ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BIG BOSS | ボス (sekai kaihun chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #4 : - { B I G B O S S } ★ 03 ; ถ้าพจมานไม่ได้อยู่บ้านทรายทอง?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 939
      9
      23 ก.พ. 58


     

     

     

     

    “กล้ามากนะที่มีเรื่องในถิ่นของผม”

     

    เสียงแหบทุ้มเอ่ยเป็นครั้งแรกหลังจากออกคำสั่งให้มือขวาคนสนิทพยุงร่างหมดสติของ เหยื่อ ออกไปจัดการให้เรียบร้อย ดวงตาสีนิลนั่นทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างเฉยชา สบตากับบรรดาลูกน้องของศัตรูที่บังอาจมากระทืบคนธรรมดาในถิ่นของเขาเรียงตัว

     

    “อย่าพูดอย่างนั้นเลยน่า ประธานโอ...ไอ้ผมมันก็แค่คนมาหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมีเรื่องมีราวอะไร แต่ไอ้เด็กนั่นมันเป็นบ้า มันลุกขึ้นมาตบผมเอง...ลูกน้องผมมันก็แค่เห็นแล้วทนไม่ได้” 

     

    เฮียกวงมาเฟียคุมบ่อนผิดกฏหมายที่เป็นแหล่งฟอกเงินของพวกคนใหญ่คนโตพูดพลางหัวเราะในลำคอ มันค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า ๆ ก่อนจะแตะลงมาที่บ่าของคนตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ 

     

    “ประธานโออย่าถือโทษโกรธเด็กมันเลยน่— โอ้ย!!!

     

    ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบ เจ้าของบ่าที่ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เป็นทุนอยู่แล้วก็คว้าเข้าที่ข้อมืออ้วน ๆ นั่นแล้วจับบิดอย่างแรง

     

    กริ๊ก !!

     

    เสียงปลดเซฟตี้ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงที่ด้านหลังของเฮียกวง ลูกน้องของมันแสนรู้เหมือนเจ้านายมัน พอเห็นว่าลูกพี่อยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ พวกมันก็เล็งปืนมาที่เขาอย่างรวดเร็ว 

     

    เซฮุนมองปืนพกของลูกน้องมาเฟียตัวอ้วนที่จ่อปลายกระบอกมาทางเขานิ่ง ๆ สีหน้าของพวกมันแต่ละคนช่างเหี้ยมเกรียมเหลือเกิน แต่ละคนทำท่าเหมือนกับว่าตัวเองจะพาเขาลงนรกได้ตั้งแต่ยังไม่ลั่นไกอย่างนั่นล่ะ แต่น่ามันน่าตลกตรงที่พวกมันลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง... 

     

    ใช่...พวกมันลืมไป ว่าพื้นที่พวกมันเหยียบอยู่นี่ เป็นถิ่นของเขา

     

    “ปล่อยกู!”  เฮียกวงส่งเสียงลอดไรฟันออกมาเบา ๆ ท่าทางมันจะเจ็บแขนมาก เพราะดูจากสีหน้าบวกกับเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนขมับหนานั่นแล้ว ราวกับว่ามันกำลังอดทนอย่างหนักที่จะไม่ร้องไห้งอแงเพราะแขนถูกบิดให้อยู่ในท่าที่ผิดรูป

     

    “ปล่อยเฮียกวงเดี๋ยวนี้ประธานโอ” หนึ่งในลูกน้องของมันที่ยืนใกล้เขากับเฮียกวงที่สุดพูดออกมาเสียงเหี้ยม “อย่าให้ผมต้องยิงประธานในถิ่นของตัวเองเลย” 

     

    โอเซฮุนระบายยิ้มที่มุมปากทันทีหลังจากได้ยินข้อต่อรองของลูกน้องเฮียกวง ชายหนุ่มหรี่ตามองลูกน้องของเฮียกวงทีละคนอย่างพิจารณา

     

    “ด้านหลังผมมีลูกน้องสิบคน ด้านนอกอีกสิบ...” ใบหน้าคมพยักเพยิดไปด้านนอกอย่างไม่ยี่หระ “ถ้าคิดจะยิงผมแล้วออกไปจากที่นี่โดยไม่พิการล่ะก็ ผมว่าเฮียกวงน่าจะลองคิดใหม่ดูนะ” 

     

    “โอ้ย!” ไม่พูดเปล่าร่างสูงยังออกแรงบิดที่ข้อแขนของมาเฟียร่างอ้วนเพื่อกระตุ้นอีกรอบ ตอนนี้เฮียกวงจนมุมแล้วจริง ๆ ที่มันทำได้ก็มีเพียงแค่ปรายตามองลูกน้อง 5 คนของมันอย่างเคืองใจ “ยอมแล้ว ๆ ยอมแล้ว ถ้ายอมปล่อยผมกับลูกน้องไป ผมจะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ ตกลงไหม?”

     

    “ง่ายไปมั้ง...เฮียกวง” ได้ฟังข้อเสนอที่อีกฝ่ายว่ามาแล้วก็หงุดหงิดแปลก ๆ หงุดหงิดซะจนต้องเลื่อนใบหน้าลงไปกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของคนที่บิดข้อมือค้างอยู่ “ไม่ใช่แค่เรื่องคืนนี้...ทั้งเรื่องที่เฮียกวงสั่งเก็บคนของผมเมื่อคราวก่อน แล้วยังเรื่องที่จับผู้หญิงในถิ่นของผม เลาะปอดกับไตออกไปขาย...” 

     

    “....”

     

    “อย่าคิดว่าผมไม่รู้”

     

    มาถึงนาทีนี้ดูเหมือนเฮียกวงจะหมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ ร่างอ้วนนั่นเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้นทันทีที่ฟังเสียงแหบเสน่ห์ของอีกฝ่ายพูดจนจบ ใบหน้าของมันซีดขาวจนลูกน้องเห็นแล้วหวั่นใจไปตาม ๆ กัน และไม่ทันที่เฮียกวงจะได้โต้ตอบอะไรต่อ ชายหนุ่มที่ตนเองเรียกว่า ประธานโอก็ปลดเซฟตี้แล้วจ่อปืนมาตรงหน้าทันที

     

    “เข้าเรื่องเลยดีกว่า...” 

     

    “......”

     

    “จะทำตามข้อเสนอของผมดี ๆ”

     

    “.....”

     

    “หรือจะออกไปจากที่นี่...โดยที่มีกระสุนฝังอยู่บนหัว”

     

     

     

    BIG BOSS | ボス

    03 | ถ้าพจมานไม่ได้อยู่บ้านทรายทอง?

