ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #45 : Chapter 36: ลมสงบก่อนพายุเข้า

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 302
      5
      30 ก.ค. 59

     

    (ภาพตัวละคร Arc 6 : ทับทิมแห่งการไถ่บาป / Credit: baka-tsuki.org)

     

    วังฮาวิแลนด์ตั้งอยู่ซีกใต้ของลอนดิเนียม เมืองหลวงของอัลเบี้ยน

     

    [ไวท์ฮอล] ภายในเป็นหอประชุมที่เป็นสีขาวโพลนสมชื่อ รองรับด้วยเสาสิบหกต้น เป็นจุดสำคัญคู่ควรกับ ประเทศสีขาว

     

    ใจกลางหอประชุมเป็น [โต๊ะกลม] ขนาดใหญ่ทำจากหิน รัฐมนตรีและแม่ทัพนายกองระดับสูงแห่งสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์อัลเบี้ยนมารวมตัวกันเพื่อรอการประชุมสภา

     

    ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่ง เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน เป็นที่ที่เหล่ารัฐมนตรีห้อมล้อมราชาแห่งอัลเบี้ยนเพื่อร่วมกันปกครองประเทศ บัดนี้ผู้นำได้เปลี่ยนไปแล้ว

     

    เหล่าผู้ที่ร่วมการปฏิวัติชิงอำนาจจากราชวงศ์ต่างแต่งตั้งตัวเองเข้ารับตำแหน่งสูงๆ ในประเทศตามที่คาดไว้

     

    ทหารหน่วยอารักขาสองนายเปิดประตู และชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา ชายผู้เมื่อยี่สิบปีก่อนมีตำแหน่งอำนาจต่ำกว่าทุกคนในที่นี้ แม้แต่ทหารหน่วยอารักขาสองนายนั้นเอง ชายผู้ซึ่งเมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นเพียงหัวหน้าบาทหลวงท้องถิ่น

     

    ประธานรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์อัลเบี้ยน โอลิเวอร์—!”

     

    ครอมเวลล์ยกมือขึ้นขัดเสียงประกาศของนายทหาร

     

    พิธีรีตองแบบนี้น่าจะเลิกเสียดีกว่า เพราะในที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือผู้ใด!”

     

    เช่นเดียวกับทุกครั้ง เลขานุการส่วนตัวของครอมเวลล์ยังคงเร้นกายใต้ผ้าคลุมสีดำ ใกล้กับเลขาฯปริศนาคือไวส์เคานต์วาลด์ที่บาดแผลหายดีและ [ดินสลาย] ฟูเก้ต์

     

    ครอมเวลล์ตรงไปที่เก้าอี้ประธาน เลขาฯตามหลังเขาเป็นเงา วาลด์และฟูเก้ต์นั่งลงที่เก้าอี้ว่างสองตัว

     

    http://www.baka-tsuki.org/project/images/2/2d/ZnT06-027.jpg

    (Credit: baka-tsuki.org)

     

    หลังจากประธานสภาและจักรพรรดิองค์แรกประจำที่ ชายคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น นายพลฮอว์คินส์ ผมและหนวดสีเทา รับใช้กองทัพมานานปี เขาจ้องเขม็งไปที่จักรพรรดิผู้เคยเป็นหัวหน้าบาทหลวง ครอมเวลล์ส่งสัญญาณอนุญาต

     

    ใต้เท้าขอรับ ข้ามีเรื่องอยากจะถาม

     

    เชิญท่านว่ามา

     

    หลังพ่ายศึกที่ตาร์บและเสียทัพที่นั่น การจัดกองทัพอากาศขึ้นใหม่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเราไม่มีกองเรือแล้ว เราก็ไม่สามารถลำเลียงกำลังพลหรือป้องกันประเทศเราได้

     

    ครอมเวลล์พยักหน้าเห็นด้วย

     

    ปฏิบัติการลับชิงตัวราชินีเพื่อซื้อเวลาก็ล้มเหลว

     

    ถูกต้อง

     

    ผลลัพธ์นั้นถึงหูใต้เท้าหรือยังขอรับ?

     

    แน่นอน ข้าจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง

     

    กองทัพข้าศึก...อา ทัพพันธมิตรทริสเทน-เยอร์มาเนียกำลังเร่งเตรียมทัพเรืออย่างเร็วที่สุด สองประเทศมีเรือรบทั้งหมดหกสิบลำที่พร้อมขึ้นบิน ถึงแม้เราจะเริ่มเตรียมทัพตอนนี้ หลังการซ่อมบำรุงแล้วทัพเรือของเราก็ยังไม่สามารถเทียบกับศัตรูได้ ซ้ำเรือของข้าศึกยังมีสภาพสมบูรณ์

     

    หนึ่งในแม่ทัพโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

     

    แค่กองทัพเรือกระดาษ! ต่อหน้าทัพเราก็ไร้ค่า!”

     

    นั่นเป็นเพียงเรื่องในอดีต เวลานี้จะยกย่องเชิดชูกองทัพของเราไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ระหว่างการปฏิวัติเราประหารแม่ทัพระดับสูงไปมาก กำลังรบของเราจึงตกลง คนมีฝีมือที่เหลือก็เสียไปในการพ่ายแพ้ที่ตาร์บ

     

    ครอมเวลล์นิ่งเงียบ

     

    ณ เวลานี้ข้าศึกอยู่ในระหว่างจัดทัพเรือ ทั้งยังกำลังระดมพลกองทัพเจ้าเมืองอีก

     

    ฮอว์คินส์ตบโต๊ะเสียงดัง

     

    ฝ่ายนั้นตั้งใจจะโจมตีประเทศนี้! คำถามของข้าก็คือ ข้าอยากจะขอฟังแผนรับมือจากใต้เท้า หากเกิดศึกขั้นเด็ดขาดระหว่างทัพเรือ ฝ่ายเราจะไม่มีโอกาสชนะเลย หากข้าศึกนำทัพขึ้นบกได้ ก็จบสิ้น... ไพร่พลของเรายังอ่อนล้าจากสงครามปฏิวัติ ฉะนั้นโปรดให้คำตอบกับข้าด้วย...

     

    ความเห็นแบบนั้นเป็นของคนที่คิดแต่จะยอมแพ้!”

     

    แม่ทัพหนุ่มตำหนิฮอว์คินส์ด้วยแววตาดุดัน ครอมเวลล์ยกมือขึ้นให้หยุด

     

    การจะโจมตีประเทศนี้ได้ ข้าศึกจำเป็นจะต้องนำมาทั้งกองทัพ

     

    แต่ข้าศึกก็ไม่มีเหตุผลต้องทิ้งกำลังไว้เบื้องหลัง

     

    ฝ่ายนั้นตั้งใจจะปล่อยประเทศให้ไร้การป้องกันงั้นหรือ?

     

    เพราะนอกจากเรา ฝ่ายนั้นก็ไม่มีศัตรูอื่น กาเลียประกาศเป็นกลางแล้ว เป็นสิ่งที่ต่างคาดเดาไว้และจำเป็นสำหรับการบุกโจมตี

     

    ครอมเวลล์เหลียวมองข้ามไหล่ สบตากับเลขาฯด้านหลังซึ่งพยักหน้าตอบ

     

    (...)

     

    ครอมเวลล์กับเลขาฯ วาลด์ และฟูเก้ต์อยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ

     

    ตามแผนที่ทางกาเลียเสนอ หลังจากกองทัพพันธมิตรขนกำลังมาที่อัลเบี้ยน ทัพของกาเลียก็จะเข้าโจมตีทริสเทนและเยอร์มาเนีย

     

    หลังจากได้ฟังแผน วาลด์ก็พูดขึ้น

     

    ราชวงศ์กาเลียจะร่วมมือกับเราทำลายระบอบกษัตริย์อย่างนั้นหรือขอรับ? หากฝ่ายนั้นมีจุดประสงค์แอบแฝงเราจะทำอย่างไรขอรับ?

     

    เรื่องการบ้านการเมืองให้เป็นหน้าที่ของข้า ไวส์เคานต์อย่าได้คิดมากเรื่องนี้ ท่านเพียงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว

     

    วาลด์หลับตาแล้วก้มศีรษะ

     

    ตามประสงค์ของใต้เท้า

     

    ครอมเวลล์หันไปพูดกับเลขาฯส่วนตัว

     

    เตรียมการพร้อมแล้วใช่มั้ย?

