คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3: องค์หญิงแห่งทริสเทน
(ตัวละคร Arc 2 : อัลเบี้ยนแห่งสายลม / Credit: baka-tsuki.org)
สถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทน โรงเรียนที่ดึงดูดเด็กหนุ่มสาวชนชั้นสูงจากทั่วทั้งฮาลเคกิเนีย ท่ามกลางแสงแดดอันสว่างสดใส เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทานอนพิงเสาค้ำทางเดินระหว่างหอคอยอยู่ในสนามหญ้า ดื่มด่ำกับความสงบยามเช้า
สองวันแล้วที่<ฟูเก้ต์แห่งดินสลาย> หัวขโมยชื่อดังถูกส่งตัวให้กับทางการ ตั้งแต่นั้นเขาก็พักอยู่ที่โรงเรียนเพื่อสำรวจดูว่าแถบนี้ยังมีไซเบอร์เอลฟ์หลงเหลืออยู่อีกบ้างรึเปล่า
‘ไม่มีเลย...ถึงเวลาไปต่อได้ซะทีมั้ง?’ ถึงเขาจะสนใจกรณีของฮิรากะ ไซโตะผู้ถูกส่งข้ามมิติเหมือนกับเขาอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามาจากคนละสถานที่ คนละวิธีกัน ก็เป็นการสมควรที่เขาจะดำเนินภารกิจต่อ
นักเรียนที่เดินไปมาเหลือบมองมาทางเขาบ้าง แต่ไม่มีใครทำอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นญาติมาเยี่ยมคนงานในโรงเรียน หรือไม่ก็คนงานคนใหม่ ซึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะสองวันที่ผ่านมาเขาก็ทำงานในครัวแลกกับอาหาร ส่วนที่อยู่ก็หานอนเอาตามสนามหญ้า(การเดินทางที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนกลางดินกินกลางป่า) ได้รู้เรื่องราวความเป็นไปเล็กๆ น้อยๆ ในโรงเรียนอย่างเรื่องที่ไซโตะเป็นเหมือนฮีโร่ของสามัญชนที่ต่อต้านชนชั้นสูงแล้วยังเอาชนะได้ ทำให้เขารู้สึกทึ่งไม่น้อย
‘คงเป็นเพราะแนวคิดที่โลกของเขาไม่เหมือนกับทางนี้ ดูจากความก้าวหน้าของวิทยาการ คงจะไม่มีระบบชนชั้น ไม่เหมือนคนทั่วไปของโลกนี้ที่เกรงกลัวชนชั้นสูง’ เขาเดินทางมานาน ได้เห็นว่าโลกใบหนึ่งก็มีกฎเกณฑ์และสามัญสำนึกของตัวเอง
เกิดเสียงเอะอะขึ้นที่ทางเดิน เขาหันไปมองก็พบว่าเป็นกลุ่มเดิม เด็กสาวผมสีชมพูเขม่นกับเด็กสาวผมสีแดงเรื่องอสูรรับใช้ของตัวเอง แล้วนั่น...ซากที่มีแต่รอยฟกช้ำกับคราบเลือดที่โดนล่ามโซ่อยู่กับพื้นนั่นคือฮิรากะ ไซโตะงั้นหรือ!?
‘สภาพของฮีโร่ ดูไม่ได้เล้ย~’ เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทานึกขำอยู่ในใจ
(Credit: baka-tsuki.org)
เพียะ! เพียะ!
‘มีลงแส้ซ้ำด้วย...’ นักเรียนหลายคนเข้ามามุงดู แต่ละคนมีสีหน้าที่สื่อว่า ‘นี่น่ะเหรอ คนที่ชนะประลองชนชั้นสูงและจับฟูเก้ต์ได้...’ ซึ่งเอ็กซ์เองก็กำลังคิดอย่างเดียวกันนี้อยู่พอดี
“ก—การอบรมวินัยจบเท่านี้ล่ะ!” เสียงเด็กสาวผมสีชมพูพูดกลบเกลื่อนความอายเมื่อรู้สึกถึงสายตาชาวชน
‘นี่คืออบรมวินัย...ไม่อยากจะเห็นเวลาลงโทษจริงๆ เลย...’
“โฮ่ง!” ไม่ใช่เสียงหมาที่ไหน แต่เป็นเสียง<ขานรับ>ของ<อสูรรับใช้>ซึ่งโฮ่งหนึ่งครั้งมีความหมายว่า<รับทราบ> เอ็กซ์แทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แต่เขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆ แบบนี้จะมองอีกมุมว่าสงบสุขก็ได้
...