     

     

     

    “ซี่โครงหักสองซี่ครับบอส ต้องดามคอ แล้วก็ใส่เฝือกที่แขน” 

     

    เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยตอบเสียงเรียบ ดวงตาคมปรายมองศัตรูหัวใจของเจ้านายที่นอนพะงาบ ๆ อยู่บนเตียงอย่างไร้อารมณ์ เขาพยักหน้ารับคำสั่งจากปลายสายอีกสองสามอย่าง ก่อนมือหนาจะยกหูโทรศัพท์มือถือที่แนบไว้กับหนาออกมากดวาง

     

    ปาร์คชานยอลเลื่อนเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง มือหนายกขึ้นบีบเบา ๆ ที่ขมับตัวเองแล้วนวดคลึงไปมา เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเขาต้องวิ่งวุ่นไปมาอยู่หลายที่ สาเหตุไม่ใช่เพราะธุระจากตัวเขาเอง หรือ เจ้านายของเขาเลย แต่ทั้งหมดที่เขาต้องขาลากนั่นมันเกิดจากคนที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงนี้ต่างหาก  

     

    ยังจำได้ดี ตอนที่เขาพาพยุงร่างของคิมจงอินออกมาจากบาร์ทั้งสภาพเด็กเสิร์ฟในชุดวาบหวิว ร่างโปร่งนั่นหลับ ๆ ตื่น ๆ เอาแต่ร่ำ ๆ ว่าอย่าโทรหาที่บ้าน อย่าบอกที่บ้าน พอถามถึงที่อยู่ก็บอกว่าไม่มีบ้าน พูดอย่างนี้วกไปวนมาจนเขาปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็จำใจต้องโทรหาแฟนเจ้านายที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ ชู้ คนนี้ดีที่สุด 

     

    เกิดอะไรขึ้นกับจงอิน! เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า!’ น้ำเสียงเป็นห่วงจนแทบปิดไม่มิดจากคุณบยอนทำให้เขารู้สึกชังน้ำหน้าคนที่กำลังพยุงขึ้นมาอีกนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็จำต้องข่มอารมณ์เอาไว้แล้วกดเสียงถามอีกฝ่ายจนได้ความ

     

    อย่าถามนอกเรื่องครับคุณบยอน ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็ต้องรบกวนคุณโทรไปถามบอสเองดีกว่า

     

    ...ถนนกาโรซูกิล อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงเรียบ พร้อมทั้งบอกชื่อคอนโดเสร็จสรรพ แม้จะฟังออกว่ามีกระแสความไม่พอใจในน้ำเสียงของคุณบยอน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะต้องยอมบอกเกี่ยวกับอาการของชู้ให้อีกฝ่ายได้รู้

     

    พอพาศัตรูหัวใจของเจ้านายมาที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาจนเสร็จสรรพ เขาก็ตรงดิ่งไปที่คอนโดตามชื่อที่คุณบยอนบอกทันที แล้วให้ตายเถอะ...สิ่งที่เขาเจอมันแย่ยิ่งกว่าภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้ซะอีก

     

    ให้จัดการยังไงต่อดีครับบอส ร่างสูงต่อสายโทรหาเจ้านายทันทีที่เห็นสภาพน่าอเนจอนาถตรงหน้า ข้าวของเครื่องใช้แทบทั้งหมดที่ควรจะอยู่ในห้องชุดด้านในสุดของชั้นถูกขนออกมาวางกองเอาไว้ด้านนอกอย่างระเกะระกะ  ชายหนุ่มยืนพิงกับเสาต้นใน แล้วใช้เท้าเตะกล่องซีดีตรงหน้าให้เข้าไปรวมกับกองใหญ่ที่เละเทะอยู่ด้านข้าง 

     

    จ่ายให้หมด?... เขาทวนคำจากปลายสาย นี่เป็นอีกครั้งที่เขาไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องถามให้มากความ หลังจากวางสายเสร็จ เขาก็ลงไปที่ด้านล่างของคอนโดเพื่อจัดการสิ่งที่เจ้านายสั่งเอาไว้จนครบ แล้วรีบบึ่งกลับมาที่โรงพยาบาลอีกรอบทันที 

     

    ก๊อก ๆ ๆ

     

    เสียงเคาะประตูห้องเรียกให้ชานยอลตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอื้อมมือไปแตะไว้ที่กระบอกปืนทันที เขามองไปที่นาฬิกาติดฝาผนัง ดึกขนาดนี้คงไม่ใช่พยาบาลหรือหมอมาตรวจอาการแน่ มีข้อสันนิษฐานได้แค่สองข้อเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนของเจ้าที่เอาของมาให้ ก็เป็นใคร...ที่เคยมาลอบทำร้ายเจ้านายของเขา!

     

    “เฮ้ย! เล่นปืนผาหน้าไม้กลางคืนอย่างงี้เดี๋ยวผีผลักนะพี่!

     

    คนตรงหน้าเอ่ยทักพร้อมทั้งยกมือทั้งสองขึ้นในระดับสายตาทันทีที่เขาเปิดประตูออกแล้วใช้ปืนจ่อไปที่หัว ร่างเล็กในสูทชุดดำหัวเราะออกมาเสียงเบาเมื่อเห็นร่องรอยความโล่งใจในใบหน้ามือขวาคนสนิทของเจ้านาย

     

    “ไอ้จงแด...ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนว่าเป็นมึงที่จะเข้ามา” ชานยอลถอนหายใจก่อนจะเก็บปืนลงช่องเก็บข้างเอว “ถ้ากูยิงมึงหัวแบะขึ้นมาลูกเมียมึงร้องไห้แน่”

     

    “โห...ก็ใครจะรู้วะว่าพี่จะขี้ระแวงขนาดนี้” ร่างสูงยืนพิงกรอบประตู มองหนุ่มรุ่นน้องนามว่าคิมจงแดถอดกระเป๋าที่สะพายไว้ข้างตัวออกจากบ่า “ก็บอสเพิ่งสั่งให้ผมเอานี่มาให้ตะกี้นี้เอง...แล้วกฏหมายเค้าห้ามโทรศัพท์ตอนขับรถนะ พี่ไม่รู้หรอ”

     

    “เออ กูขอโทษแล้วกัน” ชานยอลว่าพลางรับกระเป๋ามาจากมืออีกฝ่าย “แล้วบอสสั่งอะไรมึงมาอีกไหม?”

     

    “อ่อ...บอสฝากบอกว่า ที่สั่งให้ทำน่ะไม่ต้องทำแล้ว”

     

    “.....”

     

    “ให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนมันมาใช้ร่างสัญญาได้เลย” 

     

    ___________________________________________

     

     

    แล้วก็นั่นล่ะครับ...จบการย้อนความทุกสิ่งอัน

     

    หลังจากที่ชีวิตพลิกผันคนอย่างคิมจงอินก็เลยต้องถือชะลอมอันเท่าควายเดินเข้าบ้านตระกูล โอ ที่ใหญ่จนคิดว่าเป็นป่าสงวนอีกที่ของประเทศอย่างนี้...

     

    “สัญญานี้จะมีผลภายในสามวัน หลังจากแกออกจากโรงพยาบาล”

     

    สามวัน สามวัน สามวัน...

