คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : Chapter 59 : "เรื่องสนุกๆ น่ะจากนี้ไปตะหาก"
...
เรือเหาะลำใหญ่จอดอยู่บนที่ว่างยอดหุบเขาที่ยาวเหยียด ใกล้กันนั้นเป็นรถม้าจอดอยู่ มังกรในร่างของเด็กสาวนอนหลับห่มผ้าผืนเก่าๆ อยู่ข้างในโดยมีฮาล์ฟเอลฟ์สาวนั่งอยู่ข้างๆ ใกล้กับรถม้าชายศีรษะล้านกำลังยืนสนทนากับอัศวินสาวและนักบวชหนุ่ม
“คทาแห่งศตวรรษ?” อาเนียสถามถึงชื่อของสิ่งแปลกประหลาดที่ตั้งอยู่ปลายหน้าผา
“อาวุธที่ยอดนักปราชญ์ในโรมาเลียประดิษฐ์ขึ้น” จูลิโอผู้ไม่มีบทมาหลายตอนอธิบาย
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้งานด้วยเวทย์มนต์ ถึงกลไกจะค่อนข้างซับซ้อนหน่อยแต่ก็เป็นแบบใช้ยิงออกไปเลยคิดว่าเธออาจจะเข้าใจ” โคลเบลท์ยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นที่บันทึกคำแนะนำการใช้งานเอาไว้ให้อัศวินหญิง(ยังกับเครื่องใช้ไฟฟ้า)
“ถึงจะไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน แต่จะดูให้ก็แล้วกัน” อาเนียสแยกตัวออกไปทางที่อาวุธประหลาดตั้งอยู่กับสมาชิกอัศวินอองดีนที่ตามมากับเรือเหาะอีกสองคน เห็นอย่างนี้เธอเชี่ยวชาญเรื่องกลไกไม่ใช่น้อย(โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวกับอาวุธโปรเจคไทล์)
เด็กสาวสี่คนในทีมปฏิบัติการข้ามชาติเดินลงจากเรือเหาะเข้ามาหาอาจารย์และนักบวช
“มอนท์โมรันซี่ร่ายเวทย์รักษาบาดแผลที่อาการสาหัสแล้วก็ให้เซียสต้าช่วยดูทาบาสะกับแม่ให้แล้ว แต่ก็ควรจะพาไปให้ถึงมือหมอไวๆ โดยเฉพาะอาการของแม่ทาบาสะน่าเป็นห่วงที่สุด” คิลเก้อธิบายสภาพการณ์
“แต่ถ้าปล่อยให้เจ้าตัวอย่างนั้นข้ามชายแดนไปที่ฝั่งทริสเทนล่ะก็มีหวังบ้านเมืองพังพินาศ” มอนท์โมรันซี่
“เรามี ‘คทาแห่งศตวรรษ’ ไว้ก็เพื่อเวลาอย่างนี้ล่ะ” จูลิโอเสนอทางแก้ “ถึงจะไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะเป็นอสุรกายยักษ์แบบนี้ก็เถอะนะ”
“คทาแห่งศตตวรรษ? มันคืออะไรล่ะนั่น?” คิลเก้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อาวุธที่ยอดนักปราชญ์ในโรมาเลียประดิษฐ์ขึ้น ที่จริงก็ตอบคำถามเดียวกันนี้ไปแล้วล่ะนะ(เมื่อ 13 บรรทัดก่อน)”
“อาวุธ? ทำไมนักปราชญ์ถึงประดิษฐ์อาวุธได้ล่ะ?” คราวนี้เป็นหลุยส์ถาม
“องค์สันตะปาปาเป็นคนยื่นคำขอเอง โดยให้สัญญาว่าจะไม่ใช้รุกรานอาณาจักรอื่น ฉันขออนุญาตยืมมาใช้โดยให้เหตุผลไปว่า ‘ช่วยเหลือเพื่อน’ ท่านนักปราชญ์ก็อนุญาตทันทีเลย” จูลิโออธิบาย ขณะเดียวกันองค์ราชาและองค์ราชินีก็เดินเข้ามา
“อา องค์ราชาเวลส์แห่งอัลเบี้ยน เป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้พบกับพระองค์ กระหม่อมมีนามว่าจูลิโอ เชซาเร่พะยะค่ะ” นักบวชหนุ่มคุกเข่าลงแนะนำตัว
“ยินดีเช่นกัน ว่าแต่สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” เวลส์ถามถึงแผนการที่วางเอาไว้ จูลิโอลุกขึ้นตอบ
“เพื่อหยุดยั้งอสุรกายตนนั้น เราตัดสินใจว่าจะใช้อาวุธที่กระหม่อมนำมาจากโรมาเลียพะยะค่ะ”
นักบวชหนุ่มตอบพอดีกับอัศวินหญิงเดินกลับมา
“พอเข้าใจกลไกแล้วค่ะ กรุณาตามดิฉันมา”