“เอาล่ะ ได้เวลาไปซะที” ตัดสินใจว่าพักเอาแรงพอแล้ว ได้เวลาเขาออกเดินทาง
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาลุกขึ้นจากพื้นหญ้าอันแสนสบาย พอดีเห็นมิสเตอร์โคลแบร์วิ่งกระหืดกระหอบผ่านมา แล้วบนศีรษะนั่น...วิก...ทรงแอฟโฟร่?...สีทองอีกตะหาก?
“มี...เรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” เขาเข้าไปถาม...เพราะสงสัยทรงผมล้วนๆ...อา ไม่ใช่แค่ทรงผม ชุดที่ใส่ก็ดูวิ้งวั้งกว่าชุดคลุมปกติ
“เจ้าเองหรือ? นึกว่าไปแล้วเสียอีก?” ไม่ใช่ว่าโคลแบร์ไม่ชอบเขาหรืออะไร แต่เพราะทั้งคู่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา
“ก็จะไปแล้วล่ะครับ แค่...การแต่งกายของคุณ...สะดุดตาผมเข้าน่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาพยายามเลือกคำพูดให้ดีๆ
”อ้อ นี่น่ะหรือ” อาจารย์ผู้สวมวิกผมทองนึกถึงธุระที่เขาจะต้องไปทำ “มีข่าวด่วนเข้ามา วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์ศาสดาบริมิร์ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระราชธิดาขององค์ราชาแห่งทริสเทน องค์หญิงอังริเอตต้าจะเสด็จเข้ามาเยี่ยมเยือนโรงเรียนระหว่างทางกลับจากการไปเยือนเยอร์มาเนีย”
“องค์หญิง...อังริเอตต้า...จะมาที่นี่...?” ใช้เวลานานกว่าคำพูดจะซึมเข้าไปในสมองของเขา สาเหตุเป็นเพราะคำบางคำที่เป็นชื่อคนทำให้กระบวนการคิดของเขาช้าเป็นพิเศษ
“คาดว่าจะเป็นช่วงบ่ายในวันนี้ ข้ามีหน้าที่ต้องไปแจ้งให้คณะอาจารย์และนักเรียนทราบ เจ้าเองถ้าอยากจะได้ชมพระพักตร์อันงดงามที่พวกเราชาวทริสเทนภูมิใจล่ะก็ อย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะ การคุ้มกันวันนี้จะเข้มงวดกับคนนอกมากกว่าปกติ ข้าไปล่ะ” แล้วอาจารย์ผู้สวมวิกผมทองก็วิ่งกระหืดกระหอบออกไปเหมือนที่วิ่งเข้ามา
เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ความตกใจยังคงฉายอยู่บนใบหน้าแม้จะผ่านมาได้นาทีนึงแล้ว หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ
‘อังริเอตต้า...’ ชื่อที่เขาไม่มีวันลืม เด็กผู้หญิงเมื่อเก้าปีก่อนคนนั้น...จะมาที่นี่
‘...อยู่ต่ออีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร...’ เขาตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป เก้าปีแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเธอ จะโตขึ้นแค่ไหนแล้ว โอกาสที่จะได้เห็นคนที่เขาตกหลุมรักหาไม่ได้ง่ายๆ
...
อาชาสี่ตัวสวมหมวกเหล็กสีทองเดินนำรถม้าไปบนถนนที่มุ่งหน้าสู่โรงเรียนทริสเทน รถม้านั้นประดับตกแต่งด้วยประติมากรรมรูปทรงต่างๆ ทั้งทำด้วยทอง เงิน ทองคำขาว ประติมากรรมเหล่านั้นคือตราของราชวงศ์ และหนึ่งในนั้น ตราของยูนิคอร์นไขว้กับไม้เท้าคริสตัล เป็นเครื่องหมายบอกว่ารถม้าคันนี้เป็นขององค์หญิงแห่งราชอาณาจักรทริสเทน
ถ้าหากเพ่งมองให้ดีๆ ม้าทั้งสี่ที่เดินนำอยู่นั้นไม่ใช่ม้าธรรมดา ทุกตัวมีเขางอกที่หน้าผาก ทั้งสี่คือยูนิคอร์น อสูรมนตราที่ตำนานกล่าวว่ามีเพียงหญิงสาวพรหมจรรย์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะขี่ได้ สิ่งที่เหมาะจะใช้นำรถม้าที่องค์หญิงประทับกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ขอบหน้าต่างของรถม้าแกะสลักเป็นลวดลายไม้เลื้อยเถาวัลย์ ผ้าสีชมพูปิดเอาไว้ไม่ให้สายตาจากภายนอกมองเข้าไป ตามหลังองค์หญิงคือรถม้าของคาร์ดินัลมาซารินิ ผู้กุมอำนาจทางการเมืองทั้งหมดของทริสเทนนับแต่องค์ราชาเสด็จสวรรคตไปเมื่อเก้าปีก่อน การประดับตกแต่งของรถม้าคันหลังนี้อลังการยิ่งกว่าขององค์หญิงเสียอีก ความแตกต่างนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้ถืออำนาจสูงสุด
