คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Chapter 28: ปิดเทอมฤดูร้อน
(ภาพตัวละคร Arc 5 : วันหยุดของทริสทาเนีย / Credit: baka-tsuki.org)
“เอาล่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ปิดเทอมฤดูร้อนแล้ว”
หลุยส์เอ่ยกับอสูรรับใช้ของตัวเอง
ทั้งคู่อยู่ที่ลานออสทรี่ เท้าของหลุยส์อยู่บนหลังไซโตะอย่างเคย...ทำไมถึงเป็นคำว่า ‘อย่างเคย’ ก็ไม่อาจทราบได้
แต่เหตุผลในคราวนี้ก็มีดังต่อไป
“ปิดเทอมฤดูร้อนขอไปเที่ยวบ้านเซียสต้าได้ปะ? ให้เธอได้กลับไปอยู่เป็นส่วนตัวกับครอบครัวไง แป๊บเดียวก็จะตามไปทีหลัง ดีมั้ยล่ะ?”
แรงเหยียบที่เพิ่มขึ้นหมายความว่าคำร้องของเขาไม่ได้รับการอนุมัติ
ประตูหน้าเต็มไปด้วยรถม้าของนักเรียนที่จะเดินทางกลับบ้าน สถานศึกษาแห่งนี้จะทำการปิดภาคฤดูร้อนเป็นเวลาสองเดือนครึ่ง
“ต—แต่ว่ามิสวาลลิแยร์ คุณไซโตะก็ควรจะได้พักเหมือนกันนะคะ”
เมดสาวเซียสต้าบอกบุตรีดยุคอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่จะเรียกเธอว่า ‘เมดสาว’ อาจจะไม่ถูกนัก เนื่องจากเธออยู่ในชุดธรรมดา เชิ้ตสีเขียวอ่อนและกระโปรงสีน้ำตาลเรียบๆ เธอเองก็กำลังจะกลับบ้านในวันนี้เช่นกัน
หลุยส์ตวัดสายตา ควิ้ง แต่เซียสต้าในวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ พลังของเด็กสาวในห้วงรักทำให้เธอจ้องกลับโดยไม่ย่อถอย
เด็กสาวทั้งสองปะทะวาจากันสามสี่กระบวนท่า(?) ฝ่ายเซียสต้ากดดันให้หลุยส์ปล่อยไซโตะพักบ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็ยอมรับว่ามีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่อยากให้ไซโตะไปกับตัวเอง ฝ่ายหลุยส์ก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างสถานะของนายหญิงกับอสูรรับใช้
อารมณ์ของหลุยส์กำลังจะถึงจุดปะทุดังเช่นทุกครั้ง ก็พอดีนกฮูกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ไหล่ของเธอ ปากของมันคาบจดหมาย ตราประทับที่คุ้นเคยทำให้สีหน้าเธอเคร่งขรึมขึ้นมา อ่านผ่านอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ เธอเอ่ยขึ้นห้วนๆ
“ระงับการกลับบ้าน เลื่อนไปไม่มีกำหนด”
...
ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทากับเด็กสาวผมสีฟ้าน้ำทะเลเดินอยู่บนถนนสายหนึ่งที่นำไปสู่เมืองหลวงทริสทาเนีย
จู่ๆ กลุ่มชายฉกรรจ์สิบคนก็ออกจากชายป่าข้างทางเข้ามาล้อมพวกเขาไว้
“ส่งของมีค่ามา!”
เอ็กซ์หยุดเดิน ไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่พูดไม่จา แล้วก็หายวับไปพร้อมกับเลเวียธาน
กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นก็ตะลึง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะตะโกนขึ้นว่า ‘ผู้ใช้เวทมนตร์!’ แล้วก็แตกฮือกันไปหมด
เมื่อไม่เหลือใครในระยะสายตาแล้ว เอ็กซ์กับเลเวียธานก็คลายการพรางตัวลง
เอ็กซ์ถอนใจ
“นี่ครั้งที่สามแล้วนะ รู้สึกเหมือนจะเจอทุกวันเลย แถมคราวนี้ยังเป็นกลางวันแสกๆ พวกขโมยขโจรมันเยอะขึ้นรึไง?”
ตั้งแต่เขาเดินทางจากเมืองท่าลา โรแชลล์มา เขาถูกโจรดักปล้นระหว่างทางสามครั้งรวมครั้งนี้ เพราะมองจากภายนอกพวกเขาก็เป็นผู้ชายตัวเล็กกับผู้หญิงแค่สองคน ในสายตาของพวกโจรถือเป็นเหยื่ออันโอชะ
เขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ผ่านมาโดยไม่ต้องออกแรงทุกครั้ง
“แต่ว่าใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ด้วยสินะคะ”
“ใช่มั้ยล่ะ? ต้องขอบคุณเลเวียธานนั่นล่ะ”
การพรางตัวด้วยคาเมเลี่ยนเชนจ์จำเป็นต้องใช้พลังเวทสังกัดธาตุน้ำในปริมาณหนึ่ง แต่ล่าสุดพลังเวทที่บรรจุอยู่ใน [สังข์ของนจอร์ด] นั้นหมดเกลี้ยงไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นเขาเอาพลังเวทมาจากไหน? ไม่น่าถาม ตัวตนที่ก่อขึ้นมาจากพลังแห่ง<น้ำ>ก็ยืนอยู่ข้างๆ เขานี่แล้วไง อาจจะเรียกได้ว่าเธอเป็น<พรายน้ำ>ประเภทหนึ่ง สมกับฉายาผู้บัญชาการไซเรน
ถ้าเอาสังข์น้ำให้พรายสาวสัมผัส เธอก็สามารถบรรจุพลังเข้าไปได้โดยตรง ที่ให้เธอบรรจุเข้าไปตั้งแต่แรกเป็นปริมาณ 1000 EC สำหรับเลเวียธานพลังงานระดับนี้ถือว่าไม่มากไม่น้อย และใช้ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงครึ่ง
“แต่ว่าตอนนี้รู้สึก<หิว>นิดหน่อยค่ะ”
“เข้าใจล่ะ ไม่ไกลจากนี่มีแม่น้ำ เดี๋ยวไปแวะก่อนก็แล้วกัน”
น้ำที่ประกอบเป็นร่างกายของเธอนั้นมีพลังของวิญญาณแห่งน้ำสถิตอยู่ พลังที่ว่านี้ก็เทียบได้กับ<กำลัง>ของสิ่งมีชีวิต เมื่อเธอเดินไปไหนมาไหน เมื่อเธอออกแรง หรือเพียงแค่อยู่เฉยๆ มันก็ลดลง น้ำส่วนที่เสียพลังนี้ไปก็จะ<ตาย> และเธอจะขับออกไปจากร่างกายทางการระเหย หลังจากนั้นก็ต้องหาน้ำมาทดแทน และต้องเป็นน้ำที่อยู่ใต้การดูแลของวิญญาณแห่งน้ำ เช่นน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆ ถ้าเป็นเครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการด้วยมือมนุษย์ เช่นเบียร์ หรือไวน์ จะใช้ไม่ได้
โดยรวมแล้วก็เหมือนกับการบริโภคอาหารของสิ่งมีชีวิต เพียงแต่<อาหาร>ของพรายสาวต่างออกไปก็เท่านั้น (อนึ่ง ปริมาณน้ำที่เลเวียธานต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 5 ลิตร มากน้อยกว่านี้ขึ้นกับสภาพอากาศและกิจกรรมในวันหนึ่งๆ)
“แต่ว่าเรากลับมาที่นี่ทำไมเหรอคะ? ไม่รออยู่ที่เมืองท่าให้เรือเหาะซ่อมแซมเสร็จ?”