อาเนียสพาทั้งหมดไปที่ตัวอาวุธเจ้าปัญหา ขนาดพอๆ กับมังกรตัวหนึ่ง ทำด้วยโลหะ มีฐานมั่นคงและส่วนบนยื่นออกไปข้างหน้าเป็นทรงกระบอก คริสตัลใสทรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวฝังอยู่ที่ปลาย
อัศวินหญิงชี้ให้ดูคริสตัลทรงกลมสีขุ่นกว่าที่ฝังอยู่กลางตัวอาวุธในระดับสายตา
“ร่ายเวทย์มนต์ใส่ที่ตรงนี้ เจ้านี่จะเพิ่มกำลังขึ้นอีกหลายเท่าแล้วยิงออกไป” อาเนียสชูกระดาษคำแนะนำวิธีการใช้ที่ในความเป็นจริงคือแปลนของตัวอาวุธ ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะดูไม่ออก แม้แต่เธอก็ยังเข้าใจแค่คร่าวๆ
“ถึงจะไม่เข้าใจหลักการ แต่โดยคร่าวๆ แล้วก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ” อาเนียสสรุป
“เป็นเมจิคไอเทมเองเหรอ?” หลุยส์ทำความเข้าใจ แต่อาเนียสส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ ถึงวัสดุที่ทำจะมีการลงอาคมอย่างง่ายเอาไว้ให้มีคุณสมบัติทางเวทย์มนต์ แต่ดูเหมือนว่าการประกอบจะสร้างขึ้นด้วยวิธีการธรรมดา เป็นอาวุธที่ทำงานด้วยกลไกทางกายภาพค่ะ”
“ใครกันนะที่สร้างของแบบนี้ขึ้นมา?” คิลเก้นึกสงสัย แต่ถูกตัดบทโดยเสียงเรียกของเด็กหนุ่มผมทองที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าผา
“ศัตรูใกล้เข้ามาแล้ว! รีบเตรียมตัวเร็วเข้า!”
ปฏิบัติการจึงเริ่มต้นขึ้นภายใต้คำสั่งของหัวหน้าหน่วยปืน
“จับคันตรงนั้นแล้วหมุนปรับองศาเงย! นาย ไปปรับทิศทางที่ตรงนั้น! เร่งมือเข้า เรามีเวลาไม่มาก!” อาเนียสยืนสั่งการพวกผู้ชายในงานใช้แรงกาย ขณะเกียวกันพวกผู้หญิงกับองค์ราชาและราชินีก็ยืนอยู่หน้าคริสตัล
“ให้ร่ายเวทย์มนต์ใส่ตรงนี้สินะ...?” มอนท์โมรันซี่ทวนเพื่อความแน่ใจ
”ถ้าแค่ส่งพลังเวทย์ล่ะก็ ไม่แน่นะ แม้แต่ยัยศูนย์อย่างเธออาจจะสำเร็จซักครั้งนึงในชีวิตก็ได้~” คิลเก้พูดหยอกหลุยส์ ทำให้ได้เสียงคำรามในลำคอดังตอบมา อาเนียสหันมาเห็นผู้ใช้เวทย์สุมหัวกันอยู่ก็วิ่งเข้ามา
“อย่าร่ายสุ่มสี่สุ่มห้านะคะ เจ้านี่รับพลังเวทย์ได้แค่ทีละคน ถ้ามีพลังเวทย์จากหลายคนเข้าไปพร้อมกันก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” อัศวินหญิงเตือนไว้ก่อน
ขณะเดียวกันห่างออกไปไม่มาก เท้ายักษ์ที่กำลังย่ำอยู่บนพื้นดินส่งแรงสั่นสะเทือนแต่ละครั้งที่ก้าวเดิน หุ่นเหล็กเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคงตามเส้นทางที่รถม้าหนีไป หญิงสาวบนไหล่ซ้ายสอดส่องสายตามองหาสิ่งที่เคลื่อนไหว
“หือ?” เธอสังเกตเห็นกลุ่มคนบนยอดหน้าผาข้างหน้า
“ไอ้นั่นมัน...ที่ทำลายฝูงการ์กอลย์ของเรา” เธอจำเรือเหาะรูปร่างประหลาดลำนั้นได้ เชฟฟิลด์แสยะยิ้ม “ดี จะได้คิดบัญชีแค้นซะด้วยเลย”
หุ่นยักษ์เดินหน้าเต็มสูบเตรียมบดขยี้มดแมลงที่ยั้วเยี้ยอยู่บนหน้าผา ความมั่นใจในพลังอันน่าเกรงขามของจอร์มุนกันด์ทำให้เชฟฟิลด์ลดความระวังตัวและไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวที่ปลายหน้าผา
“ทุกคนถอยออกมาห่างๆ!” อาเนียสเตือน ก่อนจะหันไปสั่งทางผู้ส่งกำลังเดินเครื่องที่ยืนอยู่ติดชิดกับหลังตัวเครื่อง “ลงมือเลย!”