     

    สามวันที่ว่านี่มันไม่ได้นานอะไรเลยสำหรับคิมจงอิน หลังจากออกจากโรงพยาบาลด้วยสภาพมีที่ดามคอต่อด้วยใส่เฝือกที่พยุงขา กว่าจะกลับมาถึงห้องไอ้ลู่หานที่ใจดีให้ที่พักพิงอิงกายาชั่วคราวก็ปาไปครึ่งวันแล้ว พยายามติดต่อพ่อ ติดต่อคนที่บ้านว่ายังสบายดีชีวิตแฮปปี้มีความสุข เวลาของเขาก็บินหนีไปอีกครึ่งวัน...  

     

    ตอนกลางคืนพยายามจะแอบหอบของหนีแต่หนียังไงก็หนีไม่พ้น ก็จะใครซะอีกล่ะ ไอ้ประธานโออะไรนั่นแหละ มันสั่งลูกน้องให้ตามเขาทุกฝีก้าว แล้วไอ้ลูกน้องนี่ก็ทำงานดีเหลือเชื่อ พวกมันตามติดชนิดที่ว่าถ้าขี้อยู่ บางทีอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกเสียงเบ่งเป็นกี่เดซิเบล...

     

    แล้วถามว่าทำไมไม่อยากให้คนที่บ้านรู้... 

    คงต้องเท้าความไปไกล แต่ถึงยังไงเราก็รู้จักกันแล้ว เพราะงั้นเขาจะเล่าให้ฟังก็ได้... 

     

    นายคิมจงอิน เกิดวันที่ 14 มกราคม ชอบกินเปาะเปี๊ยะทอดจิ้มกับซีอิ้วขาวเป็นชีวิตจิตใจ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนายคิมจองกุ๊ก.. 

     

    ได้ยินถูกแล้วล่ะ...เขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อจองกุ๊ก และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมให้คนที่บ้านรู้เรื่องเกี่ยวกับชีวิตเหลวแหลกนี่ เขาไม่อยากให้ครอบครัวที่เขารักมีเอี่ยวมาสละปอดกับไตขายโดยที่มีเขาเป็นตัวการ เขาไม่ใช่เด็กดีอะไร แต่อย่างน้อย ๆ ก็ไม่อยากให้พ่อที่เลี้ยงเขามาด้วยความรักต้องปวดหัวกับไอ้ลูกชายคนนี้อีก 

     

    เพราะงั้นเขาถึงได้ออกมาจากบ้าน...พยายามอยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งตัวเองไงล่ะ 

     

    แล้วไง? ทั้ง ๆ ที่ชีวิตกำลังไปได้สวยเลยแท้ ๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะถูกดูดลงหลุมดำทันทีที่เขาได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ โอเซฮุน 

     

    เห็นคนอื่นเค้าเรียกหมอนั่นว่า ประธานโอ โง้นงี้งั้น ลองลงให้คนอื่นเรียก ประธานๆๆ เป็นคำแทนชื่อแบบนั้นคงไม่ใช่ชื่อเล่นแหง เขาล่ะนึกสงสัยจริง ๆ ว่ามันมีเป็นถึงประธานแล้วมาทำงานเป็นมาเฟียอีกทำไม จะว่าทำพาร์ทไทม์ก็คงไม่ใช่.... แถมหน้าไอ้หมอนั่นก็หวานซะ ตัวก็ขาว เห็นแล้วไม่น่าจะทวงเงินจากใครได้เลย

     

    ก็น่ารักน่าชังอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่ามันสูงกว่าเขาไปอีกตั้งเกือบ 10 เซนติเมตร...

    แต่ถึงอย่างนั้นความสูงก็ไม่มีผลต่อแนวราบใช่ไห—

     

    “โอ้ย!

     

    แต่ไม่ทันที่จะได้จินตนาการถึงหน้าวอก ๆ ของไอ้ประธานโออะไรนั่นจนหมดทั้งตัว ร่างโปร่งก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเพราะโดนกระแทกเข้าที่สีข้างอย่างจัง

     

    “เดินขวางทางรถอยู่ได้ หลบไปสิโว้ยนี่มันทางรถวิ่ง!

     

    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองตามเสียงตะโกนที่ดังออกมาจากซีอาร์วีคันโต หนุ่มร่างเล็กในสูทชุดทะมึนยังคงชะโงกหน้าออกมาด่าเขาปาว ๆ หากแต่ไอ้ตาไม่รักดีมันไม่ได้มองที่ไปปากของคนที่กำลังด่าตัวเองเลย แต่มันกลับไปหยุดอยู่บนใบหน้าวอก ๆ ของคนที่นั่งเต๊ะท่ากอดอกอยู่เบาะหลังมากกว่า 

     

    “เอายังไงครับบอส” ไอ้มนุษย์ลูกน้องหันไปถามนายของมันที่กำลังหรี่ตามองมาทางนี้ วินาทีที่ดวงตาของเราสบกัน คิมจงอินรู้สึกเหมือนกับมีใครเอาน้ำร้อนมาสาดหน้า ตอนนี้เขาไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วยกเว้นเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นโครมครามอยู่ในอก

     

    “เฮ้ย! บอสบอกให้มึงรีบย้ายก้นขึ้นไปรอบนบ้านใหญ่ ถ้าบอสถึงก่อน มึงโดนซ่อมแน่!” 

     

    พูดจบรถซีอาร์วีก็วิ่งฉิวออกไป ทิ้งคิมจงอินที่ยังยืนนิ่งถือชะลอมเอาไว้...  นะจังงังไปเลยไหมล่ะ ไอ้ประธานโออะไรนั่น พอได้มาเห็นใกล้ ๆ อีกครั้งแล้ว....

     

    สวย... ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำไหนได้ดีกว่าคำนี้อีกแล้ว ทั้งหน้ามันที่เป็นรูปวีเชฟ ตาสองชั้นคมกริบอย่างกับเหยี่ยว จมูกนี่โด่งเป็นสัน แล้วยังปากรูปกระจับที่แดงเหมือนเอากระเจี๊ยบมาป้ายนั่นอีก... 

     

    แม่งเอ้ย! หน้าตาดีชิบหาย...ขาวโอโม่ดูดีซะจนหัวใจเขาแทบวาย เหมือนมีฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมในหนังอาหลองมาเล่นอยู่ที่ด้านหลัง หูเขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงระเบิดที่ดังในหัวตัวเอง พอมองหน้าสบตากันเข้าก็รู้ได้เลยว่าที่เป็นอยู่เนี่ย แม่งเขินชัด ๆ .... 

     

    ว่าแต่มึงจะเขินไอ้ประธานโออะไรนั่นทำไมเนี่ยไอ้จงอิ๊นน...

     

    ร่างโปร่งยืนเอ๋ออยู่พักใหญ่ ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าลูกน้องร่างเล็กของไอ้ประธานนั่นพูดอะไรทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะขับรถออกไป

     

    ชิบหายแล้วมันขับรถ...  จงอินก้มลงมองสองตีนที่คีบแตะของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้ายรถซีอาร์วีที่วิ่งไปไกลจนใกล้ถึงเขตบ้าน แล้วเขาล่ะ เขาไม่มีรถ ทำไงจะถึงให้ทันไอ้ประธานโอนั่นได้วะ... 