เลเวียธานถามขณะที่เธอนั่งยองๆ จุ่มมือลงไปในแม่น้ำ และดูดซับน้ำสะอาดเข้ามาในร่างกาย
หลังจากกลับไปที่ลา โรแชลล์ ทั้งคู่ก็ต้องพบกับความจริงว่าเรือเหาะเสียหายจนขึ้นบินไม่ได้ หรืออาจต้องบอกว่าพังเละเทะจึงจะถูกต้องกว่า
“คิดว่าคงประมาณเดือนไม่เกินสองเดือน ถ้าได้ข่าวว่าเรือเหาะซ่อมเสร็จก็ค่อยเดินทางกลับไป แต่ที่ฉันกลับมาก็เพราะว่า...”
เอ็กซ์หยิบถุงผ้าออกมาจากใต้เสื้อคลุมแล้วเปิดให้ดู ข้างในมีเหรียญเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนเหรียญ แต่อยู่ที่มันไม่มีเหรียญทองแม้แต่เหรียญเดียว
“เงินเท่านี้คิดว่าจะอยู่ในเมืองท่าได้ถึงสองเดือนเหรอ”
เขาพยายามหางานทำแล้ว แต่เมื่อเป็นเมืองท่าก็ย่อมมีคนมากมายเข้าไปแย่งงานกัน เอ็กซ์จึงตัดสินใจจรลีกลับมาที่ทริสทาเนีย อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสหางานได้บ้าง
“ยิ่งกว่านั้นคือถ้าจะขึ้นเรือเหาะ ก็ต้องหาค่าโดยสารให้ได้ก่อน”
ครั้งล่าสุดที่ไปอัลเบี้ยนมีคนจ่ายให้ แต่คราวนี้ถ้าจะไปเขาต้องออกเอง แถมยังเป็นของสองคนอีกต่างหาก
“ลา โรแชลล์เป็นทางเดียวที่จะไปอัลเบี้ยนได้ เมืองท่าที่สำคัญขนาดนั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็คงจะรู้มาถึงเมืองหลวงแน่นอน ถ้าได้ข่าวว่าเรือเหาะซ่อมเสร็จแล้วก็ค่อยกลับไป”
เลเวียธานใคร่ครวญ ที่ท่านเอ็กซ์ทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อให้เธอได้เป็นอิสระโดยเร็ว ถ้าอย่างนั้นเธอเองก็ควรจะต้องให้ความร่วมมือเต็มที่ ช่วยทุกอย่างที่ช่วยได้ เธอเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นการส่วนตัว ท่านเอ็กซ์พาไปไหนเธอก็จะตามไป
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอสงสัย แล้วท่านเอ็กซ์เองล่ะ?
เธอได้ฟังเหตุการณ์ที่เขาเปลี่ยนสภาพจากเรปลิลอยด์เป็นมนุษย์เพียงชั่วข้ามคืน ยิ่งฟังเธอก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ แต่พอนำมารวมกับเรื่องที่กลับสภาพเรปลิลอยด์เมื่อได้อาบเวทมนตร์ของเด็กสาวมนุษย์คนนั้น มันก็พอมีหลักการอยู่บ้าง
ถึงอย่างนั้น แค่<พายุสุริยะ>กับ<เวทมนตร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา>เป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยเกินไป ควรจะได้รับการตรวจสอบมากกว่านี้
‘แต่ท่านเอ็กซ์ไม่มีทีท่าว่าจะตามสืบหรือค้นคว้าเรื่องเวทมนตร์ของเด็กคนนั้นเลย เพราะต้องการจะจัดการเรื่องเราให้เสร็จก่อนงั้นเหรอ?’
หรือไม่มีความสนใจที่จะกลับคืนร่างเรปลิลอยด์อยู่แล้ว?
ถ้าอย่างนั้นนี่คงเป็นเป้าหมายส่วนตัวอย่างแรกของเธอ ไขปริศนาการเปลี่ยนสภาพของท่านเอ็กซ์ อย่างแรกคือถามเรื่องเวทมนตร์ที่เด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นใช้เมื่อมีโอกาส ซึ่งโอกาสก็อาจอยู่ไม่ไกล เพราะสถานที่ที่พวกเธอกำลังมุ่งหน้าไปก็คือเมืองหลวงทริสทาเนีย
...
.....
จากเมืองท่าเดินทางมาที่ทริสทาเนียด้วยเท้าใช้เวลาราว 4 วัน
เมื่อทั้งคู่มาถึง เป็นเวลาบ่าย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไม่ต่างจากที่พวกเขามาครั้งก่อน
จุดที่พวกเขาอยู่เป็นส่วนล่างของเมือง ไกลจากพระราชวัง การจราจรไม่อุ่นหน้าฝาคั่งเหมืองบริเวณศูนย์กลางของเมือง แต่ระดับความเจริญก็ยังสมกับเป็นเมืองหลวง
“วันนี้พักผ่อนกันก่อน หลังจากนั้นจะทำอะไรต่อไปค่อยว่ากัน”
เอ็กซ์บอกกับเลเวียธานในระหว่างที่ทั้งคู่ตามหาที่พักราคาถูก
...
แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
“เลเวียธาน ราคาต่ำสุดอยู่ที่ไหน?”
“โรงเตี๊ยม [ใบสน] ที่ถนนอูด็อง* คืนละ 15 ซุค่ะ”
“...ยังแพงไปหน่อย ถ้าเป็นที่อื่นคืนละ 10 ซุก็หรูแล้ว สมเป็นเมืองหลวงจริงๆ” เอ็กซ์ดูเงินในกระเป๋าตัวเอง เหลืออยู่ 87 ซุ ถือเป็นจำนวนที่น่าสมเพชแบบสุดๆ
(*อูด็องเป็นชื่อเมืองในประเทศฝรั่งเศส อยู่ข้างๆ เมืองบัวร์ดุนนี(ชื่อถนนสายหลักในทริสทาเนีย) คนเขียนมั่วขึ้นมา ไม่มีในไลท์โนเวลหรอก)
ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มหน่อยๆ ยังพอมีเวลาตามหา เลเวียธานคิดอยู่ในใจว่าเอ็กซ์ประหยัดจนเข้าขั้นงก แต่ก็ไม่ได้ออกปากแต่อย่างใด
จู่ๆ เอ็กซ์ก็หยุดเดินแล้วโพล่งขึ้นมา
“ทางเลือกสุดท้ายแล้ว ลองไป<ที่นั่น>ดูก็แล้วกัน”
“ที่นั่น?”
“เป็นโรงเตี๊ยมที่ฉันเคยไปน่ะ อยู่ตรง...”
ในตอนนั้นเอ็กซ์คิดแต่ว่าถ้าเป็นคนรู้จักกันอาจจะได้ลดราคา การที่เขาลืมคำนึงถึงตัวสถานที่นี้เองจะเป็นสาเหตุให้เขาต้องเสียใจภายหลัง
...
ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งมุมร้าน เป็นโต๊ะตัวเดิมกับที่เอ็กซ์นั่งครั้งที่แล้ว เชิงเทียนสามช่อทำให้ภายในร้านสว่างไสวแม้ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า บรรยากาศภายในร้านก็เป็นอย่างที่เขาจำได้
ระหว่างที่รอพนักงาน เอ็กซ์ก็ประสบกับปัญหาร้ายแรง คือท่าทีของเพื่อนร่วมทางที่มีต่อเขา ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในร้าน ปฏิกิริยาแรกของเลเวียธานเมื่อได้เห็นโรงเตี๊ยม [ภูตน้อยเจ้าเสน่ห์] —หรือที่ถูกคือ เมื่อเห็นพนักงานในร้าน—ก็คือชำเลืองมองเขาด้วยสายตาราวกับมองสัตว์ชั้นต่ำตัวหนึ่ง
และบัดนี้เมื่อมานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เขาก็ยังพบปัญหาไม่รู้ว่าจะเอาตาไปมองตรงไหนที่มัน...ปลอดภัย ทางเดียวที่เหลือก็คือต้องทนจ้องเลเวียธานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาโดยไม่เบือนสายตาไปทางไหน ซึ่งแม้แต่ทางนี้เองก็มีความเป็นนรกของมันอยู่
พรายสาวนั่งเท้าคางกับโต๊ะ ดวงตากึ่งปิดมองทิวทัศน์ภายในร้านด้วยสายตาเรียบเฉย แต่พอเธอชำเลืองมาที่เขา เอ็กซ์ก็รู้สึกถึงความเหยียดหยามจากสายตานั้นจนเหงื่อผุดออกมาไม่ขาดสาย เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากแก้ความเข้าใจผิด ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ตอบไป
เสียงพรายสาวพ่นลม หึ พร้อมกับเบือนสายตาหนีราวกับอีกฝ่ายไม่มีค่าพอจะเสวนาด้วย
เอ็กซ์แทบจะหน้าผากโขกโต๊ะ
ถ้ามีใครที่คิดว่า ‘เขาอายุมากขนาดนี้ทำอะไรก็ไม่รู้สึกอายแล้ว’ ล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ โดยเฉพาะต่อหน้าสายตาเย็นชาจากอดีตผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นสมุทร เขารู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งทั้งเป็น
เขาชำเลืองมองพรายสาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีกฝ่ายก็มองมาพอดี ทั้งคู่จึงสบตากันเข้า
“...หึ”
‘...ฆ่าฉันเถอะ...’ เอ็กซ์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
ช่วงเวลาอันแสนทรมานของเอ็กซ์ถูกขัดจังหวะเมื่อพนักงานเดินมาที่โต๊ะเขา
“จ—จะรับอะไรดีคะน—นายท่าน!”
เสียงพูดกระท่อนกระแท่นฟังดูคุ้นหู เอ็กซ์เงยหน้าขึ้นมองพนักงาน ดวงตาสีเขียวมรกตประสานกับดวงตาสีชมพู เอ็กซ์ยกตัวขึ้นนั่งหลังตรง
“มิสวาลลิแยร์?”
“จ—เจ้า มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!”
ที่จริงแล้วเป็นคำถามที่เขาควรจะถามบุตรีดยุคว่ามาทำอะไรในที่อย่างนี้...และในสภาพอย่างนี้ด้วย แต่เขารักษามารยาทตอบคำถามเสียก่อนว่า ‘มาเป็นลูกค้า’ แล้วค่อยถามกลับ
“ก—ก็มาเป็นพนักงานน่ะสิ!”
เอ็กซ์รู้สึกว่าคำตอบของเด็กสาวเหมือนลอกคำตอบเขาชอบกล
“ทำไมอย่างคุณถึงมาทำงานที่นี่ได้ครับเนี่ย?” (“ทำไมบุตรีดยุคถึงมาทำงานอะไรอย่างนี้ได้ครับเนี่ย?”)
“อย่างฉันมันเป็นยังไงถึงจะทำไม่ได้?!” (“รูปร่างอย่างฉันมันเป็นยังไงถึงจะทำไม่ได้?!”)
กรณีตัวอย่างความล้มเหลวในการสื่อสาร
เลเวียธานแทรกกลางการสนทนา
“จะยังไงก็แล้วแต่ เป็นพนักงานแล้วก็ช่วยรับรายการไปให้สมตำแหน่งด้วย”
รอยยิ้มเย้ยบนใบหน้าพรายสาวมีฤทธิ์สะกิดต่อมน้ำโหของเด็กสาวผมสีชมพูได้ผลชะงัด
“จะ-รับ-อะ-ไร-ดี-คะ!” หลุยส์พยายามควบคุมสติไม่ระเบิดใส่เด็กสาวผมสีฟ้าน้ำทะเลผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เธอแตะต้องไม่ได้ (‘ครั้งนี้เท่านั้นหรอกนะ ฮึ่ม~’)
หลังจากรับรายการด้วยรอยยิ้มที่เห็นชัดว่าใกล้ปะทุเต็มทน เธอก็หันหลังและเดินออกไป การที่ไม่กระทืบเท้าไปตามทางถือว่าเป็นการพัฒนาที่เยี่ยมยอดแล้ว
เอ็กซ์พูดกับเลเวียธานที่กลับมามีสีหน้าเบื่อหน่ายอีกครั้ง
“เลเวียธานก็ แกล้งคนก็เพลาๆ มือลงบ้างนะ”
“...หึ”
เอ็กซ์รู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดอย่างร้ายแรงที่ไม่เลือกพักที่ [ใบสน] ตอนที่ยังมีโอกาส
‘ไทม์แมชชีนอยู่ไหน...เวทมนตร์ก็ได้...’
หลังจากมื้ออาหารอันแสนทรมาน เอ็กซ์ก็ไปขอเปิดห้องกับซ้อใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่เคาน์เตอร์
ท่าทางดี๊ด๊ากับกิริยาตุ้งติ้งของสคาร์รอนตอนที่รู้ว่าเป็นเขาเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาสำหรับเอ็กซ์ ครั้งก่อนที่พบกันเจ้าของร้านไม่ได้...เปล่งประกาย...ถึงขนาดนี้ คงเป็นเพราะตอนนั้นไม่สบาย และตอนนี้ก็กลับคืนสภาพปกติแล้ว
เอ็กซ์อดคิดไม่ได้ว่าน่าจะป่วยอยู่อย่างเดิมดีแล้ว แม้จะรู้ว่ามันเสียมารยาทก็ตาม
และยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เลเวียธานถามซ้อใหญ่ว่ารู้จักกันได้อย่างไร ประโยคนี้:
“เจอกันได้ยังไงน่ะเหรอ~ ก็ซาวิเยร์จังคนนี้น่ะสละร่างกายเข้าดับเปลวเพลิงอันร้อนรุ่มที่แผดเผาอาฮั้นจนสงบลงได้ยังไงล่ะฮ้า~”
ทำให้เอ็กซ์ตัวแข็งเป็นหินไปในทันทีที่ฟังจบ
เลเวียธานหันมามองเขาด้วยใบหน้าผะอืดผะอม
‘ไม่! ไม่ใช่อย่างนั้น! ฟังดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันไม่ใช่ความหมายนั้น!! ม่าย!!’
...
