คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 5: เมืองท่าลา โรแชลล์
ตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่ไซโตะ กีช และหลุยส์ก็เริ่มเตรียมอานบนหลังม้าแล้ว บนหลังของไซโตะคือ [เดอร์ฟลิงเกอร์] ดาบเหล็กที่มีจิตใจ เพราะความยาวของมัน ทำให้ไม่สามารถเหน็บเอวได้
หลุยส์อยู่ในเครื่องแบบนักเรียน ที่ต่างออกไปก็คือบูทขี่ม้าที่มาแทนรองเท้านักเรียน ดูจากที่เธอเตรียมตัวถึงขั้นนี้แล้ว คงจะต้องนั่งบนหลังม้าเป็นระยะทางไม่ใช่น้อย
เอ็กซ์ยืนพิงอยู่ข้างกำแพงโรงเรียน เขาไม่มีม้าอยู่กับตัว เพราะไซโตะขอร้องให้เขานั่งไปด้วยเพื่อสลับกันขี่ในระหว่างทาง บอกว่าตัวเองยังขี่ไม่แข็ง เขายืนห่างจากทั้งสามคนเพราะยังไม่มีอารมณ์จะสุงสิงกับใคร ดูเหมือนว่าการได้เห็นเด็กผู้หญิงเมื่อเก้าปีก่อนโตขึ้นและทำให้เขารู้สึกว่าเธออยู่ไกลออกไปจะมีผลกับเขามากกว่าที่คาด
เขามองเห็นกีชตบเท้ากับพื้นหนึ่งครั้ง แล้วสิ่งมีชีวิตสีน้ำตาลตัวใหญ่ก็ผุดขึ้นมาจากใต้พื้น เอ็กซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
‘ตุ่นยักษ์? เป็นอสูรรับใช้ที่แปลกดีนะ?’
เด็กหนุ่มผมทองดูจะรักอสูรรับใช้ของตัวเองมาก ทั้งสีหน้าและแววตา ถึงขนาดเข้าไปถูแก้มด้วย...สุดยอด...(ในหลายๆ ความหมาย)
“แต่เราจะไปอัลเบี้ยนกันนะ เจ้าตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินยังงี้จะไปด้วยได้ยังไง?” หลุยส์ถามได้ตรงประเด็นซะจนกีชทรุดลงมือค้ำพื้น เอ็กซ์เข้าใจความหมาย เพราะอัลเบี้ยนเป็นประเทศเกาะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ถึงจะฟังดูไม่น่าเชื่อแค่ไหน แต่เขาก็ได้ไปเห็นด้วยตาและไปอยู่ด้วยตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี่เอง
ตุ่นยักษ์ จู่ๆ ก็กระโจนเข้าใส่หลุยส์ และเอาจมูกทิ่มตามตัวของเธอ เหมือนพยายามจะแย่งอะไรบางอย่าง กีชนึกขึ้นได้ว่าอสูรรับใช้ของตัวเองชอบของมีประกาย ซึ่งก็คือแหวนที่นิ้วมือข้างขวาของหลุยส์นั่นเอง
‘ยังงี้เองเหรอ...ถ้าสามารถขุดหาแร่ธาตุต่างๆ ได้ สำหรับผู้ใช้เวทธาตุดินแล้วก็ถือเป็นประโยชน์อย่างสูง’ เอ็กซ์รู้จากไซโตะว่ากีชมีชื่อที่สองว่า<โลหะสัมฤทธิ์>
ในตอนนั้น เกิดสายลมแรงพัดเอาตุ่น—[เวร์ดันดี้] จนปลิวออกไปจากตัวหลุยส์ กีชแทบช็อค
“แกเป็นใคร?!” เขาหันไปทางผู้ที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นและตะคอกด้วยเสียงขุ่นเคือง
ขุนนางหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมหมวกปีกกว้างปักด้วยขนนกยืนอยู่ แสงจางๆ ของยามเช้าส่องผ่านหลังเขาทำให้ด้านหน้าดูมืดเล็กน้อย
“แกทำอะไรกับเวร์ดันดี้ของฉัน!”