     

    เลขาฯปริศนาพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับประตู

     

    เข้ามาได้

     

    วาลด์ไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่สายตาจับจ้องที่เลขาฯปริศนา เสียงที่เอ่ยเป็นเสียงของหญิงสาว เป็นเสียงที่เรียบเฉย ไม่ใช่แบบตามหน้าที่ แต่เหมือนกับไม่มีความรู้สึกใดอยู่เลย ราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แม้เขาจะเคยได้ยินมาก่อนครั้งหรือสองครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ชิน ดวงตาที่เปล่งแสงจากใต้ฮู้ดเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรในข้อนี้

     

    ประตูห้องเปิดออก ร่างสวมผ้าคลุมก้าวเข้ามา ดวงตาเปล่งแสงในความมืดไม่ต่างจากเลขาฯของครอมเวลล์ วาลด์ลงความเห็นทันทีว่าทั้งสองเป็นอะไรบางอย่างเช่นเดียวกัน

     

    ท่าทางน่าขนลุกนะว่ามั้ย ฟูเก้ต์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูวาลด์

     

    ครอมเวลล์ยิ้มให้กับผู้มาใหม่

     

    ข้าได้ยินเรื่องของท่านมามากจากเลขาฯของข้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน ยินดีที่ได้พบท่าน ข้า โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ จักรพรรดิองค์แรกของสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์อัลเบี้ยน ครอมเวลล์ยื่นมือไป

     

    ร่างในผ้าคลุมไม่แสดงปฏิกิริยาใดตอบ รวมถึงไม่รับมือจากครอมเวลล์ด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งครอมเวลล์ชักมือกลับโดยไม่เสียรอยยิ้ม แต่วาลด์สัมผัสได้ว่าจักรพรรดิรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย

     

    ครอมเวลล์หันมาทางวาลด์

     

    ไวส์เคานต์ ข้าอยากให้ท่านลำเลียงชายผู้นี้กับหน่วยลับหน่วยเล็กๆ ไปส่งยังสถานที่แห่งหนึ่ง

     

    ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวาลด์แม้จะเพียงเล็กน้อย ดวงตาเขาราวกับบอกว่า จะให้ข้าเป็นคนขับรถ?

     

    อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิไวส์เคานต์ หน้าที่ของท่านเองก็จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างไร้ที่ติ เพื่อจะลำเลียงหน่วยลับนี้ จำเป็นต้องมีผู้ใช้เวทลมเพื่อที่จะใช้เรือเป็นพาหนะ นั่นก็คือท่าน

     

    วาลด์เงียบฟัง

     

    กองทัพของกาเลียจะเข้ายึดทริสเทนและเยอร์มาเนียโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร ฉะนั้นอย่างน้อยท่านก็ควรจะต้องเข้าดันจาก ที่นั่น

     

    ที่นั่น คือ?

     

    ข้อแรกต้องเป็นที่ที่การป้องกันต่ำและไม่ต้องใช้กำลังควบคุมมาก นั่นคือต้องไม่อยู่ใกล้เมืองหลวงของทริสเทน ข้อต่อไปคือต้องมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ ฉะนั้นก็ต้องไม่อยู่ไกลเกินไปเช่นกัน

     

    ความมั่นคงของประเทศ?

     

    อย่างเช่น หากชนชั้นสูงวัยเยาว์จำนวนมากเป็นตัวประกันก็ต้องส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศ ถูกต้องรึเปล่า?

     

    มุมปากวาลด์เผยอขึ้น ครอมเวลล์ขยับร่างกายด้วยท่าทางที่เกินความจำเป็นแล้วประกาศที่หมาย

     

    สถานศึกษาเวทมนตร์ ไวส์เคานต์ ท่านในฐานะผู้บัญชาการจะพาหน่วยลับอาศัยเวลากลางคืนเข้าจู่โจมที่นั่น

     

    (...)

     

    ขณะเดียวกันที่สถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทน คีร์เก้และทาบาสะเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนสนามหญ้า สถานที่ซึ่งว่างเว้นจากกลุ่มนักเรียนชายส่งเสียงโหวกเหวกดังเช่นยามปกติ

     

    แหม ให้ความรู้สึกว่าเป็นสงครามจริงๆ เลยนะ คีร์เก้เอ่ยเสียงเนือยๆ

     

    นักเรียนชายเกือบทั้งหมดอาสาเข้าร่วมกองทัพที่มีปัญหาเรื่องขาดเจ้าหน้าที่ เธอตกใจเพราะแม้แต่กีชตาขาวเองก็ไปด้วย ขณะนี้ทั้งหมดอยู่ระหว่างการฝึกตามลานพิธีของอาณาจักร ขาดพวกเขาไปทำให้โรงเรียนเงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด

     

    มอนท์โมรันซี่ถึงจะบ่นโน่นบ่นนี่ แต่พอกีชไม่อยู่ก็ซึมลงเห็นๆ

     

    ทาบาสะฟังเพื่อนสาวแค่ผ่านๆ  เธอจดจ่ออยู่กับเรื่องของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่เวลานี้อยู่ที่ไหนสักแห่งที่เธอไม่รู้ ทั้งที่เธออุตส่าห์ได้พบ ที่สุดแล้วก็จากกันทั้งที่ยังไม่มีข้อสรุป ที่เธอกลัวก็คืออาจไม่ได้พบกับเขาอีก จะไม่ได้ยืนยันว่าเขาใช่คนเดียวกับเมื่อสามปีก่อนหรือไม่ จะต้องเป็นเรื่องค้างคาใจแบบนี้ไปตลอดชีวิต

     

    คีร์เก้ชำเลืองมองเพื่อนตัวเล็กของเธอ เธอสังเกตเห็นว่าเพื่อนที่เป็นคนเงียบอยู่แล้วเงียบกว่าปกติ ทั้งบางครั้งยังเหม่อ เธอรู้ว่าสาเหตุคืออะไร หากพูดจากใจจริงแล้ว เธอแอบรู้สึกอิจฉาเพื่อนของเธออยู่นิดหน่อย เพราะเธอเองยังไม่มีโอกาสได้พบคนแบบนั้นของเธอบ้าง อย่างมากก็แค่ความประทับใจเป็นระยะๆ ไป

     

    ทั้งคู่เดินต่อไปจนกระทั่งมาถึงห้องทดลองของโคลแบร์ซึ่งตั้งอยู่ข้างหอคอยแห่งไฟ ใกล้กันเป็นโคลแบร์ที่กำลังปรับปรุงเครื่องบินรบซีโร่ขั้นสุดท้ายสำหรับสงคราม แม้อาจารย์ชายส่วนใหญ่จะไปเข้าร่วมกับกองทัพ โคลแบร์ก็อยู่ในอารมณ์ ไม่รีบร้อน เหมือนยามปกติ และขลุกตัวอยู่ในห้องทดลอง

     

    ท่าทางจะงานยุ่งนะคะ คีร์เก้เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

     

    หืม? โคลแบร์เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม มิสเซิร์บสต์ ถ้าว่างล่ะก็มาเรียนวิชาควบคุมไฟกับฉันบ้างก็ดีนะ

     

    ค่ะ คีร์เก้ตอบด้วยท่าทางอึดอัด

     

    อาจารย์ไม่อาสาเข้าร่วมกองทัพสินะคะ ทั้งที่ผู้ชายไปเกือบหมดโรงเรียน เป็นส่วนที่ไม่ได้พูดแต่เข้าใจกันดี

     

    หืม? อา...เพราะฉันเกลียดสงครามน่ะ

     

    โคลแบร์ก้มหน้าลง คีร์เก้พ่นลมเป็นเชิงดูถูก ไม่สมชายเอาซะเลย เธอนึกในใจ ที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นแค่ผู้ชายที่หนีจากสงคราม เธอทำใจยอมรับอาจารย์คนนี้ที่ทั้งที่เป็นหนึ่งใน ผู้ใช้ไฟ ที่น่าภาคภูมิใจแต่บอกว่าเกลียดสงครามอย่างเฉยชาไม่ได้

     

    ในฐานะผู้ใช้ไฟด้วยกัน ฉันรู้สึกอับอายจริงๆ เลยค่ะ

     

    โคลแบร์เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

     

    มิสเซิร์บสต์ คุณรู้มั้ย ไฟน่ะ—“

     

    “—ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อทำลาย จะพูดอย่างนั้นสินะคะ? ฉันฟังจนเบื่อแล้วล่ะค่ะ

     

    ใช่แล้ว นั่นเป็นเพียงแค่วิธีที่ไฟถูกใช้เท่านั้น เพื่อการทำลายเพียงอย่างเดียว...

     

    คำพล่ามของคนตาขาวน่ะฉันไม่อยากฟังหรอกค่ะ

     

    คีร์เก้หันหลัง พยักเพยิดให้ทาบาสะตามมา ก่อนจะเดินจากไป โคลแบร์มองตามหลังนักเรียนสองคนแล้วก็ถอนใจ

     

    (...)

     

    โคลแบร์กลับเข้าไปในห้องทดลองและนั่งลงกับเก้าอี้

     

    หลังจากอยู่ในห้วงลึกของความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ใช้กุญแจที่ห้อยอยู่ที่คอเปิดลิ้นชักที่มีข้าวของวางทับระเกะระกะ

     

    กล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งวางอยู่ โคลแบร์หยิบออกมาแล้วเปิดมันขึ้น

     

    ข้างในเป็นแหวนทับทิมสีแดงเปล่งประกาย หากเพ่งมองให้ดีจะเห็นเปลวไฟวูบวาบอยู่ภายใน

     

    มองลึกลงไป ความทรงจำเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ผุดขึ้นมา เป็นความทรงจำที่ไม่มีอะไรนอกจากเปลวไฟ ในชั่วเวลานั้น ทุกสิ่งที่ลืมไปก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

     

    กวาดตาไปในกระท่อมหลังเล็กๆ โทรมๆ ที่เขาเรียกว่าห้องทดลอง เขาชอบที่นี่มากกว่าคฤหาสน์ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ บนผนังเป็นเครื่องมือและหลอดแก้วนานาชนิดที่เขาสะสมมาด้วยน้ำพักน้ำแรง มีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินซึ่งเขากำจัดไปด้วยตัวเอง

     

    ทอดสายตาไป โคลแบร์ก็ทรุดลงกับพื้นราวราวกับเจ็บปวด

     

    ไฟ...ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อทำลาย...

