ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #60 : To0: Tales of 0

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 214
      9
      2 มิ.ย. 59

    ความฝัน! อุดมคติ! ขยะทั้งนั้น!!”
     
    ฉันแค่สู้เพื่อผู้คนที่ฉันเชื่อมั่น ถ้าศัตรูปรากฏตัวขึ้น ฉันจะกำจัดให้พ้นทาง
     
    [...]
     
    รอบตัวเขาเป็นสีแดง...
     
    ใบหน้าของเขาแนบอยู่กับพื้น เช่นเดียวกับร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล
     
    ตาของเขามองพื้นผิวของแร็กนาร็อคที่ค่อยๆ หลุดออกเป็นชิ้นๆ
     
    ภาพที่เขาเคยเห็นผ่านทางดวงตาคู่นี้ผุดขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า ผู้คนที่เขาพบเจอไม่ว่ามิตรหรือศัตรู และใบหน้าแรกที่เขาเห็นเมื่อตาคู่นี้ลืมขึ้น รวมถึงใบหน้าสุดท้ายที่เขานึกถึง
     
    ซีโร่!”
     
    เชล...เชื่อฉัน
     
    เขาค่อยๆ หลับตาลง ใจของเขาสงบกว่าที่เคยเป็นมา ไม่จำเป็นต้องคิด ไม่จำเป็นต้องสู้ ไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรอีกแล้ว
     
    ทุกอย่างจบลงตรงนี้...
     
    เสียงที่ได้ยินในช่วงเวลาสุดท้ายเป็นเสียงของเขาเอง เอ่ยชื่อที่เขาอยู่ในความคิดสุดท้ายของเขา
     
    ...เชล...เอ็...
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ดวงจันทร์สองดวงฉายแสงบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ เสียงลมเบาๆ แทรกผ่านต้นไม้ในป่าที่มืดสลัว
     
    ดวงแสงสีขาวลอยฉวัดเฉวียนลอดหลบกิ่งก้าน เร่งรีบราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง
     
    หลุดจากม่านไม้ออกมา ดวงแสงสีขาวพบกับลานโล่งกลางป่า
     
    ดวงแสงหยุดนิ่งราวกับพักหายใจ มองย้อนกลับไปข้างหลังที่มีแต่ความเงียบสงัด ดวงแสงหนีผู้ไล่ตามพ้นแล้ว
     
    ความตื่นกลัวหายไป แทนที่ด้วยความกังวล
     
    ผู้ที่ดวงแสงทิ้งไว้ข้างหลัง ที่ที่จะไปนับจากนี้ ต้องอยู่เพียงลำพังในโลกที่ตัวเองเป็นคนแปลกหน้า
     
    ดวงแสงลอยต่ำลง ราวกับจะนอนพัก
     
    ตอนนั้นเองที่ดวงแสงเผชิญหน้ากับเส้นผมสีทอง
     
    ดวงแสงผงะและถอยห่างออกมา แล้วจึงมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
     
    ท่ามกลางซากปรักหักพัง ร่างสีแดงนอนแน่นิ่ง
     
    ดวงแสงสีขาวจ้องมองใบหน้าใต้เส้นผมสีทอง ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นหยุดนิ่ง
     
    [...]
     
    [.....]
     
    เขารู้สึกร้อนใบหน้า
     
    เปิดเปลือกตาขึ้น แสงแดดสว้างจ้าจนเขาต้องยกมือขึ้นบัง ดวงตาสีน้ำเงินเบิกขึ้นเล็กน้อย
     
    เขายังมีมือ ที่สำคัญ ยังขยับตัวได้
     
    ซีโร่ค้ำตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะสำรวจรอบๆ
     
    ป่า ต้นไม้ สีเขียวล้อมรอบจุดที่เขาอยู่ เศษซากส่วนหนึ่งของดาวเทียมแร็กนาร็อคกระจัดกระจายอยู่ด้านหลังของเขา
     
    ที่นี่คือ...แอเรียซีโร่?
     
    ซีโร่ตัดสินจากการที่มีธรรมชาติ การที่เขายังเห็นมันหลงเหลืออยู่หมายความว่าเขาทำสำเร็จแล้ว แร็กนาร็อคถูกทำลายจนเหลืออยู่แค่นี้และตกลงมาที่เป้าหมายเดิมของมันโดยไร้ซึ่งแรงทำลายนอกจากแอ่งเว้าตื้นๆ
     
    ซีโร่ลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นตามเนื้อตัว อันดับแรกต้องไปยังที่พักอาศัยของกลุ่มผู้อพยพเสียก่อน
     
    ว่าแต่...ที่นี่มีอะไรไม่เหมือนเดิมรึเปล่า?
     
    ซีโร่ไม่ได้สนใจชื่นชมธรรมชาติมากในครั้งที่มาเยี่ยมเพราะแต่ละครั้งมีภารกิจเร่งด่วน ถึงอย่างนั้นเขาก็พอจำได้ว่าต้นไม้ของแอเรียซีโร่ไม่ได้เป็นต้นไม้ลำต้นตรงแบบเดียวกันหมดอย่างนี้
     
    ยังมีธรรมชาติหลงเหลืออยู่ที่อื่น หรือว่าเขาหลับไปนานจนเกิดธรรมชาติขึ้นที่อื่น
     
    ความคิดของเขาหยุดชะงักเมื่อดวงแสงสีขาวลอยเข้ามาในสายตาของเขา
     
    ไซเบอร์เอลฟ์...
     
    (ซีโร่...)
     
    ...รู้จักฉันด้วยเหรอ?
     
    น่าแปลก เขาเองก็รู้สึกว่าดวงแสงดวงนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
     
    (ฉันเอง...ไอริส)
     
    ไอริส...?
     
    เสียงของซีโร่สูงตอนท้าย ไม่ได้แสดงความประหลาดใจ แต่แสดงความไม่เข้าใจ
     
    (เธอจำฉันไม่ได้เหรอ?...)
     
    ซีโร่หายใจเข้าและออก หากให้อธิบายความรู้สึกของเขาตอนนี้ เขาต้องบอกว่าตัวเองรู้จักดวงแสงที่ชื่อไอริสนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ที่นึกออกมีเพียงรูปร่างของผู้หญิงจางๆ  ไอริสคนนี้คงจะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ขาดหาย
     
    ฉันจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเอ็กซ์
     
    (งั้นเหรอ...)
     
