คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 6: วันพักก่อนออกเดินทาง
ที่เมืองท่าลา โรแชลล์ เมืองแห่งเดียวที่เป็นทางผ่านไปยังอาณาจักรบนเวหา อัลเบี้ยน คณะเดินทางเข้าพักโรงแรมที่หรูที่สุด [วิหารของเทพธิดา] เป็นโรงแรมที่แม้แต่ชนชั้นสูงบางคนยังรู้สึกประหม่า โต๊ะและพื้นทำจากหินอ่อน สะอาดมันแผลบจนมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง
วาลด์กับหลุยส์กลับจากไปดูท่าเรือ วาลด์นั่งลงที่โต๊ะและแจ้งว่าเรือจะออกวันมะรืน ความไม่สบายใจมีอยู่ในน้ำเสียงของเขา หลุยส์ก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน เพราะภารกิจนี้ค่อนข้างเร่งด่วน
ไซโตะกับคนอื่นๆ ผ่อนคลาย คิดว่าพรุ่งนี้จะได้พักให้สบาย มีแต่เอ็กซ์ ทาบาสะ และวาลด์ที่ยังสำรวมอาการเหมือนเดิม
“คืนพรุ่งนี้ดวงจันทร์จะเริ่มซ้อนกัน ถ้าสนิทเมื่อไหร่ อัลเบี้ยนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ลา โรแชลล์ที่สุดครับ” นักเดินทางหนุ่มอธิบายให้คีร์เก้กับไซโตะที่ไม่เคยไปอัลเบี้ยนฟัง ทาบาสะพยักหน้าเสริม
วาลด์วางกุญแจสามดอกลงบนโต๊ะ สามห้อง ห้องหนึ่งให้คีร์เก้กับทาบาสะ อีกห้องให้ไซโตะ กีช และเอ็กซ์ ส่วนอีกห้องให้วาลด์และหลุยส์
ไซโตะเกือบจะตะโกนออกมาเสียงดัง แต่เป็นหลุยส์ที่ท้วงออกมาอย่างเอียงอายซะก่อนว่าเป็นแค่คู่หมั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน วาลด์บอกว่าเขาเพียงแค่มีเรื่องที่ต้องคุยกับหลุยส์
...
ด้านนอกหน้าต่างห้อง ไซโตะเอามือขวาเกาะขอบหน้าต่าง และไม่ใช่หน้าต่างห้องของตัวเอง แต่เป็นของนายหญิงกับคู่หมั้น สายตามองลอดช่องผ้าม่านอย่างเอาเป็นเอาตาย มือซ้ายถือเดอร์ฟลิงเกอร์ รูนส่องแสง ทำให้เขามองได้ชัดขึ้น
“หนอย~ เจ้าบ้านั่น...!” ไซโตะกัดฟัน จิตสังหารรุนแรงขึ้นและสงบลงเป็นจังหวะกับที่ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กัน แล้วก็ห่างออกไป ซ้ำไปซ้ำมา เดอร์ฟลิงเกอร์พูดเหน็บแนมเด็กหนุ่มผมดำ ว่าทำตัวเป็นหนอนเกาะหน้าต่างมองดูคู่รักสวีทกันในห้อง
คีร์เก้จู่ๆ ก็กระโดดมาจากไหนก็ไม่รู้เข้าขี่คอไซโตะ ทางด้านหน้า กระโปรงสั้นจากเยอร์มาเนียบดบังสายตาของเด็กหนุ่ม หลังจากที่ทั้งคู่ยื้อยุดกันได้สักพัก หน้าต่างก็เปิดขึ้น หลุยส์ไล่ให้ไปสวีทกันที่อื่น จบด้วยการเอาเท้าประทับใบหน้าของไซโตะ เขาร่วงหลุดจากขอบหน้าต่าง โชคดีที่รูนยังทำงาน เขาปักดาบเข้ากับกำแพง ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน
“จะฆ่าฉันเรอะ?!?”
“สมควรตายมั้ยเล่า!”