     

    (...)

     

    รถม้าสองคันแล่นอยู่บนถนนสายที่นำไปสู่ปราสาทวาลลิแยร์

     

    คันหน้าสุดเป็นบุตรีคนที่สามของตระกูลลา วาลลิแยร์กับหญิงสาวผมยาวสีทองสวมแว่นตาทรงสามเหลี่ยม หญิงสาวคนนี้คือบุตรีคนที่หนึ่งของตระกูลลา วาลลิแยร์ หรือก็คือพี่สาวคนโตของหลุยส์

     

    คันหลังเป็นของเด็กหนุ่มผมสีดำกับเมดสาวที่วันนี้สวมชุดลำลอง ซึ่งคนหลังก็เข้ามานั่งติดชิดคนแรก และยังพยายามดันหน้าอกที่อุดมสมวัยให้สัมผัสแนบแน่นกับแขนของเขา

     

    ต่อหน้าเสน่ห์ลูกผู้หญิง ไซโตะทำได้แค่นั่งตัวแข็งแล้วพูดเสียงตะกุกตะกัก

     

    เซียสต้า ทำแบบนั้น นหน้าอกมันโดนฉันนะ ลแล้วก็...

     

    ค่ะ จงใจค่ะ!”

     

    เซียสต้าตอบด้วยรอยยิ้มสดใสไร้ซึ่งความเขินอาย

     

    เมื่อเช้านี้จู่ๆ พี่สาวคนโตของหลุยส์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่โรงเรียนและบังคับลากหลุยส์กลับบ้าน หลุยส์ก็ลากไซโตะตามมาด้วยเป็นเรื่องปกติ ส่วนเซียสต้านั้นติดมือพี่สาวของหลุยส์มาในฐานะนางกำนัล แม้อาจไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำนอกจากมานั่งประดับรถ แต่สำหรับชนชั้นสูงก็เป็นเครื่องประดับที่สำคัญมาก

     

    คุณไซโตะเนี่ย เย็นชาจังนะคะ

     

    เอ๋? ฉันน่ะเหรอ?

     

    ก็ฉันนั่งชิดขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมทำอะไร

     

    ไซโตะพูดจาไม่เป็นภาษา ขณะนั้นเซียสต้าก็โน้มหน้าเข้าไปที่คอของเขาแล้ว ทันใดนั้นเองไซโตะก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบข้างลดฮวบลง...

     

    ...แล้วจู่ๆ หลังคาก็หายไป

     

    มองไปข้างหน้า ไซโตะสบตากับผู้ที่ปล่อยรังสีอำมหิตมาจากหน้าต่างหลังของรถม้าคันใหญ่กว่าที่วิ่งอยู่ข้างหน้า เป็นสายตาเดียวกับที่เปลี่ยนรถม้าคันที่เขานั่งเป็นเปิดประทุน

     

    เซียสต้าตกใจก็ยิ่งเกาะเขาหนึบ สายตาที่จ้องเขม็งก็ยิ่งแผ่ความอาฆาตพยาบาทรุนแรงจนแทบจะจับต้องได้ในอากาศ

     

    ฮะๆ...จบสิ้นแล้วสินะชีวิตฉัน ช่างแสนสั้นนัก หวังว่าอย่างน้อยร่างกายของฉันจะได้กลับคืนผืนดินญี่ปุ่นบ้านเกิดเมืองนอน...

     

    (...)

     

    ชายหญิงหนึ่งคู่นั่งโต๊ะที่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมภูตน้อยเจ้าเสน่ห์

     

    ผู้ชายเป็นเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา นั่งฟังเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

     

    ...งั้นเหรอ หน่วยปืนคาบศิลาไม่ได้ไปด้วย...

     

    หญิงสาวผมบลอนด์คืออาเนียส เดอ มิลาน หัวหน้าหน่วยปืนคาบศิลา

     

    ก็ตามนั้นล่ะ คำขอของนายก็เลยทำให้ไม่ได้

     

    เอ็กซ์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย

     

    ชิงดีชิงเด่นกันในสงคราม...

     

    หน่วยปืนคาบศิลาเป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยที่ไม่ได้ไปกับทัพจู่โจมอัลเบี้ยน คำสั่งของนายพลเดอ พัวทิเยร์ให้อยู่คุ้มกันองค์ราชินีที่เมืองหลวงตามหน้าที่ แต่ก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ใครฟังดูก็รู้ว่าเป็นการกีดกันไม่ให้อาเนียสได้ผลงาน

     

    แม้กำลังพลและพื้นที่การปฏิบัติหน้าที่มีน้อย แต่หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ก็มีอำนาจทัดเทียมหรือสูงกว่าผู้บัญชาการที่ควบคุมทัพนอกเขตอาณาจักร หากหน่วยปืนที่มีคุณสมบัติตามนั้นเข้าร่วมสงคราม มีความเป็นไปได้สูงที่ผลงานและความสำเร็จของนายพลเดอ พัวทิเยร์จะตกไปอยู่กับหน่วยปืน ดังนั้นนายพลที่กำลังเล็งตำแหน่งจอมพลอยู่จึงอ้างเหตุผลให้หน่วยปืนไม่ได้ด้วย วิธีนี้จะทำให้ผลงานทั้งหมดอยู่กับเขา และจะไม่มีใครมีเสียงเหนือเขาในการประชุมกองทัพอีกด้วย

     

    อีกอย่าง อาเนียสใช้เวทมนตร์ยังไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้? เดอ พัวทิเยร์ดูแคลนอาเนียสและหน่วยของเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     

    แล้วเกิดอะไรขึ้นเอ็กซ์จึงต้องมาคุยกับหัวหน้าหน่วยปืนอยู่อย่างนี้?

     

    เอ็กซ์และเลเวียธานตั้งใจจะไปที่อัลเบี้ยน ทางเดียวในราชอาณาจักรทริสเทนแห่งนี้ก็คือเมืองท่าลา โรแชลล์

     

    ทว่าตั้งแต่พันธมิตรทริสเทน-เยอร์มาเนียประกาศสงครามกับอัลเบี้ยน เรือที่จะไปประเทศลอยฟ้าก็หยุดลง ทำให้เขาเหลือทางเดียวคือติดเรือไปกับกองทัพทริสเทน เพื่อการนั้นเขาจึงได้ขอความร่วมมือกับอาเนียสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยปืนคาบศิลา ให้พาพวกเขาไปด้วย

     

    แต่ผลก็ออกมาดังที่เห็น

     

    ฉันเองก็ไม่ได้อยากไปอะไรนักหนาอยู่แล้ว แต่ถ้าฉันเองไม่ได้ไป ก็ให้พวกนายติดไปด้วยไม่ได้

     

    อาเนียสพูดจบก็ลุกขึ้นบอกลาแล้วเดินออกไปโดยทิ้งเงินไว้บนโต๊ะ ไม่ต้องทอน ทำทาน

     

    อาเนียสพ้นประตูร้านออกไป เอ็กซ์ก็ถอนใจทีหนึ่ง

     

    ...เอาเถอะ ก็ยังอยู่ในการคาดการณ์

     

    หน่วยปืนคาบศิลาเป็นทางที่สะดวกที่สุด แต่เมื่อไม่ได้ เขาก็ยังเหลืออยู่อีกทางหนึ่ง คือพวกไซโตะ ดูเหมือนว่ามิสวาลลิแยร์จะกลับจากไปเยี่ยมบ้านแล้ว และก็จะเข้าร่วมกองทัพด้วย

     

    แต่ก่อนหน้านั้นมีที่ต้องไป

     

    เขาต้องบอกเลเวียธานให้ออกเดินทางพรุ่งนี้เลย

     

    (...)

     

    (.....)

     

    นั่นเป็นเรื่องในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา นับแต่ทริสเทนประกาศสงครามกับอัลเบี้ยน

     

    สี่วันหลังออกเดินทางจากทริสทาเนีย เอ็กซ์และเลเวียธานเดินอยู่บนถนนสายเดียวที่มุ่งหน้าไปเมืองที่อยู่ข้างหน้าลิบๆ

     

    เอ็กซ์สังเกตเมืองจากระยะไกลด้วยสายตาที่ดีกว่ามนุษย์ ประกอบกับทุ่งหญ้าที่ขนาบสองข้างถนน ที่นารวมกันอยู่เป็นหย่อม

     

    ใช่ที่นี่จริงๆ เหรอ?