ห้อมล้อมรถม้าทั้งสองคันคือขบวนราชองครักษ์ กองทหารที่ประกอบด้วยขุนนางจากตระกูลที่โด่งดังในด้านเวทมนตร์เป็นอันดับต้นๆ กองราชองครักษ์นี้คือเกียรติยศของเหล่าขุนนางในประเทศแห่งนี้ ชายชนชั้นสูงทุกคนล้วนฝันอยากจะสวมผ้าคลุมสีดำที่แสดงถึงพลังและความสูงส่ง หญิงชนชั้นสูงต่างปรารถนาที่จะครองคู่กับเขาผู้เก่งกาจเหล่านี้ กองราชองครักษ์คือสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรทริสเทนอย่างแท้จริง
ถนนปูด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม สามัญชนส่งเสียงจากริมทาง แต่ละก้าวที่ม้าลากรถไป เสียงตะโกน ‘องค์หญิงอังริเอตต้าทรงพระเจริญ!’ หรือแม้แต่ ‘คาร์ดินัลมาซารินิทรงพระเจริญ’ ก็มีดังตลอดทาง บางคนก็มีมุมมองที่ไม่ดีกับคาร์ดินัลมาซารินิจากข่าวลือที่ว่าเขามีสายเลือดของสามัญชน ผ้าม่านที่คลุมหน้าต่างรถม้าเปิดออกและฝูงชนที่ได้เห็นพระพักตร์ขององค์หญิงผู้เยาว์วัยก็ยิ่งส่งเสียงร้องดังขึ้นไปอีก องค์หญิงส่งยิ้มให้กับทุกคนอย่างเป็นมิตร
...
อังริเอตต้าปิดผ้าม่านลงแล้วถอนใจ รอยยิ้มเบิกบานที่ส่งให้กับฝูงชนเมื่อครู่หายไป แทนที่ด้วยความทุกข์และความเศร้าใจผิดกับอายุที่ยังน้อยของเธอ องค์หญิงมีอายุครบสิบเจ็ดในปีนี้ หุ่นเพรียวบาง ดวงตาสีฟ้าใส ความงดงามของเธอนั่นผู้ที่ได้พบเห็นเป็นครั้งแรกยังต้องหยุดหายใจ นิ้วเรียวบางเล่นกับไม้เท้าคริสตัลในมือ ด้วยสายเลือดของราชวงศ์ที่ไหลเวียนอยู่ในกาย แน่นอนว่าเธอเองก็ต้องมีความสามารถทางเวทมนตร์
ไม่ว่าเสียงสดุดีจะดังเท่าใดหรือดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่ริมทางจะดูมีชีวิตชีวาเพียงไร ก็ไม่ช่วยให้เธอสลัดความหม่นหมองออกไปจากสีหน้าได้ ใบหน้าอมทุกข์ของเธอแสดงทั้งความกังวลทางการเมืองและทาง...ความรัก
ชายร่างผอมบางคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเธอ สวมหมวกทรงสูงเหมือนของบาทหลวง ชุดสุภาพสีเทาแบบที่ใช้สวมเข้าพิธี เส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาวโพลน นิ้วมือก็แห้งกร้าน ทำให้เขาดูอายุมากกว่าวัยที่แท้จริง ซึ่งก็เพียงแค่สี่สิบกว่าๆ เท่านั้น ตั้งแต่พระราชาเสด็จสวรรคตทั้งการงานภายในอาณาจักรและความสัมพันธ์กับต่างประเทศล้วนตกเป็นความรับผิดชอบของเขา ทำให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมไปมาก
เขาเพิ่งจะลงจากรถม้าของตัวเอง และขึ้นมาบนคันเดียวกับองค์หญิง เพื่อสนทนาเรื่องของการเมือง แต่องค์หญิงเอาแต่ถอนใจ ไม่มีสมาธิฟังที่เขาพูดเลย
“ครั้งที่สิบสามแล้วนะพะยะค่ะ”
“หืม? อะไรรึ?”
“ถอนใจพะยะค่ะ ผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ควรถอนใจต่อหน้าข้าราชบริพารเช่นนี้นะพะยะค่ะ”
“เชื้อพระวงศ์รึ?!” อังริเอตต้าทำตาโต “ราชาแห่งทริสเทนคือท่านมิใช่รึ? ท่านมิทราบเรื่องที่ลือกันทั่วไปบนท้องถนนของเมืองหลวงเลยรึ?”