วาลด์นั่งอยู่ในห้อง มองเหตุการณ์ด้วยความบันเทิงใจ ส่วนคีร์เก้บินหนีไปแล้ว
มีเพียงสี่คนนี้ที่ยังอยู่ในโรงแรม กีชออกไปหม้อสาว ส่วนทาบาสะกับเอ็กซ์ออกไปเดินดูรอบๆ ที่จริงเอ็กซ์ออกไปคนเดียว แต่เด็กสาวสวมแว่นตามมา เงียบไม่บอกเหตุผลเหมือนเคย
ตามที่หลุยส์เคยพูดไว้ การเดินทางด้วยม้าจากโรงเรียนมาถึงเมืองท่าลา โรแชลล์ต้องใช้เวลาสองวัน เมืองแห่งนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่ทั้งแคบและลึก เพราะเหตุนี้ประชากรแท้ๆ จึงมีเพียงสามร้อยคน และเพราะลา โรแชลล์เป็นเมืองท่าที่จะนำไปสู่อัลเบี้ยน ประชากรที่เป็นนักเดินทางจึงมีถึงสิบเท่าของคนท้องถิ่น
หินก้อนยักษ์ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งทางใต้หุบเขาแคบๆ ก้อนหินเหล่านั้นถูกเจาะเป็นช่อง และใช้เป็นอาคารสถานที่ต่างๆ ร้านค้า โรงเตี๊ยม ทุกอย่าง ทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดา แต่เป็นการแกะสลักจากหินก้อนใหญ่ก้อนเดียวของจอมเวทดินระดับสแควร์
ถนนเส้นแคบๆ ดูมืดครึ้มแม้ดวงอาทิตย์จะยังโผล่อยู่ครึ่งดวง เหตุเพราะมันอยู่ใต้เงาของหุบเขาที่สูงชัน ถ้าหากเลี้ยวที่หัวมุมข้างหน้า จะพบกับถนนเส้นที่แคบกว่านำไปสู่บาร์ที่ปลายสุด
บนป้ายที่มีรูปร่างคล้ายกับถังไวน์เป็นชื่อ ‘บาร์ถังไวน์ทอง’ แต่แน่นอนว่าภายในไม่มีถังไวน์ทองจริงๆ หรอก อันที่จริงแล้วเหมือนบ้านร้างซะมากกว่า โดยเฉพาะเก้าอี้ไม้ที่ผุพังกองรวมกันอยู่ที่มุม
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นทหารรับจ้างหรือพวกนักเลงเจ้าถิ่น เมาเมื่อไรแค่เหยียบเท้าก็ได้วางมวยกันอุดตลุด
ทว่าจะเรียกว่ามวยก็คงไม่ใช่ เพราะหากมีกระทบกระทั่งกันขึ้นมาจริง ต่างฝ่ายต่างก็เลือกที่จะใช้อาวุธมากกว่ามือเปล่า ดังนั้นถ้าหากจะมีศพสองศพก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจ้าของร้านก็ไม่ใช่คนที่หัวใจแข็งแรงอะไร และไม่อยากจะจากไปก่อนวัยอันควร จึงได้ตั้งป้ายเตือนเอาไว้ด้านใน
‘กรุณาใช้เก้าอี้’ ที่มาของกองเก้าอี้พังๆ ที่มุมนั่นเอง
ลูกค้ามองเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของเจ้าของร้าน ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มทำตาม ใช้เก้าอี้แทนมีดดาบ ดังนั้นถึงจะมีคนบาดเจ็บแต่ก็ไม่มีคนตายอีก ทว่าเพื่อการนั้นเจ้าของร้านก็ต้องเสียตังค์ค่าเก้าอี้เพิ่มแทน
วันนี้เองก็เช่นเคย ลูกค้าทหารรับจ้างและนักเลงหัวไม้ ทว่าทหารรับจ้างมีจำนวนมากกว่าทุกวัน เพราะส่วนหนึ่งอพยพมาจากอัลเบี้ยน
“ราชวงศ์อัลเบี้ยนจบเห่แล้ว”
“งั้นก็จะได้มีสาธารณรัฐกันแล้วน่ะสิ?”
“ฉลองกันหน่อย!”
...ก็แค่หาเรื่องก๊งล่ะว้า...
พวกที่ดื่มก็ไม่ใช่ใคร ทหารรับจ้างที่ปฏิเสธคำขอจากราชวงศ์ เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับจำนวนที่ต่างกันอย่างมหาศาลของคณะปฏิวัติ แต่หากใครจะเรียกการกระทำนี้ว่าไร้เกียรติ นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น ในฐานะทหารรับจ้าง สิ่งที่จูงใจให้สู้หาได้ใช่ความเชื่อและศรัทธา แต่เป็นเพื่อเลี้ยงปากท้อง การจะหาทหารรับจ้างที่เสี่ยงชีวิตในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเพื่อนายจ้างนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
เสียงประตูหน้าร้านเปิด เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาในเสื้อคลุมฮู้ดสีขาวและผ้าสีแดงพันที่เอวเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาวสวมแว่นในเครื่องแบบนักเรียน สายตาในร้านมองมาที่พวกเขา ทว่าทั้งคู่ไม่แสดงอาการตื่นกลัวแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่เข้ามาในที่อย่างนี้ ไม่ว่าจะจากการเดินทาง หรือจากภารกิจของอัศวิน ทั้งสองเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งเจ้าของร้านยืนอยู่ ประสบการณ์บอกทั้งคู่ว่าการไม่สบตากับพวกทหารรับจ้างหรือนักเลงหัวไม้ที่ชินกับความรุนแรงจะเป็นการดีที่สุด
“มาสเตอร์” เอ็กซ์เอ่ยคำที่ใช้เรียกเจ้าของบาร์ เขาสั่งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มาสองที่ ถือวิสาสะสั่งให้เด็กสาวสวมแว่น ชิงก่อนที่เธออาจจะได้สั่งอะไรมีแอลกอฮอล์
“ลูกค้าที่นี่ดูจะมีแต่ทหารรับจ้างทั้งนั้นเลยนะ” เขาพูดกับเจ้าของบาร์ ซึ่งก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีใจเท่าใดนัก
“เมื่อก่อนก็ไม่ใช่น้อย แต่ตอนนี้มีที่อพยพมาจากอัลเบี้ยน ก็เลยเยอะมากอย่างที่เห็น”
ทาบาสะนั่งดื่มเครื่องดื่มของตัวเองในท่าทางที่ไม่เหมาะกับเด็กผู้หญิงร่างเล็กอย่างเธอ น่าจะใช้สองมือยกดื่มให้ดูน่าเอ็นดูสมวัย เธอมีสีหน้าไม่ใส่ใจโลกแต่จริงๆ ก็ฟังบทสนทนาของนักเดินทางหนุ่มกับเจ้าของบาร์อยู่
“พอจะรู้รึเปล่าว่าเร็วๆ นี้มีใครจ้างกองทหารรับจ้างบ้าง?”