     

    ท่านเอ็กซ์พามาเองนะคะ? เลเวียธานถามอย่างงงๆ

     

    ตั้งเก้าปีแล้วอาจจะลืมไปก็ได้...แค่รู้สึกว่าไม่คุ้นที่เท่านั้น ส่วนสุดท้ายเสียงของเอ็กซ์ไม่มั่นใจ

     

    ตกลงไม่รู้เหรอคะ? เลเวียธานทำเสียงคล้ายจะสื่อว่า เชื่อเค้าเลยให้ตาย

     

    ก็...คงยังงั้น แต่ช่างมันเถอะ ถ้าให้มาเธอร์เอลฟ์นำทางไปก็ถึงอยู่แล้ว เอ็กซ์ลงความเห็นว่าเขาแค่ลืมไปและไม่คิดอะไรมาก

     

    แล้ววันนี้จะพักที่เมืองนี้ก่อนมั้ยคะ? เธอถาม เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว

     

    ก็คงต้องอย่างนั้นล่ะ  ต้องหาอะไรกินหน่อยด้วย... เอ็กซ์พูดเพราะเขาไม่ได้กินมื้อเที่ยง

     

    แล้วจะทำยังไงคะ? จะทำตัวล่องหนบุกรุกบ้านคนอื่นเขาเหมือนเดิมรึเปล่าคะ? ใกล้ๆ นี้มีแม่น้ำ เดี๋ยวฉันไปเติมน้ำแล้วเติมพลังงานให้หอยสังข์นั่นเลยด้วยก็ได้ค่ะ

     

    เอ็กซ์หันขวับมองเลเวียธานที่เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     

    ...ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอพูดเหมือนฉันเป็นตีนแมวก็แล้วกัน เอ็กซ์พูดด้วยน้ำเสียงอึดอัด เลเวียธานทำหน้าเฉยเมยไม่ใส่ใจ

     

    ก็คงจะทำอย่างนั้นล่ะ ง่ายที่สุดแล้ว เอ็กซ์คิดแล้วตอบด้วยเวลาไม่นาน

     

    (...)

     

    กินแต่ขนมปังเปล่าๆ ไม่เบื่อเหรอคะ?

     

    ก็มันถูกนี่นา

     

    ทั้งสองยืนอยู่หน้าร้านขายขนมปัง เอ็กซ์ซื้อขนมปังยาวหนึ่งชิ้น ระหว่างจ่ายเงินที่มีอยู่น้อยนิดไป เขาก็ถามเจ้าของร้าน

     

    ที่ดินแถบนี้เป็นของใครเหรอ?

     

    เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายวัยราวสามสิบมองเขาเหมือนเขาถามอะไรพิลึกกึกกือ

     

    เจ้าหนู...ไม่ใช่คนแถวนี้สินะ ไม่ใช่คนประเทศนี้ ไม่ใช่คนเลยหรือเปล่า?

     

    เอ็กซ์ตกใจ สงสัยว่าคำถามของเขามันผิดอะไรขนาดนั้น

     

    ที่ดินแถบนี้รวมถึงรอบๆ ทั้งหมดเป็นของดยุคลา วาลลิแยร์ นี่ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้?

     

    เอ๋ อา ก็...นิดหน่อย

     

    เอ๊ะ รู้สึกฉันก็ลืมไปเหมือนกัน เจ้าของร้านทำท่าใช้ความคิด

     

    ที่นี่จริงๆ ชื่อ [ฟงเทน]  ดยุคลา วาลลิแยร์เป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่หลายปีก่อนโน้นดยุคท่านยกที่แถบนี้ให้ลูกสาวคนรอง* เมื่อก่อนลูกสาวคนรองป่วยหนัก ดยุคลา วาลลิแยร์ก็เลยยังเป็นคนดูแล แต่สองปีมานี้ลูกสาวคนรองเหมือนจะอาการดีขึ้นก็เลยมาทำหน้าที่ด้วยตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นของลูกสาวของท่าน เคาน์เตสลา ฟงเทน

     

    ซื้อเสร็จทั้งคู่ก็ออกมาที่ถนน

     

    วาลลิแยร์นี่คือ...เด็กผู้หญิงอารมณ์ร้อนคนนั้นสินะคะ บังเอิญจริงๆ เลยนะคะ เลเวียธานพึมพำ

     

    เอ็กซ์ได้ข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจมาก็นำมาคิดตาม

     

    สีผม ใช่ เขาน่าจะคิดได้ สีผมอย่างนั้นหาไม่ได้ทั่วไป งั้นทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน?

     

    ...ไม่น่าเชื่อ บุคลิกต่างกันสุดขั้ว(เท่าที่เขาจำได้)

     

    แต่ว่า ป่วยหนัก แล้ว อาการดีขึ้น นี่...ก็ยิ่งทำให้มั่นใจ

     

    ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เอ็กซ์กัดขนมปัง ทำตามแผนเดิม

     

    (...)

     

    ตกดึก ทั้งคู่ยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ  ไกลออกไปราวสามร้อยเมตรในความมืดเป็นแสงไฟจากคฤหาสน์หลังหนึ่ง

     

    เล็กกว่าที่คิดนะคะ

     

    ก็เป็นแค่บ้านที่ดูแลเฉพาะพื้นที่แถบนี้นี่นะ

     

    มองจากจุดที่เขาอยู่ ขนาดของคฤหาสน์รวมบริเวณรั้วน่าจะประมาณ 4 ไร่

     

    ไปกันเลย เอ็กซ์ให้สัญญาณ แล้วทั้งคู่ก็กระโจนออกจากที่ซ่อนพร้อมกัน มุ่งหน้าเข้าไปด้านข้าง อาศัยจังหวะที่ยามเดินไปที่อื่น

     

    สามร้อยเมตรถูกย่นลงในเวลาเพียงสิบวินาที ก่อนถึงรั้ว เอ็กซ์ชะลอความเร็วลง แล้วถีบตัวกระโดดข้ามรั้วหินสูงสามเมตร ย่อตัวรับแรงกระแทกลงกับพื้นอย่างเงียบเชียบ เลเวียธานก็เข้ามาพร้อมกัน

     

    ที่นี่ ดูเหมือนจะเป็นสวนนะคะ เลเวียธานสังเกตดูรอบๆ

     

    จุดที่ทั้งคู่อยู่รายล้อมด้วยดอกไม้หลากชนิดปลูกเป็นหย่อมๆ เป็นบริเวณไม่กว้างมาก

     

    โชคดีนะคะที่เราไม่เหยียบเข้า เลเวียธานเปรยขึ้น

     

    อา...นั่นสินะ เอ็กซ์ตอบผ่านเหมือนไม่ได้ฟังที่เธอพูด แต่จิตใจจดจ่อกับอย่างอื่น

     

    เลเวียธานสงสัยว่าการมาเก็บไซเบอร์เอลฟ์ครั้งนี้มีความหมายมากกว่าแค่มาเก็บเฉยๆ  หรืออย่างน้อยก็มีอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญทางจิตใจกับท่านเอ็กซ์ จะต้องเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ไม่เก็บไซเบอร์เอลฟ์มาตั้งแต่ตอนนั้น แต่เธอขอให้เล่าแล้วเขาก็ไม่ยอม

     

    ภายในรั้วเองก็มีเวรยามตรวจตรา เอ็กซ์ใช้คาเมเลี่ยนเชนจ์อำพรางตัวเองกับเลเวียธาน แล้วทั้งคู่ก็เริ่มหาจุดที่จะเข้าไปข้างใน

     

    ไม่เหมือนคฤหาสน์หลังก่อนนะคะ เล็กกว่ากันเยอะเลย แล้วก็มีแค่สองชั้นด้วย

     

    ที่แย่ก็คือมีช่องโหว่น้อยไปด้วย เอ็กซ์กระซิบตอบเลเวียธาน สายตาสอดส่องหาทางเข้าอย่างไรก็ไม่พบ

     

    ถ้าเข้าทางปล่องควันล่ะคะ?

     

    ไม่ได้หรอก เธออาจจะเข้าได้ แต่ฉันตัวใหญ่เกินไป

     

    พูดจบเอ็กซ์ก็ชะงักไป ก่อนจะหันไปพูดกับเลเวียธาน

     

    เลเวียธาน เธอ

     

    ไม่ค่ะ ฉันเกลียดที่ที่มีฝุ่น ขี้เถ้าก็ไม่เอาค่ะ

     

    เมื่อถูกปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เอ็กซ์ก็ต้องมาครุ่นคิดหาทางเข้าใหม่อีกครั้ง

     

    ท่านเอ็กซ์คะ

     

    ว่าไง?

     

    ข้างใต้เรามีอุโมงค์ค่ะ

     

    อุโมงค์?