    ซีโร่มองดวงแสงสีขาวเอ่ยเสียงสลด หากเขาจำผู้หญิงที่ชื่อไอริสคนนี้ได้ก็คงจะดี แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ความทรงจำทั้งหลายในอดีตไม่กลับคืนมาแม้แต่นิดเดียว มีแค่เอ็กซ์และสัญญาระหว่างพวกเขาสองคนเท่านั้น เขาไม่เคยจำเป็นต้องจำให้ได้นอกเหนือจากนั้น
     
    แต่วันนี้มีคนจากในความทรงจำเหล่านั้นมาแล้ว และอันตรายทั้งหลายก็(คาดว่า)หมดไปแล้ว ถ้าจะพยายามฟื้นฟูความทรงจำเก่าๆ บ้างก็ไม่น่ามีอะไรเสียหาย
     
    ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย
     
    (เอ๋?)
     
    เรื่องระหว่างฉันกับเธอ
     
    ดวงแสงไอริสประหลาดใจ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม
     
    (ได้สิ ได้แน่นอน)
     
    ไวล์ โอเมก้า ก็อปปี้เอ็กซ์ ดาร์คเอลฟ์ ไม่มีแล้ว ธรรมชาติ แล้วก็คนที่รู้จักเขาเมื่อก่อน ซีโร่ยอมปล่อยให้ตัวเองยิ้มบางๆ ออกมา
     
    ทันใดนั้นความรู้สึกชั่วร้ายก็แผ่มาจากด้านหลังของซีโร่ หรือในความเป็นจริงแล้วเขาเพิ่งจะสัมผัสได้
     
    ซากแร็กนาร็อค เขาสัมผัสไวล์ได้จากแต่ละชิ้นส่วน
     
    มีชีวิตอยู่เหรอ?! ไม่...แค่สัมผัสเท่านั้น...
     
    นักวิทยาศาสตร์เฒ่ารวมตัวกับดาวเทียมรบก่อนจะถูกทำลาย สัมผัสที่หลงเหลืออยู่คงเพราะอย่างนั้น

     

    (เธอก็สัมผัสได้เหมือนกันเหรอ?)
     
    ไอริสเข้ามาอยู่ข้างซีโร่
     
    (ความรู้สึกชั่วร้ายจากเศษชิ้นส่วนพวกนี้...ราวกับใส่ความคิดให้กับฉัน ดึงความทรงจำเมื่อตอนนั้นขึ้นมา...)
     
    ที่คำว่า ตอนนั้น เสียงของไอริสแผ่วลง แต่ซีโร่ไม่มีความทรงจำให้ทบทวนจึงไม่รู้สาเหตุ
     
    ทำไมเธอไม่หนีไป?
     
    ซีโร่ถาม ถ้าหากอยู่ใกล้กับซากแร็กนาร็อคมันทรมานขนาดนั้น
     
    (ก็เธอ...อยู่ที่นี่)
     
    เธอเป็นคนช่วยฉันเหรอ? ซีโร่ตีความ
     
    (อืม พลังไซเบอร์เอลฟ์ของฉันควบคุมระบบซ่อมแซมอัตโนมัติของเธอให้ฟื้นฟูร่างกายจนถึงระดับที่ทำงานเองได้)
     
    ถึงตอนนี้เขาจะสบายดีอย่างที่เห็น แต่ซีโร่จำได้ว่าความเสียหายจากการต่อสู้กับไวล์สาหัสเอาการ และความเสียหายจากการถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศต้องไม่ใช่เล็กน้อย
     
    พลังที่กระตุ้นระบบของฉันจากสภาพนั้นได้...เธอไม่กลัวตัวเองหายไปเหรอ?
     
    ไอริสดูดีใจกับคำถามของเขา แม้ซีโร่จะไม่รู้ว่าทำไม
     
    (ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ไซเบอร์เอลฟ์ใช้พลังได้โดยไม่ต้องกลัวเรื่องนั้น)
     
    ซีโร่ติดใจความหมายของ ที่นี่  แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า
     
    บีมเซเบอร์สีเขียวปรากฏขึ้นในมือซ้ายของซีโร่ อาวุธประจำตัวชิ้นเดียวที่ยังอยู่กับตัว ดวงตาสีน้ำเงินมองเศษชิ้นส่วนของแร็กนาร็อคที่แผ่ความชั่วร้ายออกมาทิ่มแทงผิวของเขา
     
    ของแบบนี้จะปล่อยให้อยู่ในโลกต่อไปไม่ได้
     
    ซีโร่ตวัดดาบใส่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุด ผ่ามันเป็นสองซีก และไม่หยุดแค่นั้น ดาบสองและสามแยกส่วนจนเหลือเพียงชิ้นเล็กๆ  จากนั้นเขาก็ตามไปฟันชิ้นต่อไป
     
    เขาไม่ได้ทำลายอย่างไร้ความหมาย แต่ละดาบที่เขาฟันสลายความรู้สึกชั่วร้ายออกไปทีละส่วน จนกระทั่งส่วนใหญ่หายไป
     
    ซีโร่เก็บดาบและหันกลับไปถามไอริส
     
    เท่านี้เป็นยังไง?
     
    ไอริสสะดุ้งราวกับถูกเขย่าหลุดจากภวังค์ที่เฝ้ามองระบำดาบของซีโร่
     
    (เอ๋? ก็...ดีกว่าเดิมมากเลย ถึงจะยังสัมผัสได้อยู่ แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นอันตรายแล้ว)
     
    ซีโร่พยักหน้า
     
    งั้นก็เสร็จธุระที่นี่แล้ว ใกล้ๆ นี้น่าจะมีที่อาศัยของมนุษย์อยู่ ช่วยนำทางฉันไปหน่อย
     
    คำถามที่คิดว่าธรรมดา แต่ไอริสกลับแสดงความลังเล
     
    (ฉันว่า...คงไม่ดีเท่าไหร่)
     
    ทำไมล่ะ?
     
    (เธอ...ไม่รู้สินะว่าที่นี่คือที่ไหน)
     
    ซีโร่เลิกคิ้ว หรือที่นี่จะไม่ใช่แอเรียซีโร่จริงๆ
     
    (...ให้เห็นด้วยตาตัวเองคงจะดีกว่า)
     
    ไอริสให้ซีโร่ตามไป ทั้งคู่เดินหน้าไปยังทิศทางหนึ่งเป็นเส้นตรง ประมาณสิบห้านาทีก็มองเห็นเขตสุดของต้นไม้
     
    สิ่งที่รอซีโร่อยู่หลังม่านไม้ทำให้เขาพูดไม่ออก
     
    ที่ราบสุดลูกหูลูกตา ส่วนนี้ธรรมดา แต่สีเขียวที่มองเห็นประปรายนั้นไม่ใช่แน่นอน
     
    ...ฉันหลับไปนานแค่ไหน?
     