“ก็มีอยู่คนนึงนะ จ้างไปเกือบหมดร้าน ที่นั่งอยู่นี่เกือบทั้งหมดอยู่ในสัญญาจ้าง มีส่วนหนึ่งถูกเรียกให้ไปทำงาน แต่ว่ายังไม่กลับมาเลย...” เจ้าของบาร์ลูบคางด้วยความฉงนสนเท่ห์
“แล้วคนที่จ้างเป็นใครเหรอ?”
“เป็นผู้หญิง คลุมตั้งแต่หน้าลงไปก็เลยไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ว่าผมสีเขียวแล้วก็เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เงินหนักน่าดูเลย”
เอ็กซ์หรี่ตาลง เขาคิดว่าเขาอาจจะได้อะไรบ้างแล้ว
...
เอ็กซ์และทาบาสะเดินกลับโรงแรม
พวกเขาสอบถามข้อมูลเท่าที่ถามได้แล้ว(ที่จริงเป็นเด็กหนุ่มถาม และเด็กสาวนั่งฟัง)
เพราะเป็นเมืองท่าที่มีคนเดินทางสัญจรมากมาย แม้ตะวันจะตกดินไปแล้ว ถนนในเมืองก็ยังสว่างไสว
เอ็กซ์เดินไปก็มองดูร้านค้าตามรายทางไปตามประสานักเดินทาง ขณะที่ทาบาสะมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ก็ยังรักษาระยะไม่ให้ห่างจากคนที่เดินตามหลังมากเกินไป
เอ็กซ์นึกว่าถ้าเป็นเด็กสาวผมฟ้าจะทิ้งเขาไว้และเดินกลับโรงแรมไปคนเดียวเสียอีก การที่เธอรอทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อเด็กสาวหยุด เขาไม่ทันมองก็เดินชนหลังเธอ แต่ไม่แรงพอจะทำให้ถึงกับเซ
“มีอะไรเหรอครับ?”
ทาบาสะไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเขา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ เพราะสายตาจับจ้องสิ่งสิ่งหนึ่งราวกับถูกสะกด
‘ตุ๊กตา?’
ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับเด็กสาว ใครจะชอบตุ๊กตาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่มันกะทันหันจนเขาไม่ทันตั้งตัว
“เชิญเลยครับ จะจับจะกอดดูก็ได้ไม่ว่ากัน” เจ้าของร้านต้อนรับอย่างเป็นมิตร เข้ากับบรรยากาศสว่างไสวบนท้องถนน
เขาเปิดร้านขายของที่ระลึกมานับสิบปี ของทุกชิ้นไม่ว่าเก่าใหม่เขาล้วนเก็บรักษาอย่างดี คำว่า ‘หมดสมัย’ นั้นใช้กับธุรกิจนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว ของนั้นจะ ‘เก่า’ หรือ ‘ใหม่’ ไม่สำคัญ อยู่ที่มัน ‘โทรม’ หรือ ‘สภาพดี’ ที่ลูกค้าใส่ใจ
ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเมื่อเด็กสาวผมฟ้าตรงรี่เข้ามาหยิบตุ๊กตามือสองขึ้นมาโดยไม่ดูอย่างอื่น
เอ็กซ์ยืนด้านหลังทาบาสะ มองข้ามไหล่เด็กสาวไปที่ตุ๊กตา
เป็นตุ๊กตายัดนุ่นตัวเล็ก รูปร่างเป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นสีดำสวมชุดสีชมพูอ่อน
ก็ดูเป็นตุ๊กตาธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ
ทาบาสะจับตุ๊กตาพลิกแล้วพลิกอีก ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
“ตุ๊กตาตัวนี้...!” เธอหันไปทางเจ้าของร้าน แล้วก็หยุดชะงัก
“ครับ?”