     

    ดูเหมือนจะมีทางเดียวแล้วสินะ...

     

    วิ่งให้ป่าราบเลยโว้ย!

     

    __________________________________________________

     

     “ถอยไปครับคุณมือขวา”

     

    ผ่านมาสามวันแล้วที่มีแต่ประโยคแบบนี้ แบคฮยอนไม่เคยเข้าใจผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายชุดดำคนนี้ถึงมายอมติดแหง็กอยู่แบบนี้ ทั้งๆที่ก็ไปทำงานทุกวันตามปกติ แต่พอตกเย็นก็มีอันต้องบึ่งมาที่นี่ มาถึงก็ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งนิ่งๆ เขียนอะไรยุกยิกๆ ในสมุดโน้ตส่วนตัว

     

    “ไม่ครับ” ปาร์คชานยอลถอยเอาหลังแนบกับประตูทันทีเมื่อเห็นว่าแฟนของเจ้านายแทรกผ่านข้างตัวเขามาได้แล้ว

     

    แบคฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ เป็นรอบที่ล้านแล้วนะที่เขาต้องมาเถียงอะไรแบบนี้กับคุณมือขวาของแฟนเขา ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันไม่ถูก แต่แล้วยังไงล่ะ จะทำโทษโดยการกักบริเวณเขาไว้แบบนี้เหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวนึงอย่างงั้นหรอ

     

    “ผมบอกให้ถอย...” แบคฮยอนยังคงพยายามแทรกตัวผ่านร่างใหญ่ ๆ ของอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ แต่คำตอบเดิมที่ได้ก็คือ ไม่ แล้วก็ไม่เท่านั้น

     

    “ไม่ครับ” จะให้ต้องพูดย้ำอีกเป็นพันครั้งเขาก็ยังจะพูดคำนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้านายของเขาป้อนคำสั่งอะไรลงใส่สมองหรอก แต่ที่เขายืนกรานไม่ให้คนตัวเล็กตรงหน้าออกไปไหนมาไหนโดยลำพัง ก็เพราะว่าต้องการระวังอันตรายให้แฟนของเจ้านายที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิดต่างหาก...

     

    หลายวันที่ผ่านมามีแต่เหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ บอสถึงได้กำชับนักหนาว่าอย่าให้ คุณบยอนคลาดสายตา หรือจะให้ดี ถ้าบอกว่าจะมาหา ก็ให้บอกปัดแล้วตัดใจไปได้เลย เพราะยิ่งอยู่ใกล้บอสเท่าไหร่ คุณบยอนก็จะยิ่งไม่ปลอดภัยเท่านั้น

     

    เขารู้...รู้ดี แม้เจ้านายของเขาดูติดจะเย็นชาไปซักนิด แต่บอสก็เอาใส่ใจคนข้างตัวมากกว่าที่คนอื่นคิด ไม่ต้องนับคนรู้ใจอย่างคุณบยอน แค่กับเขาที่เป็นลูกน้อง บอสยังดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี บอสส่งเงินไปให้แม่ ส่งเสียน้องเขาจนเรียนจบ เพราะอย่างนี้ครอบครัวของเขาหรือแม้แต่ตัวของเขาเองเลยไม่เคยคิดว่าบอสเป็นแค่ เจ้านาย

     

    เพราะบอสมีค่ามากกว่านั้น...

     

     “เอ๊ะ...ผมไม่ได้จะไปเที่ยวไหนเลย แค่จะไปหาเจ้านายของคุณที่บ้านใหญ่ก็แค่นั้น”

     

    ชานยอลนับถือในความรอบคอบของบอสมาก สุดท้ายพอคุณบยอนไม่มีข้ออ้างในการออกไปไหน คนตัวเล็กก็เอาบอสมาอ้างอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ

     

    “ไม่ได้ครับ”

     

    “...” แบคฮยอนกอดอกมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าขัดใจ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้ายังไง ร่างสูงใหญ่ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

     

    “ขอโทษด้วยครับ แต่ผมคิดว่าคุณบยอนคงไม่อยากทำให้บอสโกรธแน่ ๆ”

     

    “ใช่...ผมไม่อยากให้เซฮุนโกรธแน่ แต่คุณนั่นล่ะ ที่กำลังทำให้ผมโมโห...” แบคฮยอนกำลังหมดความอดทน เด็กหนุ่มตะโกนออกมาสุดเสียง ก่อนดวงตาเรียวรีแบบชั้นจะเดียวจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ปาร์คชานยอล! ผมบอกให้ถอยไง!

     

    “ขอโทษที่ต้องพูดอีกรอบ แต่บอสสั่งกักบริเวณคุณเป็นเวลา 1 อาทิตย์ครับ...เผื่อคุณจะลืมไป” ปาร์คชานยอลยังคงยืนอยู่หน้าประตู และไม่ว่าแบคฮยอนจะทำยังไง ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็ไม่มีทางที่จะหลีกจากประตูแน่ ๆ

     

    เด็กหนุ่มกลอกตามองเพดานอย่างเซ็ง ๆ

     

    “เฮ่อ....ก็ได้ๆ ทราบแล้วครับๆ” แบคฮยอนจำใจยอมถอยห่างจากประตูเมื่อบรรยากาศมันดูจะย่ำแย่ลงไปอีก เขาไม่เคยคิดอยากจะทะเลาะกับมือขวาของแฟนเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าคนร่างสูงไม่เคยยอมทำตามใจเขาเลยแม้ซักครั้ง

     

    เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะสบถออกมาเบา ๆ  “จะย้ำทำไมกันนักกันหนา”

     

    “จำเป็นต้องย้ำครับ ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้บอสกำชับเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้คุณบยอนออกจากห้องไปไหนคนเดียวตามลำพังทั้งนั้น” 

     

    “เวร” แบคฮยอนทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อนึกภาพตัวเองเดินข้างนอกแล้วมีชายชุดดำเดินตามหลังเป็นพรวน  “แล้วเขาสั่งอะไรมาอีก”

     

    “บอสไม่สะดวกจะเจอหน้าคุณบยอนซักพักครับ” ชานยอลตอบเสียงเรียบ แต่แบคฮยอนไม่คิดอย่างนั้น คนอย่างเซฮุนจะพูดรักษาน้ำใจเขาแบบนี้

     

    “พูดตรง ๆ มาเลยดีกว่าคุณมือขวา...เอาอย่างที่เขาพูดกับคุณ ให้เป๊ะทั้งประโยคล่ะ” เพราะรู้นิสัยแฟนของตัวเองดีถึงได้คาดคั้นเอากับชานยอล แบคฮยอนแอบเห็นดวงตาของอีกฝ่ายไหววูบไปแวบนึง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะไม่กี่วินาทีถัดมาคนร่างสูงก็ทำหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม

     

    “...”