“กระหม่อมมิทราบ” มาซารินิตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาโกหก เขารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทริสเทน จนถึงจำนวนเกล็ดของมังกรไฟที่อาศัยอยู่ในภูเขาไฟ เขาแค่ทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกท่านเอง เราราชวงศ์มีแต่เพียงฉากหน้า หาได้มีคทาแห่งอำนาจไม่ คาร์ดินัล ท่านต่างหากเป็นผู้ถือคทานั้น โครงกระดูกนกสวมหมวกสีเทา...”
มาซารินิกะพริบตา คำว่า ‘โครงกระดูกนก*’ จากองค์หญิงทิ่มแทงใจเขาไม่น้อย
“อย่าได้ทรงพูดถึงข่าวลือของสามัญชนสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้เลยพะยะค่ะ...”
“ทำไมรึ? อย่างไรข้าก็ต้องอภิเษกกับจักรพรรดิแห่งเยอร์มาเนียตามที่ท่านต้องการอยู่แล้ว” องค์หญิงพูดแกมประชด
“เราไม่มีทางเลือกพะยะค่ะ สัมพันธไมตรีกับเยอร์มาเนียเป็นสิ่งจำเป็นต่อทริสเทน” มาซารินิพูด
“เรื่องนั้นข้ารู้”
“พระองค์ทรงทราบถึงการก่อกบฏที่<ประเทศสีขาว>โดยคนเขลาพวกนั้นแล้ว คนพวกนั้นไม่ยอมรับการปกครองของราชวงศ์ทั่วทั้งฮาลเคกิเนีย” มาซารินิขมวดคิ้ว
“พวกคนโฉด คิดร้ายต่อองค์ชายผู้น่าสงสาร! แม้โลกทั้งใบจะยกโทษให้กับการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ได้ แต่องค์ศาสดาบริมิร์จะไม่ให้อภัย ข้าจะไม่มีวันให้อภัย!” องค์หญิงเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เป็นเช่นนั้น ทว่าในตอนนี้ราชวงศ์อัลเบี้ยนไม่มีอำนาจพอจะต่อกรกับกบฏได้ ราชวงศ์อัลเบี้ยนอาจอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ หนึ่งในสามราชวงศ์ที่สืบสายเลือดจากองค์ศาสดาบริมิร์ถึงคราวต้องจบสิ้น ฮึ่ม...ประเทศที่แก้ปัญหาภายในของตัวเองไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิ์จะตั้งอยู่”
“ราชวงศ์อัลเบี้ยนไม่เหมือนกับเยอร์มาเนีย พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นญาติของข้า แม้ท่านจะเป็นคาร์ดินัลก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวถึงพวกเขาเช่นนี้” องค์หญิงหรี่ตามองคาร์ดินัลอย่างกล่าวโทษ
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ กระหม่อมจะขอขมาองค์ศาสดาบริมิร์ก่อนเข้านอนคืนนี้ด้วยเช่นกัน ทว่าสิ่งที่กระหม่อมพูดไปนั้นก็เป็นความจริงพะยะค่ะ”
อังริเอตต้าส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ แม้กิริยาที่แสดงถึงความทุกข์ใจก็ยังดูงดงาม
“ข่าวบอกว่าชนชั้นสูงของอัลเบี้ยนประกาศจะรวมฮาลเคกิเนียเป็นหนึ่ง เป็นที่แน่นอนว่าหลังจากที่ยึดอำนาจราชวงศ์ของประเทศตัวเองได้แล้ว เป้าหมายต่อไปของคนเหล่านั้นจะเป็นทริสเทน ถ้าหากเรื่องไปถึงขั้นนั้นแล้วอาจจะสายเกินไป เราจำเป็นจะต้องเตรียมการซะแต่เดี๋ยวนี้พะยะค่ะ” มาซารินิอธิบายถึงความสาหัสของสถานการณ์ให้กับอังริเอตต้าได้ฟัง เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำเป็นไม่สนใจ
“คาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูล่วงหน้าและโต้กลับในโอกาสแรกที่เห็นคือสัจธรรมของการเมือง องค์หญิง หากเราสามารถสร้างสัมพันธไมตรีกับเยอร์มาเนียได้ เราก็จะสามารถใช้ข้อสัญญานั้นปกป้องประเทศเล็กๆ แห่งนี้จากคณะปกครองใหม่ของอัลเบี้ยนได้พะยะค่ะ”
อังริเอตต้าถอนใจอีกเป็นครั้งที่สิบสี่ แต่คาร์ดินัลไม่ทันเห็น มาซารินิเปิดม่านขึ้นและมองเห็นความภาคภูมิใจของเขา ขุนนางหนุ่มที่มีดวงตาคมกริบ หมวกปีกกว้างขนนกและหนวดเคราที่ดูแลเป็นอย่างดี เคลื่อนไปกับขบวนด้านนอก เหรียญตรากริฟฟินติดกลัดที่ผ้าคลุมไหล่สีดำ เมื่อมองพาหนะของเขาก็จะเข้าใจเหตุผล หัวเป็นอินทรี ร่างของสิงโตที่มีปีกคู่ใหญ่หุบอยู่ข้างลำตัว อสูรมนตรา<กริฟฟิน>
ชายคนนี้คือผู้บัญชาการของหนึ่งในสามหน่วยราชองครักษ์ หน่วยอัศวินกริฟฟิน [กัปตันวาลด์] หน่วยของเขานั้นโดดเด่นที่สุดในกองทหารเวท โดยเฉพาะในสายตาของมาซารินิ ทหารเวททุกนายล้วนถือครองพลังเวทมนตร์ที่น่าเกรงขาม กองทหารเวทจัดตั้งขึ้นจากผู้ผ่านการทดสอบที่ยากเข็ญ เลือกเฟ้นเพียงหัวกะทิ พวกเขาเหล่านี้คือสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความน่าเกรงขามของทริสเทน
“เรียกข้ารึขอรับ ใต้เท้า?” วาลด์เดินกริฟฟินเข้ามาที่ข้างหน้าต่างรถม้า หน้าต่างค่อยๆ เปิดขึ้น มาซารินิมองออกมา
“กัปตันวาลด์ องค์หญิงทรงไม่สบายพระทัย เจ้าพอจะทำอะไรได้รึไม่?”