     

    ค่ะ เชื่อมใต้คฤหาสน์กับนอกรั้วออกไปหน่อย

     

    เอ็กซ์นึกขึ้นได้ บ้านของชนชั้นสูงส่วนใหญ่จะมีทางลับไว้สำหรับหลบหนียามฉุกเฉิน ใช้ออกได้ก็ต้องใช้เข้าได้เช่นกัน

     

    ทั้งคู่ข้ามรั้วกลับออกไปข้างนอก เลเวียธานนำทางไปที่ป่าใกล้ๆ  ห่างจากคฤหาสน์ประมาณสองร้อยเมตร

     

    ตรงนี้ล่ะค่ะ เลเวียธานหันมาพูดกับเขาหลังจากทั้งคู่เข้าป่ามาได้ลึกพอสมควร

     

    เอ็กซ์ใช้เท้าถีบพื้นจุดที่เลเวียธานชี้ สัมผัสของมัน...ไม่ต่างจากพื้นปกติ แต่เมื่อเลเวียธานบอกว่าใช่ก็ต้องใช่ เขาจึงเริ่มใช้มือขุดดินดู

     

    ขุดไปได้ประมาณสองนิ้วเขาก็สัมผัสกับของแข็ง เขารีบขุดดินที่อยู่รอบๆ ออกไป ของแข็งที่เขาสัมผัสถูกก็คือแผ่นหินทรงสี่เหลี่ยม หน้ากว้างของมันหากเป็นอุโมงค์ก็พอให้คนตัวใหญ่ลอดผ่านได้สบาย และที่สำคัญคือมีส่วนที่ทำเป็นที่จับไว้ด้วยสองจุด

     

    ...ถ้านี่ไม่ใช่ทางลับก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแล้ว

     

    มือจับที่จับสองข้าง เอ็กซ์ยกแผ่นหินขึ้นจากพื้น มันไม่หนักมาก น่าจะประมาณสิบกิโลกรัม

     

    ใต้แผ่นหินเป็นช่องว่างลงไปสู่อุโมงค์ตามที่คาดไว้ เศษดินตามขอบหล่นลงไปที่พื้นด้านล่างลึกลงไปประมาณสามเมตร มีเหล็กจับสำหรับใช้ปีนเรียงกันลงไปถึงพื้น

     

    ท่าทางไม่มีใครใช้มานานมาก แต่ยังสภาพดีอยู่

     

    เสี่ยงมากนะคะเนี่ย ถ้ามีต้นไม้ขึ้นปิดปากหลุมก็ใช้ไม่ได้เลยนะ

     

    อุโมงค์ยังสภาพดีอยู่น่าจะเป็นเพราะเวทคงสภาพและเวทเสริมความทนทาน แต่ดูจากความหนาของดินที่ปกคลุมปากอุโมงค์ ที่นี่น่าจะอายุมากกว่าคฤหาสน์หลังนั้นซะอีก

     

    หมายความว่าคฤหาสน์หลังนั้นอาจสร้างขึ้นใหม่แทนที่หลังเดิม และอุโมงค์นี่ก็สร้างไว้ตั้งแต่หลังก่อนนั้นหรือก่อนนั้นไปอีกสินะคะ

     

    ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

     

    เอ็กซ์ให้เลเวียธานลงไปก่อน ตัวเองปีนตามลงไปพร้อมทั้งดึงแผ่นหินมาปิดไว้ดังเดิม(ด้านใต้ของมันก็มีที่จับ คงมีไว้สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีแรงใช้ลากปิดหากยกไม่ไหว)

     

    ภายในอุโมงค์มืดสนิท ไม่มีทางให้แสงผ่านเข้ามา ทันทีที่แผ่นหินปิดสนิท โคมไฟจำนวนมากที่เรียงรายอยู่ภายในอุโมงค์ก็ติดขึ้นพร้อมกัน

     

    โคมไฟติดเอง เวทมนตร์เหรอคะ? เลเวียธานถามพลางเดินเข้าไปที่โคมไฟดวงใกล้ๆ

     

    อา วางกลไกไว้ให้จุดไฟเมื่อมีการใช้งานทางลับ โคมไฟข้างถนนที่ทริสทาเนียเองก็มีเหมือนกัน จำได้ใช่มั้ย? เอ็กซ์ตอบพลางปีนลงบันไดมาจนถึงพื้น

     

    ทั้งคู่ออกเดินไปก็คุยโน่นคุยนี่เกี่ยวกับอุโมงค์ที่ค้นพบ

     

    แล้วออกซิเจนพวกนี้มาจากไหนกัน? เลเวียธานสังเกตว่าข้างในมีอากาศหายใจ(เธอไม่ต้อง แต่คนข้างเธอจำเป็น)

     

    เห็นโพรงหลายๆ โพรงที่อยู่ตามผนังมั้ย? เอ็กซ์ชี้ให้ดูโพรงเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าศีรษะเรียงห่างกันตามผนัง

     

    โพรงนั่นเชื่อมต่อกับข้างบนผ่านทางซากต้นไม้ที่ตายแล้วหรืออะไรอย่างอื่น ให้อากาศเข้ามาข้างในได้โดยไม่ถูกสังเกต แน่นอนว่าสิ่งที่ใช้พรางช่องลมเองก็น่าจะมีเวทคงสภาพและเวทเสริมความทนทานไว้เหมือนกัน*


    (*หมายเหตุ: อย่าเชื่อคนเขียนให้มากนัก...)

     

    เลเวียธานส่งเสียง หืม~’ คล้ายกับทึ่งในความรู้ของเขา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ประหลาดใจ

     

    ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงว่ามีอุโมงค์อยู่ข้างใต้? เอ็กซ์เป็นฝ่ายถามบ้าง

     

    ทางน้ำใต้ดินค่ะ เลเวียธานตอบเสียงเรียบ รู้ใช่มั้ยคะว่าฉันรู้ตำแหน่งของแหล่งน้ำในบริเวณใกล้เคียงและสัมผัสผ่านทางนั้นได้ ทางน้ำใต้ดินก็เหมือนกันค่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นเฉพาะที่ประเทศนี้ที่มีทางน้ำใต้ดินในจำนวนและปริมาณมาก ฉันก็แค่สังเกตว่ามีส่วนหนึ่งใต้ดินที่ทางน้ำใต้ดินดูเหมือนจะขาดช่วงไป และส่วนนั้นก็ยังยาวเป็นเส้นตรง

     

    อย่างนี้นี่เอง เอ็กซ์พูดเสียงสูง เลเวียธานมีอะไรมาให้เขาทึ่งได้อีกแล้ว

     

    สิ้นสุดบทสนทนา ทั้งคู่ก็มาถึงสุดทางเดินพอดี

     

    ตอนนี้เราอยู่ใต้คฤหาสน์หลังนั้นพอดีเลยค่ะ

     

    ทีนี้ก็ต้องหาทางออก...

     

    ...เจอง่ายกว่าที่คิดไว้ ไม่สิ ก็ต้องหาง่ายเป็นธรรมดา จะทำไว้หลอกผู้บุกรุกทั้งหลอกเจ้าของเองก็ยุ่งยากไปก็ไม่คุ้ม

     

    มีหินก้อนเดียวที่นูนออกมาอย่างชัดเจน ตำแหน่งของมันอยู่ใต้โคมไฟดวงเดียวโดดๆ  ราวกับจะเชิญชวนให้มากด เอ็กซ์ก็สนองตาม

     

    ก้อนหินผลุบเข้าไปตามแรงกด จากนั้นผนังข้างๆ ก็เอียงเปิดเข้าไปข้างใน

     

    เลเวียธาน เข้าไปดูลาดเลาที

     

    ตามคำสั่ง พรายสาวแปลงเป็นน้ำ ไหลเข้าไปในประตู

     

    เลเวียธานสังเกตรอบตัว เธออยู่ในห้องใต้ดินที่ไร้แสงสว่างและมีกลิ่นอับ ถังไม้วางอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่สำคัญก็คือไม่มีคนอยู่

     

    ทางสะดวกค่ะ เลเวียธานตอบพร้อมทั้งกลับคืนร่างมนุษย์

     

    เอ็กซ์เดินตามเข้าไป ก่อนจะดันผนังปิดลงอย่างเก่า

     

    ที่นี่น่าจะเป็นห้องหมักเหล้า เขาลงความเห็นหลังจากสัมผัสถูกถังไม้ที่อยู่ใกล้ๆ  ภายในห้องมืดสนิท เขามองอะไรไม่เห็น

     

    ประตูอยู่ทางนี้ค่ะ เลเวียธานดึงแขนเขาให้ตามไป

     

    เลเวียธานค่อยๆ แง้มประตูแล้วยื่นหน้าออกไปมอง ทางสะดวกเหมือนเดิม

     

    เอ็กซ์และเลเวียธานพรางตัวด้วยคาเมเลี่ยนเชนจ์แล้วเดินออกจากห้อง ทั้งคู่อยู่ในชั้นใต้ดินที่มีหลายห้อง ทุกห้องมืดสนิท เลเวียธานนำทางเขาไปที่บันไดขึ้นชั้นบน

     

    ขึ้นบันไดมาเป็นห้องครัว มีโต๊ะไม้กลางห้อง เตาและอุปกรณ์ทำครัวหลากชนิดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง ในห้องปลอดคนเช่นเคย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับเวลานี้

     

    อยู่เหนือพื้นดินก็เริ่มมีหน้าต่าง ทำให้พอมองเห็นทาง เลเวียธานปล่อยมือ เปลี่ยนให้เอ็กซ์เป็นคนนำทาง

     

    สัญญาณมาจากชั้นสอง

     

    ทั้งคู่ไปถึงห้องโถงที่อยู่หลังประตูหน้า บันไดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางชิดผนังเหมือนคฤหาสน์ทั่วไป ห้องนี้มีแสงสลัวจากโคมไฟสองดวงที่ผนังซ้ายขวา ห้องนี้ต้องระวังไม่ส่งเสียงเป็นพิเศษ เพราะยามยืนอยู่แค่อีกฝั่งของประตูเท่านั้น

     

    ขึ้นมาถึงชั้นสอง ทางเดินมืดสนิทเว้นแต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สัญญาณที่มาเธอร์เอลฟ์จับได้อยู่ที่สุดทาง

     

    ฉันจะเข้าไปก่อนค่ะ

     

    อา ช่วยที—“

     

    เพราะผู้หญิงบางคนก็ชอบนอนไม่ใส่เสื้อผ้า

     

    เอ็กซ์ขอบคุณยังไม่ทันเสร็จก็รีบปิดปากเงียบ

     

    เลเวียธานแปลงเป็นน้ำไหลเข้าไปทางร่องใต้ประตู

     

    ภายในห้องก็เหมือนห้องนอนคนมีเงินทั่วไป คือมีเตียง ลิ้นชักเก็บเสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง...