กีชหยิบคทาที่เป็นรูปกุหลาบออกมา แต่ขุนนางสวมหมวกขนนกเร็วกว่า ก่อนที่กีชจะทันได้ร่ายคาถาใดๆ สายลมก็พัดคทาหลุดไปจากมือเขาแล้ว
ขุนนางสวมหมวกใช้โอกาสนี้แนะนำตัว
“ข้าไม่ใช่ศัตรูของพวกเจ้า องค์หญิงทรงไม่สบายพระทัยที่จะปล่อยให้พวกเจ้าไปอัลเบี้ยนโดยลำพัง แต่ถ้าจะส่งทหารไปทั้งกองก็จะเอิกเกริกจนเกินไป ฉะนั้น ข้าจึงได้รับมอบหมายให้ร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าทุกคน” ขุนนางหนุ่มถอดหมวกและคำนับอย่างสุภาพ
“ข้าคือหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟิน ไวส์เคานต์วาลด์”
กีชที่บ่นอย่างขุ่นมัวหุบปากเงียบ สำหรับชนชั้นสูง การได้ร่วมเดินทางไปกับหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยราชองครักษ์ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
“ข้าต้องขออภัยเรื่องอสูรรับใช้ของเจ้าด้วย แต่ข้าทนเห็นคู่หมั้นถูกรังแกไม่ได้”
“อะไรนะ?!” ไซโตะช็อก
“ขุนนางที่ดูสูงสง่าแบบนี้น่ะเหรอเป็นคู่หมั้น...ของหลุยส์???” กีชงงเป็นไก่ตาแตก
“ท่านวาลด์...!” หลุยส์เอ่ยเสียงสั่น จากความตื่นเต้นและความชื่นชม
“ไม่ได้พบกันนานนะ หลุยส์ที่รักของฉัน” วาลด์พูดเป็นกันเองเฉพาะกับหลุยส์
เอ็กซ์ยืนมองเหตุการณ์จากด้านข้าง ขุนนางที่ชื่อวาลด์อุ้มหลุยส์ขึ้นแล้วพูดหยอกล้อกับเธอเหมือนกับสนิทกันมานาน หลุยส์ก็มีท่าทีเอียงอาย ดูแล้วท่าทางจะรู้จักกันมาก่อน กีชก็มองอย่างชื่นชมปนช็อกหน่อยๆ ส่วนไซโตะก็ทำหน้าเหมือนโดนโลกทั้งใบถล่มทับ
ผู้ที่มาใหม่ให้ความรู้สึกว่า<เฉียบคม>กับเขา ท่าทางเขาจะต้องระวังตัวเองมากขึ้นในระหว่างการเดินทางนี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกอ่านอะไรหลายๆ อย่างก็ได้ เขาอยากอยู่เป็นนักเดินทางธรรมดาๆ อย่างสงบมากกว่า
เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนไป เป็นเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าที่ยังอ่อนประสบการณ์ เขาเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคนที่เหลือ
“ว้าว หัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินตัวจริงเหรอเนี่ย~” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและชื่นชมที่แกล้งดัดขึ้นมา เขามั่นใจว่าในโลกใบนี้จะไม่มีมนุษย์คนใดจับได้
“หืม? และเจ้าคือ?” ตามที่เขาคาด วาลด์มองเขาอย่างพิจารณา
“ผมชื่อซาวิเยร์ เป็นนักเดินทางครับ” เขายิ้มหวานอย่างเป็นมิตร
“นักเดินทาง? เจ้าก็จะร่วมทางไปด้วยยังงั้นเหรอ?” วาลด์มีสีหน้าประหลาดใจ
“ผมทูลขอองค์หญิงให้ทรงประทานพระอนุญาตให้ผมได้ไป เพราะผมก็ช่วยจับฟูเก้ต์ด้วย องค์หญิงจึงทรงอนุญาตน่ะครับ”