    เป็นความคิดแรกของซีโร่เมื่อเห็นโลกที่ไม่คุ้นตา
     
    (เรื่องนั้นฉันไม่รู้ แต่ไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก)
     
    ไอริสลอยมาที่เบื้องหน้าคั่นระหว่างซีโร่กับโลกกว้างที่เขาไม่รู้จัก
     
    (ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เราเคยอยู่ เป็นโลกที่ตรงข้ามกับที่ฉันเคยฝันไว้)
     
    ซีโร่เบิกตากว้าง แม้จะไม่รู้ว่าโลกที่ฝันหมายถึงอะไร แต่ก็ทำให้เขาเตรียมใจสำหรับประโยคที่ตามมา
     
    (ที่นี่คือโลกที่ปกครองโดยมนุษย์ ไม่มีเรปลิลอยด์แม้แต่ตัวเดียว)
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ซีโร่พยักหน้า ยืนพิงต้นไม้ที่ชายป่าฟังเรื่องเล่าจากไอริสด้วยใบหน้าเรียบเฉย
     
    โลกที่เทคโนโลยีเป็นคนละยุคกับที่เขาจำได้ ไม่เพียงเรปลิลอยด์ แม้แต่หุ่นยนต์ขั้นพื้นฐานก็ไม่มี
     
    แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในของซีโร่สับสน ความเป็นห่วงพวกเชลกับความกังวลต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มาได้อย่างไร และจะสามารถกลับไปหาพวกเชลได้หรือไม่
     
    ตอนนี้สิ่งเขาสามารถใช้เป็นเครื่องนำทางได้มีเพียงไซเบอร์เอลฟ์ที่รู้จักเขาตัวนี้เท่านั้น
     
    แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
     
    (ที่ไซเบอร์สเปซเกิดรอยแยกของมิติขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุคืออะไร แต่ฉันกับคนอื่นๆ ถูกดูดผ่านรอยแยกนั้นเข้ามา พอรู้สึกตัวก็อยู่ที่โลกนี้แล้ว)
     
    งั้นไซเบอร์เอลฟ์ที่เหลือก็อยู่ในโลกนี้เหมือนกันสินะ
     
    (น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่มาถึงโลกนี้มีแค่พี่ชายที่อยู่กับฉัน ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็สองปีฉันก็ยังไม่เจอคนอื่นๆ เลย)
     
    พี่ชาย มีอยู่ที่เรปลิลอยด์นับความสัมพันธ์แบบสายเลือดแม้จะไม่ได้กำเนิดมาแบบมนุษย์
     
    อืม...แล้วพี่ชายเธอล่ะ?
     
    ซีโร่สังเกตว่าไอริสมีอาการกังวลขึ้นมา
     
    (พี่—เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนจู่ๆ ก็มีคนไล่ตามพวกเรา พี่ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อและให้ฉันหนีมา... หลังจากนั้นฉันก็พบเธอนอนอยู่ตรงนั้น ส่วนพี่...อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้)
     
    ...รู้รึเปล่าว่าเจ้านั่นเป็นใคร
     
    (ไม่รู้เลย แต่ว่ามนุษย์มองไม่เห็นพวกเรา...)
     
    ซีโร่มีสีหน้าครุ่นคิด
     
    ...เรปลิลอยด์ ในโลกที่ไม่มีเทคโนโลยีแบบนี้น่ะเหรอ...
     
    (ไม่รู้สิ...ไม่รู้เลย...)
     
    ซีโร่นิ่งเงียบ แม้คนเยือกเย็นอย่างเขาก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ ภายในเวลาอันสั้นที่เขารู้สึกตัวนี้มีสิ่งที่เหนือความคาดเดาของเขาหลายเรื่องเกินไป ฟื้นขึ้นมาทั้งที่คิดว่าถึงวาระสุดท้ายแน่แล้ว พบกับไซเบอร์เอลฟ์ที่อ้างว่าเป็นคนรู้จักของตัวเอง เป็นคนแรกนอกจากเอ็กซ์ตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่ว่างเปล่า จากนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เป็นอีกมิติหนึ่งหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง นอกจากนั้นไซเบอร์เอลฟ์ที่เป็นคนรู้จักของเขาก็ยังพลัดกับพี่ชายของตัวเองและท่าทางต้องการให้เขาช่วย

     

    แต่ก็เท่านั้น เมื่อลองเรียบเรียงดูแล้ว แม้จะยังเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้คำตอบ สิ่งที่ต้องทำจากนี้ไปก็เห็นอยู่ชัดเจน
     
    ไปกันเถอะ
     
    (เอ๋? ไปไหน?)
     
    ตามหาพี่ชายของเธอ
     
    ไอริสอึ้งไปครู่หนึ่ง
     
    (อ—อืม นั่นสินะ)
     
    พี่ชายของเธอชื่ออะไร?
     
    (...เคอร์เนล ที่จริงเธอเองก็เคยรู้จัก คล้ายกับเป็นคู่ปรับกันด้วยนะ)
     
    เสียงของไอริสสดใสขึ้นเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงระหว่างเขากับพี่ชายตัวเอง
     
    คู่ปรับหรือ...ความสัมพันธ์ที่คล้ายแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวเทียบกับระหว่างกับเขากับเอ็กซ์
     
    ซีโร่เกิดความรู้สึกที่อยากจะจำให้ได้ขึ้นมาอีกหนึ่งความทรงจำ ไอริสกับพี่ชาย
     
    พาฉันไปที่ที่เธอแยกกับเคอร์เนล
     
    (อืม ทางนี้)
     
    ไอริสลอยขึ้นราวกับตรวจสอบทิศทาง
     
    (...นี่ ซีโร่)
     
    อืม
     
    (ทำไมถึงช่วยฉันล่ะ? เธอจำฉันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ถึงฉันจะบอกว่ารู้จักเธอ แต่สำหรับเธอแล้วฉันก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ?)
     
    ฮืม...ไม่มีเหตุผล
     
    ไอริสนิ่งไป ดูทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจกับคำตอบ
     
    (เธอไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ด้วย ถึงจะแสดงออกน้อยกว่าแต่ก่อน แต่ข้างในก็ยังเป็นซีโร่คนเดิม)
     
    ตัวเขาสมัยก่อนก็เป็นอย่างนี้หรือ?
     
    ...ก็ดีแล้วล่ะ
     
    แสดงว่าเขาตอนนี้ไม่ทำให้ตัวเองเมื่อก่อนผิดหวัง ไม่ทำให้เอ็กซ์และคนอื่นๆ ที่มีความฝันร่วมกันต้องผิดหวัง
     
    [...]
     
    [.....]
     
    กรี๊ด!
     
    เฮ้ย! บอกว่าผู้หญิงอย่าให้มีรอยไง! นอกจากนั้นใครขัดขืนฆ่าได้ไม่ต้องสนใจ!”
     