     

    ...สุนัขแปด แมวหก เสือหมอบอยู่ปลายเตียง หมีหลับอยู่ข้างประตู งูนอนพันตัวอยู่บนท่อนไม้ที่ห้อยเชือกลงมาจากเพดาน กรงนกแขวนระโยงระยาง ไม่นับพืชหลากชนิดเรียงรายอยู่ตามโต๊ะตามพื้นห้อง...

     

    เลเวียธานตะลึงไปครู่ใหญ่ จนเมื่อได้สติคืนมาก็คืนร่างเดิมแล้วเดินไปที่ประตูซึ่งก็ล็อกเอาไว้ตามที่คาด เธอเปิดประตูให้เจ้านายเข้ามา

     

    ท่านเอ็กซ์คะ...เข้ามาแล้วทำใจเย็นๆ ไว้นะคะ

     

    เอ็กซ์ทีแรกไม่เข้าใจ จนเมื่อเห็นภาพเดียวกับพรายสาวเขาก็ตะลึงไม่ต่างกัน

     

    รีบจัดการให้เสร็จแล้วออกไปดีกว่า เอ็กซ์รำพึงพลางโก่งตัวก้าวขาหลบสัตว์ที่นอนอยู่เกะกะพื้นเพื่อจะไปที่เตียงซึ่งมีคนนอนอยู่ เลเวียธานตามหลังเขามาติดๆ

     

    ...ลืมสนิทเลย เลเวียธานหรี่ตาเมื่อเห็นหญิงสาวบนเตียง เธอมัวแต่ตะลึงกับป่าจำลองขนาดย่อมจนลืมทำสิ่งที่ตั้งใจไว้: ตรวจสอบสภาพของเจ้าของห้อง

     

    เส้นผมสีชมพูยาวและหยักนิดๆ ผิวขาวผ่อง ใบหน้าอ่อนหวาน ส่วนโค้งนูนที่มองเห็นผ่านผ้าห่ม ชุดนอนที่สวมก็เป็นผ้าบางคลุมถึงไหล่ ส่วนใต้ผ้าห่มนั้นเธอมองไม่เห็น

     

    อย่างน้อยก็ไม่ได้เปลือยทั้งตัวอย่างที่เธอกลัว

     

    ...แล้วท่านเอ็กซ์จะจ้องอะไรนักหนาคะ?

     

    เอ็กซ์ซึ่งพิจารณาหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนานไปแค่ไม่กี่วินาทีหันกลับไปมองพรายสาวอย่างงงๆ

     

    ...ถ้าถามคำถามพวกนี้ได้ ฉันคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องให้เธอกลมกลืนกับมนุษย์แล้วล่ะ

     

    อย่าเปลี่ยนเรื่องค่ะ

     

    ก็แค่...อยากดูว่าคุ้นหน้ารึเปล่า

     

    เลเวียธานเลิกคิ้ว หมายความว่าไซเบอร์เอลฟ์ที่พูดถึงกับหญิงสาวคนนี้มีความเกี่ยวข้องกัน? จะว่าไปถ้าต้องเข้ามาถึงนี่แสดงว่าต้องอยู่กับตัว

     

    แล้วเป็นยังไงบ้างคะ?

     

    หน้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ทรงผมสำคัญที่ทรงผมยังเหมือนเดิมนี่ล่ะ ร่างกายก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น

     

    ...ฉันถามถึงไซเบอร์เอลฟ์ค่ะ...แล้วอะไรคะ? ร่างกายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นคืออะไร? เลเวียธานหรี่ตา

     

    ก็...อายุมากขึ้นก็ต้องตัวโตขึ้นสิ ตั้งเก้าปีแล้วนี่ เอ็กซ์ตอบ เบือนหน้าหลบสายตาทิ่มแทงจากพรายสาว

     

    เลเวียธานอ้าปากจะตอบโต้ แต่หุบลงแล้วก็ถอนใจ เธอไม่ได้คิดจริงจังหรอกว่าท่านเอ็กซ์จะเป็นคนอย่างนั้น แต่...มันก็มีเหตุการณ์ให้น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย(ที่สำคัญๆ เลยก็คือโรงเตี๊ยมที่เลือกไปพักตอนอยู่ทริสทาเนีย)

     

    ฉันทนมีเจ้านายที่สมองคิดเรื่องอย่างว่าบ่อยๆ ไม่ได้หรอกนะคะ มันสะอิดสะเอียน เลเวียธานพูดปนเสียงถอนใจ

     

    ฉัน...ไม่คิดเรื่องอย่างนั้นหรอกน่า...ไม่บ่อย

     

    หลบตา พูดมีหยุดมีต่อท้าย แล้วจะไม่ให้เธอสงสัยเลยได้อย่างไร

     

    แล้วไซเบอร์เอลฟ์อยู่ที่ไหนคะ? เลเวียธานตัดสินใจว่าได้เวลาเข้าประเด็นเสียที

     

    เอ็กซ์เอื้อมมือไปเหนือศีรษะของหญิงสาว ที่ถูกคือเหนือริบบิ้นที่ใช้รวบเส้นผมทางด้านขวาของใบหน้า ผลึกสีแดงปรากฏขึ้นที่หน้าผาก

     

    บ๊อก!

     

    เอ็กซ์ชะงักไป หน้าผากกลับคืนสภาพเดิม เขาหันกลับไปมองด้านหลัง

     

    ลูกหมา?

     

    ลูกหมาหนึ่งตัวส่งเสียงเห่า เพราะตื่นขึ้นมาแล้วได้กลิ่นคนน่าสงสัย แม้ว่าเขาจะล่องหน แต่ก็กลบกลิ่นไม่ได้

     

    ช่วยที เอ็กซ์บอกให้พรายสาวทำอะไรสักอย่างกับลูกสุนัข เขาเองขยับตัวลำบาก

     

    เลเวียธานยืดแขนยาวออกไปพันรอบปากของลูกสุนัข มันสะบัดหน้าไปมาพลางส่งเสียงคำรามอู้อี้

     

    ต้องรีบแล้ว เอ็กซ์หันกลับไปจะทำงานให้เสร็จ

     

    ก็เจองู

     

    เอ็กซ์ผงะงอตัวกลับไปด้านหลัง แต่ไม่กล้าขยับขา กลัวจะไปเหยียบถูกอะไรเข้า งูที่จ้องตาเขาอยู่นี้ตัวยาวประมาณสองเมตร ไม่รู้ว่ามีพิษหรือเปล่า มันจ้องหน้าเขานิ่ง ลิ้นเป็นแฉกผลุบโผล่ ที่สำคัญคือไม่ยอมเลื้อยหนีไป ทำให้เขาเข้าไปทำงานไม่ได้

     

    ท่านเอ็กซ์คะ แย่แล้วล่ะค่ะ เสียงเลเวียธานพูดขึ้นเนือยๆ

     

    มีอะไร(อีก)?... เอ็กซ์ถามโดยไม่หันหน้ากลับไป เพราะไม่กล้าละสายตาจากงู

     

    โฮ่ง! โฮ่ง!

     

    นั่นล่ะค่ะ

     

    สุนัขตัวโตตื่นขึ้น และเสียงเห่าของมันก็ปลุกตัวอื่นๆ  สุนัขและแมวลืมตาโพลงในความมืด นกในกรงตกใจเสียงสุนัขก็ตีปีกส่งเสียงร้อง

     

    และที่แย่ที่สุดก็คือร่างมหึมาที่ปลายเตียงยกตัวขึ้นแล้วมองมาทางเขา

     

    ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ยิ่งกว่าที่เนโออาร์คาเดียอีก!!’ เอ็กซ์ตะโกนอยู่ในใจ

     

    เลเวียธาน เราหนีก่อน

     

    วัตถุปลายแหลมจิ้มที่ท้องของเขา เอ็กซ์มองต่ำลงจึงเห็นว่ามันคือคทา

     

    ร่างที่อยู่บนเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มือขวายังจับคทาเอาไว้ ดวงตาสีชมพูฉายแววประหลาดใจที่ปลายคทาสัมผัสถูกอะไรบางอย่างแต่กลับมองไม่เห็น

     

    ยังไม่ถูกเห็นตัว แต่ถ้าไม่รีบหนีตอนนี้แย่แน่

     

    พูดง่ายกว่าทำ เขาอยู่ห่างจากประตูแค่ห้าเมตร แต่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว กรงมากมายห้อยระโยงระยาง เสือเดินอ้อมมาดักหน้าแล้ว หมีจะตื่นขึ้นมาทำไม เมื่อกี้หลับอยู่เงียบๆ ก็ดีแล้ว

     

    ...แล้วทำไมงูต้องมาพันคอเขาด้วย?