     

    “เอ้า...รออะไรอยู่ล่ะครับ พูดมาสิ” 

     

    “บอสบอกว่าไม่ต้องการเห็นหน้าคุณบยอนซักพักครับ”  

     

    ก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ แต่แบคฮยอนก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้ 

     

    “เพราะว่าเรื่องจงอินน่ะหรอ...” ในใจพาลนึกไปถึงอีกคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องโดนกักบริเวณแบบนี้ เด็กนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น พยายามจะแก้ตัวผ่านคนสนิทของเซฮุนผ่านคำพูดด้วยความรู้สึกผิด “ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นแบบนั้น....”

     

    “สำหรับคน ๆ นั้น...ก็มีส่วนครับ”  คำตอบของชานยอลไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นไปกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะทำความเข้าใจได้แล้ว ว่าทำไมเซฮุนถึงไม่อยากเจอหน้าเขาในตอนนี้

     

    “อือ....” แบคฮยอนอมถอยห่างจากคนร่างสูงออกมา เด็กหนุ่มหันหลังกลับเดินคอตกหายไปในครัว ในขณะที่ชานยอลยังยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าประตูที่เดิม

     

    แค่พักเดียวเท่านั้นที่คนร่างบางหายเขาไปในส่วนของครัว เด็กหนุ่มเดินออกมาพร้อมกล่องเค้กโฮมเมด ก่อนมือเล็ก ๆ นั่นจะยื่นกล่องนั้นมาทางเขา

     

    “งั้นฝากคุณชานยอลเอาเค้กเนยสดที่ผมทำไว้ไปให้เซฮุนเค้าที่บ้านใหญ่ได้ไหมครับ...”  

     

    “....” 

     

    “อย่าลืมให้เขานะครับ...ผมทำไว้รอพี่เขาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว” 

     

    __________________________________________________

     

     “ซ่อม”

     

    น้ำเสียงหนักแน่นของคนที่ยืนกอดอดอยู่ตรงหน้าประตูทำเอาคิมจงอินใจแป้ว เด็กหนุ่มทรุดตัวลง หอบหายใจพลางเอื้อมคว้ามือตัวเองไปกอดขาอีกฝ่ายเอาไว้เป็นรอบที่สามของวัน ทั้งเอาหน้าถู เอาแก้มถูกางเกงแสล็คสีดำนั่นเป็นเชิงขอร้อง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย   

     

    “ซ่อมอีกแล้วหรอพี่!...พอเถอะนะ ไหว้ล่ะ ผมเหนื่อยแล้วพี่ ไส้จะไหลออกมากองรวมกันตรงหน้าพี่แล้วเนี่ย พี่ไม่เห็นหรอ ผมสำนึกแล้ว อย่าสั่งซ่อมผมอีกเลย ผมจะตายอยู่แล้ว ขอร้องนะครับ” ไหว้เสร็จจงอินก็ชี้นิ้วไปทางพื้นหินอ่อนตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะทำท่าเหมือนกับคนที่จะขย้อนของเก่าออกมา

     

    “บอสครับ” ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดดำที่คนอื่นๆเรียกกันว่า พี่จงแด หันไปถามคนร่างสูงโปร่งที่เพิ่งจะก้าวลงมาจากบันไดวน ใบหน้าของ บอส ที่มองมาที่จงอินดูเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่สน เขาส่งสายตาละห้อยกลับไปแทน “จะให้ผมซ่อมมันอีกไหมครับ”

     

    จงอินหูผึ่งทันทีที่ได้ยินคำว่า ซ่อม จากพี่จงแด อะไรกันเนี่ย เอะอะก็ซ่อมก็ซ่อม ไม่ได้การแล้ว ถ้าไอ้ประธานโออะไรนั่นเกิดพยักหน้าขึ้นมาเขาก็ซวยน่ะสิ

     

    ก็ไอ้ ซ่อม ที่พี่จงแดมันว่าเนี่ย ก็คือการเดินจากที่นี่ไปที่ประตูบ้านใหญ่ แค่นี้ดูธรรมดาใช่ไหม...แต่มันไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ! ไอ้พี่จงแดมันสั่งให้เขาวิ่งไปกลับจากนี้ถึงโน่นนับเป็น 3 เซ็ต เซ็ตละ 5 รอบ... วิ่งเสร็จไปเซ็ตนึงก็แทบคลานแล้ว แต่พอทำท่าจะไม่วิ่งต่อมันก็ขู่จะเอาไม้เบสบอลตี 

     

    แล้วไอ้ระยะห่างจากตัวบ้านตระกูล โอ นี่ก็ใช่จะใกล้...ทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งสนามเทนนิสที่เขาวิ่งผ่านมา แม่งทำให้เขาซึ้งเลยว่า วัง ของจริงมันเป็นยังไง

     

    แถมเป็นวังที่มีแต่มาเฟียซะด้วย...

     

    “ไม่ ไม่เอานะพี่” จงอินกอดขาชายร่างเล็กไม่ปล่อย เด็กหนุ่มเงยหน้าทำตาละห้อย พูดขอร้องอย่างน่าสงสาร “นะครับพี่...พี่สุดหล่อครับ...ผมขอร้อง”

     

    “เงียบโว้ย ไม่เห็นหรอว่ากูคุยกับบอสอยู่ เดี๋ยวปั๊ด!”จงแดหันมาทำท่าเงื้องมือใส่เด็กหนุ่มที่กำลังกอดขาตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวตัวหันกลับไปถามเจ้านายที่มองพวกเขานิ่งอีกรอบ “เอาไงกับมันดีครับบอส”

     

    คนที่ยืนอยู่บนเชิงบันไดทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ชายชุดดำอีกคนก็วิ่งถลาถือโทรศัพท์เข้ามาด้วยความร้อนรน

     

    “บอสครับ โทรศัพท์จากคุณยุนโฮโทรมาครับ” 

     

    “บอกให้คุณอารอสาย เดี๋ยวฉันจะตามไป”  ชายชุดดำโค้งตัวให้ทันทีที่ฟังเจ้านายพูดจนจบ ร่างสูงโปร่งบนเชิงบันไดทำเพียงปรายตามองมาทางคนผิวแทนอย่างเย็นชา แต่ก็แค่แวบเดียวเท่ากัน ก่อนจะหันกลับไปหาลูกน้องที่ยืนกุมมือรอรับคำสั่งอยู่แล้ว “พามันไปเก็บเสื้อผ้าที่เรือนคนใช้ อาบน้ำอาบท่าให้เสร็จแล้วให้ไปรอฉันที่ห้องหนังสือ” 

     

    “ครับบอส” จงแดรับคำสั่งเจ้านายเสียงหนัก เขายืนมองร่างสูงโปร่งหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปข้างบนจนลับสายตา ก่อนจะหันมาหาไอ้เด็กหนุ่มที่ยังนั่งหมอบอยู่ตรงหน้า “มองอะไร ไม่ได้ยินที่บอสสั่งรึไง”

     

    “ดะ..ได้ยินครับพี่” 

     

    “ดี! งั้นก็อย่าให้บอสรอมึงนานๆ ไม่งั้นกูจะซ่อมมึงอีกรอบ!