ผู้เป็นอาจารย์ไม่รอช้า ชี้ปลายคทาไปที่คริสตัลขุ่นกลางตัวเครื่องและพึมพำร่ายคาถาระดับไลน์ตามที่ตกลงกันไว้ แม้จริงๆ เขาจะร่ายระดับไทรแองเกิลก็ได้ แต่ที่ออมแรงเอาไว้ก็เพื่อความไม่ประมาท(จะให้เชื่อสิ่งที่ไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อเสียงมาก่อนง่ายๆ ได้ยังไง)
เมื่อคำร่ายจบลง ที่ปลายคทาก็ส่องแสงสีแดงสว่างกำลังดี แต่แทนที่จะมีสายเพลิงพุ่งออกมา แสงนั้นกลับไหลเป็นสายเข้าไปสถิตอยู่ในคริสตัลขุ่นและทำให้มันส่องแสงสีแดง ลำแสงไหลผ่านต่อไปยังชิ้นส่วนหลายชิ้นพร้อมกับสว่างขึ้นเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวนี้ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และจุดหมายสุดท้ายก็คือ คริสตัลใสรูปว่าวที่ปลายสุด
เชฟฟิลด์ที่ยังอยู่บนไหล่ของหุ่นเหล็กยักษ์สังเกตเห็นแสงสีแดงสว่างขึ้นที่ปลายหน้าผาไกลออกไปไม่กี่ร้อยเมตร
“หือ?”
ก่อนที่เธอจะได้เริ่มสงสัยว่ามันคืออะไร ลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งสวนมา เส้นผ่าศูนย์กลางร่วมสิบเมตร
“บ้าน่า—!?!”
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังสนั่น ควันดำโขมงปกคลุมทั่วร่างของหุ่นยักษ์ เรียกเสียงเฮจากคนบนหน้าผา แต่ผู้ที่เป็นคนยิงลูกไฟเองกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด เช่นเดียวกับดาบเหล็กที่เด็กสาวผมสีชมพูหนีบไว้(ถึงดาบจะไม่มีหน้าก็เถอะ)
“ยังหรอก!” โคลเบลท์จ้องเขม็งที่ไปกลุ่มควันตรงหน้าซึ่งค่อยๆ จางลง
การโจมตีที่รุนแรงเหลือเชื่อถูกบาร์เรียร์สีฟ้าสลับชมพูยืนหยัดได้อย่างเหลือเชื่อพอๆ กัน
“ไม่ไหวแฮะ” เดลฟลิงเกอร์ตัดสินใจพูดขึ้น “ที่เกราะของเจ้านั่นมี ‘เคาน์เตอร์’ อยู่ จะเป็นการโจมตีที่รุนแรงขนาดไหนก็ผ่านไปไม่ได้หรอก เหมือนกับที่เอลฟ์ที่ปราสาทนั่นใช้ไงล่ะ”
“ถ้างั้นต้องทำยังไงล่ะ?!” คิลเก้เริ่มรน
“เวทย์มนต์โบราณน่ะไม่ใช่จู่ๆ จะหาวิธีแก้ได้นะ” ดาบเหล็กตอบแบบไม่ให้ความหวัง
“แล้วในเวลาอย่างนี้...” มอนท์โมรันซี่ว่าพลางสอดส่องสายตามองหาใครบางคน “สองคนนั่นหายไปอยู่ไหนกันเนี่ย!?”