“หืม...เจ้าน่ะเหรอจับฟูเก้ต์...” วาลด์ยิ่งเพ่งเขาหนักขึ้นไปอีก แต่ไม่ว่าจะเพ่งสักเท่าไรก็ไม่มีทางมองทะลุหน้ากากที่เขาสวมได้หรอก เพราะหน้ากากนี้ไม่ได้สร้างขึ้นลอยๆ แต่เป็นตัวเขาเองสมัยที่ยังเป็นอิเร็กกุล่าร์ฮันเตอร์ฝึกหัด ในตอนนี้เขาคือ [ซาวิเยร์] นักเดินทางหนุ่มสามัญชนอายุน้อยที่ไม่มีอะไรพิเศษ
“แต่ก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอกครับ ^ ^;” เขาลูบท้ายทอยแก้เก้อ วาลด์พยักหน้าก่อนจะหันกลับไปทางอีกสามคนที่เหลือ เอ็กซ์ไม่ปลดการแสดงลง แต่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจ ก็เขาจงใจทำให้เป็นแบบนั้นเอง
ถ้าอย่างนั้นถึงตาเขาสังเกตหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินคนนี้บ้าง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ดวงตาคมกริบเหมือนอินทรี ร่างกายที่มีมัดกล้ามอย่างสมกับทหารที่หมั่นฝึกฝน และหนวดเคราที่รักษาอย่างดี ให้ความเข้มแข็งและอ่อนโยน...ถ้ามองแค่ผิวเผินน่ะนะ
‘เอาเถอะ ชนชั้นสูงจะทะนงตนและมองคนที่อ่อนแอว่าด้อยค่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก’ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดวงตาที่คมกริบเหมือนอินทรีนั่นไม่ได้ช่วยให้มองอะไรออกเลยหรืออย่างไร? เขาแค่แกล้งทำตัวอ่อนน้อมหน่อยก็ละสายตาจากเขาเสียแล้ว
ทั้งห้าออกเดินทาง กีชขึ้นม้าของตัวเอง เอ็กซ์นั่งข้างหลังไซโตะ ส่วนม้าอีกตัวเอากลับไปเก็บ เพราะวาลด์ให้หลุยส์ขึ้นนั่งบนกริฟฟินของตัวเองที่นำมาด้วย
...
จากหน้าต่างห้องทำงานของผู้อำนวยการที่ชั้นบนสุดของหอคอยกลาง อังริเอตต้ามองดูคณะของหลุยส์ออกเดินทาง เธอหลับตาลงและภาวนาขอให้พวกเธอปลอดภัย
หลังจากภาวนาเสร็จเธอก็ลืมตาขึ้น และหันกลับไปทางชายชราผมและหนวดเคราสีขาว นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน...ตัดขนจมูก
“ผู้อำนวยการออสมัน ไม่ไปส่งพวกเขาหรือ?”
“ไม่พะยะค่ะ กระหม่อมกำลังยุ่งอยู่อย่างที่เห็น” ยุ่งกับการตัดขนจมูก
อังริเอตต้าส่ายหน้าอย่างขุ่นใจ
ตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น ออสมันบอกให้เข้ามาได้ และผู้ที่อยู่หน้าประตูก็คือมิสเตอร์โคลแบร์ที่ดูท่าทางกังวลใจ
“ข่าวร้ายครับ! ท่านผู้อำนวยการ!”
“เธอพูดแบบนั้นบ่อยนะหมู่นี้ คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ?”
“ผมได้รับแจ้งจากยามที่ปราสาทว่าฟูเก้ต์หลบหนีออกจากห้องขังไปแล้วครับ!”
“หืม...” ออสมันลูบเคราพลางใช้ความคิด
“จากปากคำของยามที่เฝ้าอยู่ในเวลานั้น เขาถูกชนชั้นสูงใช้เวทมนตร์ลมทำร้ายจนหมดสติ คนร้ายใช้โอกาสที่กำลังคนส่วนใหญ่ถูกดึงมาอารักขาองค์หญิงในระหว่างการเดินทาง ลอบเข้าไปในห้องขังใต้ปราสาทแล้วปล่อยฟูเก้ต์ออกมา หมายความว่าต้องมีสายลับอยู่ภายในครับ!”