     

    “คร๊าบบบบ!

     

    __________________________________________________

     

    ประตูไม้มะฮอกกะนีปิดลงอัตโนมัติทันทีที่ร่างสูงโปร่งก้าวพ้นมา ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานไม้สักที่วางอยู่ใจกลางห้อง ก่อนจะปรายตามองโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังสว่างจ้า เพราะยังต่อสายกับอีกฝ่ายที่ได้ชื่อว่ามีศักดิ์เป็น อา ของตนอยู่

     

    “ขอโทษที่ต้องให้รอครับ” กรอกเสียงลงไปทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู แสนเหนือหมุนเก้าอี้บุนวมตัวโปรดให้หันเข้าหาตัว ก่อนจะล้มตัวลงนั่งอย่างเชื่องช้า

     

    “เมื่อวานชานยอลเข้ามาส่งรายงานให้พี่วอนแจ...อาเห็นเขาดูอิดโรยเลยถามไปตามประสา คุยไปคุยมาเลยได้รู้ว่าเราโดนยิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” 

     

    คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหันทันทีที่ได้ยินปลายสายว่าอย่างนั้น อันที่จริงถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องเกี่ยวกับที่เขาโดนลอบทำร้ายนัก แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาเองก็พลาด จะว่าชานยอลผิดหรือก็ไม่...เพราะเขาเองก็ลืมกำชับลูกน้องไว้ว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คนบ้านโน้นฟัง

     

    “ไม่ครับ...ขอโทษที่ทำให้คุณอาต้องเป็นห่วง”

     

    แม้จะมีศักดิ์เป็น อา แต่ โอยุนโฮก็ไม่ใช่ญาติที่มีสายเลือดเดียวกับเขาจริง ๆ ถ้าจะให้เล่าย้อนความแต่แรกก็ยาวน่าดู แต่เอาเป็นว่า คนนามสกุล โอ ไม่มีใครมีสายเลือดเดียวกับเขาเลยซักคนต่างหาก...

     

    แม้จะดูต่อต้านถึงขนาดมาปลูกบ้านแยกอยู่อย่างนี้แต่ที่เขายังเคารพและนอบน้อมกับอีกฝ่ายมากกว่าใคร ๆ ก็เป็นเพราะว่าอายุนโฮดูแลเขาเป็นอย่างดีมาตลอด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันนับความดีเหล่านี้รวมกับคนในตระกูลโอคนอื่นๆ เพราะคนพวกนั้นแม้แต่จะคิดถึงก็รู้สึกว่าเปลืองสมองแล้ว

     

    “อืม...ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “อาบอกตรง ๆ เลยนะว่าไม่สบายใจ ยิ่งช่วงนี้มีเรื่องที่พี่วอนแจป่วยกระเซาะกระแซะ แล้วไหนจะเรื่องที่เราโดนลอบทำร้ายอีก” 

     

    “ครับ”

     

    “ดูแลตัวเองหน่อยนะเซฮุน...ว่าง ๆ ก็เข้ามาเยี่ยมพ่อเขาที่บ้านบ้าง” 

     

    “ครับ”

     

    “อารู้ว่ามันลำบากใจ แต่เราก็ต้องเข้าใจนะ พ่อเค้าก็เป็นห่วงเราถึงได้พูดออกไปแบบนั้น” อายุนโฮก็เป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคุณอาพยายามจะทำอะไร แต่การเอาน้ำเย็นเข้าลูบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ พ่อเลี้ยงลูบไปยังไงมันก็ไร้ประโยชน์ เขากับโอวอนแจเราเย็นชาใส่กันมาตั้งนานแล้ว จะให้อยู่ ๆ เข้าไปทำเอาอกเอาใจตาแก่นั่นเหมือนอย่างลูกแท้ ๆ มันก็ไม่ใช่วิธีของเขาเหมือนกัน

     

    “ครับ”

     

    “อาว่าเซฮุนต้องปล่อยวางซะบ้าง อะไรที่ถือเอาไว้ถ้ามันหนักเราก็ต้องรู้จักที่จะวางมันให้ถูกที่นะ เข้าใจที่อาพูดใช่ไหม?” 

     

    “ครับ”

     

    “ดูเหมือนเราจะเหนื่อยและคงจะเบื่อที่ต้องมานั่งฟังคนแก่บ่นแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ...อาโทรมาเท่านี้ล่ะ เป็นห่วงอาการเราเฉย ๆ ยังไงก็อย่าลืมที่อาพูดซะล่ะ”

     

    “ครับ”

     

    “งั้นเท่านี้นะ”

     

    “ครับ...สวัสดีครับคุณอา” โอเซฮุนไม่รู้จะพูดอะไรให้อีกฝ่ายฟังแล้วได้สบายใจมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเท่าที่เขาทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่รับฟังอีกฝ่ายอย่างไม่โต้เถียง เขาไม่ได้อยากแสดงความเย็นชาให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ แต่มันก็ยากนัก สำหรับช่วงนี้ที่ทำให้เขาหัวปั่นกับหลาย ๆ เรื่อง

     

    สายถูกตัดไปแล้ว แต่ร่างสูงโปร่งก็ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น..ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นนวดเบา ๆ ที่ขมับ

     

    การไปเยี่ยมเยียนพ่อเลี้ยงที่ป่วยอยู่เป็นเรื่องที่ควรทำ

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พร้อมจะเพิ่มเรื่องอะไรที่น่าหนักใจมาใส่หัวอีก

     

    __________________________________________________

     

    ตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว...

    คิมจงอินที่อาบน้ำอาบท่าจนตัวหอมฉุยกำลังยืนประหม่าแทบจะเป็นบ้าโดยมีประธานโอนั่งเต๊ะท่าอยู่ตรงหน้า...

     

    เด็กหนุ่มยืนเม้มริมฝีปากกำมือแน่นอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ไม่ใช่ไม่รู้หน้าที่ว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายที่กำลังให้ความสนใจกับนิยายเล่มหนาในมือหรือไม่อะไรยังไง แต่เป็นเพราะเขายังไม่ค่อยอยากจะทำใจยอมรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่างหาก

     

    จงอินไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ ยังจำได้เลยว่าตอนที่พี่จงแดพาเขามายืนหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังใหญ่สไตล์ Loft แล้วบอกว่านี่แหละ เรือนคนใช้ ตอนนั้นเขาทำหน้ายังไง สาบานได้ว่าภาพในหัวเขาตอนแรก เรือนคนใช้ คงจะสภาพแย่สุด ๆ อาจจะเป็นบ้านพักที่ดูเก่า ๆ หรือตึกที่ดูโทรม ๆ แต่ไอ้ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันต่างไปจากนั้น บ้านผนังปูนเปลือยที่มักจะเห็นตามหน้าหนังสือตกแต่งบ้านนี่คืออะไร? ไม่ใช่ร้านกาแฟแนวสตรีท ๆ ชิค ๆ งั้นหรอ? 