    เสียงฝีเท้าและเสียงกรีดร้องดังปนกันในความอลหม่าน ชายนุ่งห่มด้วยหนังสัตว์กระชากตัวหญิงสาวด้วยมือหนึ่งและฟันชายชราด้วยดาบเก่าขึ้นสนิมอีกมือหนึ่ง วัวส่งเสียงร้องขณะเชือกที่พันคอถูกกระชาก ชายสามคนช่วยกันจับไก่และห่านใส่ถุงขนาดใหญ่ ตาลุกวาวราวกับมองอาหารชั้นเลิศ
     
    ชายร่างใหญ่ยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย สวมสายคาดศีรษะขนนก กวาดตามองชายถืออาวุธที่ศีรษะว่างเปล่าคนอื่นๆ
     
    บอส! อัศวิน! มีอัศวินมา!”
     
    ชายถือดาบคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ชายสวมสายคาดศีรษะตกใจ
     
    อัศวิน?! ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าให้เล็ดลอดไปได้ แล้วเป็นไงมันไปตามคนมาช่วยแล้ว!”
     
    ข—ขอโทษที บอส...
     
    แล้วมาทางไหน มากี่คน?
     
    คนเดียว ทางนั้น!”
     
    ชายถือดาบชี้ไปทางออกทางหนึ่งของหมู่บ้าน ผู้เป็นหัวหน้าเลิกคิ้ว
     
    คนเดียว?
     
    ทำยังไงต่อบอส! หนีเหรอ?!”
     
    ชายสวมสายคาดศีรษะครุ่นคิด ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกลูกน้องคนอื่นๆ
     
    เฮ้ยพวกแก! วางข้าวของไว้ก่อนแล้วตามฉันมา!”
     
    ชายถือดาบคนอื่นๆ วางงานลงและหยิบดาบตามเสียงหัวหน้าไป
     
    นั่นไงบอส!”
     
    ชายสวมสายคาดศีรษะมองตามนิ้วของลูกน้อง
     
    ที่ทางออกหมู่บ้านมีการต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว ลูกน้องสองคนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผมยาวสีทองสวมผ้าคลุมถือดาบคมเดียว ทั้งสองเงื้อดาบวิ่งเข้าใส่พร้อมกัน ชายผมสีทองหลบดาบคนที่หนึ่งและสองติดๆ กันก่อนจะใช้ด้านทื่อของดาบฟาดที่ใต้รักแร้และต้นคอของทั้งสอง
     
    ผู้เป็นหัวหน้ามองดูลูกน้องสองคนล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น แล้วสลับไปมองอีกสี่คนที่นอนสภาพเดียวกันอยู่ใกล้ๆ
     
    ทำไมแกถึงว่าเจ้านั่นเป็นอัศวิน?
     
    ก็เจ้านั่นเก่งขนาดนั้น...
     
    เจ้าโง่! อัศวินต้องใช้เวทมนตร์ได้สิวะ! เจ้านั่นมันคนธรรมดาเหมือนเรานี่ล่ะ!”

     

    แล้วจะเอายังไง—
     
    ยังจะถามอีก! ถ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว! พวกเรามีกันตั้งสี่สิบคน!”
     
    บอส พวกเราตายไปสี่คนตอนสู้กับชาวบ้านเมื่อกี้ แล้วหมอบอยู่ตรงนั้นอีกหกคน
     
    ...มีกันตั้งสามสิบคน! จะกลัวอะไรคนธรรมดาคนเดียว! รุมสิวะ!”
     
    ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงโห่ร้อง ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังระรัวเข้าไปหาศัตรู
     
    ชายแปลกหน้าตวัดดวงตาสีน้ำเงินมาทางกลุ่มคนนับสิบโดยไม่สะทกสะท้าน แขนซ้ายในชุดเกราะสีแดงยกดาบโลหะขึ้น
     
    [...]
     
    [.....]
     
    หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
     
    เธอกับน้องชายกลับจากไปซื้อของในเมือง ระหว่างทางจู่ๆ ก็มีโจรสามคนเข้ามาทำร้าย ตีน้องชายเธอจนสลบไป ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย แล้วก็จะลากเธอให้ตามไป เธอได้แต่ส่งเสียงร้องผ่านทางมือที่ปิดปากเธอไว้
     
    แล้วจู่ๆ ชายคนนี้ก็ผ่านมา ใช้แค่มือเปล่าจัดการโจรสามคนจนสลบไป และตอนนี้ก็ยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ใบหน้าเงียบขรึมไม่มีรอยยิ้มหรือคำพูดปลอบใจ แต่ดวงตาสำรวจความปลอดภัยของเธอ
     
    ข—ขอบคุณค่ะ
     
    เมื่อความตื่นตระหนกบรรเทาลงพอสมควรเธอก็เอ่ยขอบคุณด้วยเสียงที่สั่นเครือ
     
    ชายแปลกหน้ามีเส้นผมสีทองสว่าง ดวงตาสีน้ำเงินสดใส และใบหน้าก็...
     
    หญิงสาวรู้สึกแก้มร้อนผ่าว
     
    ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปทางน้องชายของเธอ
     
    ...เป็นยังไงบ้าง?
     
    น—น่าจะแค่สลบไปน่ะค่ะ!”
     
    ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหันหลังและเดินจากไปโดยไม่กล่าวถ้อยคำอำลาใดๆ
     
    หญิงสาวตะลึงงันจนลืมถามชื่อของผู้ที่ช่วยตัวเองไว้ เธอมองตามชายหนุ่มจนเขาลับสายตา
     
    เธอนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเรื่องแบบนี้ในนิยายเล่มเก่าๆ ที่แม่เก็บเงินซื้อมาได้ ชายหนุ่มช่วยหญิงสาวที่ถูกโจรลอบทำร้ายแล้วจากไปโดยไม่บอกชื่อ
     
    ตอนนี้หญิงสาวรู้แล้วว่าตัวเอกในเรื่องรู้สึกอย่างไร
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ขอร้องล่ะครับท่านเจ้าเมือง! จะเอาอะไรไปก็ได้ แต่อย่าเอาลูกสาวผมไปเลย!”
     
    บ้านสกปรกๆ ของเจ้าไม่มีอะไรที่ข้าต้องการ เจ้าไม่มีเงินจ่ายภาษี ของมีค่าอย่างอื่นก็ไม่มี ข้าเห็นใจไม่อยากจะไล่เจ้าออกไป ก็เลยขอมัดจำไว้ก่อน
     
    ชายวัยราวสามสิบในชุดดูมีราคายิ้มหยันชายวัยเดียวกันที่กำลังอ้อนวอน
     
    พาตัวไป!”
     
    ชายในชุดทหารลากเด็กผู้หญิงวัยประมาณสิบสามปีออกไปจากบ้าน แอบมองเด็กหญิงที่ดิ้นและร้องไห้หาพ่อด้วยแววตาสงสารแต่ไร้ความสามารถจะช่วยเหลือได้ เจ้าเมืองเดินเชิดอกตามออกไปขณะที่ทหารอีกคนกันพ่อของเด็กไว้
     
    เอาอีกแล้ว...ปีนี้คนที่สามแล้ว...
     