“รับบัญชาขอรับ” วาลด์ตอบรับ ก่อนจะใช้สายตาดั่งอินทรีสำรวจถนนที่อยู่ข้างหน้า เขาตรงไปที่มุมหนึ่งของถนน ดึงไม้เท้าด้ามยาวจากเอวและยกขึ้นสะบัดร่ายเวทบทสั้นๆ สายลมพัดมาเบาๆ ยกเอาดอกไม้ที่ปูอยู่บนพื้นขึ้นมาบนมือที่รออยู่ เขากลับไปที่รถม้าพร้อมกับช่อดอกไม้ถวายแด่คาร์ดินัล มาซารินิลูบเคราที่ใต้คาง แล้วบอกกับหัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟิน
“ท่านผู้บัญชาการปรารถนาจะถวายแด่องค์หญิงด้วยตัวเองรึไม่?”
“เป็นเกียรติอย่างสูงขอรับ” วาลด์คำนับ และเดินกริฟฟินไปอีกด้านหนึ่งของรถม้า หน้าต่างเปิดขึ้น อังริเอตต้ารับช่อดอกไม้ไปและยื่นมือซ้ายให้กับเขา วาลด์จับพระหัตถ์ขององค์หญิงยกขึ้น และจุมพิตที่ด้านหลังอย่างแผ่วเบา
(Credit: baka-tsuki.org)
“ท่านมีนามว่ากระไรรึ?” อังริเอตต้าถาม
“องครักษ์ของพระองค์ หัวหน้าหน่วยอัศวินกริฟฟิน วาลด์พะยะค่ะ” เขาคำนับอย่างนอบน้อม
“แบบอย่างของขุนนางที่ดี น่าชื่นชมนัก”
“กระหม่อมเป็นเพียงบริวารที่ต้อยต่ำของพระองค์พะยะค่ะ”
“ขุนนางที่กล่าวเช่นนี้นับวันจะยิ่งน้อยลง เมื่อครั้งที่ท่านตาของข้า—ไม่สิ ในรัชสมัยของราชาฟิลิปที่สาม ชนชั้นสูงไม่ว่าสูงหรือต่ำล้วนแล้วแต่มีความจงรักภักดีเช่นนี้”
“เป็นเรื่องที่น่าเศร้าพะยะค่ะ”
“เมื่อถึงคราวคับขัน ข้าจะสามารถพึ่งพาความภักดีของท่านได้เช่นนี้อีกรึไม่?”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ใด ในสนามรบหรือบนท้องนภา ไม่ว่าต้องสละสิ่งใดไว้เบื้องหลัง กระหม่อมพร้อมจะมาหาพระองค์เพื่อรับใช้ให้สมพระประสงค์ทุกเมื่อพะยะค่ะ”
อังริเอตต้าพยักหน้า วาลด์คำนับอีกครั้ง ก่อนจะเดินกริฟฟินห่างออกไป
“ขุนนางผู้นั้นเก่งกาจเพียงใดรึ?” อังริเอตต้าถามมาซารินิ
“ไวเคานต์วาลด์ <ชื่อที่สอง>ของเขาคือ [ฟ้าแลบ] แม้ในประเทศสีขาวก็หาผู้ที่เทียบเคียงเขาได้น้อยนักพะยะค่ะ”
“วาลด์...ข้าเคยได้ยินชื่อสถานที่เช่นนั้นมาก่อน”
“กระหม่อมคิดว่าคงเป็นที่ดินใกล้กับของวาลลิแยร์พะยะค่ะ”
“วาลลิแยร์?” ความทรงจำหวนคืนสู่อังริเอตต้า เธอพยักหน้า ชื่อนั้นอยู่ในที่หมายของพวกเธอแล้ว โรงเรียนเวทมนตร์ทริสเทน
“คาร์ดินัล ท่านจำชื่อของผู้ที่จับตัวฟูเก้ต์แห่งดินสลายได้รึไม่?”