     

      แล้วยิ่งตอนที่ได้เห็นห้องส่วนตัวห้องใหม่ของตัวเองแล้วก็ยิ่งเซอร์ไพร์สหนักกว่าเดิม ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่นี่ดูดีกว่าห้องที่คอนโดของเขาอีก ... และนั่นทำให้เขารู้สึกเกี่ยวกับประธานโอขึ้นมาหนึ่งอย่าง หมอนี่เป็นเจ้านายที่ใส่ใจลูกน้องมาก ๆ แม้กระทั่งที่อยู่ที่อาศัย ที่ไม่ต้องใส่ใจอะไรนักก็ได้ แต่กลับสร้างให้ดูน่าอยู่ได้ขนาดนี้ 

     

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมลูกน้องคนอื่น ๆ ถึงดูถวายหัวให้ไอ้มาเฟียบ้าเลือดนี่นัก 

    ถ้าไม่ได้เป็นศัตรูหัวใจกัน ก็คงจะยอมรับแล้วมองโอเซฮุนในแง่ดีขึ้นมาอยู่หรอก...

     

    แต่ถึงอยากจะมองอีกฝ่ายให้ดีแค่ไหนมันก็ทำใจให้ลืมเรื่องที่อีกฝ่ายพูดขู่จะเอาปอดกับไตเขาไปขายไม่ได้... 

    คิมจงอินอยากจะร้องไห้...ใช้ชีวิตอยู่มาตั้ง 20 กว่าปี ไม่เคยมีวันไหนที่เขารู้สึกเวทนาอวัยวะภายในของตัวเองเท่าวันนี้เลย

     

    “มาแล้วก็นั่งลงสิ”

     

    น้ำเสียงแหบเสน่ห์ดังขึ้นหลังจากปล่อยให้เด็กหนุ่มร่างโปร่งยืนอยู่ในภวังค์มานาน เซฮุนรู้ตัวมาตั้งแต่แรกว่ามีมดดำไร้ประโยชน์เดินเข้ามาในห้องหนังสือ แต่ที่ทำเป็นไม่สนใจก็เพราะอยากจะรอดูว่ามันจะทำหน้ายังไงเมื่อต้องมาประจันหน้ากับเขาตัวต่อตัวต่างหาก

     

    “อะ...เอ่อ...” จงอินสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มกุลีกุจอเร่งฝีเท้าไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของอีกคนทันที

     

    สวย... อีกแล้วที่คิดอย่างนี้ ไม่รู้สิ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้เจอกับคนสวย ๆ นะ แต่กับคนตรงหน้า... ไอ้ประธานโออะไรนี่มันสวย...สวยแบบ มีเสน่ห์ สวยมีสไตล์ สวยแบบน่ามองน่าหลงใหล สวยแบบที่เขาเรียกกันว่า flower boy ทั้งรูปหน้า เครื่องหน้า ทุก ๆ อย่างที่จัดวางอยู่บนนั้นมันดูลงตัวไปซะหมด เห็นแล้วอดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ลอบมองโดยที่ไม่รู้ตัวไปซะทุกครั้ง 

     

     “ไม่ใช่บนเก้าอี้” แต่ก็แอบมองได้ไม่นานหรอก พอใบหน้ารูปไข่นั่นเงยขึ้นมาจากหนังสือในมือ ดวงตาคมกริบภายใต้แว่นไร้กรอบก็จ้องมาที่เขาเขม็ง “..นั่งกับพื้น”

     

    คิมจงอินกระพริบตาปริบ ๆ กว่าสมองจะประมวลผลอะไรได้ก็เผลอมองตามใบหน้าของอีกฝ่ายที่พยักเพยิดไปทางพื้นพรมด้านล่างแล้ว เด็กหนุ่มลุกจากเก้าอี้งงๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเขาทั้งคู่ นั่นทำให้จงอินอึดอัดจนอย่างจะพูดอะไรออกมาซักอย่าง แต่เขาก็ตัดสินใจไม่พูด ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุในห้องนี้เหมือนกัน ใบหน้ารูปไข่ของประธานโอเสไปทางไอ้มดดำไร้ประโยชน์เล็กน้อย

     

    “ลุกขึ้นมา”  น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ

     

    “ห๊ะ”

     

    “บอกให้ลุกขึ้นมา” 

     

    จงอินขมวดคิ้วสองข้างเข้าหากันอย่างมึนงง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยอมลุกขึ้นจากพื้นตามที่อีกฝ่ายสั่งแต่โดยดี

     

    “นั่งลงไปใหม่”  โอเซฮุนออกคำสั่งพลางยืดตัวเอนหลังนั่งไขว้ห้าง ดวงตาคมมองต่ำไปยังคนที่กำลังจะหย่อนก้นลงไปกับพื้นพรมอีกรอบ

     

    “ลุกขึ้นมาใหม่” 

     

    “ห๊ะ...เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย” จงอินสบถพลางส่ายหัวยิก “ผมไม่ลุก ไม่ลุกแน่ ๆ จนกว่าคุณจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมต้องลุก ๆ นั่ง ๆ แบบนี้ด้วย” 

     

    มาถึงตรงนี้คิมจงอินก็เริ่มมีอารมณ์แล้วเหมือนกัน ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่กับพื้น ส่งสายตามอง จ้องอีกฝ่ายเขม็ง เขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งงี่เง่าของไอ้ประธานโอนี่แน่ ๆ ให้ผุดลุกผุดนั่งอยู่ได้ เป็นบ้าหรอวะ ตลกมากนักรึไง

     

     “ปากดี...” โอเซฮุนหัวเราะหึในลำคอเมื่อได้ยินคำพูดต่อว่าจากอีกฝ่าย  “เวลาผู้ใหญ่อนุญาตให้ทำอะไร ไม่ต้องขอบคุณรึไง” 

     

    จงอินพยักกหน้าตามช้า ๆ อย่างเห็นด้วย...ก่อนคู่หนาจะขมวดเข้าหากัน เดี๋ยวนะ กับอีแค่อนุญาตให้นั่งนี่ต้องพูดขอบคุณเป็นพิธีรีตองขนาดนั้นเลยหรือไง

     

    “นิ่งอะไรอยู่อีก พ่อแม่ไม่เคยสอนสะกดคำว่าขอบคุณรึยังไง” 

     

    น้ำเสียงเย็นยะเยียบจากอีกฝ่ายทำให้คนฟังรู้สึกหน้าชา ไม่ใช่ชาเพราะว่ากลัวหรือไม่กล้าจะต่อเถียง แต่มันชาเพราะไอ้ประธานโอนี่มันพูดจาพาดพิงถึงพ่อแม่ที่เคารพรักของเขาต่างหาก!