เจ้าของร้านรอฟังว่าเด็กสาวจะพูดอะไรต่อ แต่มือที่ถือตุ๊กตาของเธอค่อยๆ ลดลง และทำท่าจะวางมันคืนที่ ถ้ามือในปลอกแขนหนังสีน้ำตาลไม่ห้ามเธอไว้
“ตุ๊กตาตัวนี้เท่าไหร่?”
ทาบาสะมองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาตาโตขณะที่เขาถามราคาและจ่ายเงินเสร็จสรรพ ถึงสีหน้าเธอจะไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไร แต่เห็นได้ชัดว่าเธอประหลาดใจและสับสน
“ไปกันเถอะครับ” เด็กหนุ่มยิ้มและออกเดินไปก่อน คราวนี้คนนำและคนตามหลังสลับตำแหน่งกัน
คำถามอยู่ในหัวของทาบาสะมากมายขณะที่เธอมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผ้าพันเอวแดง
เขาทำอย่างนั้นทำไม? เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ? หรือว่าเขาเพียงแค่ ‘ซื้อตุ๊กตา’ ไม่มีอะไรพิเศษ?
โรงแรม<วิหารของเทพธิดา>ตั้งอยู่บนหน้าผา จากตัวเมืองต้องเดินขึ้นทางลาดชันติดหน้าผา
ห่างไกลจากแสงสีและไม่มีแม้แต่เงาคน เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเธอหยุดเดิน ทำให้เธอหยุดตาม
เด็กสาวมองตุ๊กตาถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่มีรอยยิ้มละไม
“ผมให้ครับ”
เด็กสาวไม่ตอบ แต่มองเขาแล้วกะพริบตา
“ของขวัญจากเพื่อนน่ะครับ ช่วยรับไว้ด้วยเถอะนะครับ ไม่งั้นผมเสียใจแย่เลย”
ทาบาสะก้มลงมองตุ๊กตาที่อีกฝ่ายยื่นให้เธอ และค่อยๆ เอื้อมมือไปรับมาอย่างนิ่มนวล
เอ็กซ์มองเด็กสาวสวมแว่นด้วยแววตาเอ็นดูขณะที่เธอลูบคลำตุ๊กตาที่เขาให้
แววตาของเด็กสาวตอนที่ชะงักไปหลังจากโพล่งออกมาอย่างผิดปกติวิสัยนั้นแฝงด้วยความกลัว ท่าทางตอนที่ค่อยๆ วางตุ๊กตาลงแสดงถึงความลังเลและความรู้สึกผิด
แม้เขาจะยังไม่ได้ทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับเด็กสาวมากมาย แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอหนีปัญหา จึงได้ทำไปอย่างนั้น
เด็กสาวพลิกตุ๊กตาให้หันหน้าออกแล้วกอดเอาไว้กับตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและถามคำถามหนึ่งกับเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา
“ตุ๊กตาตัวนี้...เหมือนกับฉันมากเลยเหรอ?”
คราวนี้เอ็กซ์เป็นฝ่ายกะพริบตาปริบๆ เขาไม่รู้ว่าคำถามนั้นมาจากไหน หรือมีความหมายแฝงอะไร เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงตัดสินใจตอบไปตามความเห็นจริงๆ
“ถ้าไม่นับที่รูปร่างดูเหมือนจะเป็นเด็กผู้หญิงแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนะครับ?”
เอ็กซ์จับตาเด็กสาวสวมแว่นเพื่อดูปฏิกิริยา ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรไม่สมควรไปหรือเปล่า
เขาประหลาดใจเมื่อเด็กสาวยิ้มออกมา แค่มุมปากโค้งขึ้นนิดเดียว มองแทบไม่ออก แต่ก็เป็นยิ้มที่แสดงถึงความสุขใจ
‘ค่อยยังชั่ว ดูเหมือนจะตอบถูกสินะ’ เอ็กซ์โล่งอก แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
ทาบาสะกอดตุ๊กตาแล้วมองเด็กหนุ่มโดยไม่พูดอะไร ส่วนเอ็กซ์ก็ไม่มีอะไรจะพูด บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วน
“ว่าแต่จะตั้งชื่อตุ๊กตาว่าอะไรเหรอครับ?” เอ็กซ์ถามคำถามแรกที่คิดออก แม้จะไม่ได้สนใจอยากรู้มากมาย
แววตาของเด็กสาวกระตุกไปวูบหนึ่ง เอ็กซ์ใจเสียนึกว่ามาตกม้าตายตอนจบ แต่ความหดหู่เปลี่ยนเป็นความกล้า ทาบาสะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่น
“ทาบาสะ”
“...เอ๋?”