เอ็กซ์นอน(ตาย)คว่ำหน้าอยู่บนเตียง ได้ลดจากคืนละ 20 ซุเหลือ 10 ซุมันก็ดีอยู่หรอก แต่เมื่อเอาไปเทียบกับสิ่งที่เขาต้องประสบมาตลอดทั้งวันนี้แล้ว เขารู้สึกว่าไม่คุ้มเลยสักนิด
อย่างน้อยเลเวียธานก็เลิกเมินเขาหลังจากที่คุยกับสคาร์รอน เห็นได้ชัดว่าเธอยกโทษให้เพราะความสมเพชเวทนาล้วนๆ
ห้องพักนับว่าดีคุ้มราคา สะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยผุพัง เตียงหนึ่งหลังกับหมอนสีขาวหนึ่งใบที่มีความยาวสำหรับใช้หนุนได้สองคน ข้างๆ มีตู้เตี้ยๆ ที่ข้างบนใช้แทนโต๊ะได้วางอยู่พร้อมกับเชิงเทียนสามช่อและเหยือกน้ำ แล้วก็โต๊ะกับเก้าอี้อีกอย่างละตัวที่ข้างหน้าต่าง
พรายสาวนั่งที่เก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกมืดสลัว ท้องฟ้าปลอดโปร่งมองเห็นดวงจันทร์ทั้งสองดวงได้อย่างชัดเจน ถนนหน้าโรงเตี๊ยมมีแสงสว่างจางๆ จากในร้าน ผู้คนสัญจรไปมาราวกับเป็นเวลากลางวัน หากไม่ใช่เมืองใหญ่คงหาภาพเช่นนี้ในยามค่ำคืนได้ยาก
เสียงประตูเปิดทำให้เอ็กซ์ชำเลืองมอง เด็กสาวผมยาวสีดำในเครื่องแบบพนักงานเดินเข้ามาในห้อง เขารีบลุกขึ้นนั่งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“เจสสิก้า? เวลางานไม่ใช่เหรอ?”
“เปลี่ยนกะน่ะ เดี๋ยวฉันก็ต้องไปล้างจาน แค่ขึ้นมาทักทายก่อน” ลูกสาวเจ้าของร้านตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ดวงตามองเด็กสาวผมสีน้ำทะเลที่ข้างหน้าต่างอย่างมีความนัย
“ที่ว่าเป็นพี่น้องกันน่ะจริงเหรอ?”
เอ็กซ์ยิ้มกับคำถาม แล้วตอบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
“จริงสิ”
ทำไมถึงต้องบอกไปว่าเป็นพี่น้องกัน? เหตุผลก็คือ กิจการค้างแรมทุกชนิดไม่อนุญาตให้ชายหญิงที่มิได้เป็นครอบครัวร่วมห้องกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าห้อง เอ็กซ์กับเลเวียธานจึงได้เตี๊ยมกันไว้แบบนั้น (ที่จริงแล้วเป็นเอ็กซ์ฝ่ายเดียว เลเวียธานแค่ไม่ออกปากค้านเท่านั้น)
“หืม...งั้นเหรอ...” เจสสิก้าลังเล แต่เธอจับพิรุธไม่ได้จึงตัดสินใจทิ้งเอาไว้อย่างนั้น
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ! ฉันชื่อเจสสิก้า พี่ชายของเธอเคยช่วยพ่อของฉันไว้ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เลเวียธานตอบการแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่ขาดความกระตือรือร้นผิดกับอีกฝ่าย
“ชื่อเลเวียธาน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เล-เวีย-ธาน ชื่อของปีศาจแห่งความอิจฉาน่ะเหรอ? แปลกดีนะ...”
เอ็กซ์เพิ่งนึกออกตอนนี้ว่าที่โลกใบนี้ศาสนาแรง ถ้าเลเวียธานใช้ชื่อนี้ต่อไปอาจมีปัญหาเข้าสักวัน
“เอาอีกแล้วนะ ที่จริงชื่อเลเวียตะหาก” เอ็กซ์ทำทีหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น
ทั้งสองคนหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
“อะไรกัน~ อย่างนั้นเองหรอกเหรอ อย่าไปล้อเล่นแบบนี้ต่อหน้าชนชั้นสูงล่ะ ไม่งั้นอาจจะโดนหาว่าเป็นพวกนอกศาสนาแล้วจับประหารได้”
เลเวียธานพยักหน้าตามน้ำไปโดยคิดไว้ว่าจะถามเอ็กซ์ทีหลัง ขณะที่เจ้าของความคิดทวนความจำว่าบอกชื่อเลเวียธานไปกับใครแล้วบ้าง ต้องไปบอกให้เปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้
มีแค่คีร์เก้กับทาบาสะที่รู้ ทั้งคู่เป็นชนชั้นสูงแต่ไม่ท้วงอะไร คีร์เก้เป็นเพราะนิสัยอาจจะไม่รู้เรื่องในพระคัมภีร์มากหรือถึงรู้ก็ไม่ใส่ใจ ส่วนทาบาสะที่ชอบอ่านหนังสือนั้นไม่น่าจะไม่รู้ แต่สาเหตุที่ไม่พูดนั้นเป็นปริศนา
“เอาเถอะ พวกนายเป็นพี่น้องกันจริงก็ดีแล้วล่ะ ร้านพ่อฉันจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง ว่าแต่...”
เจสสิก้าขยับเข้ามาใกล้เหมือนสื่อว่าเรื่องที่กำลังจะพูดเป็นความลับ
“นายกับหลุยส์รู้จักกันมาก่อนใช่รึเปล่า?”
เอ็กซ์โดนถามกะทันหันก็ชะงักไป ก่อนจะตอบว่าใช่
“งั้นก็ต้องรู้จักไซโตะด้วยสินะ”
ก็ใช่อีก
“แล้ว...รู้รึเปล่าว่าสองคนนั้นเขามาทำอะไรที่นี่?”
เอ็กซ์งงกับคำถาม และไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร
“ช่วยอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้รึเปล่า?”
เจสสิก้าเล่าว่าทั้งสองคนเข้ามาทำงานที่โรงเตี๊ยมในคราบของพี่น้อง ตัวเองได้ใช้ปฏิภานไหวพริบอันเฉียบแหลมและเสน่ห์ผู้หญิงที่มีเหลือล้นล่อหลอกเอาข้อมูลออกมาจากไซโตะได้ความว่าหลุยส์เป็นชนชั้นสูง และทั้งคู่มีลับลมคมในอะไรบางอย่าง แต่ถูกขัดจังหวะจึงไม่ได้อะไรมากกว่านั้น
“นายรู้จักทั้งสองคนใช่มั้ย แล้วรู้รึเปล่าว่าทั้งสองคนมาทำอะไรที่นี่?”