องค์ราชาและราชินีรู้ความหมาย พวกเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว ‘ฮาลเปีย/แฟนธอมอยู่ไหน?’
“ฮาลเปียไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกฉันก่อน คงต้องมีเหตุจำเป็น” เวลส์ให้ความเห็น อันเรียตต้าก็พยักหน้าในเชิง ‘แฟนธอมก็เช่นกัน’
หลุยส์เริ่มนึกถึงคนของตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไง แต่เธอก็รีบสะบัดความคิดนั้นทิ้งไป ‘เอ็กซ์ต้องไม่เป็นไรแน่ ที่สำคัญกว่าตอนนี้คือเราจะรอดไปเจอกับเอ็กซ์มั้ยเท่านั้นล่ะ!?’
“...นี่คุณหนู” เดลฟลิงเกอร์พูดกับเด็กสาวที่ถือตัวเองอยู่ ซึ่งก็หันมามองเขาเป็นเชิงถาม
“เวทย์มนต์ที่ใช้ตอนหนีออกมาน่ะ ถ้าเป็นนั่นล่ะก็น่าจะทำลายเคาน์เตอร์ที่ป้องกันหุ่นยักษ์นั่นอยู่ได้ง่ายๆ เลยนะ”
ทีนี้ล่ะทุกสายตาหันมามองดาบเหล็กกันหมดจนอดเขินไม่ได้ต้องขอให้ลดความกดดันลงหน่อย
“นั่นน่ะถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น ‘ดิสเปล’ เวทย์มนต์ที่มีผลลบล้างเวทย์มนต์อื่นทุกชนิด โดยไม่เกี่ยงเรื่องพลัง เจ้านั่นก็ชอบคิดอะไรแปลกแหวกแนวยังงี้ล่ะนะ” ดาบเหล็กอธิบายและบ่นตบท้ายเหมือนคนแก่อายุมาก
เรื่องที่ ‘เจ้านั่น’ หมายถึงใครนั้น ไม่มีใครสนใจเพราะทั้งหมดต่างหันไปมองหลุยส์เป็นตาเดียว เด็กสาวผมสีชมพูหยิบคัมภีร์เวทย์ออกมาแก้เก้อ
“คือว่าม—มันเขียนไว้ในนี้น่ะ...” เธอพลิกหน้าหนังสือ แต่กลับไม่พบอะไรนอกจากหน้ากระดาษขาวโพลน “เอ๋? แปลกจัง...ตอนนั้นยังเห็นอยู่เลย...แต่ไม่เป็นไร ฉันจำได้”
“โฮ่ คุณหนูนี่ก็ไม่ธรรมดานะที่จำคำร่ายที่ เจ้านั่นคิดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยได้” เดลฟลิงเกอร์เอ่ยชม
“จะอะไรก็ช่างเถอะ! หลุยส์ รีบๆ ร่ายเร็วเข้า เจ้านั่นจะมาถึงแล้วนะ!” คิลเก้ชี้ให้ดูหุ่นยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามร้อยเมตร
หลุยส์ตรงดิ่งไปที่ ‘คทาแห่งศตวรรษ’ และเริ่มพึมพำคำร่ายที่เธอจำได้ ซึ่ง...มีปัญหาอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ...มันยาวมหายาว
“เจ้าพวกหนูทั้งหลายรีบต้านเอาไว้ก่อน!” เดลฟลิงเกอร์สั่ง ทำให้เหล่าจอมเวทย์เริ่มลงมือ
คิลเก้-โคลเบลท์เป็นผู้ใช้ไฟก็ประสานเวทย์กันเพิ่มความแรงยิงเป็นสายออกไป มาลิคอร์น-เวลส์(ลม) มอนท์โมรันซี่-อันเรียตต้า และกีซใช้เวทย์เปลี่ยนดินที่อยู่ใต้เท้าของหุ่นยักษ์ให้เป็นทรายหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้
แม้เวทย์โจมตีทั้งหมดจะถูกต้านไว้ด้วยบาร์เรียร์ แต่หุ่นยักษ์เองก็เคลื่อนไหวไม่ได้เช่นกัน สมดุลของพลังเป็นไปเช่นนี้อยู่ราวสิบวินาที ในที่สุดเวทย์มนต์ที่ทุกคนรอคอยก็เสร็จสิ้น
“ดิสเปล!!”