อังริเอตต้าหน้าซีดเมื่อได้ฟังข่าว ผู้อำนวยการออสมันโบกมือให้มิสเตอร์โคลแบร์ออกไปได้
“เรามีหนอนบ่อนไส้ ต้องเป็นฝีมือของพวกชนชั้นสูงอัลเบี้ยนแน่!” อังริเอตต้าวางมือลงกับโต๊ะและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะพะยะค่ะ...โอ๊ย!” ออสมันตัดขนจมูกพลาด
“ท่านยังใจเย็นได้อีกรึ? ทั้งที่อนาคตของทริสเทนแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว!”
“ศัตรูเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ที่เราทำได้ก็มีแต่ต้องรอโอกาสมิใช่รึพะยะค่ะ?”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ...”
“อย่าได้เป็นห่วงไปพะยะค่ะ ถ้าหากเป็นเขาล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ร้ายแรงเพียงใด เขาก็จะข้ามผ่านมันไปได้แน่”
“ผู้ที่ท่านพูดถึง บุตรของนายพลกรามองต์ หรือว่าไวส์เคานต์วาลด์?”
ออสมันส่ายหน้า
“กระหม่อมหมายถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อไซโตะคนนั้น”
“อสูรรับใช้ของหลุยส์ ฟรังซัวส์? จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น!” อังริเอตต้าทำใจเชื่อไม่ลง
“องค์หญิงทรงเคยได้ยินเรื่องราวขององค์ศาสดาบริมิร์มาบ้างรึไม่? เรื่องของกันดาล์ฟร์?”
“ข้าได้ศึกษามาบ้าง กันดาล์ฟร์เป็นชื่อของอสูรรับใช้ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นอสูรรับใช้ขององค์ศาสดาบริมิร์ ท่านคงมิได้กำลังบอกข้าว่า...!?”
ถึงตรงนี้ออสมันรู้สึกว่าตัวเองเปิดเผยมากเกินไป ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคนของราชวงศ์ แต่เรื่องของกันดาล์ฟร์ก็ไม่ควรจะเปิดเผยออกไปง่ายๆ แม้องค์หญิงจะเชื่อใจได้
“ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ เขามิเพียงแต่เป็นอสูรรับใช้ในตำนานเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่มาจากอีกโลกหนึ่ง”
“อีกโลกหนึ่ง?”
“กระหม่อมคิดเสมอว่าเด็กหนุ่มจากต่างโลกผู้นี้จะทำได้สำเร็จ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้กระหม่อมยังใจเย็นอยู่ได้แม้สถานการณ์จะคับขันก็ตาม”
ออสมันไม่ได้พูดถึงชายอีกคน ชายคนนั้น คงมีแต่คนที่ผ่านผู้คนมากหน้าหลายตามาอย่างเขาจึงจะสัมผัสได้ ถึงความอัศจรรย์ที่อยู่ในตัวของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น
‘เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร—เป็นอะไรกันแน่นะ...’ แม้แต่เขาเองก็สัมผัสได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
...
นับแต่ออกเดินทางมาจากโรงเรียนผ่านไปครึ่งวัน กริฟฟินของวาลด์มุ่งหน้าไปทางจุดหมายอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ขณะที่ม้าของเพื่อนร่วมทางทั้งสองตัวเป็นตัวที่ผลัดเปลี่ยนระหว่างทางเป็นครั้งที่สองแล้ว
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ไวส์เคานต์ เราไม่เดินทางกันเร็วเกินไปหน่อยเหรอคะ?” หลุยส์พูดกับวาลด์ กีชใกล้จะฟุบเต็มทน ไซโตะสภาพดีหน่อยเพราะผลัดกันขี่กับเอ็กซ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปได้อีกไกล
“แต่ฉันตั้งใจจะเดินทางไปโดยไม่หยุดนะ”
“ลา โรแชลล์ ถ้าจะไปด้วยม้าต้องใช้เวลาถึงสองวันเชียวนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ล่วงหน้าไปก่อนล่ะ” วาลด์เสนอเรื่องสุดโต่งได้หน้าตาเฉย แต่เอ็กซ์รู้ว่าในงานของทางทหาร การทำแบบนั้นไม่ถือว่าแปลก
หลุยส์ปฏิเสธ บอกว่าเจ้านายไม่ควรทิ้งอสูรรับใช้ วาลด์หยอกกลับว่าคนไหนในสองคนเป็น<หวานใจ>ของเธอกัน ไม่นับนักเดินทางหนุ่มที่เป็นคนนอก แน่นอนว่าหลุยส์ปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ฉันค่อยโล่งใจ ถ้าหากคู่หมั้นของฉันปันใจไปให้ชายอื่น ฉันคงเจ็บแทบขาดใจ” วาลด์ตอบด้วยรอยยิ้ม
“แต่...แต่ก็แค่พ่อแม่ของพวกเราตกลงกันเองไม่ใช่เหรอคะ ท่านวาลด์ไม่เห็นต้อง...”