“กระหม่อมจำมิได้พะยะค่ะ”
“ท่านมิได้จะประทานบรรดาศักดิ์อัศวินให้กับพวกเขาหรอกรึ?” อังริเอตต้าประหลาดใจ แต่มาซารินิดูไม่มีความสนใจเลย
“กระหม่อมคิดว่าถึงเวลาที่กฎการประทานบรรดาศักดิ์ควรจะเปลี่ยนได้แล้วพะยะค่ะ การจะได้เป็นอัศวินควรจะต้องรับใช้ในกองทัพจึงจะคู่ควร บรรดาศักดิ์ของอัศวินจะได้มาเพียงเพราะจับโจรคนเดียวได้อย่างไรพะยะค่ะ? แต่ในเวลานี้เราอาจจะต้องทำสงครามกับอัลเบี้ยนร่วมกับเยอร์มาเนียไม่ช้าก็เร็ว การจะเสียความภักดีของขุนนางไปเพราะเรื่องขัดแย้งคงจะไม่เหมาะ”
“ท่านตัดสินใจโดยที่ข้าไม่รู้หลายเรื่องนะ”
มาซารินิไม่ตอบ อังริเอตต้าจำชื่อวาลลิแยร์ในหมู่ผู้ที่จับฟูเก้ต์ได้
‘ต้องไม่เป็นไรแน่ ทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี’ อังริเอตต้าคิด ทำใจให้สงบลง
มาซารินิมององค์หญิง
“องค์หญิง ในขณะนี้ระหว่างราชสำนักกับขุนนางบางส่วนดูจะเกิด...ข่าวลือแปลกๆ ขึ้นพะยะค่ะ”
อังริเอตต้าสะดุ้ง
“ลือกันว่ามีเรื่องฉาวที่จะการขัดขวางการอภิเษกขององค์หญิงและทำลายไมตรีกับเยอร์มาเนีย”
เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของอังริเอตต้า
“พระองค์คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นใช่ไหมพะยะค่ะ?”
หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมได้ชั่วเวลาหนึ่ง อังริเอตต้าก็ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
“...ข้าไม่มีหรอก”
“เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอรับคำจากพระองค์พะยะค่ะ”
“ข้าเป็นองค์หญิง ข้าไม่พูดปดหรอก” อังริเอตต้าถอนใจ
“ครั้งที่สิบสี่แล้วนะพะยะค่ะ”
‘ครั้งที่สิบห้าต่างหาก’ “แค่เรื่องกลุ้มใจน่ะ ข้าทำได้แค่ถอนใจ”
“ในฐานะเชื้อพระวงศ์ ความมั่นคงของอาณาจักรต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัวนะพะยะค่ะ”
“ข้าก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่รึ” อังริเอตต้าตอบอย่างเฉยเมย เธอมองดูดอกไม้ที่ถูกเด็ดมาในมือ และเอ่ยอย่างหดหู่
“...ดอกไม้ที่อยู่บนพื้นดินไม่ถือเป็นพรแห่งความสุขรึ คาร์ดินัล”
“กระหม่อมรู้เพียงว่าดอกไม้ที่มอบให้แก่บุคคลถือเป็นคำอวยพรพะยะค่ะ”
...
