คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ` 연결 ★ chanyeol ____( ตอบยังไง )
ไม่มีใครลืมได้หรอก.... รักครั้งแรก
ยิ่งเวลาผ่านเลยไป แล้วถ้าคุณยังคิดถึงเขาอยู่...
แน่ใจได้เลย ว่าคุณ ‘ยังรัก’ เขาเหมือนเดิม...
C O N N E C T
krisbaek : chanbaek
3
CHANYEOL
ผมถอดหมวกกันน็อคสีดำออกทันทีที่ยันขาลงกับพื้น ยังไม่ทันดับเครื่องได้ถึงนาที ปรอยฝนก็หยดแหมะลงมาจากท้องฟ้า นั่นทำให้ผมต้องเร่งมือเอาผ้าร่มมาคลุมโปงให้ลูกชายสุดที่รักแทบจะในทันที เพราะบอดี้ของลูกชายผมนั้นช่างบอบบาง ถ้าเกิดปล่อยให้ไม่สบายขึ้นมา ผมอาจจะต้องเดินไป-กลับมหาลัยทั้งเดือนเลยก็เป็นได้ เพราะค่ารักษามันช่างแพงแสนแพงเหลือเกิน...
แต่นับว่าพระเจ้ายังเห็นใจผมอยู่....
เพราะทันทีที่ผมห่อลูกชายด้วยผ้าร่มสำเร็จ พายุห่าฝนก็กระหน่ำตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ผมต้องรีบวิ่งเข้าหอสมุดที่อยู่ตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้
ติ๊ง !
ผมเช็ดหน้า เช็ดมือกับแขนเสื้อ หยิบมือถืออกจากกระเป๋ากางเกง เสียงไลน์ยังคงดังแจ้งเตือนไม่หยุดแม้ผมจะกดข้อความตอบเพื่อนเจ้าปัญหาไปแล้วก็ตาม
‘ตกลงเอาไงวะ ไปพร้อมกันรึเปล่า’
‘ฝนตกหนักเหี้ยๆ กูไปสายหน่อยนะ’
‘ร้านเดิมแน่ป่ะวะเนี่ย ฝนตกเหมือนเทวดาเยี่ยวราด’
ผมถอนหายใจออกมา กดปิดเสียงแจ้งเตือนของกลุ่มในไลน์ ก่อนจะกดส่งข้อความไปอีกรอบ
“สรุปเจอกัน 2 ทุ่มครึ่งที่หอสมุด กูจะรออยู่นี่แหละ”
.
.
.
ผมเดินอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงาของหอสมุดชั้นห้า ชั้นวิทยานิพนธ์น่ะครับ... มอง ๆ ไปก็เห็นแต่หน้าเดิม ๆ ปีสี่ทั้งนั้นล่ะครับที่จะขึ้นมาชั้นนี้กัน นี่ก็เทอมสองแล้ว ผ่านฝึกงานมาก็แล้ว ก็เหลือแต่ปั่นเล่มส่งอาจารย์เท่านั้นล่ะครับ อีกไม่นานก็จะได้เป็นไทกันแล้ว...
ผมโยนกระเป๋าใบเล็กที่สะพายอยู่ข้างตัวไว้บนเก้าอี้ แล้วเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไปที่คอมพิวเตอร์สำหรับค้นหาข้อมูล ไม่บ่อยนักหรอกครับที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ส่วนมากผมกับกลุ่มจะติวกันดึก ๆ เพราะต่างคนก็อยู่หอแถวมหาลัยครับ มันเงียบ แล้วก็เหมาะกับที่จะกวนตีนบรรณารักษ์เป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มเราน่ะเสียงดังสุด ๆ ไปเลย
‘วิศวกรรมเครื่องกล’
ผมคลิกหาเล่มวิทยานิพนธ์ที่จะเอามาเป็นตัวอย่างในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ แล้วก็ต้องเกิดอาการเซ็งเพราะมันมากมายเกิดกว่าที่ผมจะอ่านหมดภายในสองชม. แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หอบมันออกมาจากชั้นหนังสือ อย่างน้อย ๆ ก็คงจะได้ผ่านสายตากันบ้าง เพราะผมคงไม่ยืมมันกลับไปไว้ที่หอแน่ ๆ ก็หอสมุดที่มอเราน่ะ ยืมวิทยานิพนธ์ทีเป็นเรื่องเล็กซะที่ไหน จะได้ยืมกันแต่ละที ต้องไปถ่ายเอกสารมาเซ็นรับรองมากมายจนนึกว่ากำลังซื้อที่ดินปลูกบ้าน....