    ภาษีแพงขนาดนั้นจะไปจ่ายได้ทุกคนได้ยังไง...
     
    เสียงซุบซิบดังขึ้นจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ยืนมองอยู่
     
    อะแฮ่ม!
     
    เจ้าเมืองกระแอมไอแล้วชำเลืองมองซ้ายขวาด้วยใบหน้าเฉยเมย ชาวบ้านรีบหันกลับไปประกอบกิจกรรมตัวเองต่อ
     
    แต่มีอยู่คนหนึ่ง แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นด้วยความกลัว กลับเดินตรงเข้ามา
     
    เจ้าเมืองขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบคทาขึ้นชี้ไปที่ชายแปลกหน้าผมสีทอง
     
    เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นรึ?
     
    ปล่อยเด็กไป
     
    ชายแปลกหน้ากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองเจ้าเมืองไม่กะพริบ
     
    ฮึ่ม ทำไมข้าต้องฟังคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเจ้าด้วย?
     
    ชายแปลกหน้าไม่ตอบ แต่ชักดาบคมเดียวออกมา เจ้าเมืองหัวเราะ
     
    คิดจะใช้ดาบโทรมๆ ชนะคทาของข้าเนี่ยนะ?!”
     
    เช่นเคย ชายแปลกหน้าไม่ตอบ แต่ตวัดดาบอย่างไม่ออกแรงหนึ่งครั้ง
     
    พลันคทาของเจ้าเมืองก็ขาดเป็นสองส่วน
     
    อะไรกัน—?!”
     
    เจ้าเมืองร้องตกใจยังไม่ทันจบอีกหนึ่งดาบก็ตามมา เฉี่ยวใบหน้าไปไม่กี่เซนฯ ถากชุดราคาแพงลงไป...
     
    อ๊ากกกกก!!~
     
    เจ้าเมืองร้องลั่นเหมือนหมูถูกเชือด ตัวล้มลงกับพื้นขณะที่มือทั้งสองกุมเป้ากางเกง
     
    ขาดแล้ว! ขาด! เรียกหมอที! หมอ!!~
     
    เจ้าเมืองร้องครวญครางด้วยความเจ็บและความตระหนก ไม่ทันสังเกตว่าที่ตัวเองกุมอยู่ไม่มีเลือดและชายแปลกหน้าถือดาบกลับคม
     
    ทหารรีบปล่อยตัวเด็กหญิงเข้าไปพยุงเจ้าเมืองไปที่รถม้าอย่างหมดสภาพ ก่อนจะรีบแล่นออกไป
     
    เสียงยังกะหมูถูกเชือด
     
    ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้งเลยว่ะ
     
    คงคิดเรื่องสัปดนไม่ได้อีกเป็นเดือน
     
    ผู้เป็นพ่อกอดลูกสาวที่โผเข้ามาหาพลางลูบศีรษะปลอมประโลม เงยหน้าขึ้นพูดกับชายแปลกหน้า
     
    ขอบคุณ—เอ๋?
     
    ชายผมสีทองไม่อยู่แล้ว หายไปราวกับไม่มีตัวตน
     
    [...]
     
    (เป็นฮีโร่อีกแล้วนะ สองครั้งห่างกันแค่สามวัน)
     
    แค่บังเอิญผ่านไปเห็น
     
    ซีโร่อยู่บนถนนที่นำไปสู่เมืองหรือหมู่บ้านต่อไป เขาไม่แน่ใจเพราะไม่รู้แล้วก็ไม่สนใจภูมิประเทศมากนัก นานๆ จะถามทางสักครั้งเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เช่นเมื่ออาทิตย์ก่อนที่เขาถามและรู้ว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่ชื่อ กาเลียบริเวณชายแดนติดกับอีกประเทศที่ชื่อ ทริสเทน
     
    (มนุษย์แบ่งแยกชนชั้นกันเอง เหมือนเรปลิลอยด์ที่โลกเราเลยนะ)
     
    ซีโร่ไม่ตอบ เพียงแต่เดินต่อไปเงียบๆ
     
    (แต่ตอนนี้พวกเชลก็กำลังแก้ไขเรื่องแบบนั้นอยู่สินะ)
     
    อืม
     
    ซีโร่เล่าสถานการณ์ที่โลกเดิมให้ไอริสฟังคร่าวๆ เท่าที่ตัวเองรู้ ตั้งแต่ที่ทั้งคู่ออกเดินทางมาด้วยกันก็ปีครึ่งแล้ว แม้เป้าหมายหลักคือตามหาเคอร์เนลจะไม่กระเตื้องแต่เขาก็ตระเวนช่วยคนไปตามรายทางจนนับครั้งไม่ถ้วน เขาเสียหมวกไปในการต่อสู้กับไวล์ดังนั้นส่วนศีรษะของเขาจึงเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาแทบทุกประการ ช่วยได้มากที่ไม่จำเป็นต้องปิดหน้าตาเวลาเข้าเมือง
     
    (แต่ว่าคนที่มีอำนาจแบบนั้น ถึงจะห้ามครั้งนี้ได้ก็ยังจะมีครั้งต่อๆ ไปอยู่ดี...)
     
    เราทำที่ทำได้
     
    (เรื่องนั้นก็จริง...)
     
    ฉันไม่ถนัดคิดเรื่องยากๆ  เรื่องพวกนั้นเป็นหน้าที่ของเอ็กซ์กับเชล ฉันแค่กำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
     
    ชื่อหนึ่งไอริสรู้เพียงจากคำบอกเล่าเธอจึงไม่ออกความเห็น แต่อีกชื่อหนึ่งเธอเคยพบด้วยตัวเอง
     
    (เชื่อใจเอ็กซ์มากเลยสินะ แต่ว่า...ไม่คิดว่าเอ็กซ์จะคิดผิดบ้างเหรอ? ถ้าซักวันหนึ่งเอ็กซ์เปลี่ยนไปล่ะ เธอจะทำยังไง?)
     
    ซีโร่ไม่ได้เล่าเรื่องของก็อปปี้เอ็กซ์ให้ฟัง ไม่ได้เล่าเรื่องของเอลปิส ดาร์คเอลฟ์ หรือว่าไวล์ พวกนั้นเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ไม่อยู่ในคร่าวๆ
     
    คำถามของไอริสไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้คำตอบอยู่แล้วโดยไม่ต้องคิดให้มากความ
     
    ถึงเวลาก็รู้เอง
     
    ตามที่เขาบอก เขาไม่ถนัดคิดเรื่องยากๆ  ไอริสดูยังไม่พอใจกับคำตอบแต่ก็เหมือนกับพอใจแล้วและยิ้มออกมา
     
    (ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ...)
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ซีโร่เดินอยู่บนถนนธรรมดาๆ ในบ่ายวันหนึ่ง ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมา ไม่ได้มีแผนการจะทำอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอะไร ไม่มีแม้แต่คนริมทางให้ช่วย เป็นวันที่เรื่อยเปื่อยธรรมดาๆ วันหนึ่ง
     
    อุโมงค์สีเขียวปรากฏขึ้นต่อหน้าซีโร่ในระยะไม่ถึงห้าเมตร
     
    ซีโร่กระโดดถอยออกมา ร่างกายเตรียมพร้อมต่อสู้โดยอัตโนมัติ
     
    สองปีที่เดินทางในโลกนี้ช่วยให้เขาแยกแยะระหว่าง<ปกติ>กับ<ไม่ปกติ>ออก อุโมงค์นี้อยู่ในข้อหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
     
    (ซีโร่...! นี่มัน...อุโมงค์แบบเดียวกับที่พวกฉันผ่านมา!)
     