เอ็กซ์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบ
“ถามไปแล้วมิสวาลลิแยร์ตอบว่า ‘มาเป็นพนักงาน’ น่ะ”
“...ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ไร้ประโยชน์จริงๆ นะนาย” แล้วยังรอยยิ้มที่เหมือนกับจะประกาศโต้งๆ ว่า ‘ถึงรู้ก็ไม่บอก’ นั่นก็กวนอารมณ์เธอเหลือเกิน
“เอาเถอะ ถึงยังไงก็คงอยู่ได้ไม่นานหรอก ก็เป็นซะแบบนั้นนี่ มาทำงานตั้งสองวันแล้วยังไม่เคยได้ทิปแม้แต่หนึ่งเดอนิเยร์อย่างนี้คงไปไม่รอดหรอก ยังไงซะก็ไม่มีทางชนะฉันได้หรอก ปีนี้ฉันที่หนึ่งใสๆ อยู่แล้ว”
เจสสิก้ากอดอกอย่างภาคภูมิใจ แต่เอ็กซ์ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร
“อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เป็นประเพณีแข่งทิปประจำปีของที่นี่ ผู้ชนะจะได้สวมชุดที่เป็นมรดกของโรงเตี๊ยม ไม่อยากจะคุยแต่ว่าแค่วันนี้วันแรกฉันได้ตั้ง 7 เอคิวเชียวนะ นี่ยังไม่จบวันเลยด้วยซ้ำ”
เอ็กซ์ร้องอ๋อในใจ มิน่าตอนคิดเงินบุตรีดยุคคนนั้นถึงได้แบมือขอทิปเขาด้วยท่าทางที่ไม่น่าเอามาใช้พูดกับลูกค้า อุตส่าห์ลงทุนขอซึ่งหน้า(ด้านๆ)แล้ว เขาก็ใจป้ำให้ไปตั้ง 5 ซุ แต่กลับโดนมองตาเขียวซะนี่
‘ว่าแต่...วันเดียวได้ทิป 7 เอคิวงั้นเหรอ...รู้สึกโมโหยังไงชอบกล’
ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเหลือไม่ถึงหนึ่งเอคิว และก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แต่ถูกข้ามหน้าอย่างง่ายดายด้วยเสน่ห์ผู้หญิง เขาเริ่มคิดว่าเพศปกครองจริงๆ ไม่ใช่เพศชายหรอก เพศหญิงนี่ล่ะที่แผ่อำนาจมาจากเบื้องหลัง
“เอาล่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว” เจสสิก้าเอื้อมมือไปที่ประตู แต่ถูกเอ็กซ์เรียกไว้
“พอจะรู้มั้ยว่ามีที่ไหนมีงานให้คนนอกไปทำบ้าง?”
“อะไรกัน? เจอกันคราวนี้ก็ถังแตกอีกแล้วเหรอ?”
พูดแล้วเอ็กซ์ก็นึกถึงความทรงจำระหว่างพวกเขาสองคน...ศึกชิงทิปที่เขาเกือบต้องพ่ายแพ้ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“ว่าไปแล้วเมื่อตอนนั้นยังพูดสุภาพกับฉันอยู่เลยนะ ตอนนี้เปลี่ยนมาพูดห้วนๆ ซะแล้วเหรอ” เจสสิก้ายิ้มเหน็บแนม
“เธอก็เหมือนกัน” เอ็กซ์ยิ้มอย่างรู้ทัน
เมื่อตอนนั้นกล่าวถึงศึกอันดุเดือดที่ชวนให้ขนตั้งชูชัน คนสองคนตีหน้ายิ้มพูดจาครับค่ะ แต่ฟาดฟันกันทางสายตา
“งานใช่มั้ย? เมื่อกี้นี้ก่อนฉันขึ้นมาได้ยินลูกค้าพูดกันเรื่ององค์ราชินีจัดตั้งทหารกองใหม่ เป็นครั้งแรกที่เปิดรับสามัญชนด้วย อีกห้าวันจะหมดเขตรับสมัคร ไม่ลองไปดูล่ะ?”
เอ็กซ์เลิกคิ้ว ลาเจสสิก้าที่ออกจากห้องไป แล้วหันไปหาเลเวียธาน
“จะไปเหรอคะ? ทหารต้องอยู่กับการสู้รบที่ท่านเอ็กซ์ไม่ต้องการนะคะ”
“ไปดูหน่อยน่ะ ไม่สมัครหรอก เป็นทหารจะทำอะไรก็ไม่สะดวก ถ้าจะไปอัลเบี้ยนก็ต้องรอไปพร้อมกองทัพ กำลังทหารอย่างทริสเทนกับเยอร์มาเนีย คนสติดีไม่มีใครคิดโจมตีอัลเบี้ยนหรอก”
เลเวียธานสังเกตว่าท่านเอ็กซ์ไม่กล่าวถึงความโหดร้ายของสงคราม หรือว่าไม่อยากฆ่าฟันอะไรอย่างนั้น แต่เธอคิดว่าเขาแค่เลี่ยงไม่พูดจึงพยายามไม่คิดมากเกินไป
“ไปดูหน่อยแล้วก็ไปหางานทำด้วย จะอยู่ในสังคมได้ก็ต้องมีเงินล่ะนะ”
“...จะมีงานที่รับผู้หญิงรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
เอ็กซ์ยิ้ม แล้วตอบ
“ไม่เป็นไร ถึงไม่มี เลเวียธานก็ปลอมเป็นผู้ชายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
เขาหมายถึงเรื่องที่เธอสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระ แต่พรายสาวมองเขาตาเขียว
“ท่านเอ็กซ์นี่ไร้ความละเอียดอ่อนผิดคาดนะคะ”
ความจริงแล้วก็เพียงแค่ในโลกใบนี้มีเธอคนเดียวที่เขาสามารถพูดด้วยได้ทุกเรื่องอย่างสบายใจโดยไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่ถ้าเขาตอบไปว่า ‘เฉพาะกับเธอ’ คงมีต่อยกสองจึงยั้งไว้
วางแผนการในวันพรุ่งนี้แล้วทั้งคู่ก็เข้านอน แม้เตียงจะแคบทำให้ต้องนอนเบียดกัน แต่เพราะร่างกายของเลเวียธานประกอบขึ้นจากน้ำ จึงไม่มีคำว่าร้อน
ก่อนจะหลับเอ็กซ์คิดถึงคำพูดของเลเวียธาน ที่ว่าทหารต้องอยู่กับการสู้รบ เรื่องนั้นก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคิดถึง
ช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอย่าง<ทหาร> ต่อสู้กับอิเร็กกุล่าร์ภายใต้หน่วยสิบเจ็ด พอมานึกดูแล้วก็น่าขำ ช่วงเวลานั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาก็ได้ ยิ่งกว่าตอนที่เขาปกครองเนโออาร์คาเดีย อาณาจักรของมนุษย์และเรปลิลอยด์ที่ควรจะเป็นความฝันของเขาเสียอีก แม้ต้องเข่นฆ่าศัตรู ก็ยังมีมิตรสหายรายล้อม เป็นความทรงจำที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเมื่อนึกถึง
...
เลเวียธานยังลืมตาอยู่ การนอนหลับไม่จำเป็นสำหรับร่างกายเธอ แต่สามารถเข้าสู่สภาวะที่คล้ายกับการจำศีลได้เพื่อให้ผ่านไปคืนหนึ่งๆ
เด็กผู้หญิงที่เธอมีธุระด้วยอยู่ใกล้แค่เอื้อม เป็นโอกาสที่เธอจะได้ถามในสิ่งที่เธออยากรู้ ถึงแม้ท่านเอ็กซ์จะไม่ได้แสดงความต้องการที่จะกลับเป็นเรปลิลอยด์ แต่หากเขาไม่เอ่ยปากห้ามเธอ เธอก็จะตามหามันต่อไป เป็นสิ่งที่เธอตัดสินใจทำด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับหน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ
...