ผมเดินออกมาจากชั้นที่รวบรวมวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับภาคเครื่องกลเอาไว้ เดินลัดผ่านตรอกเล็กๆ ของชั้นศิลปกรรมที่อยู่ถัดออกมา เดินมาได้สองสามก้าวก็เพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบเจ้าเล่มแรกที่ผมหมายตาเอาไว้มาจากชั้นด้วย...
ผมหันหลังกลับทันที เป้าหมายคือชั้นวิทยานิพนธ์ของภาคเครื่องกล แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของผมกลับไม่ได้มองไปที่จุดหมายนั้นเลย...
แค่แว๊บเดียวเท่านั้น ที่หางตา ผมเหมือนจะเห็นคนรู้จัก...
คนที่นานมาแล้วที่ไม่ได้เจอ...
ผมถลาเข้าตรอกของศิลปะนิพนธ์ทันที แต่เมื่อผมมาถึง ซอยที่เขาเดินหายเข้ามากลับว่างเปล่าซะอย่างนั้น...
ตึก...ตึก...ตึก...
ผมเอามือแนบที่หน้าอกด้านซ้าย หัวใจของผมยังเต้นแรงไม่ตก ถึงแม้จะไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ เพราะว่าคิดไปเองว่าเห็นคน ๆ นั้นอยู่ที่นี่.... ก็แน่ล่ะสิ เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน... ถ้าไม่อย่างนั้น ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาก็คงจะได้พบกันไปแล้ว...
ผมอยากจะหัวเราะให้ดัง ๆ กับความโง่เขลาของตัวเองซะจริง...
ตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาผมได้แต่คิดถึงเขา คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ได้เขากลับมาอยู่ข้าง ๆ นึกโทษตัวเองที่ยอมให้เขาห่างไป ถ้าเพียงแต่ผมไม่ยอมห่างเขา ไม่ยอมที่จะปล่อยมือคู่นั้นไปล่ะก็....
ผมมันงี่เง่า.....งี่เง่าเป็นบ้า....
ต่อให้เป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ผมก็ยังคิดถึงเขา...ยังอยากมีเขาอยู่กับผม....
ผมอุ้มวิทยานิพนธ์สามสี่เล่มมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้มีกะใจจะอ่านมันสักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดถึงมาตั้งนานแล้ว แต่คนที่เดินผ่านตาผมไปเมื่อครู่ช่างเหมือนเขามาก.... เหมือนมากจริง ๆ
แฟนเก่าของผมเอง...
นึกถึงหัวทุย ๆ ตารี ๆ กับรอยยิ้มสดใสนั่นแล้วอดยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้ แฟนเก่าของผมเขาเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่ทำอะไรก็ดูน่ารักไปซะหมด ผิดกับนิสัยของเขา ที่ถ้าได้รู้จักกันจริง ๆ แล้วล่ะก็ เขาทั้งเกรียน และพูดตรงน่าดู แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...คนที่สดใสขนาดนั้น....ผมกลับทำให้เขาร้องไห้...
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก...ผมจำได้ บรรยากาศขมุกขมัวตั้งแต่เช้า ทั้งอับชื้น แล้วก็น่าหงุดหงิด.... แต่เขาก็ยังเดินตามผมมาที่ห้องเก็บของโรงยิม เขาพูดคุยกับผมมาตลอดทาง ถือถุงขนมที่เต็มไปด้วยของที่ผมชอบ.....แต่ตอนนั้นผมแทบไม่ตอบอะไร เพราะผมพูดอะไรไม่ออก...
ผมตัดสินใจสารภาพว่าผมยังคงชอบเด็กผู้หญิง แต่ที่รู้สึกดี ๆ กับเขาไม่ใช่เรื่องโกหก... วินาทีที่ผมบอกความคิดของผมออกไป เขาทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ เขาบอกผมว่าเขาเข้าใจดี และพร้อมที่จะให้ผมยุติความสัมพันธ์ของเราลง....
พวกเรายุติทั้งหมด เลิกไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่มีการโทรหา ไม่มีการเล่นเกมด้วยกันเหมือนแต่ก่อน ไม่แม้กระทั่งจะกลับบ้านเวลาเดียวกัน... นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงกลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้แล้ว...
เขาหลบหน้าผม....
แต่ที่บีบคั้นหัวใจผมมากกว่านั้น..... ผมบังเอิญเจอเขาร้องไห้....
เขาไม่ได้ร้องต่อหน้าผม...แต่ที่มันแย่ เพราะเขาแอบร้องไห้อยู่คนเดียว.... และในขณะที่ผมกำลังมีความสุข เขากลับต้องเศร้า ร้องไห้เหมือนขาดใจ.....