     

    เสียงพึมพำคาถาดังแทรกมาท่ามกลางเสียงสัตว์ ดินปลิวออกมาจากกระถางต้นไม้ เข้าล้อมรอบเขากับเลเวียธานราวกับมีชีวิต

     

    แหวะ! ฝุ่นดินทั้งนั้นเลย! น่าขยะแขยงที่สุด!” เอ็กซ์ได้ยินเสียงเลเวียธานร้องลั่น ความแตกแน่นอนแล้ว

     

    เขาเองก็ไม่มีเวลาห่วงคนอื่น เพราะคาเมลิโอเพิ่งจะแจ้งข่าวร้ายกับเขา

     

    (เอ็กซ์...พลังงานจะหมดแล้วนะ)

     

    เดี๋ยวสิ เหลือเวลาอีกเท่าไหร่?!

     

    (สาม)


    สะ

     

    (สอง...หนึ่ง...)

     

    เฮ้ย!

     

    เมื่อถึงศูนย์ ร่างของเอ็กซ์กับเลเวียธานก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อสายตาของหญิงสาวบนเตียง

     

    ฝุ่นดินสงบลง ส่วนใหญ่กลับเข้าไปในกระถางตามเดิม เหลืออยู่บ้างก็ตามเนื้อตัวของเขาและเลเวียธานที่ทำหน้าขยะแขยงสุดขีด

     

    ดวงตาสีเขียวมรกตประสานกับดวงตาสีชมพูบนเตียง เอ็กซ์รู้สึกว่าเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก พลาดท่าถูกจับได้คาหนังคาเขา แถมพลังงานจะพรางตัวก็หมดไปแล้ว เขาไม่ได้คิดข้อแก้ตัวเผื่อกรณีแบบนี้ไว้เลย

     

    เอ่อ... เอ็กซ์เปิดปาก แต่คำพูดไม่ออกมา

     

    ตอนนั้นเองที่จู่ๆ หญิงสาวบนเตียงก็เบิกตากว้างราวกับประหลาดใจอย่างมาก(ที่น่าแปลกคือทำไมเพิ่งมาตกใจ)

     

    ท่านคือ...เอ็กซ์...?

     

    เอ็กซ์ตกใจจนเก็บสีหน้าไม่อยู่ แม้แต่เลเวียธานยังหยุดบ่นแล้วหันขวับมามอง ...เมื่อกี้ผู้หญิงคนนี้พูดชื่อเขาออกมา  ชื่อจริง ของเขา

     

    ...ปเปล่าครับ ผมชื่อซาวิเยร์!” อย่างแรกที่เขานึกออกคือแก้ชื่อ ซึ่งถ้ามาคิดดูแล้วถือเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติมาก

     

    ใบหน้าของหญิงสาวดูไม่มั่นใจอยู่ครู่หนึ่ง

     

    ท่าน...รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร?

     

    เอ็กซ์รู้สึกคุ้นคำถามนั้นอย่างบอกไม่ถูก เขาตอบคำตอบแรกที่นึกได้

     

    เคาน์เตสลา ฟงเทน?

     

    หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ ราวกับไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบนั้น เธอถามใหม่

     

    แล้วชื่อของข้าล่ะ?

     

    เช่นเคย เอ็กซ์ตอบคำตอบแรกที่แวบเข้ามาในหัว

     

    ไม่รู้ตัวว่าเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงของตัวเอง

     

    คาริน...?

     

    หากใบหน้าของหญิงสาวก่อนหน้านี้ยังไม่ถือว่าตกใจพอ ครั้งนี้ต้องผ่านเกณฑ์อย่างไม่ต้องสงสัย เธอยกมือขึ้นป้องปาก ไม่มีเสียงพูดใดๆ อยู่ครู่ใหญ่

     

    รู้สึก...ว่าเราจะทำพลาดไปอย่างใหญ่หลวง เอ็กซ์ยังไม่รู้แน่ แต่สังหรณ์ใจอย่างนั้น

     

    หญิงสาวหายจากอาการช็อกก็พลิกตัวนั่งปล่อยขาลงข้างเตียง ก่อนจะหันหน้าไปทางสัตว์ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หมีที่เกาะไหล่เลเวียธานอยู่กลับลงไปนั่งกับพื้น เสือวนกลับมาที่ปลายเตียง งูคลายตัวจากคอของเอ็กซ์กลับขึ้นไปบนท่อนไม้ของมัน เสียงสุนัขเริ่มสงบลง ตัวเล็กสองสามตัวเข้าไปคลอเคลียที่ขาของหญิงสาว เธออุ้มตัวหนึ่งขึ้นมาบนตัก มือข้างหนึ่งลูบศีรษะและหลังของมันอย่างนุ่มนวล

     

    (DX: ขึก...] PBW: เป็นอะไรฟะ?] DX:หมีเกาะไหล่เลเวียธาน...ขึกๆ...)

     

    เชิญนั่งก่อนสิ หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เป็นมิตร

     

    เอ็กซ์ยืนตัวแข็งอยู่ก็เริ่มขยับตัว หันหน้าไปเห็นเก้าอี้ใกล้กับเตียง เขาลากมันมาใกล้ๆ แล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย เลเวียธานเขม่นหมีที่เมื่อกี้เอาอุ้งเท้ามาถูกตัวเธออยู่ก็หยุดแล้วก็เข้ามายืนข้างหลังเขา

     

    พวกท่านสองคนช่วยแนะนำตัวให้ข้ารู้จักหน่อยจะได้หรือเปล่า?

     

    รอยยิ้มที่เป็นมิตรของหญิงสาวช่วยให้เอ็กซ์ใจเย็นลงบ้าง(อย่างน้อยก็คงไม่ต้องสาดกระสุนใส่กันทันที)

     

    ผมชื่อซาวิเยร์ครับ เอ็กซ์ถือคติเป็นมิตรมาก็ต้องเป็นมิตรตอบ

     

    ฉันชื่อเลเวีย—“ เลเวียธานพูดเสียงเรียบ หยุดเสียงที่พยางค์สอง ยังไม่ชินกับการที่ต้องเก็บชื่อจริง

     

    หญิงสาวส่งเสียง ฮืม ยาว รอยยิ้มยังอยู่ แต่ดวงตาบอกว่าไม่เชื่อคำตอบที่ได้รับเสียทั้งหมด

     

    แปลกจริง มีเพียงราษฎรในที่ดินของข้าเท่านั้นที่เรียกข้าด้วยชื่อ คาริน  แต่ข้ากลับไม่คุ้นหน้าพวกท่านเลย

     

    พวกเราเป็นนักเดินทาง ผ่านมาทางนี้ก็...ได้ยินชื่อของท่านจากคนในเมืองน่ะครับ เอ็กซ์ตัดสินใจตามน้ำไปก่อน

     

    หญิงสาวหัวเราะคิก เอ็กซ์สังหรณ์ใจว่าตัวเองทำพลาดไปอีกแล้ว

     

    ไม่มีใครเรียกข้าว่า คาริน หรอก

     

    หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่เอ็กซ์ตัวแข็งไปแล้ว

     

    ตอนนั้นเองที่ดวงแสงสีชมพูอ่อนปรากฏขึ้นจากริบบิ้นผูกผมข้างขวาของหญิงสาว

     

    (ฮิฮิ เอ็กซ์โดนต้อนจนมุมด้วย)

     

    เสียงนั้นเป็นของซินนามอน ผู้ที่เป็นเป้าหมายของเขาแต่แรก

     

    (แต่ว่า...ใช่เอ็กซ์จริงๆ เหรอ?) ไซเบอร์เอลฟ์สีชมพูอ่อนแสดงความสงสัย เพราะเมื่อเก้าปีก่อนเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาคนนี้ยังไม่มีตัวตน

     

    ตั้งแต่แรกที่เห็นฉันก็มั่นใจแล้วว่าใช่ หญิงสาวตอบโดยไม่ละสายตาจากเขา

     

    เอ็กซ์เบิกตากว้างขึ้นจนสุดที่ตามนุษย์จะทำได้ เขามองดวงแสงสีชมพู สลับกับหญิงสาวที่ตอบคำถามเมื่อครู่ของไซเบอร์เอลฟ์

     

    ซินนามอน เธอ...

     

    (แหะๆ  ขอโทษนะ โดนจับได้ซะแล้ว ตั้งแต่ปีแรกเลย) เสียงดวงแสงสีชมพูหัวเราะ

     

    เลเวียธานยอมรับว่าประหลาดใจที่สุดตั้งแต่ออกจากทะเลสาบแล็กโดเรี่ยน ไซเบอร์เอลฟ์มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ แต่เธอเองที่เคยเป็นไซเบอร์เอลฟ์รู้ว่าสามารถปรากฏตัวได้หากต้องการ ถึงอย่างนั้นความคิดที่มนุษย์ของโลกนี้จะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับไซเบอร์เอลฟ์ที่มาจากอีกมิติหนึ่งก็ไม่เคยผ่านเข้ามาในหัวของเธอเลย

     

    แม้จะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังไม่เข้าใจปฏิกิริยาของท่านเอ็กซ์ อาการตกใจนั้นไม่แปลก แม้จะมากไปสักนิด แต่ความกลัวที่ฉายอยู่ในดวงตานั้นหมายความว่าอย่างไร?