“ชื่อของตุ๊กตา คือทาบาสะ”
เอ็กซ์ยิ่งคุยก็รู้สึกว่ายิ่งงง แต่ความเด็ดเดี่ยวในแววตาของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่ถามอะไร นอกจากพยักหน้าแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม
“เป็นชื่อที่เหมาะดีนะครับ”
ทาบาสะเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง รอยยิ้มที่หายากคลี่ออกเป็นครั้งที่สอง
“แต่ว่าทีนี้ถ้าผมจะเรียกคุณกับตุ๊กตา จะเรียกยังไงดีล่ะครับ?” เอ็กซ์ถามยิ้มๆ
“เรียกฉันว่า [ชาร์ล็อตต์]”
เอ็กซ์ประหลาดใจกับบทสนทนานี้จนไม่แสดงอาการแล้ว เพียงแค่พยักหน้าแล้วตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น มิสชาร์ล็อตต์ เรารีบกลับโรงแรมกันเถอะครับ ไวส์เคานต์และคนอื่นๆ อาจจะเริ่มเป็นห่วงแล้วก็ได้”
ชาร์ล็อตต์พยักหน้า แล้วก็เดินตามหลังเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาไป ริมฝีปากเธอคลี่เป็นรอยยิ้มตลอดทาง
...
วันรุ่งขึ้น เสียงเคาะประตูทำให้เอ็กซ์รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขานอนบนพื้นห้องและยกสองเตียงให้กีชกับไซโตะ เขามองเด็กหนุ่มสองคนซึ่งยังคงหลับอุตุเนื่องจากอาการเหนื่อยล้า และลุกไปเปิดประตู
วาลด์ยืนอยู่ที่หน้าห้อง ไม่คาดคิดว่าคนที่มาเปิดจะเป็นสามัญชน
“อรุณสวัสดิ์” วาลด์กล่าวทักทายสั้นๆ เอ็กซ์ยิ้ม แล้วตอบ
“ซาวิเยร์ครับ อรุณสวัสดิ์ครับท่านไวส์เคานต์” เขารู้ว่าอีกฝ่ายลืมชื่อไปแล้ว จึงทวนให้ฟัง วาลด์ผงะ แต่ยังรักษาสีหน้าไว้ได้ มองข้ามเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปในห้อง
“สองคนนั่นยังหลับอยู่เหรอ?”
“คงจะเหนื่อยน่ะครับ” เอ็กซ์ตอบแทนทั้งสองคนที่หลับไม่รู้เรื่อง
“แล้วเจ้าล่ะ? ไม่เหนื่อยรึไง?”
“ผมเป็นนักเดินทาง ก็เลยทนกว่าพวกเขาครับ”
วาลด์มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา แล้วเปิดปากถาม
“เจ้าบอกว่าเจ้าเองก็อยู่ด้วยตอนที่ฟูเก้ต์ถูกจับสินะ?”
“ครับ” เอ็กซ์ตอบรับ ไม่ใส่ใจคำพูดที่บอกเป็นนัยว่าเขายืนดูเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไร
“ตอนนั้นอสูรรับใช้คนนั้นเป็นยังไงบ้าง? ได้ยินมาว่าจับฟูเก้ต์ได้คิดว่าคงมีฝีมือพอตัว”
เอ็กซ์เริ่มเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“ไม่ถามเขาเองล่ะครับ” เอ็กซ์เดินเข้าไปเขย่าตัวเด็กหนุ่มผมดำให้ตื่นขึ้น “ไซโตะ มีคนมาหานาย”
ไซโตะงัวเงียลุกขึ้น ยังไม่ทันจะได้อ้าปากหาวก็ได้รับคำทักทายจากขุนนางหนุ่ม
“อรุณสวัสดิ์ กันดาล์ฟร์”
“เอ๋?”
...
เมืองท่าลา โรแชลล์แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นปราการป้องกันการรุกรานจากอัลเบี้ยน จึงมีลานสวนสนามที่ถูกทิ้งร้างอยู่ วาลด์ต้องการจะประลองกับอสูรรับใช้ในตำนานที่นั่น
“สมัยที่ราชาฟิลิปที่สามปกครองทริสเทน สมัยที่ชนชั้นสูงยังสมเป็นชนชั้นสูง พวกเขาจะตัดสินกันด้วยการดวล เวทมนตร์ต่อเวทมนตร์ ชีวิตต่อชีวิต แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องน่าเบื่อ อย่างเช่นแย่งคนรักกัน” วาลด์จงใจส่งความหมายแฝงให้คู่ประลอง
“ตามกฎแล้วต้องมีสักขีพยาน และคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือ...”