อังริเอตต้านั่งอยู่ในห้องทำงาน ตาที่มองเอกสารจะหลับแหล่มิหลับแหล่ มือที่เซ็นเอกสารก็อ่อนเปลี้ย แต่นี่เป็นเอกสารที่จำเป็นสำหรับการจัดตั้งทหารกองใหม่ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนเธอก็ต้องทำ
การจัดตั้งกองทหารภายในกองทัพไม่ใช่สิ่งที่นึกจะทำก็ทำกันได้ ต้องมีเหตุผลที่ยอมรับ—หรือในบางกรณี บังคับ—ได้ในสภาขุนนาง นอกจากนั้นยังมีเรื่องงบประมาณ ผลกระทบต่อสังคมสามัญชนและชนชั้นสูง ฯลฯ ถ้าหากเพิ่งครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ที่กล่าวมาข้างต้นก็ยิ่งทวีความเข้มงวดขึ้นไปอีก และยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่การจัดตั้งกองทหารทั่วๆ ไป แต่เป็นหน่วยราชองครักษ์ ซ้ำยังเปิดรับสมัครแก่สามัญชน—ไม่สิ รับเฉพาะสามัญชน นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง การจะทำให้สภาขุนนางยอมรับในข้อนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่เธอก็ทำสำเร็จจนได้ ถึงจะจำไม่ค่อยได้ว่าอย่างไร
เหตุผลที่ผลักดันให้เธอทุ่มเทฝ่าข้อกำหนดมากมายนั้นจนขุนนางในสภายอมรับ(หรือเพียงแค่แย้งไม่ออก)นั้นไม่ใช่เหตุผลที่ยิ่งใหญ่หรือสูงส่งอะไร
เธอก็แค่ไม่สามารถเชื่อใจผู้ใช้เวทมนตร์ได้อีกแล้วก็เท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเธอที่เป็นผู้ผลักดันการจัดตั้งกองทหารจนผ่านสภา ก็ยังกำจัดความกังขาในความสามารถของสามัญชนไปได้ไม่หมด เธอคาดไว้ว่าพอได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างก็คงจะวางใจได้เอง
เรื่องที่สำคัญกว่าตอนนี้ คือสิ่งที่เป็นสาเหตุแก่ความไม่ไว้วางใจที่เธอมีให้กับผู้ใช้เวทมนตร์ เว้นคนสนิทบางคน
นั่นคือการทรยศหักหลังภายในราชสำนักเอง
เวลส์—ศพของเวลส์ที่คืนชีพขึ้นมาสามารถเข้ามาหาเธอถึงห้องบรรทมได้ด้วยตัวคนเดียว เธอสงสัยแต่แรกแล้วว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก แท้ที่จริงมีคำตอบที่ง่ายกว่านั้น
คนร้ายไม่ได้ทำคนเดียว มีคนในให้ความช่วยเหลือ แม้เธอจะยังไม่ได้สั่งให้ทำการสืบสวน เพราะไม่มีใครที่เชื่อใจได้ เธอก็มั่นใจ
ขุนนางที่แปรพักตร์ไปเข้าฝ่ายอัลเบี้ยนและแฝงตัวอยู่ในราชสำนักมีเท่าไร มีใครบ้าง ไม่มีทางรู้ได้ อาจจะมากจนเธอยังตกใจเสียด้วยซ้ำ
หากหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์เองยังทรยศเธอได้ เธอก็หันไปหาใครไม่ได้อีกแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอจึงตัดสินใจจัดตั้งหน่วยราชองครักษ์ที่ประกอบขึ้นด้วยสามัญชนล้วน [หน่วยปืนคาบศิลา] ด้วยความคิดที่ว่าหากไม่มีผู้ที่ไว้ใจได้ ก็ต้องหามาด้วยตัวเอง
ที่สำคัญคือโอกาสที่ทหารกองใหม่นี้จะหักหลังเธอนั้นมีต่ำมาก สามัญชนไม่มีเส้นสาย ไม่มีอำนาจ โอกาสที่จะถูกทาบทามให้เข้าฝั่งอัลเบี้ยนแทบจะไม่มี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกขุนนางถือตัวในราชสำนักจะลดตัวลงไปสมาคมกับสามัญชนที่ตัวเองดูถูก และที่สำคัญคือพวกเขาไม่มีทักษะในการตีสองหน้าเหมือนกับชนชั้นสูง
จากนั้นเธอก็จะใช้หน่วยปืนคาบศิลานี้กำจัดหนอนบ่อนไส้ทีละคน
และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็จะได้เวลาไปตามตัวครอมเวลมาชดใช้เสียที ตอนนี้เธอต้องอดทนไว้ก่อน แต่อย่างไรเธอก็ไม่คิดจะปล่อยให้ศัตรูของเธอกับท่านเวลส์ลอยนวลไปได้เด็ดขาด
--
PBW:”ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไร เพราะเพิ่งเริ่ม Arc แต่ต่อจากนี้ไปก็จะ...ดำเนินเรื่องไปทางฝั่งเอ็กซ์กับเลเวียธาน จะไม่ค่อยตามเหตุการณ์ในไลท์โนเวล แต่จะมีบอกเป็นระยะว่าตรงกับช่วงเวลาใดในเนื้อเรื่องหลัก”
DX:”เริ่มแบบเรียบๆ สินะ แต่ใส่มุกเยอะเลย”
PBW:”ช่วงที่ไม่มีอะไรนี่ล่ะที่เหมาะจะใส่มุก เพราะพอเข้าพล็อตปุ๊บก็หาโอกาสยากแล้ว”
PBW:”มีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบเล็กน้อยคือจากนี้ไปคนเขียนจะเริ่มปรับใช้การ<วรรคสองครั้ง>แล้ว ที่จริงใช้ตั้งแต่ตอนที่แล้วแต่ลืมแจ้ง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงมาจากเวลาที่คนเขียนใช้เครื่องหมาย [ ] ‘ ‘ และ “ๆ” จะมีการเว้นวรรคทุกครั้ง ซึ่งบางคราวอาจสร้างความสับสนในการอ่านได้ว่าเนื้อความจบที่ตรงใด อ่านต่อกันยาวหรือเริ่มประโยคใหม่แล้ว? ดังนั้นคนเขียนจึงใช้การ “วรรคสองครั้ง” ดังนี้:
“ดินแดนที่พวกเจ้ามนุษย์อยู่คือ [รูนมิดการ์ด] ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแดนคนเป็น” <<วรรคทีเดียว แค่เว้นช่องให้สำหรับการเน้นชื่อ ถือว่าให้อ่านต่อกันเป็นประโยคเดียว
“เขาเก็บการ์ดที่ใช้จำลองการดูเอลในวันหนึ่งๆ ที่กากาก้าอคาเดมี่ไว้ในกล่องไม้” <<วรรคทีเดียว อ่านติดกันยาวเหมือนกับข้างบน