    ถ้าอย่างนั้นอะไรหรือใครจากโลกของเขาก็กำลังจะปรากฏขึ้น ซีโร่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างไม่ประมาท
     
    แล้วสิ่งหนึ่งก็ผ่านอุโมงค์ออกมา รูปร่างเป็นมนุษย์ เส้นผมสีทอง ชุดคลุมยาวสีชมพู หมวกสีชมพูที่รวบเส้นผมเข้าเป็นทรงหางม้า
     
    ซีโร่เบิกตากว้าง เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ได้เห็นโลกใบนี้กับตาตัวเองครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนที่เขาตกตะลึงจนไม่สามารถควบคุมใบหน้าและคำพูดของตัวเองได้
     
    ดวงตาสีน้ำเงินของเขากับหญิงสาวประสานกัน
     
    เชล...
     
    เสียงของเขาเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ทำให้หญิงสาวเบิกตาขึ้นราวกับหลุดจากภวังค์ ร่างกายของหญิงสาวเริ่มสั่นระริก ปากของเธอขยับอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวจะสะเทือนถึงภาพเบื้องหน้าอันเปราะบาง
     
    ไม่ใช่ฝัน...ใช่มั้ย...?
     
    คราวนี้เป็นฝ่ายซีโร่ที่ได้เสียงหญิงสาวเรียกสติคืนมา เขาเปิดผ้าคลุมให้เห็นร่างกายของตัวเองที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
     
    ...ซีโร่?
     
    อา...ฉันเอง
     
    ร่างของหญิงสาวกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะถลาเข้ามา แขนทั้งสองกางออกและสวมกอดซีโร่อย่างแนบแน่น
     
    ซีโร่...! ฮึก...ซีโร่...!”
     
    เสียงร้องและเสียงสะอื้นดังอยู่กับอกของซีโร่ เขาที่ไม่ชินกับการแสดงความรู้สึกได้เพียงยกมือขวาขึ้นโอบหญิงสาวไว้หลวมๆ
     
    ดวงแสงสีขาวมองทั้งสองอยู่ห่างๆ  รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนดูที่มองละครเวทีจากที่นั่ง ไม่สามารถเข้าไปสัมผัสโลกของทั้งคู่ได้
     
    บทสนทนาสั้นๆ นั้นทำให้ไอริสรู้ว่าหญิงสาวคนนี้คือ [เชล] ที่ซีโร่บอกเธอ
     
    และก็ได้รู้อีกหลายๆ อย่างที่ซีโร่ไม่ได้บอกเธอ เช่นใบหน้าอ่อนโยนจากนักรบผู้ไม่เคยแสดงความรู้สึก ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อเธอเมื่อนานมาแล้ว
     
    ไอริสเพียงแต่เฝ้ามองอย่างเงียบๆ
     
    [...]
     
    [.....]
     
    (ไม่ต้องเป็นห่วง ไว้ใจฉันได้)
     
    ซีโร่พยักหน้า เชลยิ้มให้ดวงแสง
     
    ทิฟฟาเนีย ฝากไอริสด้วยนะ
     
    ค่ะ พวกคุณเองก็...ขอให้ปลอดภัยนะคะ
     
    ฮาล์ฟเอลฟ์สาวโค้งสั้นๆ
     
    ไอริสมองสองคนที่จะเดินทางไปโดยไม่มีเธอ
     
    ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เธอรู้จักกับเชลเธอได้เห็นและได้ฟังสิ่งที่เธอไม่อยากจะรับรู้มากมาย แต่วันที่เชลพูดกับเธอเรื่องซีโร่ เรื่องที่เชลมองความรู้สึกของเธอออก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเชลก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเธอ
     
    เพื่อนที่มีความรู้สึกอยากจะเขกหัวซีโร่แรงๆ สักครั้งเช่นเดียวกัน
     
    ดังนั้นแม้ในใจจะรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้ง แต่ก็ไม่มากเท่าที่คิดไว้ สาเหตุที่ทั้งคู่ให้เธออยู่ที่หมู่บ้านเวสท์วู้ดเป็นเพราะปลอดภัยจากคนที่ตามล่าเธออยู่มากกว่า
     
    ถ้าคนที่ตามตัวไอริสต้องการไซเบอร์เอลฟ์ก็น่าจะสนใจเรปลิลอยด์เช่นเดียวกัน ไอริสสามารถปกปิดสัญญาณของตัวเองจากการตรวจจับได้ ขอเพียงแต่ไม่ออกไปให้เห็นต่อหน้า ดังนั้นเธอกับซีโร่แยกจากกันจะเป็นการดีกว่า ทั้งทิฟฟาเนียก็ยังมีคาถาลบความทรงจำหากต้องพบกับศัตรูที่เป็นสิ่งมีชีวิต(รู้ตอนที่พบกันครั้งแรกและเชลโดนคาถาเข้า ขณะที่เธอกับซีโร่ไม่ได้รับผลอะไร)
     
    ที่สำคัญอีกอย่างก็คือหากซีโร่พบไซเบอร์เอลฟ์ในระหว่างการเดินทางก็ตั้งใจจะส่งให้มาอยู่กับเธอที่นี่ ขอบเขตการปกปิดสัญญาณของไอริสครอบคลุมหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้ไม่ยาก
     
    งั้นพวกเราไปล่ะนะ
     
    เชลโค้งสั้นๆ
     
    (ซีโร่...)
     
    ฉันจะหาพี่ชายเธอให้เจอ
     
    (อืม...ระวังตัวด้วยนะ)
     
    ไอริสมั่นใจในความแข็งแกร่งของซีโร่ แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจ เป็นแค่การคิดไปเอง หรือว่า...
     
    [...]
     
    [.....]
     
    ...แปลกจริงๆ ด้วย
     
    เอ๋?
     