เด็กสาวผมสีชมพูเดินงัวเงียเข้ามาในชุดนอน มองอสูรรับใช้สลับกับคู่หมั้นอย่างงงๆ แล้วจึงเอ่ยถามว่าทำอะไรกัน
“พ่อขุนนางคนนี้บอกว่าอยากจะทดสอบความสามารถของฉันไงล่ะ” ไซโตะตอบแกมเสียดสีหน่อยๆ
“อะไรนะ!? นายหยุดเดี๋ยวนี้เลย นี่คือคำสั่ง!” หลุยส์ตกใจสั่งห้ามอสูรรับใช้
“คู่หมั้นของเธอตะหากที่ท้าฉัน จะอัศวินเวทหรือราชองครักษ์ก็ไม่รู้ล่ะ ถ้าคิดว่าสามัญชนจะต้องเป็นมวยรองบ่อนเสมอไปล่ะก็ ฉันคนนี้จะสั่งสอนให้รู้เอง!
ไซโตะชักเดอร์ฟลิงเกอร์ออกมาจากกลางหลัง วาลด์หยิบคทาเหล็กที่มีความยาวและด้ามจับเหมือนเรเปียร์ออกมา แล้วการประลองก็เริ่มขึ้น
อักขระที่หลังมือซ้ายของเด็กหนุ่มผมดำเปล่งแสง เขาวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้และฟาดดาบใส่ตรงๆ ด้วยความเร็วและกำลังที่ไม่น่าเชื่อว่ามาจากแรงกายของเด็กหนุ่มสามัญธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์
‘นี่เองเหรอ พลังของกันดาล์ฟร์ที่ว่า...’ เอ็กซ์ต้องยอมรับว่าเป็นพลังที่น่าทึ่งไม่ใช่น้อย
ความสามารถของไซโตะเพิ่มขึ้นด้วยพลังจากรูนของกันดาล์ฟร์มากก็จริง แต่ก็ได้เพียงแค่สูสีกับวาลด์ และหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินก็ยังไม่ได้ใช้เวทมนตร์เลย เพียงแค่รับอย่างเดียวเท่านั้น
เอ็กซ์จับตาดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิด เขามองดูสองร่างเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ฟังเสียงแหลมของเหล็กปะทะเหล็ก
สองร่างที่ปะทะกันอย่างดุเดือดต่างถอยทิ้งระยะ ไซโตะใช้จังหวะนี้พักฟื้นลมหายใจที่ติดขัด ขณะที่วาลด์ไม่แสดงอาการเหนื่อยเลย
“อัศวินเวทน่ะไม่ได้ต่อสู้ด้วยเวทมนตร์เท่านั้นหรอกนะ” วาลด์ยืนตรง มือขวาที่ถือคทาเหล็กหมุนขยับ
“วิธีที่เราใช้ร่ายคาถาถูกประดิษฐ์ขึ้นสำหรับการต่อสู้โดยเฉพาะ ท่าทางในการถือคทา การเคลื่อนไหวขณะเข้าปะทะ การใช้คทาแบบเดียวกับใช้ดาบ ผสานรวมเข้ากับเวทมนตร์ นั่นล่ะคือพื้นฐานของพื้นฐานในฐานะอัศวินเวท!”
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง ดูแค่นี้ก็รู้ว่าใครจะชนะ ไซโตะมีสมรรถภาพสูงเหนือเด็กหนุ่มธรรมดา แต่ทักษะก็ยังเป็นของมือใหม่ ขณะที่วาลด์เป็นอัศวินเจนสมรภูมิ
“เจ้าน่ะปกป้องหลุยส์ไม่ได้หรอก” ในที่สุดวาลด์ก็เข้าสู่ความเร็วที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางมองทัน ไซโตะถูกคทาเหล็กซัดอย่างจัง
“เดล วิล โซล ลา วินเด้” วาลด์ร่ายคาถาในระหว่างการโจมตี กว่าที่ไซโตะจะรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คือการโจมตีที่ต่อเนื่องเป็นชุด เขาก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นซัดกระเด็นไปเกือบสิบเมตร ชนเข้ากับกองถังไม้จนล้มระเนระนาด ไซโตะเอื้อมมือไปจะหยิบอาวุธที่ทำหลุดมือ ทว่าเท้าของวาลด์เหยียบลงบนดาบเหล็ก เป็นอันปิดฉากการต่อสู้ลง
วาลด์เดินจากไป และเรียกให้หลุยส์ตาม เด็กสาวผมสีชมพูหันมามองอสูรรับใช้ด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนจะเดินตามหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินไป
เอ็กซ์เข้าไปหาไซโตะที่นั่งนิ่งอยู่กับพื้น ไม่ขยับตัวลุกขึ้น
“แพ้ราบคาบเลยนะไอ้คู่หู” เดอร์ฟลิงเกอร์พูด น้ำเสียงไม่ได้ปลอบใจ แต่ก็ไม่ได้พูดล้อเลียนเหมือนทุกที
ไซโตะไม่ตอบ แพ้คนที่ตัวเองไม่ชอบหน้า และเขาเองก็รู้ ว่าที่ตัวเองไม่ชอบหน้าก็เพราะความอิจฉา ที่ตัวเองเทียบกับคนคนนั้นไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว และยิ่งกว่าอะไร คือแพ้ต่อหน้าหลุยส์ หลุยส์ที่เป็นทุกอย่างของเขา คุณค่าที่เขามีก็เพราะคอยปกป้องหลุยส์ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ไม่ว่าศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ไม่เหลือ
ไซโตะเก็บเดอร์ฟลิงเกอร์คืนที่ฝักกลางหลังและลุกเดินกุมท้องออกไปโดยไม่ปริปากอะไร
เอ็กซ์มองตามแผ่นหลังที่เศร้าสร้อยของเด็กหนุ่ม เขารู้สึกเห็นใจ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้เขาเป็นคนนอก ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยได้ และยิ่งไม่มีคำพูดใดจะปลอบใจคนที่แพ้ในการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยความหมายของชีวิตได้
...