คริสตัลขุ่นส่องแสงสีขาวสว่าง แสงสว่างไหลไปที่ปลายคริสตัลรูปว่าวที่ปลายสุด และยิงลำแสงสีขาวออกไป
ทันทีที่บาร์เรียร์ถูกลำแสงสีขาวจู่โจม มันก็แตกสลาย ลำแสงยิงทะลุผ่านหุ่นยักษ์ไปแต่ไม่สร้างความเสียหายให้กับมัน ถึงอย่างนั้นทุกคนรวมทั้งหญิงสาวบนไหล่ของหุ่นยักษ์เองก็รู้ดี ว่าเกราะของจอร์มุนกันด์ไม่ไร้เทียมทานอีกต่อไป
หลุยส์หมดเรี่ยวแรงล้มลงตรงที่เธอยืนอยู่ เพื่อนๆ ของเธอเดินเข้าไปหา ที่จริงก็อยากจะรีบวิ่งเข้าไปถ้าไม่ติดว่าใช้พลังไปเกือบเกลี้ยง
‘เดี๋ยวสิ...’ เวลส์คิดขึ้นในหัวขณะที่ทั้งหมดล้อมรอบเด็กสาวที่เหนื่อยอ่อนกว่าใคร ‘ถ้าพวกเราใช้พลังไปจนหมดแล้ว...ใครจะเป็นคนโจมตีล่ะ!’
คนอื่นๆ เองก็รู้สึกตัวเช่นเดียวกัน โคลเบลท์ซึ่งมีสำนึกในฐานะอาจารย์ลุกขึ้นขันอาสา แต่ก็ทรุดลงไปไม่เป็นท่าเพราะถึงจะเป็นสแควร์แต่พลังก็เกลี้ยงเหมือนๆ กับคนอื่น
อันเรียตต้ากระตุกแขนเสื้อเรียกเด็กหนุ่มผมทอง “ท่านเวลส์คะ” เธอชูมือที่มีแหวนเงินฝังอัญมณีสีฟ้าขึ้น
“ทับทิมวารี...อันเรียตต้า หรือว่าเธอ...” เห็นใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของเด็กสาวผมสีม่วงแดง เขาเองก็พลอยรู้สึกมีพลังขึ้นมาด้วย
สองผู้ปกครองยืนคู่กันที่หน้าสุดยอดอาวุธ สองมือกุมกันแน่นและสายตาแน่วแน่ คนอื่นๆ ถอยห่างออกไปขณะที่ทั้งคู่หยิบคทาขึ้นมาด้วยมือที่ว่างพลางพึมพำคาถา
‘วิชาเวทย์ที่ตกทอดกันมาในราชวงศ์ สองเวทย์รวมเป็นหนึ่ง’ เวลส์นึกในใจ แหวนทับทิมวายุที่นิ้วส่องแสงสีม่วง
‘เวทย์ที่ยิ่งใหญ่จะก่อกำเนิด สองไทรแองเกิ้ลรวมประสาน’ อันเรียตต้าท่องคำที่ได้เรียนมา แหวนทับทิมวารีส่องแสงสีฟ้า
‘เวทย์ที่เหนือล้ำแม้แต่เพนตากอนที่ปกครองพลังทั้งห้า’ ทั้งสองชี้คทาคู่กัน
‘พลังของเฮกซากอน!’
ลำแสงจากสองคทาหลอมรวมกันพุ่งเข้าไปในคริสตัลสีขุ่น แสงสว่างส่องออกมาเป็นสีม่วงและสีฟ้าสลับกันขณะที่มันไหลไปยังคริสตัลใสที่ปลายสุด
‘เอ...ท่านนักปราชญ์บอกว่าคทาแห่งศตวรรษรองรับพลังเวทย์ได้ถึงระดับสแควร์สินะ...’ ในเวลานั้นนักบวชหนุ่มจากโรมาเลียสังเกตการณ์อยู่ตลอดก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น
‘...องค์สันตะปาปาเทศน์เราหูชาแน่...’