เมื่อขบวนรถม้าขององค์หญิงผ่านประตูโรงเรียน เหล่านักเรียนที่ยืนเรียงเป็นแถวอยู่สองฝั่งถนนยกคทาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ไม่มีใครส่งเสียงเอะอะ ทุกอย่างเงียบกริบเว้นแต่เสียงล้อรถ ต่อจากประตูหลักก็เป็นประตูหอคอยกลาง ออสมันยืนอยู่ที่ปลายสุดรอรับเสด็จ รถม้าหยุดลง บ่าวไพร่รีบร้อนปูพรมแดงที่หน้าประตู หนึ่งในราชองครักษ์ประกาศ
“องค์ราชินีแห่งราชอาณาจักรทริสเทน องค์หญิงอังริเอตต้าเสด็จแล้ว”
ทว่าคนแรกที่ลงมา คือคาร์ดินัลมาซารินิ นักเรียนบางคนส่งเสียงฮึดฮัด แต่มาซารินิทำเป็นไม่ได้ยิน และลงไปยืนที่ข้างประตูรอรับพระหัตถ์ขององค์หญิงขณะที่พระองค์ก้าวลงจากรถม้า เหล่านักเรียนและอาจารย์สดุดี รอยยิ้มที่งดงามและน่าหลงใหลปรากฏอยู่บนพระพักตร์ขององค์หญิงขณะที่พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์แก่ผู้ที่มารับเสด็จ
“นั่นน่ะเหรอองค์หญิงของทริสเทน เฮอะ...ฉันยังดูดีกว่าอีก” เด็กสาวผมแดงในฝูงชน—คีร์เก้พึมพำ ก่อนจะหันไปออดอ้อนไซโตะ ซึ่ง...โดนล่ามโซ่ใส่ปลอกคออยู่กับพื้น
ไซโตะชื่นชมความงามขององค์หญิงอย่างเงียบๆ (เพราะถ้าตีโพยตีพายไปเดี๋ยวจะโดนลงแส้อีก) แต่เขากลับเห็นสายตาของหลุยส์จับจ้องอยู่ที่ขุนนางสวมหมวกบนหลังของสัตว์ที่มีหัวเป็นอินทรีและตัวเป็นสิงโต แก้มของเธอเป็นสีชมพู รอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บนริมฝีปากของเธอ อะไรบางอย่างเดือดขึ้นในตัวไซโตะ แต่เขาปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามันคือความหึง
‘ช่างสิ อย่างน้อยคีร์เก้ก็—‘
แต่คีร์เก้ก็กำลังมองขุนนางคนเดียวกัน ด้วยสีหน้าแบบเดียวกับหลุยส์ ไซโตะรู้สึกถึงน้ำหนักของโซ่ที่ล่ามเขาไว้เป็นครั้งแรก ว่าเขากำลังคลานสี่ขาอยู่
“แล้วเธอก็สนใจอยู่แค่นั้นนะ” เขาพูดกับทาบาสะ ผู้ซึ่งจับเจ่าอ่านหนังสือในมือตัวเองราวกับการเสด็จขององค์หญิงไม่มีค่าอะไรสำหรับเธอ
เมื่อถูกพูดด้วย เธอก็เงยหน้าขึ้น มองตามหลุยส์กับคีร์เก้ แล้วก็หันกลับมามองไซโตะ เธอพึมพำคำสามคำ
“แค่สามวัน”
เธอคงกำลังปลอบใจเขา...รึเปล่านะ?
ขณะเดียวกัน จากบนต้นไม้ในสนามหญ้า ร่างหนึ่งแอบอยู่หลังใบไม้สีเขียวตามคำแนะนำของอาจารย์วิกทอง ไกลขนาดนี้ไม่มีใครสังเกต เขามองขบวนที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตร สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เจ้าของมงกุฏสีเงิน
‘เก้าปีแล้วเหรอเนี่ย... เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้น แม้ว่าตอนนี้จะเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่สวยสะพรั่งก็ยังคงแววตาที่อ่อนโยนเอาไว้ เป็นผู้นำที่ดีแล้วนะ อังริเอตต้า...’
ทว่าเขามองเห็น ความกลัดกลุ้มในดวงตาสีฟ้าใส แม้จะอยู่ห่างซะจนมองเห็นผู้คนเล็กเท่าตุ๊กตา แม้ว่าจะไม่ได้พบกันมาถึงเก้าปี แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมหน้ากากสดใสได้แนบเนียนเพียงไร เขาก็มองออกในพริบตา และได้แต่สงสัยว่าอะไรกันที่รบกวนจิตใจของเธออยู่
...
ตกดึก องค์หญิงพักค้างแรม ทางโรงเรียนจัดเตรียมห้องให้เป็นพิเศษ ส่วนนักเดินทางหนุ่มก็นอนในที่ที่สมตัว กลางสนามหญ้า เขาอยากจะเข้าไปนอนใกล้ๆ ที่ที่มองเห็นองค์หญิงได้ แต่การเฝ้ายามแน่นหนาตามคาด
เขานอนแผ่ไปกับพื้นหญ้า มือรองท้ายทอยแหงนหน้ามองดูดาวบนผืนพรมสีดำ ดวงจันทร์สองดวง สีฟ้าและสีแดงส่องแสงนวลไม่แพ้สีเหลืองที่เขาเคยเห็นที่โลกเก่าเลย
‘อังริเอตต้า จะเปลี่ยนไปจากตอนนั้นขนาดไหนนะ’ แค่มองจากไกลๆ สิ่งที่รับรู้ได้มีจำกัด เขาอยากจะพบกับอังริเอตต้าอีกครั้ง หน้าต่อหน้า
ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเงาดำวิ่งผ่านไป ดูเหมือนร่างนั้นจะไม่ทันสังเกตเขา ท่าทางกำลังรีบร้อน และผ้าคลุมฮู้ดสีดำก็บดบังทัศนวิสัยด้านข้างด้วย
เอ็กซ์ตัดสินใจว่าคืนนี้มีอะไรให้ทำแล้ว และตามไป
...