     

    “มันจะมากไปแล้วนะครับประธานโอ...แค่นี้ต้องว่าถึงพ่อแม่ผมด้วยรึไง!” เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นจากพื้นทันทีอย่างเหลืออด ดวงตากลมจ้องอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง แต่คนถูกหาเรื่องดูไม่สะทกสะท้านซักเท่าไหร่ จนเมื่อดวงตาคมคู่นั้นสบกลับมาราวกับจะถามว่าทำไม...นั่นทำให้เด็กหนุ่มพอจะสำเหนียกตนขึ้นมาได้ทันทีว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานะไหน...

     

    นี่เขากำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ... เสียเปรียบแบบสุด ๆ ด้วย

     

    “หึ...ขอโทษก็แล้วกัน งั้นฉันขอเปลี่ยนคำพูด...พ่อแม่แกคงสอนมาดีอยู่หรอก แต่คงเป็นแกเองต่างหากที่ไม่รู้จักจำ...” นับว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเอ่ยปากขอโทษเรื่องที่พาดพิงถึงพ่อกับแม่ของเขาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นปากร้าย ๆ ก็ไม่วายพูดกัดให้เจ็บ ๆ คัน ๆ เมื่อได้ฟัง  “อย่างน้อย ๆ ก็ศีล 5 ข้อที่ 3...”

     

    “โอเค...ผมยอมแล้ว” จงอินผ่อนลมหายใจออกทางจมูก เขารู้ว่าการเถียงอีกคนมันไม่ช่วยอะไร ยังไงเขาก็แพ้อยู่วันยังค่ำ เพราะงั้นตอนนี้เลยพยายามหันมาข่มอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติแทน มือคู่สวยยกขึ้นสองข้างอย่างคนยอมแพ้ “กระผมนายคิมจงอิน ต้องขอบพระคุณท่านผู้มีอุปการคุณเป็นอย่างสูง ขอบคุณที่ท่านกรุณาให้ผมหย่อนก้นสกปรก ๆ นั่งบนพื้นพรมอันแสนสะอาดของท่าน...พอใจหรือยังครับคุณประธานโอ” 

     

    ท่านผู้มีอุปการคุณ พอได้ฟังก็จุดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ ไม่ใช่เพราะมันฟังดูน่ารักหรืออะไร แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังยอมแพ้เขาอย่างเสียไม่ได้ต่างหาก 

     

    คิมจงอินมองคนที่ไม่แม้แต่จะสนใจประโยคประชดประชันจากตนนิ่ง ก่อนร่างโปร่งจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย(?)

     

    “เข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า” จงอินถอนลมหายใจทันทีที่ได้ยิน เด็กหนุ่มสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยเกลียดประโยคนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังไอ้ประธานโอนี่พูดบ่อย ๆ เวลาจะเอาเปรียบเขา เขาก็เริ่มจะเอียนไอ้ประโยคนี้แล้วเหมือนกัน

     

    “ตามสัญญาที่ว่ามา แกจะต้องทำงานให้ฉันสัปดาห์ละ 6 วัน ห้ามหยุด ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามสาย”  โอเซฮุนพูดพลางยกสัญญาที่เตรียมเอาไว้ในมือขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู ชายหนุ่มมองไอ้มดดำไร้ประโยชน์ตรงหน้าที่ดูเหมือนจะมีข้อติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายได้สิทธิ์ในการตั้งคำถาม

     

    “แล้วอย่างวันที่ผมไปเรียน...”

     

    “ก็ไปเรียนตามปกติ”

     

    “อ้าวแล้วถ้าผมมีกิจกรรม...” จงอินแย้งขึ้นมาตอนที่มือเรียวสวยนั่นสอดใบสัญญาเก็บใส่ในแฟ้ม

     

    “เลิกให้หมด” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบพลางก้มลงเก็บแฟ้มใส่ไว้ในลิ้นชัก

     

    “แต่ถ้าผมอยากเจอเพื่อนๆ หรือมีถ้ามีความรักขึ้นมา...” จบคำถามใบหน้ารูปไข่ก็เงยขึ้นมา ดวงตาคมนั่นมองมาเหมือนกับว่าคำถามของเขามันปัญญาอ่อนสิ้นดี

     

    “คิดเองไม่เป็นรึไง”

     

    “...อ้าวก็ผมสงสัย”

     

    “เอาตารางเรียนของแกไปส่งไว้ให้ที่คยองซู” จงอินขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงคนชื่อที่ คยองซู  “หมอนั่นจะเป็นคนจัดการตารางการทำงานให้แก” 

     

    เดี๋ยวนะ...แล้วไอ้คยองซูอะไรนี่มันเป็นใคร หน้าตามันเป็นยังไงเขาก็ไม่เคยเห็น... คิมจงอินจ้องหน้าประธานโอคล้ายคนจะร้องไห้ อย่ามาพูดเหมือนกับว่าลูกน้องตัวเองแม่งห้อยป้ายแขวนชื่อกันไว้ที่หน้าอกทุกคนจะได้ไหมครับท่าน!!

     

    “อ้าวแล้วถ้า....”

     

    “ใช้วันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์ของแกให้คุ้ม” ประธานโอพูดสวนขึ้นพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างคนหงุดหงิด “แล้วถ้าถามอะไรไร้สาระให้ฉันได้ยินอีก ฉันจะตัดลิ้นแกเอาไปให้ไอ้ดงดงกิน” 

     

    จงอินทำตัวหดทันทีที่ได้ยินชื่อไอ้ดงดง... ไอ้ดงดงเป็นหมาต่างด้าวพันธุ์พิทบลูตัวโตสีดำทะมึน แล้วชื่อไอ้ดงดงนี่เขายังรู้จักมันดีซะกว่าไอ้คยองซูอะไรนั่นซะอีก ถ้าถามว่าเขาไปรู้จักกับไอ้ดงดงได้ยังไง... ก็เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้มันยังวิ่งไล่เขาตอนที่วิ่งผ่านลานหมาวิ่งอยู่เลย!

     

    “ขอโทษครับ ๆ จะไม่ถามแล้ว”  จงอินสั่นหน้าทันทีที่นึกย้อนไปถึงตอนที่ไอ้ดงดงวิ่งไล่ ริมฝีปากอวบอิ่มส่งยิ้มแหยๆ ไปให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ แต่ดูเหมือนประธานโอจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาทำเลยแม้แต่น้อย

     

     “มีสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแค่อย่างเดียวเวลาที่อยู่บ้านนี้...คำพูดของฉันคือกฎ...และทำตามกฏไม่ได้ก็ต้องซ่อม” 

     

    “ครับๆ..”

     

    “แล้วก็อย่าเรียกฉันว่า คุณ อีก”

     

    “...”

     

    “เพราะเราไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกัน”

     

    __________________________________________________

    TBC – 4

     

    เริ่มว่างละ เดี๋ยวทยอยเอามาลงเรื่อย ๆ นะคะ <3

    ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้นะคะ ติดแท็ก #ficbigboss ได้ในทวิตเลยนะ <3








    ’ cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×