    ความสนใจเรื่องผู้หญิง(ในทางวิตถาร)ไม่แพ้ความอยากอาหาร แต่เนื่องจากขาดคุณสมบัติหลายๆ อย่างอันเป็นที่ต้องการของเพศตรงข้ามจึงไม่แม้แต่เข้าใกล้คำว่าเนื้อหอม ริษยาไซโตะที่ดึงดูดทั้งชนชั้นสูง(หลุยส์)และสาวใช้(เซียสต้า)
     
    เมื่อความริษยาคู่รักหวานชื่นทับถมจนปะทุเป็นความโกรธจัดนิสัยจะพลิกกลับตาลปัตร(แต่เนื้อหาในสมองก็ยังไม่เปลี่ยน) คำพูดคำจาดิบเถื่อน พลังเวทเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทักษะการอ่านริมฝีปากพุ่งขึ้นระดับปรมาจารย์
     
    ในใจส่วนลึกรู้สึกกังวลกับรูปร่างอ้วนของตัวเอง
     
    ที่จริงแล้วความวิตถารในตัวอาจข้ามผ่านเส้นปกติเข้าสู่ความเป็นมาโซคิสท์ มีประวัติการครอสเดรสอย่างน้อยสองครั้ง
     
    ชื่อที่สองคือ [ลมบน]  อสูรรับใช้คือนกฮูก [ควาซิร์]
     
     
     
    *(รูปหายาก)*
     
    เรย์นาล
     
    ข้อมูล: หนึ่งในสมาชิกหน่วยอัศวินอองดีน เรียนอยู่ห้องเรียนติดกับหลุยส์ แม้จะรูปร่างเล็กและใส่แว่นเหมือนเด็กเรียนขี้แหย แต่แท้ที่จริงนิสัยขู่เข็ญเอาเรื่อง เป็นเสมือนมันสมองของกลุ่ม เยือกเย็นและความคิดเป็นหลักการ วางทุกอย่างบนหลักของความเป็นจริงและความน่าจะเป็น จนบางครั้งไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของสมาชิกร่วมหน่วย เป็นคนแบบที่ตรงข้ามกับไซโตะโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้ ผลงานในกองทัพคือการจัดทัพถอยอย่างเป็นระบบทำช่วยเลี่ยงความเสียหายและได้รับคำชื่นชมค่อนข้างสูง บางครั้งแสดงท่าทีเหมือนคิดว่าคนอื่นมีสติปัญญาด้อยกว่าตัวเอง
     
    มีคุณอาทำงานอยู่ที่ราชสำนัก ชำนาญการต่อสู้ระยะประชิดพอสมควร
     
    หลังจากได้ฟังคำพูดเตือนสติของเลเวียธานแล้วก็ลดความหลงตัวเองลงบ้าง ทั้งยังเห็นเลเวียธานเป็นไอดอล(?)
     
    --
     
    PBW:“ล่าช้าไปจากที่ตั้งใจไว้หนึ่งสัปดาห์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้าย
     
    DX:“อย่าเวอร์ ก่อนกำหนดสามวันเถอะ
     
    PBW:“ก็ใช่ แต่ไม่ใช่จะว่างทั้งวัน ใครที่อ่านไลท์โนเวลมาจะรู้ว่าส่วนท้ายของตอนมีการเปลี่ยนแปลง ตามเนื้อเรื่องดั้งเดิม ออกจากร้านภูตน้อยต้องเดินทางเข้ากาเลียเลย ทีแรกก็เขียนไว้อย่างนั้น แต่เนื่องจากคนเขียนมีจุดประสงค์เพิ่มเติมจึงต้องเบี่ยงเส้นทางไปเล็กน้อย
     
    DX:“แล้วเจ้าเอ็กซ์ โผล่แค่นั้นแต่เปลี่ยนไปมากเลย
     
    PBW:“ภายนอกก็คงดูเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ ภายในก็เหมือนที่ผ่านมา
     
    DX:“...งั้นก็รีบให้ดูเร็วๆ สิฟะว่ามันยังไงกันแน่!”
     
    PBW:“รอให้ไปถึงที่หมายก่อนสิ

    DX:“...ว่าแต่ไอ้ *(รูปหายาก)* นี่คือ...?
     
    PBW:“ก็รูปมันหายาก เลยไม่เอามาลง
     
    DX:“...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×