    เชลมองอย่างงงงวยขณะที่ซีโร่หยิบยางรัดผมสีชมพูระบายสีขาวออกมาจากใต้ผ้าคลุมและส่งให้เธอ
     
    เห็นวางขายที่ร้านข้างถนน จะใส่หมวกนั่นไปตลอดก็สะดุดตา ต่อไปใช้นั่นแทนก็แล้วกัน
     
    ริมฝีปากเชลคลี่ออกเป็นรอยยิ้มพร้อมกับสีชมพูจางๆ ที่แก้ม
     
    เชลรวบเส้นผมสีทองของเธอขึ้นเป็นทรงหางม้าดังเช่นปกติ แม้จะสวมชุดพนักงานร้าน [ภูตน้อยเจ้าเสน่ห์] อยู่แต่ใบหน้าก็กลับมาเป็นเชลคนเดิม
     
    ดวงตาสีน้ำเงินใต้ผ้าคลุมมองข้ามไหล่มาไม่แสดงความตื่นเต้นใดๆ กับภาพที่เห็นจนชิน
     
    สมเป็นเชลขึ้นเยอะ
     
    ไม่นึกเลยนะว่าซีโร่จะห่วงรูปลักษณ์ภายนอกของคนอื่นเค้าเป็นด้วย
     
    ซีโร่หันหน้ากลับไป ไม่มีใครทราบได้ว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร
     
    แต่จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน
     
    ซีโร่?
     
    ซีโร่ไม่ตอบ สายตาจ้องมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
     
    ออกมา
     
    เสียงฝีเท้า ร่างสวมผ้าคลุมปิดตั้งแต่ศีรษะก้าวออกมา
     
    ต้องการอะไร?
     
    ร่างปริศนาไม่ตอบแต่ยกแขนขวาขึ้น
     
    เชลสะดุ้งเฮือก แขนขวาข้างนั้นประกอบขึ้นจากโลหะอย่างลวกๆ  สภาพโทรมไม่ต่างจากซากของเรปลิลอยด์ที่ถูกกำจัด
     
    เกิดแสงสว่างขึ้นบนหน้าผากใต้ฮู้ด ก่อนที่บอลแสงสีเหลืองจะยิงออกจากฝ่ามือ ซีโร่ดันเชลออกไปแล้วดึงแซดเซเบอร์ออกมารับ
     
    บอลแสงสีเหลืองแผ่เป็นรูปใยแมงมุม กระแสไฟฟ้าช็อตหยุดการเคลื่อนไหวของซีโร่
     
    ร่างปริศนาวิ่งเข้ามาหาเชลและยึดแขนเธอไว้
     
    ซีโร่สะบัดใยแมงมุมหลุดและโผเข้าใส่ร่างใต้ผ้าคลุม ทว่าแท่งผลึกสีส้มใสผุดขึ้นมาจากพื้นเป็นกำแพงกั้นไว้
     
    ซีโร่กระโดดข้ามกำแพง และพบว่าร่างปริศนาใช้เชลเป็นโล่
     
    ส่งเซเบอร์มา
     
    เสียงที่เย็นชาเป็นของผู้หญิง
     
    อย่านะซี—!”
     
    มือขวาที่ยับเยินปิดปากของเชลก่อนเธอจะพูดจบ รอยขรุขระทิ่มผิวหนังทำให้เธอหยีตาด้วยความเจ็บ
     
    “3... ร่างใต้ผ้าคลุมเริ่มนับ “2...1...
     
    ซีโร่หรี่ตาอย่างเป็นศัตรู ก่อนจะปิดการทำงานของดาบและโยนให้อีกฝ่าย มือซ้ายที่รับด้ามเซเบอร์ยังมีสภาพดีผิดกับข้างขวา ร่างปริศนาเก็บเซเบอร์เข้าใต้ผ้าคลุมและโยนอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามือให้ซีโร่
     
    ถือไว้
     
    ยังไม่ทันที่ซีโร่จะได้ดูว่ามันคืออะไร แสงสว่างก็เข้าห้อมล้อมพวกเขาทั้งสามคน ความรู้สึกนี้ซีโร่ไม่ได้สัมผัสมานาน
     
    เทเลพอร์ตเหรอ...
     
    ร่างปริศนาไม่ตอบ
     
    [...]
     
    [.....]
     
    เชลนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วกดปุ่มบนแป้นพิมพ์อย่างชำนาญแต่ไร้ความกระตือรือร้น บนหน้าจอเป็นตัวหนังสือ ตัวเลข กราฟ และโครงสร้างของร่างคล้ายมนุษย์
     
    เธอชำเลืองมองตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างโต๊ะ
     
    ไม่น่าเชื่อว่าตุ๊กตาที่เหมือนกันของประดับนี้จะสามารถรับ DNA ของเรปลิลอยด์เข้าไปและเลียนแบบร่างจริงได้ แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม
     
    เพราะความไม่สมบูรณ์นั้น เชลจึงถูกจับมานั่งเก้าอี้ตัวนึ้เพื่อสานต่อในสิ่งที่เรปลิลอยด์—นานะทำไว้ ความรู้และเทคโนโลยีที่ผสมผสานเวทมนตร์กับวิทยาศาสตร์นี้น่าทึ่งมาก หากเป็นสถานการณ์อื่นเชลคงจะเอ่ยชมได้เต็มปาก
     
    เธอไม่มีความรู้สึกอยากจะทำแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ร่างที่ปิดการทำงานของซีโร่อยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย
     
    เวลาที่ให้เธอทำงานก็ทำให้ซีโร่หลับ เวลาที่ใช้งานซีโร่ก็ทำให้เธอหลับ พวกเธอสองคนเป็นตัวประกันบังคับให้อีกฝ่ายทำงาน
     
    เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เธอถ่วงเวลา มีเงื่อนไขว่าอย่างน้อยในหนึ่งเดือนต้องเห็นผลที่สำคัญหนึ่งอย่าง
     
    อย่างมากที่สุดที่เธอทำได้ก็คือแอบใช้แผงควบคุมส่งไซเบอร์เอลฟ์ที่ศัตรูขังไว้ออกไปภายนอก
     
    เมื่อสองเดือนก่อนนานะบอกว่าส่งซีโร่ออกไปสู้กับเอ็กซ์ ปกติแล้วเชลไม่เคยรู้เลยว่าซีโร่ต้องทำอะไรบ้าง ที่ตั้งใจบอกเธอก็อาจเพื่อให้เธอรู้สึกทรมาน 
     
    แต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าความหวังยังมี ปะติดปะต่อเรื่องราวจนรู้ว่าเอ็กซ์กำลังตามหาไซเบอร์เอลฟ์อยู่
     
    เชลค้นข้อมูลในแผงควบคุมจนรู้ว่านานะติดตามการเคลื่อนไหวของเอ็กซ์ด้วยเสาสัญญาณจากที่สูง เธอจึงเลือกส่งไซเบอร์เอลฟ์ออกไป เพื่อนำทางเอ็กซ์มาที่นี่
     