“พ่อค้าคนนี้ได้เงินถึงหลักแสนในวันหนึ่งๆ ที่ไม่มาขายในวันจันทร์ก็เพราะว่า...” <<วรรคสองครั้ง แสดงถึงการจบประโยคหลังไม้ยมก และเริ่มประโยคใหม่
ถ้าหากใช้เว้นวรรคทีเดียวทั้งจบและไม่จบประโยค แล้วหลังไม้ยมกเป็นคำเชื่อม ‘ที่’ เหมือนกัน อาจทำให้ในโยคที่สามนี้ คนอ่านอาจจะอ่านติดกันเป็น “...ได้เงินถึงหลักแสนในวันหนึ่งหนึ่งที่ไม่มาขายในวันจันทร์...” กว่าจะรู้ตัวว่าประโยคมันจบหลังไม้ยมกก็อ่านไปหลายคำ อาจทำให้เกิดอาการ<สะดุด>ในระหว่างการอ่าน
PBW:”ทั้งหมดที่ว่ามาก็เป็นสาเหตุในการปรับใช้<วรรคสองครั้ง> ซึ่งที่จริงแล้ว ตามหลักการพิมพ์ดีดไทยก็มีบอกไว้ ‘หากเป็นความย่อยต่อกันให้ใช้เว้นวรรคหนึ่งครั้ง หลังจบประโยคให้ใช้เว้นวรรคสองครั้ง’ แต่คนเขียนเขียนต่อกันแบบไม่สนใจว่าอันไหนเป็นประโยคไม่เป็นประโยคอยู่แล้วจึงใช้การเว้นวรรคครั้งเดียวพอ”
DX:”ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรหรอก แค่ทำให้อะไรๆ มันชัดเจนขึ้น ก็อ่านๆ ไปตามปกติ”
PBW:”ตอนนี้มีเรื่องทางเทคนิคเกี่ยวกับร่างกายเลเวียธานเล็กน้อย อ่านแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก แค่จำไว้ว่า ‘ร่างกายเลเวียธานประกอบขึ้นจากพลังแห่งน้ำ’ ก็พอ”
(*หมายเหตุ1: ชื่อของสกุลเงินนั้นเป็นสกุลเงินฝรั่งเศสช่วงยุคกลาง
ค่าของตัว<เหรียญ>เองเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
แต่อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน(นอกจากเอคิว)ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้:
1 เอคิว(Écu) = 120 ซุ(Sou/Sol)
1 ซุ = 12 เดอนิเยร์(Denier)
(*หมายเหตุ2: Sou ไม่ได้อ่านว่า โซ แต่อ่านว่า ซุ(กว่าจะรู้ก็หน้าเป็นเศษไปแล้ว)
และข้างต้นเป็นระบบเงินตราของฝรั่งเศส แต่ของทริสเทนต่างกัน
1 เอคิว(Écu) = 100 ซุ(Sou)
1 ซุ = 10 เดอนิเยร์(Denier)*
ค่าครองชีพในทริสเทนต่อคนต่อปีอยู่ที่ 120 เอคิว
หนึ่งปีมี 384 วัน ตกวันละ 37.5 ซุ(ประมาณ 40 ซุ)
ดังนั้นเงิน 87 ซุของเอ็กซ์จึงน้อยจนน่าใจหาย)
(*หมายเหตุ3: หนึ่งปีของฮาลเคกิเนียมี 12 เดือน หนึ่งเดือนมี 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 8 วัน มีปีโดด(ปีที่จำนวนวันเปลี่ยนแปลงจากปกติ ในปฏิทินโลกเราเรียกกันว่า<ปีอธิกสุรทิน>)หรือไม่ไม่เป็นที่แน่ชัด ดังนั้นปิดเทอมสองเดือนครึ่งจึงมีค่าเท่ากับ 80 วันพอดี)
ตอบคำถาม(ยาวหน่อย เพราะรวบ 3 ตอน)
PBW:”จะตอบตั้งแต่ของ Chapter 27 รวบมาเลย”
คุณ Master Zero X Advent: บอกตามตรง มุกของคนเขียนสลับไปมาระหว่างสถานะ<มี>กับ<หมด>อยู่ตลอดเวลา ขึ้นกับ ณ เวลาแต่งว่าคิดอะไรออกบ้าง ส่วนเรื่องพ่อลูก เสียงข้างมากบอกว่าควรจะนับเป็นพ่อลูกกัน แต่ในเมื่อมีคนจิ้น HarpuiaxLeviathan ซึ่งก็คือพี่/น้อง คนเขียนก็จิ้น X/Leviathan ได้เช่นกัน(แต่จิ้นไม่ค่อยหนักหน่วงเท่าไร) สิ่งสำคัญคือคอนเซปท์เรื่องสายเลือดไม่มีความหมายต่อเรปลิลอยด์
คนที่ออกมาตอนท้ายไม่ใช่ซีโร่แน่นอน อันนี้คนเขียนไม่ปฏิเสธ เพราะซีโร่ยังไปเดินทางกับเชลอยู่เลย...รึเปล่า?
เรื่องระหว่างเอ็กซ์กับชาร์ล็อตต์นั้น คนเขียนก็สนองความอยากของตัวเองไปตามเรื่อง แต่ขอยืนยันไว้ตรงนี้ว่าเอ็กซ์ไม่ได้คิดอะไรอกุศลกับชาร์ล็อตต์แม้แต่น้อย เพราะยังเป็นเด็กอยู่นั่นล่ะ ส่วนอาการเขินอายของชาร์ล็อตต์เองก็เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ของเด็ก ไม่มีเรื่องอย่างว่าเจือปน เพราะยังเป็นเด็กอีกนั่นล่ะ ฉะนั้นคนที่คิดมีแค่คนเขียนกับคนอ่านเท่านั้น(ฮา) คนเขียนระวัง PG-13 น่ะ (รู้แล้วเหยียบไว้นะ ความจริงแล้วถึงคนเขียนเพิ่มเรตเป็น Rate-R ก็คงไม่โดนแจ้งลบ(แต่ไม่ทำหรอก) เพราะคนที่เข้ามาอ่านมีน้อยนิดซะเหลือเกิน บางตอนมีคนเข้าอ่านแค่ 7 คนเอง จะหาคนที่ไหนแจ้ง)
ย้อนหลังซีโร่นั้นคนเขียนก็กะไว้ว่าอาจจะทำอยู่ เป็นตอนเดียวจบ ตอนที่ซีโร่มาถึงและเริ่มการเดินทางของตัวเอง คงไม่ใช่อะไรยิ่งใหญ่เพราะคนเขียนลำเอียงไปทางเอ็กซ์ซะเยอะ
เกร็ดความรู้เล็กน้อย ถ้าหากคนที่มีปู่ย่า/ตายายร่วมกัน(หรือก็คือลูกของพี่กับน้อง)มาแต่งงานและมีลูกกันเอง โอกาสที่ลูกเกิดมามีอาการไม่สมประกอบจะสูงขึ้นจากลูกของคนที่ไม่ใช่ญาติกัน 1.7 - 2.8% โดยปกติเปอร์เซ็นต์ของเด็กไม่สมประกอบอยู่ที่ 3% หากพ่อหรือแม่มียีนส์ด้อย หากทั้งสองเป็นญาติลำดับที่หนึ่ง(พ่อ/แม่เป็นพี่น้องกัน)ก็จะประมาณ 5% นั่นเอง เป็นโอกาสเดียวกับถ้าผู้หญิงอายุเลย 40 ตั้งครรภ์(ซึ่งหลังจากช่วงอายุนั้นไปแล้ว ไม่ว่าพ่อของเด็กจะเป็นลูกพี่ลูกน้องหรือไม่ โอกาสลูกไม่สมประกอบก็ไม่ต่างกัน) ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเอ็กซ์และเลเวียธาน แต่แค่เป็นเกร็ดความรู้ไว้ เพราะก่อนหน้านี้คนเขียนเองก็เข้าใจว่าถ้าเป็นญาติลำดับนั้นจะมีโอกาสเพิ่มซัก 30% หรืออะไรประมาณนั้น