จากคริสตัลใสที่ปลาย ‘คทาแห่งศตตวรรษ’ พายุหมุนลมน้ำพวยพุ่งออกมา ขนาดของมันใหญ่ยักษ์ถึงขั้นกลืนหุ่นเหล็กเข้าไปทั้งตัว
เชฟฟิลด์ที่รู้สึกถึงอันตรายได้หลบออกจากระยะการโจมตีไปก่อนจะถูกป่นเป็นผง เหมือนกับหุ่นเหล็กที่บัดนี้เกราะเหล็กแยกเป็นชิ้นๆ อยู่บนพื้นเหมือนกับยังไม่ได้ประกอบ และหุบเขาที่อยู่ข้างๆ แหว่งเว้าเป็นวง
กลุ่มที่อยู่บนหน้าผาตกตะลึงกับพลังทำลายที่เหนือล้ำจินตนาการไปมาก ต่างพากันฉลองชัยด้วยความยินดีกับวีรกรรมอันกล้าหาญของสองผู้นำอาณาจักร
ตึง!!
...
หมวกเหล็กขนาดยักษ์ตกลงมาห่างจากจุดที่ฉลองกันอยู่ไม่ถึงสิบเมตรและกลิ้งลงหน้าผาไป เสียงเฮฮาหยุด ทุกสายตามองหมวกเหล็กจนกระทั่งมันลงถึงพื้นข้างล่าง ...แล้วก็กลับมาโห่ฮิ้วกันใหม่
มีเพียงนักบวชหนุ่มผมทองเท่านั้นที่สนใจซากอารยธรรมซึ่งเคยเป็นสุดยอดอาวุธ ‘คทาแห่งศตวรรษ’ จนถึงไม่กี่วินาทีก่อน
‘...ใช่...องค์สันตะปาปาเทศน์เราหูชาแหงๆ...’
ขณะที่เหล่าเด็กๆ (และอาจารย์)พากันไชโยโห่ฮิ้ว ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตร บนยอดเขาหินลูกหนึ่ง ราชาแห่งกาเลียซึ่งยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านทางกล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวมาตั้งแต่ต้นฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว
“เมียวซ์ ดูสิ” เขาเรียกชื่อหญิงสาวผมดำที่เพิ่งจะพาร่างที่เปื้อนฝุ่นดำควันระเบิดมาถึงเมื่อครู่ “พลังนั่นที่ฉีกจอร์มุนกันด์ออกเป็นชิ้นๆ มันสุดยอดไปเลย เวทย์ว่างเปล่าที่สลายอาคมที่เกราะเองก็สมคำร่ำลือ ต้องแบบนี้สิมันถึงจะสนุก!” ราชาโจเซฟหัวเราะให้กับความบันเทิงที่เขาอุตส่าห์จัดฉากมาเป็นอย่างดี
“จะให้ทำยังไงต่อดีคะ?” เชฟฟิลด์ถาม “จะถอยหรือว่า...”
“ถอยเหรอ? ไม่หรอก จะถอยได้ยังไง โชว์ที่สนุกกว่านี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นตะหาก!” โจเซฟยิ้มพลางหัวเราะในลำคอ
เชฟฟิลด์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ ก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ล่วงหน้าซะหน่อยว่าถ้าจอร์มุนกันด์ถูกทำลายขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
กลับไปที่เสียงหัวเราะเฮฮา(กับเสียงน้ำตาของนักบวชบางคนที่ชะตาลิขิตให้กลับไปต้องโดนเฉ่ง)
“อา~วละ! ทีนี้ก็ได้เวลากลับกันซะที!” มาลิคอร์นชูสองมือขึ้นแสดงความดีใจ
“นั่นน่ะสิ~ เจอทั้งฝุ่นทั้งควันเนื้อตัวเปื้อนไปหมดแล้วเนี่ย~” คิลเก้บิดตัวไปมาพลางดึงชายเสื้อขอบกระโปรงเหมือนไร้เดียงสาต่อสายตาของนักเรียนชายสมาชิกอัศวินอองดีนที่อยู่ใกล้ๆ (แต่เราทุกคนรู้ดีกว่านั้น ใช่มั้ย?)