     

    --

     

    (*หมายเหตุ: หนึ่งคนสามารถมีได้หลายตำแหน่ง อาจเป็นดยุคแห่ง A และเป็นมาร์ควิสแห่ง B ได้ในเวลาเดียวกัน(สามตำแหน่งหายาก สี่ไม่รู้มีมั้ย) คนที่มีหลายตำแหน่งสามารถแจกจ่ายให้ลูกแต่ละคนแบ่งๆ กันไปได้)

     

    PBW:“ตอนนี้เขียนออกมาได้เร็วอย่างที่คาดไว้ แม้ช่วงแรกๆ จะเป็นการลอกก็ตาม

     

    DX:“ประมาณ 15 หน้า เท่านี้มาได้ซักพักแล้ว นี่คงเป็นมาตรฐานใหม่ของแกสินะ?

     

    PBW:“ก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น

     

    DX:“จะเร็วอย่างนี้ได้อีกซักกี่ตอนเหอะ

     

    PBW:“อาจจะแค่ตอนนี้ตอนเดียว เพราะอีกเดี๋ยวก็เปิดเทอม 2 อีกแล้ว ก็กลับไปช้าเหมือนเดิม

     

    S:“ฉันได้ออกแค่เนี้ยะ?! แถมเป็นฉากที่น่าอับอายด้วย!”

     

    PBW:“ก็ตามเนื้อเรื่องเดิมอะ ฉันชอบความสัมพันธ์ระหว่างพวกนายสองคนแบบนี้นี่แหละ ดูแล้วเรียกอารมณ์ขันดี

     

    S:“ให้ฉันออกมาเพื่อจะทรมานฉันแค่นี้เนี่ยนะ!?”

     

    PBW:“แล้วก็ดังที่ TotW - II ได้ลงมือไปแล้ว  [อัคคีขาว] เมนวิลไม่อยู่แล้ว ดังนั้นบทของเมนวิลจึงต้องมีใครบางคนมาแทนที่...  

     

    DX:“ว่าแต่ทำไมตอนนี้ถึงออกมาช้านัก หืม?

     

    PBW:“ที่จริงแล้วคนเขียนได้เขียนตอนนี้และตอนที่ 37(ตอนหน้า)เสร็จตั้งแต่วันที่ 6 มกราคมแล้ว แต่นำมาเฉลี่ยเวลาลง โดยตอนที่ 37 จะลงในวันที่ 31 มกราคม

     

    DX:“แล้วจะเฉลี่ยทำไมให้มันยุ่งยาก?

     

    PBW:“เพราะว่าตอนนี้คนเขียนกำลังอยู่ในระหว่างโปรเจคเล็กๆ โปรเจคหนึ่ง ซึ่งโปรเจคนี้จำเป็นสำหรับการเขียนตอนที่ 39  เป็นโปรเจคที่ต้องใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งถึงสองเดือน ซึ่งในระหว่างนี้จะไม่มีเวลาปลีกตัวมาเขียนต่อเลย ดังนั้นจึงต้องเฉลี่ยลงตอนที่ 36(ตอนนี้)และ 37 ให้พอดี โดยโปรเจคนี้ตั้งใจจะให้เสร็จภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์(บังเอิญเป็นวันวาเลนไทน์พอดี ไม่เกี่ยวกับตัวโปรเจคแต่อย่างใด)

     

    DX:“แล้วโปรเจคนี่มันคืออะไร?

     

    PBW:“ถ้าบอกทั้งหมดจะเป็นการสปอยล์ตอนที่ 39  เริ่มว่า คนเขียนมีไลท์โนเวล Zero no Tsukaima Gaiden: Tabasa no Bouken เล่ม 1-3 อยู่กับตัว ซึ่งยังไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาแปลในไทย ดังนั้นเล่มที่อยู่กับคนเขียนก็เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน คนเขียนต้องการเนื้อหาตอนหนึ่งจากในนั้นเพื่อการเขียนตอนที่ 39  โปรเจคที่พูดถึงก็คือการแปลตอนตอนนั้น ซึ่งมีทั้งหมด 65 หน้า คนเขียนแปล(โดยอาศัย Google Translate และ Jisho.org เป็นผู้สนับสนุนหลัก) อัตราเร็ว 2 หน้าต่อวัน สถานะปัจจุบันคือ: 18/65 จึงเผื่อเวลาไว้ให้เสร็จภายใน 14 กุมภาพันธ์อย่างที่บอกไป หลังจากการแปลเสร็จแล้วจึงจะเริ่มการเขียนตอนที่ 38  ดังนั้นคนเขียนจึงเฉลี่ยการอัพเดทเพื่อไม่ให้ขาดห้วงไปทีเดียวเดือนครึ่ง

     

    DX:“หาเรื่องใส่ตัวแล้วเอ็ง

     

    PBW:“ก็อยากหาอะไรใหม่ๆ มาเขียนบ้าง ถ้าเอาที่มีเป็นภาษาไทยหรือแม้แต่บน bakatsuki คนส่วนใหญ่เขาก็รู้หมดแล้ว มันต้องมีไม้เด็ดๆ บ้าง นอกจากนี้แล้วก็จะเริ่มแปลอ่านทุกๆ ตอนไปในเวลาว่างด้วย เพื่อให้ได้<ข้อมูล>มาเขียนให้ได้เรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่คนเขียนจะทำได้

     

    --

     

    ตอบคำถาม

     

    (PBW:“ก่อนอื่นมีเรื่องต้องแจ้ง เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนเขียน แต่อาจไม่สำคัญสำหรับบางคน ก็คือคนเขียนเพิ่งจะรู้ว่าเมืองท่าลา โรแชลล์ไม่ได้อยู่ในกาเลีย แต่อยู่ในทริสเทน เป็นเพราะคนเขียนไปเชื่อแผนที่ Fan-made มากเกินไป แต่พอมาพิจารณาดูดีๆ ก็เห็นชัดว่ามันอยู่ในทริสเทน ดังนั้นคนเขียนจึงได้กลับไปแก้ไขเนื้อหาส่วนปลีกย่อยให้ตรงกับข้อมูลนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปอ่าน เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ยังอยู่ครบ เพียงแต่แจ้งให้ทราบกัน)

     

    คุณ holysister: ดังที่บอกไปในช่วงคุยว่าคนเขียนตอนนี้ปรับมาเป็นมาตรฐาน 15 หน้าเวิร์ดแล้ว ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ถือว่าเยอะหรอก เพราะตัวหนังสือ Tahoma 12 ค่อนข้างใหญ่(คนเขียนสายตาสั้นเล็กน้อย) ในช่วงเขียน [อสูรรับใช้ของยัย 0 สนิท] คนเขียนมีเฉลี่ยที่ 6 หน้า และเปลี่ยนเป็น 9 หน้าในภายหลัง เมื่อเริ่มเขียนเรื่องนี้ก็เฉลี่ย 9 หน้าจนกระทั่งเริ่ม Arc 5 เป็นต้นมา จึงเปลี่ยนเป็นเฉลี่ย 15 หน้า(ถามนิดเดียวตอบซะเยอะเลย คนเขียนชอบพล่ามไปหน่อย ขอโทษด้วย)

     

    คุณ Master Zero X Advent: อย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่าฟิคเรื่องนี้เป็น 3rd POV คือไม่ใช่จากมุมมองใครเป็นพิเศษ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้ได้งงกัน ดังนั้นคนเขียนจึงไม่มีข้อผูกมัดให้ต้องตามเอ็กซ์เป็นตัวเดินเรื่องตลอดเวลา แค่อธิบายให้ชัดเจนเฉยๆ  ไม่ได้จะสื่ออะไร ส่วนเรื่อง Dark X  มันก็คุยอยู่กับคนเขียนทุกตอน(DX = OC ของคนเขียนที่เรื่องที่ควรจะได้ออกโดนยกเลิกกลางคัน เหมือน Asagiri Asagi/N1S) แต่ถ้าหมายถึงเอ็กซ์จะดาร์คขึ้นมา ต้องขอบอกว่ามีแน่ แต่แค่พอสมเหตุสมผล

     

    และก็...อย่างที่เห็นในตอนนี้(ท้ายตอน) ต้องขอบอกไว้ว่าการที่เอ็กซ์ถูกรู้ตัวจริงนี้ เป็น Event จำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับ Route X  คนเขียนได้วางโครงสำคัญๆ ไว้เกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเละเพราะไม่มีการเตรียมการ ให้เป็นห่วงว่าจะเละเพราะความวิกลจริตคนเขียนแทน

     

    ...ทุกวันนี้คนเขียนชินกับโลก ZnT ที่มีเอ็กซ์เสียจนเมื่อไหร่ที่ระลึกได้ว่าเอ็กซ์ใน ZnT ไม่มีตัวตนอยู่จริงทีไรก็รู้สึกหดหู่ทุกที

    อยากทำเป็น Fanime จริงๆ เลย! อย่าเพิ่งทิ้งความหวัง รออีกซัก 30 ปี อาจมีโปรแกรมสร้าง Animation สำเร็จรูปขึ้นมาก็ได้ โปรแกรมสร้างเสียงเพลงสำเร็จรูปก็เกิดขึ้นแล้ว อะไรๆ ก็เป็นไปได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×