ที่ชั้นล่างของโรงแรมเป็นบาร์ ตกเย็นจะมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารตามโต๊ะที่จัดไว้ให้ กีชและคนอื่นๆ รวมทั้งเอ็กซ์กินดื่มกันอยู่ที่ชั้นล่าง ทว่าบทสนทนาก็ไม่พ้นคนที่ไม่อยู่ด้วย คือหลุยส์และไซโตะ ไม่ได้เกรงใจคู่หมั้นของหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่ด้วยเลย
“ว่าก็ว่าเถอะนะ ไซโตะมันน่าจะยอมรับไปซะว่าตัวเองหึงหลุยส์น่ะ!” กีชพูดด้วยใบหน้าที่เริ่มจะเป็นสีแดงจางๆ เขาเริ่มจะมึนๆ แล้ว
“ไม่มีทางหรอก~ ดาร์ลิ้งของฉันจะไปหึงยัยเตี้ยแบนอย่างนั้นได้ยังไง?~” คีร์เก้ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน
วาลด์เพียงแค่ดื่มอย่างรักษาอาการ ไม่คอมเมนต์บทสนทนาของคนเมา
ทาบาสะอยู่ในชุดนอนนั่งอ่านหนังสือ เธอจัดการเนื้อย่างชิ้นโตไปแล้ว แต่ไม่แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูเหมือนว่าเธอจะขมักเขม้นกับการอ่านหนังสือมาก แต่ความจริงเธอก็กำลังคิดอย่างเดียวกับเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่นั่งอยู่ข้างๆ
คืนนี้ดวงจันทร์สองดวงเริ่มซ้อนกัน อัลเบี้ยนจะเข้าใกล้กับแผ่นดินที่สุด และจะได้ออกเดินทางในย่ำรุ่งที่กำลังจะถึง ถ้าทั้งคู่คิดไม่ผิด คืนนี้จะต้องเกิดเรื่องแน่
ประตูโรงแรมเปิดผางออก กลุ่มทหารรับจ้างกรูกันเข้ามา ไม่ได้มาเป็นลูกค้า แต่มาสาดธนูและหน้าไม้เข้าใส่กลุ่มของวาลด์ที่กำลังดื่มกันอยู่ ลูกค้าคนอื่นหลบเข้าหาที่กำบัง สามนักเรียนกับหัวหน้าหน่วยกริฟฟินใช้เวทมนตร์ตอบโต้ขณะที่เอ็กซ์ใช้ดาบสั้นปัดป้องลูกธนูให้ในระหว่างร่ายคาถา แต่ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป ยังกับว่าทหารรับจ้างทุกคนมารวมกันอยู่ที่นี่ และสาดกระสุนทั้งหมดที่มีใส่คนแค่ห้าคน ถึงตรงนี้ใครที่เมาก็สร่างเรียบร้อย
คีร์เก้พลิกโต๊ะตัวหนึ่งใช้แทนที่กำบัง ทุกคนเข้าไปหลบหลังโต๊ะ คงจะปลอดภัยจากห่าฝนดอกธนูได้สักพัก ที่สุดยอดก็คือทาบาสะ...ยังอ่านหนังสืออยู่...เอ็กซ์รู้สึกทึ่งไม่น้อย
(Credit: baka-tsuki.org)
ทหารรับจ้างเหล่านี้เคยชินการสู้กับผู้ใช้เวทมนตร์ สังเกตลักษณะและระยะเวทมนตร์ของทั้งสี่คน ใช้ธนูโจมตีจากระยะไกล พังโคมไฟ ซ่อนตัวในความมืด เป็นการต่อสู้ที่เสียเปรียบสำหรับกลุ่มที่จำนวนน้อยกว่าและเป็นเหมือนเป้านิ่ง
ตอนนั้นเองที่ไซโตะแกว่งดาบพาหลุยส์ฝ่าเข้ามารวมกับทุกคนหลังโต๊ะ ตามเขามาคือเสียงดังสนั่นและเท้าดินยักษ์ของโกเลม ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้กันแล้วว่าฟูเก้ต์มา
“ลำบากซะแล้วสิ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่มาปล้นเฉยๆ” วาลด์พึมพำ
“หรือว่าพวกนี้กับฟูเก้ต์จะอยู่ฝั่งเดียวกับชนชั้นสูงอัลเบี้ยน?” หลุยส์พูดขึ้นตาโต
“...เจ้าพวกนี้คิดจะให้เราใช้เวทมนตร์จนเหนื่อย แล้วบุกเข้ามารวดเดียว” คีร์เก้สันนิษฐานจากการเคลื่อนไหวของศัตรู