“วีรกรรมอันกล้าหาญของกลุ่มอัศวินอองดีนในครั้งนี้จะต้องเป็นที่โจษจัน...แล้วสาวๆ ก็จะ—!!” กีซพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกฝ่าเท้ายันลงไปฟุบหน้ากับพื้น
“อีตาบ้า! ขืนโจษจันกันสิมีหวังเกิดสงครามกันพอดี!” มอนท์โมรันซี่แหวลั่น แต่ความจริงเหตุผลมันอยู่ที่คำที่พูดไม่จบมากกว่าจะเป็นความสงบสุขของอาณาจักร
“...คทาแห่งศตวรรษ...ทั้งท่านนักปราชญ์ทั้งองค์สันตะปาปาเล่นเราเละแน่...” จูลิโอคุกเข่าก้มหัวคร่ำครวญอยู่ข้างเศษเหล็กอย่างผิดคาแร็คเตอร์
กลุ่มเด็กหนุ่มสาวกับผู้ดูแลเตรียมจะขึ้นเรือเหาะบินกลับบ้านไปสัมผัสซุปร้อนๆ เตียงอุ่นๆ
“เอ้า เอ้า จะรีบไปไหนกันล่ะ?”
กีซเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงและหันกลับไปมอง จากนั้นใบหน้าที่หวาดกลัวกับเสียงร้องที่ไม่เป็นภาษาของเขาก็ดึงให้ทุกคนหันกลับมามองตาม แต่ละคนมีสีหน้าที่เป็นระดับต่างๆ กันของคำว่า ‘หวาดกลัว’
ร่างสีดำในชุดสีน้ำเงินนั่งเท้าคางอยู่บนกองดินที่เกิดจากการตกของหมวกเหล็กเมื่อครู่ สีหน้าและสายตาดูหยิ่งยโสและเย็นชาอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เสียงและแรงกดดันที่แผ่ออกมาก็สมกับท่าทางวางอำนาจอย่างไร้ข้อกังขา
หลุยส์ตัวสั่น แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน...สองเหตุผล
“อ—เอ็กซ์...?” ไม่ว่าจะดูจากมุมไหนก็เป็นคนของเธอไม่ผิดแน่ แต่...เธอก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่
‘ดวงตาสีแดงคู่นั้น...!?!’ เธอนึกถึงความฝัน ในนั้นที่เธอเห็นเรปลิลอยด์หนุ่มถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าด้วยเพฌชฆาตที่มีดวงตาสีแดงก่ำ
“เรื่องสนุกๆ น่ะจากนี้ไปตะหาก”
ปราสาทอัลฮัมบรา ลานหน้าปราสาท
ใบหน้าของนักรบสีฟ้าซีดเผือดทั้งที่เรปลิลอยด์ไม่ได้มีเส้นเลือดที่หน้า เสียงที่เขาใช้พูดหายเข้าไปในลำคอเมื่อได้ยินคำพูดของเรปลิลอยด์สาว
“อะไร? ทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อยังงั้นล่ะ จะพูดให้ฟังอีกกี่ครั้งก็ได้ ว่ามนุษย์น่าสมเพชพวกนั้นจะต้องตายด้วยมือของมาสเตอร์เอ็กซ์” เลเวียธานแสยะยิ้มเย้ยใบหน้าที่หวาดกลัวของอีกฝ่าย
--
DX:”เฮ้ยยยยยยย!!~”
R:”ตกใจอะไรนักหนา?”
DX:”เจ้านั่น...ทำไมเจ้านั่นได้ออกแต่ฉันไม่ได้ออก!?!”
R:”ก็แกเป็น OC อยู่ดีๆ จะเอาไปออกได้ไง ปล่อยให้เจ้านั่นไปเถอะ”
DX”...ค่าตัวเจ้านั่นไม่ต้องจ่ายสินะ...”
R:”...เออ(รู้อีก)...”
DX:”ว่าแต่ดอกทิวลิปแดงนั่นมาจากไหน?”
R:”ฉันเอาไปปักไว้เอง เพิ่มความอีปิค”
DX:”...มันอยู่ในรูปอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ(ไม่ให้เครดิตเจ้าของอีก)...”
R:”...เออ(รู้อีก ก็จำไม่ได้นี่ว่าไปเอามาจากไหน)...”
S(ปักป้ายทิ้งไว้เขียนด้วยตัวหนังสือสีดำ): พักรับประทานอาหารกลางวัน
ความคิดเห็น