‘ที่นี่มัน...’ เขาอยู่ภายในชั้นสองของหอคอยที่ใช้เป็นหอพักนักเรียน ลอบมองร่างในผ้าคลุมจากหลังหัวมุม ร่างนั้นเคาะประตูห้องห้องหนึ่งสองครั้ง แล้วสามครั้ง ประตูเปิดออก เด็กสาวผมสีชมพูยืนอยู่ที่หน้าประตู ที่แท้นี่คือห้องของคู่นายหญิงกับอสูรรับใช้ที่เขารู้จักนั่นเอง
คทาถูกหยิบออกมาจากใต้ผ้าคลุมและโบกสะบัดพลางพึมพำคาถา
“คาถา<เงียบ>เหรอ?” เด็กสาวผมสีชมพูเรียกชื่อคาถาตามที่จำได้
“อาจจะมีตาหรือหูอยู่ก็ได้” เสียงหวานตอบจากใต้ผ้าคลุม
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเวทมนตร์ดักฟังหรือรูดักมองอยู่ ร่างปริศนาก็เปิดฮู้ดออก เอ็กซ์หยุดหายใจ
ร่างใต้ผ้าคลุมนั้นคือองค์หญิงอังริเอตต้า
องค์หญิงยิ้มให้เด็กสาวผมสีชมพู ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยกิริยาอาการสงบ แต่แฝงด้วยความยินดี
“ไม่ได้พบกันนานนะ วาลลิแยร์”
--
(*หมายเหตุ: โครงกระดูกนกสวมหมวกสีเทา: คาร์ดินัลนอกจากเป็นตำแหน่งทางคริสตจักรแล้วยังเป็นชื่อของ ‘นกคาร์ดินัล’ อีกด้วย อาจหมายถึงอย่างนั้นก็ได้)
แนะนำตัวละคร
อังริเอตต้า เดอ ทริสเทน
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
เพศ : หญิง
อายุ : 17 ปี
ส่วนสูง :
น้ำหนัก : สมัยนู้นมีเครื่องชั่งน้ำหนักซะที่ไหน
ชอบ : ซุปแกะนางฟ้า(???), ???
เกลียด : ???
ข้อมูล : องค์หญิงแห่งราชอาณาจักรทริสเทน แต่ต้องรับตำแหน่งหน้าที่ของราชินีเนื่องจากบิดาผู้เป็นราชาเสด็จสวรรคตไปตั้งแต่เด็ก มารดาที่เป็นราชินีตัวจริงก็โศกเศร้ากับการสูญเสียจนทนว่าราชการไม่ได้นาน เธอจึงต้องขึ้นเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย
เป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีงาม สุภาพเรียบร้อยอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาดี ในฐานะผู้นำ เธอแสดงออกเข้มแข็ง เมตตา เป็นที่รักของประชาชน ทว่าแท้จริงแล้วเก็บซ่อนความรู้สึกไม่มั่นคงเอาไว้ จากทั้งเรื่องของอาณาจักร...และเรื่องส่วนตัว
*หมายเหตุ: ความจริงแล้วเนี่ย Henrietta อ่านเป็นฝรั่งเศสว่า ‘ออง(อัง)-ริ-เอต-ต้า’(เหมือนชื่อนักฟุตบอล Henry จะอ่านว่า ‘ออง(อัง)-ริ’) ซึ่งถ้ารวบเสียงก็เป็น ‘อังเรียตต้า’ นั่นล่ะ แต่คนเขียนคิดว่า ‘อังเรียตต้า’ มันฟังแปร่งๆ ก็เลยใช้เป็น ‘อังริเอตต้า’ แทน
--
PBW:”มาตามไลท์โนเวลเลยแฮะตรงนี้ จากนี้ไปจะยิ่งเข้มข้นขึ้น...!”
DX:”ดูคนเขียนจะตั้งตารอมากกว่าคนอ่านซะอีกนะเนี่ย...”
S:”บ๊ะ ฉันมีบทก็ดีแล้ว เรื่องอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง”
DX:”แม้แต่เรื่องที่เอ็กซ์เป็นฝ่ายตกหลุมรักอังริเอตต้าซะเองน่ะนะ?”
PBW:”ก็ถ้าอังริเอตต้าไม่รักเอ็กซ์ตอบก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ปะ?”
(Edit1: แก้คำอธิบาย ‘โครงกระดูกนกสวมหมวกสีเทา’)
ความคิดเห็น