    ทว่าเพียงครั้งที่สามก็ถูกจับได้ และถูกย้ายจากห้องควบคุมมาที่ห้องเดี่ยว มีเพียงคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน
     
    แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ แผนที่เธอวางไว้ยังเหลืออีกหนึ่งชั้น และตอนนี้ก็คงใกล้ถึงเวลาแล้ว
     
    เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สถานที่เดียวที่มีสัญญาณคือห้องที่เก็บร่างของซีโร่ไว้ สัญญาณนั้นตั้งให้ดังขึ้นหากร่างของซีโร่ทำงานขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนานะ
     
    ที่เธอรู้เพราะเธอเป็นคนเข้าไปตั้งกับดักปลุกซีโร่ไว้เอง
     
    เสียงฝีเท้าของแพนเธออนซึ่งจำลองขึ้นจากตุ๊กตาอัลวี่วิ่งผ่านหน้าห้องเธอไป ตามด้วยเสียงดาบพลังงานสองครั้ง
     
    เชลกดปุ่ม ตกลง เพื่อให้โปรแกรมที่เธอตั้งไว้ทำงาน
     
    ที่เธอพิมพ์มาตลอดวันนี้ไม่ใช่เพื่อทำงานให้นานะ แต่เป็นโปรแกรมที่ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ไม่สามารถเปิดได้ และหากนำไปต่อกับแผงควบคุม ไวรัสที่เธอวางไว้ก็จะเข้าไปทำลายข้อมูลในนั้นทั้งหมด
     
    พอดีกับที่หน้าจอดับลง ประตูห้องก็ถูกดาบพลังงานสีเขียวผ่าเป็นสองซีก
     
    ร่างสีแดงยืนมองเธออยู่ที่หน้าห้อง เชลส่งยิ้มให้
     
    ไปกันเถอะ
     
    อืม
     
    [...]
     
    อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงจุดหมายของพวกเธอแล้ว
     
    การหนีไปทางเท้ามีโอกาสถูกตามทันสูง ดังนั้นเป้าหมายของพวกเธอจึงไม่ใช่ทางออก แต่เป็นเครื่องเทเลพอร์ต
     
    แซดเซเบอร์ผ่าประตูที่ล็อกไว้เป็นสองเสี่ยง แม้จะมีความสามารถอย่างนานะ แต่ด้วยทรัพยากรที่จำกัดก็ไม่สามารถทำให้การรักษาความปลอดภัยดีเท่าที่โลกเดิมได้ ไม่มีประตูบานใดทนแซดเซเบอร์ได้ มีเพียงเชลเท่านั้นที่เป็นหลักประกันไม่ให้ซีโร่ทำอะไรวู่วาม
     
    แต่ตอนนี้พวกเธออยู่ด้วยกัน นานะก็ไม่อยู่ เป็นโอกาสทองแล้ว
     
    เชลตรงไปที่แผงควบคุมและตั้งพิกัดการเคลื่อนย้ายทันที
     
    ตอนนี้เอ็กซ์อยู่ที่...หมู่บ้านเวสต์วู้ด?!”
     
    เชลประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะไปอยู่ที่นั่น
     
    เชล รีบหน่อย
     
    ใกล้เสร็จแล้ว!”
     
    เธอกดปุ่มสุดท้ายและผละจากแผงควบคุมไปที่แท่นเคลื่อนย้าย ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าประตู เรปลิลอยด์ผมสีชมพูเดินเข้ามาในห้อง
     
    นานะกลับมาแล้ว
     
    รีบไปเร็วเข้า!”
     
    ซีโร่สั่งเสียงแข็งพร้อมทั้งเข้ามายืนกำบังให้เธอ
     
    แต่ว่า—!”
     
    เร็วเข้า!”
     
    เชลกลืนคำพูดลงไปแล้วก้าวขึ้นไปบนเครื่อง
     
    นานะแม้จะไม่ได้มีร่างกายของเรปลิลอยด์รูปแบบต่อสู้ แต่ก็มีพลังของไซเบอร์เอลฟ์และเมจิคไอเทมจำนวนมาก เป็นพลังที่พวกเธอไม่รู้ว่ามากแค่ไหน จะเหนือยิ่งกว่าซีโร่หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้
     
    แต่เธออยู่ไปก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง มีแต่ต้องเชื่อมั่นในตัวซีโร่เท่านั้น
     
    เครื่องเทเลพอร์ตเปล่งแสงสีเขียวและนับถอยหลังก่อนการเคลื่อนย้าย เชลมองผ่านแสงจ้าไปที่แผ่นหลังของนักรบสีแดงที่ให้เธอพึ่งพามานักต่อนัก
     
    ฉันเชื่อเธอนะ ซีโร่
     
    [...]
     
    --
     
    PBW:“ทีแรกคนเขียนก็ชั่งใจอยู่ว่าจะเขียนดีหรือไม่ เพราะกลัวจะเขียนซีโร่ได้ไม่ตรงที่ตั้งใจไว้ แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าซีโร่ออกมาตามที่ต้องการ
     

    DX:“ในที่สุดก็มีจนได้สินะ เรื่องของซีโร่ ตามที่เคยพูดไว้ ถึงจะแค่ตึ๋งเดียวก็เถอะ

     
    PBW:“ถูกต้อง และเป็นส่วนสำคัญด้วยว่าเชลไปโผล่ท้ายตอนที่แล้วได้ยังไง มีใครคนหนึ่งถามว่านานะกลายเป็นสายลุยได้ยังไง ให้นึกย้อนกลับไปเอลปิส(บอสใหญ่ Zero 2)ที่แต่เดิมเป็นเรปลิลอยด์ธรรมดา(สายโอเปอเรเตอร์/สั่งการเหมือนกัน) แล้วได้รับพลังจากดาร์คเอลฟ์จนมีดาบ(ร่างแรก)ขึ้นมาสู้กับซีโร่ได้ แต่นานะยังไม่ได้ทำและยังเป็นสายโอเปอเรเตอร์/นาวิเกเตอร์อยู่ แค่มีอาวุธเพียบ ยังไม่ได้เป็นสายลุยอย่างที่เข้าใจ
    ...ถ้าบอกว่าเป็น สายเวท จะเข้าใจกันมั้ย?
     
    DX:“ว่าแต่นานะเก่งขนาดเอาซีโร่อยู่เลยเรอะ?
     
    PBW:“เก่งไม่รู้ แต่ได้เปรียบมหาศาล การสู้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรรอบตัว ถ้าเปรียบเป็นหมากรุก ก็เหมือนนานะใช้พอว์นจำนวนมากกดดันจนตัวควีน(ซีโร่)ขยับไปไหนไม่ได้
     
    DX:“แกเปรียบให้ตัวเองดูฉลาดไปอย่างนั้นเอง
     
    PBW:“...เออ อาจจะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×