“ถ้าอย่างนั้น หลุยส์ตัวน้อยเกลียดฉันรึเปล่า?”
หลุยส์ทำแก้มป่อง งอนที่ถูกทำเหมือนเป็นเด็ก วาลด์หัวเราะ บอกว่าหลุยส์จะเป็นหลุยส์ตัวน้อยในสายตาของเขาเสมอ ทำให้เอ็กซ์คิดเรื่องของตัวเองบ้าง สำหรับเขา อังริเอตต้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวน้อยอีกแล้ว เขาอิจฉาชายบนหลังกริฟฟินคนนั้นจริงๆ
วาลด์เริ่มรำลึกถึงเรื่องในอดีต อย่างเรื่องที่เขามักจะไปหาหลุยส์ที่เรือลำเล็กกลางสระ เรื่องที่ทั้งคู่พบกันบ่อยๆ สมัยที่เธอยังเป็นเด็ก เลยไปถึงเรื่องส่วนตัวของเขา แม่ของเขาตายตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อก็ตายในสงคราม เขารับสืบทอดมรดก และตัดสินใจออกไปแสวงหาเกียรติยศและชื่อเสียงที่เมืองหลวง ฝึกฝนเป็นอัศวินกริฟฟิน ตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาไม่ได้กลับไปหาหลุยส์ที่คฤหาสน์อีกเลย จนกระทั่งเธอเข้าเรียนที่ทริสเทน
“ตอนนี้ฉันก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองดังที่ฝันไว้แล้ว ฉันตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ฉัน...” วาลด์กุมมือหลุยส์ขึ้น
”จะได้ขอเธอแต่งงานซักที”
หลุยส์หน้าร้อนฉ่า พูดไม่เป็นภาษา เอ็กซ์มองทั้งสองคนแล้วก็สลับมามองเด็กหนุ่มผมดำที่ขี่ม้าให้เขาซ้อนท้าย สายตาของไซโตะตอนนี้สามารถฆ่าคนได้เลย เอ็กซ์ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อภารกิจ
“เราเดินทางมาได้เกือบจะเต็มวันแล้ว เขายังไม่เหนื่อยอีกเหรอ หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์นี่อยู่คนละโลกกับคนธรรมดาอย่างเราเลยสินะ...” กีชเอ่ยอย่างอ่อนแรง เขาหันไปมองไซโตะซึ่งมีสีหน้าเซื่องซึม ทว่าไม่ใช่ด้วยความเหนื่อยเหมือนกับเขา แต่เป็นจากคู่หมั้นชายหญิงข้างหน้าที่เด็กหนุ่มผมดำจ้องจนลืมโลก
“หึ่งล่ะดิ้~”
“หึงบ้าหึงบออะไรของนาย?!” แต่ยังมีสติพอจะเถียงกลับไป
“ฮึฮึ ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าความรักระหว่างคนต่างชนชั้นน่ะไม่งอกงามหรอก” กีชพูดเหมือนเยาะเย้ย แต่จริงๆ เขาเตือนด้วยความหวังดี
เอ็กซ์มองคู่หมั้นที่อยู่ด้านหน้า ถึงทั้งคู่จะดูใกล้ชิด แต่ต่อให้เลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะมีความสัมพันธ์กับอังริเอตต้าอย่างสองคนนั้นหรอก เพราะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายหญิงที่มองกลับมาทางเด็กหนุ่มผมดำกำลังสับสนและลังเลใจ
ไซโตะทำเสียงฮึ่มฮั่มใส่กีช วาลด์หันกลับมาส่งเสียงดุ บอกว่าถ้าเอาแต่ทะเลาะกัน เขาจะทิ้งเอาไว้
...