“ฟังให้ดีนะทุกคน” วาลด์พูดเป็นส่วนรวม “ภารกิจครั้งนี้ เพียงแค่พวกเรากลุ่มหนึ่งไปถึงอัลเบี้ยนได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าสำเร็จ”
ทาบาสะปิดหนังสือลง เด็กสาวสวมแว่นหันไปทางวาลด์ ใช้ไม้เท้าชี้ตัวเอง กีช และคีร์เก้ พึมพำว่า ‘เหยื่อล่อ’ จากนั้นก็ชี้ที่วาลด์ หลุยส์ ไซโตะ และเอ็กซ์ กับอีกคำหนึ่งว่า ‘ท่าเรือ’
“เวลาล่ะ?” วาลด์ถามเด็กสาว
“เดี๋ยวนี้”
“เราจะไปทางประตูหลัง ตามที่วางแผนกันไว้” วาลด์หันไปพูดกับสามคนที่จะไปกับเขาด้วย
“ด—เดี๋ยวสิ!” ไซโตะกับหลุยส์ทำท่าจะค้าน แต่วาลด์พูดแทรกขึ้น
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา เราจะอาศัยช่วงที่ศัตรูสับสน หนีออกจากที่นี่ และไปที่ท่าเรือ”
“แต่...แต่ว่า...” หลุยส์ทำใจทิ้งเพื่อนไม่ลง
คีร์เก้ยกมือขึ้นเสยผม ทำสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน
”ฮ่า~ ช่วยไม่ได้ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปอัลเบี้ยนกับพวกเธออยู่แล้วนี่ แค่อย่าเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเหยื่อล่อเพื่อเธอก็พอ วาลลิแยร์”
กีชพึมพำกับกุหลาบที่ถือด้วยมือที่สั่นเทา
“ฉันอาจจะตายที่นี่ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็จะไม่ได้พบองค์หญิงอังริเอตต้าอีก...”
ทาบาสะพยักหน้าให้กับพวกไซโตะ
“ไป”
หลุยส์มองทั้งสามคนด้วยแววตาแน่วแน่ ก้มศีรษะลงเป็นการแสดงความเคารพ ก่อนที่เธอกับคณะเดินทางอีกสามคนจะหมอบตัวลงต่ำ และออกวิ่งไปทางประตูหลัง ดอกธนูไล่ตามไป แต่สายลมจากไม้เท้าของทาบาสะปัดมันลงกับพื้น
...
สี่คนหนีออกจากบาร์ เสียงระเบิดดังขึ้นด้านหลัง
“เริ่มแล้วสินะ” หลุยส์พึมพำ
“ท่าเรืออยู่ทางนี้” วาลด์วิ่งนำ
เอ็กซ์นึกไปถึงที่ทริสเทน ภารกิจนี้ถูกศัตรูล่วงรู้เข้าแล้ว ความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นกับภารกิจทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจในตัวเอง ว่าเขาต้องการให้ภารกิจนี้สำเร็จจริงหรือ? เขาจะทนเห็นผู้หญิงที่เขารักแต่งงานโดยไม่มีความสุขได้งั้นหรือ?
ใต้แสงจันทร์ เงาทั้งสี่เคลื่อนอยู่บนถนนสายเปลี่ยว
--
PBW:”ไม่ได้ลงซะนาน เป็นเพราะต้องเตรียมตัวสำหรับมหาวิทยาลัย จะเข้าหอวันที่ 25 นี้แล้วครับ ทำให้รู้สึกหดหู่ใช้ได้เลย แต่ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ไม่ได้อัพ จริงๆ แล้วก็คือ ตอนแบ็คอัพข้อมูล เผลอเอาไฟล์เวิร์ดเก่าไปเขียนทับอันใหม่ เลยต้องพิมพ์ตอนนี้ใหม่(เป็นอะไรที่เซ็งมาก)”
DX:”แล้วหลังจากนี้ล่ะ?”
PBW:”คงจะช้าไปอีกพอสมควร เพราะพอย้ายเข้ามหา’ลัยก็จะยิ่งซึมเศร้า แต่เวลาได้อ่านคอมเมนต์ของท่านผู้อ่านก็ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ เหมือนว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ก็ยังมีฟิคและคนอ่านอยู่ รู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะ”
DX:”แล้วถ้าไวไฟที่หอมันห่วย?”
PBW:”ก็นรกบนดินน่ะสิครับ...(ช่วยกันอธิษฐานเร็ว!)”
ความคิดเห็น