มนุษย์สมัยพันกว่าปีก่อนที่หมู่บ้านตั้งห่างกันเป็นโยชน์ก็จำเป็นต้องแต่งงานกันเองในหมู่บ้าน ถ้าโอกาสเด็กเสียชีวิตหรือเป็นโรคมันสูงเท่าที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่ออย่างผิดๆ กันอยู่นี้ มนุษย์เราคงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว (เมืองไทยเป็นสถานที่ที่ ‘ศีลธรรม’ แรง แรงในที่นี้หมายถึงทั้งเข้ม ทั้งความรังเกียจต่อคนที่ทำผิดก็แรงด้วย)
อนึ่ง คนเขียนลำเอียงเล็กน้อยเพราะเชียร์ Incest พี่น้อง(เฉพาะในโลกการ์ตูนหรอก โลกจริงจะเป็นยังไงก็ช่างมัน)
คุณ O-Corona-O: คนเขียนไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของคุณ เพียงแต่ตอนคนเขียนอยู่มัธยม 6 นั้นคนเขียนอยู่แผนคณิต-ภาษา ทำให้งานเบากว่าเหล่าสายวิทย์มาก(สบายเรา) ดังนั้นจะบอกว่าเข้าใจเต็มที่ก็คงไม่ได้
เรื่องมหา’ลัย ขอให้แอดฯติด ชีวีจะได้มีสุขเสียที คนเขียนติดรอบรับตรง ไม่อยากคุยแต่ขอบอกว่าชิลล์มาก เพราะใช้ภาษาญี่ปุ่น(PAT7.3)แทนคณิตศาสตร์(PAT1) คะแนนเลยสูงขึ้นเยอะ มั่นใจว่าติดชัวร์ ก่อนสอบจะไม่กังวลเลยก็ไม่ใช่ แต่คนเขียนเป็นประเภทไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเลยไม่ได้เครียดอะไรมาก อ่านหนังสือมั้ยก็ไม่ได้อ่าน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือมั่นใจในความสามารถของตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้อสอบมันจะออกอะไรมา เลยตัดสินใจใช้ความสามารถตัวเองล้วนๆ (แต่อาจารย์แนะแนวก็พาติว GAT อยู่นะ เลยได้คะแนนดี)
...คนเขียนขอปิดข้อมูลส่วนตัวไว้ดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจะรู้ตัวตนของคนเขียน ไม่ใช่ว่าอยากทำตัวลึกลับอะไร เพียงแต่ถ้าเห็นหน้าคนเขียนแล้วอาจทำให้มองฟิคเรื่องนี้เปลี่ยนไป คนเขียนไม่อยากเสี่ยงเลยอุบไว้ดีกว่า จบจากอุดรพิทย์มาเข้ามหา’ลัยขอนแก่น อันนี้ใน My.id ก็บอกอยู่แล้ว แต่ละเอียดกว่านั้นคงไม่ได้ ส่วนเรื่องถนัดภาษาอังกฤษนั้น ตอนอยู่ม.1 คนเขียนเกิดความชอบในเกม RPG ขึ้นมา แล้วที่อยู่ใกล้มือ(ในคอมพ์)ที่สุดก็คือ Final Fantasy IV Advance แต่คนเขียนก็ไม่ได้เก่งอังกฤษเลยในเวลานั้น คนเขียนจึงเอาดิกชันนารี่มาเปิดไป เล่นไป(แปลอ่านทุกคำ) ใช้เวลาร่วมสองเดือนก็จบเกม แล้วก็ถนัดภาษาอังกฤษนับแต่นั้นมา
ชอบคนเขียนก็ดีใจ เพราะมีแต่ TotW ที่คนเขียนพอจะพูดได้ว่าเป็นของตัวเองแท้ๆ เรื่องที่ ‘รู้สึกพอใจแปลกๆ’ นั้น คนเขียนก็เคยมีความรู้สึกเดียวกันเวลาอ่านฟิคที่คนอื่นแต่ง เรื่องทาบาสะจำเอ็กซ์ได้หรือไม่ได้นั้น คนเขียนไม่เคยชี้ชัดลงไป นอกจากทาบาสะถามเอ็กซ์ว่า ‘เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า’ เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้ทาบาสะไม่แน่ใจก็คงจะทราบแล้วในช่วงท้าย Part 2 แล้วก็ เวลาที่คนเขียนเขียน ‘เด็กหนุ่มผมเงิน’ ทีไรก็นึกถึง Milanor ทุกที เป็นความรู้สึกที่ดี หวังว่าวันหนึ่งจะได้แต่งฟิคนั้นบ้าง ไว้ฝึกวิชามากกว่านี้ก่อน เรื่องนั้นต้องการความเชี่ยวชาญด้านภาษาสูง
คุณ llSarutobill: เรื่องรู้สึกขัดใจเวลาอ่านอะไรนั้น คนเขียนพอเข้าใจความรู้สึกที่มันเกิดในอก มันจะหงุดหงิดนิดๆ เพราะแต่ละคนมี ‘เกณฑ์’ บางอย่างในส่วนลึกของจิตใจที่ไม่เหมือนกัน และไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เพียงแค่แสดงออกมาในรูปของความรู้สึกฟิน/ขัดใจ แต่คนเขียนขอชี้แจงให้ชัดเจนว่าในฉากนั้นเอ็กซ์ไม่มีความคิดอกุศลแม้แต่น้อย เพราะชาร์ล็อตต์เป็นเด็ก และชาร์ล็อตต์เองก็แสดงอาการเขินอายโดยไม่มีความคิดสกปรกเจือปนแม้แต่น้อย เพียงแค่รู้ว่าร่างเปลือยเปล่าเป็นเรื่องน่าอาย ก็เท่านั้น
ที่คุณบอกว่าเป็นตอนที่แต่งได้ดีที่สุดนั้น คนเขียนก็คิดว่าจริง เพราะคนเขียนก็พยายามแต่งที่สุดในชีวิตเช่นเดียวกัน เฉพาะหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่าอย่างเดียวก็หลายวัน(ดีจริงที่อ่านอังกฤษคล่อง) คนเขียนจะพยายามไม่ให้ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งดีที่สุดในฟิคนี้ทั้งเรื่อง
อนึ่ง ขออภัยที่ตอนนี้เทียบตอนที่แล้วไม่ได้ พอดีพล็อตมันไม่มีอะไรชวนให้คนเขียนไฟลุกซักเท่าไร
คุณ yinegene: เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่าให้เหมือนคนเขียนที่ไม่มีการเตรียมตัวอะไรทั้งสิ้นในการเข้ามหา’ลัย ขอให้โชคดี
*Edit1: บทสนทนา เลเวียธานถามเหตุผลที่เอ็กซ์พากลับมาที่ทริสเทน แก้ใหม่ เพราะแก้ครั้งสุดท้ายก่อนลงลืมเซฟ
ความคิดเห็น