ทั้งหมดเดินทางเต็มสปีด เปลี่ยนม้ากลางทางอีกหลายครั้ง ในที่สุดก็ถึงชานเมืองลา โรแชลล์พร้อมกับที่ตะวันตกดิน ไซโตะชะโงกหน้าจากหลังเอ็กซ์มองลงไปที่เมืองด้านล่าง ดูจะแปลกใจที่เมืองท่าอะไรจะมาตั้งอยู่ในหุบเขา
เอ็กซ์เห็นความฉงนสนเท่ห์บนสีหน้าของไซโตะ
“อัลเบี้ยนเป็นอาณาจักรที่ลอยอยู่บนฟ้า การจะไปที่นั่นก็ต้องไปด้วยเรือเหาะ เมืองท่าลา โรแชลล์ก็คือเมืองที่มีท่าเรือเหาะอยู่บนเทือกเขาสูง” นักเดินทางหนุ่มอธิบายด้วยรอยยิ้ม ไซโตะมัวแต่ตกตะลึงจึงไม่ทันสังเกตว่าเอ็กซ์ก็ยังมีแรงเหลือเฟือพอๆ กับหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟิน
ตอนนั้นเอง คบเพลิงถูกขว้างลงมาจากหน้าผาเหนือศีรษะ เกิดแสงสว่างวาบขึ้นที่หุบเขาซึ่งทั้งหมดกำลังจะข้าม
“เกิดอะไรขึ้น?!” กีชทั้งตกใจทั้งสับสน
ม้าทั้งสองตัวถูกเปลวไฟจากคบเพลิงก็ตกใจ สะบัดคนที่อยู่บนหลังลงกับพื้น พร้อมกันนั้นห่าฝนดอกธนูก็เทลงมา
“ลอบจู่โจม!” กีชร้องตะโกน
แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน เอ็กซ์ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้เป็นการเปิดโปงตัวเอง เขายืนนิ่ง รอให้หัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟินเป็นคนจัดการ
ดอกธนูที่หมายจะเอาชีวิตของทั้งห้าสาดเข้ามา ทว่าถูกสายลมพัดเฉออกจากเป้าหมายไปจนหมด
ไซโตะกัดฟัน รู้สึกเจ็บใจที่ถูกคนที่เห็นเป็น<คู่แข่ง>ช่วยชีวิต เอ็กซ์อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ก็ตัดสินใจเก็บคำเอาไว้ พูดกับเด็กหนุ่มที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีไปก็ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับเรื่องความรัก
“หรือว่าพวกขุนนางอัลเบี้ยนพบเราเข้าแล้ว?!” กีชลนลาน
“ไม่หรอก คงจะเป็นกลุ่มโจรภูเขา” วาลด์สันนิษฐาน “ถ้าเป็นชนชั้นสูงต้องใช้เวทมนตร์โจมตี”
ตอนนั้นเองเสียงกระพือปีกดังขึ้นบนท้องฟ้าที่มืดมิด เสียงกรีดร้องดังมาจากบนหน้าผา สายลมแรงพัดพลธนูปลิวกระเด็นตกหน้าผาไปจนหมด
“นั่นมันเวทมนตร์ลม...” วาลด์พึมพำ
เงาดำบดบังดวงจันทร์ มังกรสีน้ำเงินร่อนลงตรงหน้าของคณะเดินทาง ซิลฟีด อสูรรับใช้ของเด็กสาวสวมแว่น
“ฉันก็มาด้วยนะจ๊ะ~” และคีร์เก้
หลุยส์ทำหน้าบอกบุญไม่รับ คีร์เก้เล่าให้ฟังอย่างเริงร่าว่าปลุกทาบาสะให้พาตามทั้งห้ามาตั้งแต่เช้ามืด เพราะเห็นหลุยส์ออกมากับ<ขุนนางรูปหล่อ>
“นี่มันภารกิจลับ ไม่ใช่เรื่องของเธอเลยเซิร์บสต์!”
“ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ไง? อีกอย่าง ฉันเพิ่งจัดการกับพวกที่ลอบทำร้ายพวกเธอนะ ไม่คิดจะขอบคุณกันบ้างเหรอ?” คีร์เก้พยักเพยิดไปทางพลธนูที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น
เห็นคนรูปร่างหน้าตาดีอย่างวาลด์ คีร์เก้เริ่มปฏิบัติการทันที เธอคาดไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ บอกว่า ‘ไม่อยากให้คู่หมั้นเข้าใจผิด’ คีร์เก้แทบจะบีบคอหลุยส์ด้วยความเจ็บใจ แต่เมื่อหันไปเห็นไซโตะที่ทำหน้าซังกะตาย ก็เข้าใจไปว่าเขาหึงที่เธอทำจ๊ะจ๋ากับคู่หมั้นของหลุยส์ ไม่ได้รู้เลยว่าเขาหึงจริง แต่ไม่ได้หึงเธอ
ทั้งหมดเดินทางกันต่อ เพิ่มมาเป็นเจ็ดคน คีร์เก้นั่งหลังไซโตะแทนที่เอ็กซ์ซึ่งทาบาสะชวนให้ขึ้นไปนั่งบนหลังซิลฟีดด้วยกันโดยไม่บอกเหตุผล เอ็กซ์ตกลงทันที เพราะอย่างน้อยเขาจะได้อยู่ไกลตาหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟิน ชายคนนั้นเฉียบคมจนเอ็กซ์ต้องเสียแรงกับการเสแสร้งไปมาก อยากจะพักเหนื่อยบ้าง
เด็กสาวสวมแว่นนั่งอยู่ที่คอมังกรเหลียวมองเขา เอ็กซ์เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แต่เธอหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร
เบื้องหน้าของคณะเดินทาง เมืองท่าลา โรแชลล์เปล่งปลั่งไปด้วยแสงไฟที่ส่องสว่าง
--
แนะนำตัวละคร
(รูปในไลท์โนเวลหาไม่ได้ เอารูปในอนิเมะไปละกัน)
ฌอง ฌาค ฟรังซิส เดอ วาลด์
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : ชาย
อายุ : 26 ปี
ส่วนสูง : 184 เซนติเมตร
น้ำหนัก : ไม่ทราบ
ชอบ : ไม่ทราบ
เกลียด : ไม่ทราบ
ข้อมูล : หัวหน้าฝูงบินกริฟฟินแห่งกองราชองครักษ์ และเป็นคู่หมั้นของหลุยส์ รู้จักกันตั้งแต่หลุยส์ยังเป็นเด็ก สุภาพอ่อนโยน ใจดีแต่เข้มแข็ง จะเรียกว่าใกล้เคียงเพอร์เฟ็คก็ได้ เป็นทหารและผู้ใช้เวทที่เก่งกาจ
*หมายเหตุ: ที่เปลี่ยนนามสกุลเป็น<วาลด์>ก็ด้วยเหตุผลเรื่องภาษาฝรั่งเศสเช่นกัน รวมทั้งการแปลชื่อจากคาตาคานะแปลได้สองแบบด้วย(แบบนี้กับแบบในอนิเมะพากย์ไทย) ที่จริงมังงะแปลไทยก็ใช้<วาลด์>นะ
--
PBW:”เฮ้อ~ ตามไลท์โนเวลซะเป็นส่วนใหญ่”
DX:”ยังหาจุดเปลี่ยนไม่ได้อีกเหรอ”
PBW:”คิดว่าคงต้องอีกซักพักน่ะ กำลังคิดอยู่ว่าให้บทคู่ดั้งเดิมมากเกินไปรึเปล่า...เพราะคนส่วนใหญ่เคยดูอนิเมะแต่ไม่เคยอ่านไลท์โนเวลก็เลยไม่กล้าข้าม...”
S:”ไม่เยอะไปหรอก! ไม่เยอะไปเลยซักนิด!”
PBW:”อ้อ เดี๋ยวคนเขียนต้องไปเข้าค่ายรับนักศึกษาใหม่ของมหา’ลัย กว่าจะกลับก็วันที่ 29 โน่นแน่ะ คงไม่ได้อัพนะครับช่วงนี้”
ความคิดเห็น