ผมมันแย่....
และไม่ว่าบาปกรรมอะไรที่ผมเคยทำไว้กับเขา มันตามสนองผมอย่างหนักหน่วงที่สุด เมื่อวันที่ผมรู้ตัวว่ายังรักเขาอยู่ ผมก็ไม่สามารถตามหาเขา และดึงเขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดได้อีกแล้ว....
เขาหนีผมไป... หลบเลี่ยง ปิดกั้นทุกทางที่จะทำให้ผมได้เจอเขา.... ราวกับจะบอกว่า เขาลืมคนที่ชื่อปาร์ค ชานยอล คนนี้ไปหมดหัวใจแล้ว....
แต่ผมยังไม่ลืมเขา...ไม่ว่ายังไงก็ไม่ลืม
จนถึงตอนนี้ สี่ปีมาแล้วที่ผมยังคงคิดถึงเขา สี่ปีมาแล้วที่ผมยังคงเว้นที่ว่างข้าง ๆ ตัวของผมให้กับเขา เผื่อว่าวันนึงเราอาจได้บังเอิญเจอกัน....เขาอาจจะเห็นใจผมบ้าง และผมอาจจะมีสิทธิ์กลับแก้ตัวใหม่ ถ้าหากว่าผมยังคงคิดถึ…….
Rrrrrrr Rrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องมาจากโต๊ะด้านหลัง เยื้องไปทางขวาของผมเอง ผมหันขวับมองไปตามเสียงทันที ไม่ใช่แต่ผมที่มองเขา ใคร ๆ ก็หันไปมองเพราะเสียงมันดังมาก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของโทรศัพท์ที่ฟุบอยู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับ จนโต๊ะข้าง ๆ เขาต้องลงทุนเอื้อมมือไปสะกิด.....
“ขอโทษครับ ขอโทษ”
ผมได้ยินแต่เสียงของเขาที่กล่าวขอโทษคนรอบ ๆ โต๊ะตัวเอง....ไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ทุกคนหันกลับไปอ่านหนังสือบนโต๊ะของตนกันหมด...มีก็แต่ผมที่ยังคงนั่งจ้องเขาอยู่อย่างนั้น....
“ฮยองนิม...ขอโทษครับขอโทษ....”
ใบหน้าของเขายิ้มแย้มขึ้นมาทันทีที่แนบโทรศัพท์กับหู สองมือนั่นรีบรวบหนังสือตรงหน้าไว้ในอ้อมกอด เตรียมพร้อมที่จะลุกทันที.....
ผมทะลึ่งตัวขึ้นทันทีที่เห็นว่าเขายืนขึ้นจากเก้าอี้...
แต่แล้วใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นก็ต้องมีอันหมองลง เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตัวเดิม วางหนังสือวิทยานิพนธ์สามสี่เล่มนั้นกับโต๊ะ ไหล่บางนั่นห่อน้อย ๆ แสดงสีหน้าออกมาว่าเศร้าซะชัดเจน....
“ครับ....เข้าใจแล้วครับ...ไม่เป็นไร...ไว้คราวหน้าก็ได้”
ผมยืนมองเขาอยู่ซักพัก ก่อนที่เขาจะวางโทรศัพท์แล้วทำท่าจะฟุบลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง ผมตัดสินใจถือโอกาสนี้รวบข้าวของบนโต๊ะตัวเองทั้งหมดไปวางไว้ตรงหน้าเขา ใบหน้าขาวที่แสนเศร้าสร้อยนั่นเงยหน้าขึ้นมองผมที่ลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามของเขาเรียบร้อย
ใช่ครับ..... แบคฮยอนคือคน ๆ นั้น....
แฟนเก่า ของผมเอง....
“.......!!!”
“แบคฮยอน....”
ดวงตารีของเขาเบิกโพลงขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าผมเป็นใคร ริมฝีปากที่เคยเจื้อยแจ้วอยู่ข้างตัวผมเมื่อสมัยก่อนอ้าค้างอยู่สองสามวิ ก่อนจะกระซิบชื่อของผมออกมาบ้าง
“ชานยอล....”
แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่น คิ้วทั้งสองนั่นขมวดเป็นโบเขาคงจะตกใจ ผมก็ตกใจไม่แพ้กันหรอก แต่ความรู้สึกดีใจมันกลบทุกอย่างไปหมด ผมแทบหุบยิ้มไม่ลงเมื่อคนตรงหน้าพิสูจน์ว่า คนที่ผมคิดถึงอยู่เมื่อครู่มีตัวตนอยู่จริง ๆ ในที่แห่งนี้.....นับว่าวันนี้พระเจ้าเข้าข้างผมอีกเป็นครั้งที่สอง
“สบายดีนะ” ผมเป็นฝ่ายเปิดประโยคคำถามก่อน
“สบายดี” เขาตอบ
“แล้วทำไมถึง/ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่....” ผมกับแบคฮยอนแทบจะถามคำถามเดียวกัน แต่เป็นเขาที่ชะงักไปเสียก่อน
“ฉันเรียนที่นี่....”
“ฉันก็เรียนที่นี่เหมือนกัน” ดวงตารีคู่นั้นหลุบต่ำราวกับจะหลบผมอีกครั้ง... “เรียนวิศวะน่ะ”
“อ๋อ....” แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก.... สถานการณ์ของเราตอนนี้เหมือนกับถูกสาปให้ใบ้กินไปซะเฉย ๆ เราเงียบกันอยู่เป็นสิบนาที เหมือนลองเชิงว่าใครจะเป็นคนพูดก่อนอีก....แต่ก็นั่นแหล่ะ...ผมยอมแพ้ก็ได้...
“แล้วนายเรียนคณะอะไร ?”
“ศิลปะกรรมน่ะ....”
“สาขาล่ะ....”
“........นิเทศศิลป์....โฆษณาน่ะ ” อีกครั้งที่เขาหันหน้าไปทางอื่น แต่ผมจะไม่ยอมหยุดพูดหรอก.... เขาคงไม่รู้ว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้เจอเขาอีกครั้ง...
“งั้นหรอ...เจ๋งเป็นบ้า.....” เขาหันหน้ากลับมามองผม สีหน้าของเขาดูปกติขึ้น ราวกับว่าเมื่อครู่เขาขอเวลาทำใจ “......แต่ก็เหมาะกับนายดีนะ....ก็นายน่ะ...มีความคิดสร้างสรรค์มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นา..”
“อืม....”
ไม่รู้ว่าเราไม่มีอะไรจะคุยกันจริง ๆ หรือว่าเขาไม่อยากจะคุยกับผมกันแน่.... เพราะแบคฮยอนเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองบ่อย ๆ สลับกับมองออกไปนอกหน้าต่างที่สายฝนซาลงบ้างแล้ว
ผมได้แต่มองใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่อย่างนั้น.... มันทำให้คิดถึงเรื่องสมัยก่อน คิดถึงมาก ทั้งเรื่องที่ผมทำผิดกับเขา ทั้งเรื่องที่เขาหายไป....
“....ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ....”
กลายเป็นผมที่เผลอพูดตามที่ใจคิดไป.... แล้วก็ต้องมานึกโทษตัวเองว่าไม่น่าเลย แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรแต่ทำท่าจะรวบของเก็บทันที สีหน้าของเขาดูปกติเกินไป....ปกติซะจนเป็นผมเองที่รู้สึกเหมือนกำลังวิ่งไล่เขาอยู่
“จะกลับแล้วหรอ ?”
ผมถามเขา แบคฮยอนพยักหน้าเล็ก ๆ “ฝนซาแล้ว...”
“ให้ฉันไปส่งไหม ?”
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับอยู่แล้ว”
“เถอะน่า....”
“ไม่เป็นไรหรอกชานยอล.....”
แบคฮยอนลุกขึ้นจากเก้าอี้.... สีหน้าของเขายังคงปกติ... น้ำเสียงก็ปกติ...แต่เป็นใจของผมที่ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ตอบผมทุกคำ แต่ใจผมกลับคิดว่าเขาไม่ได้อยากจะเจอผมเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้ดีใจอย่างที่ผมเป็น...
“ให้ฉันไปส่งเถอะ....แค่หน้ามอก็ได้ ฝนยังปรอย ๆ อยู่เลยจะได้รีบกลับบ้านไง” ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มให้กับแบคฮยอน อีกฝ่ายดูอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับข้อเสนอใหม่ของผมแต่โดยดี
“อืม...เอาอย่างนั้นก็ได้”
.
.
.
พวกเรายืนรอแท็กซี่อยู่นานมากแล้ว....
แบคฮยอนกับผมนั่งอยู่ที่จุดรอรถประจำทางกันมาเกือบค่อนชั่วโมงได้แล้ว เราพูดคุยกันมากขึ้นกว่าเมื่อครู่นิดนึง และส่วนมากจะเป็นผมที่เป็นคนยิงมุกใส่รายนั้น.... แบคฮยอนนิ่งบ้าง บางทีก็ขำออกมาอย่างเผลอตัว เมื่อผมคุยเรื่องตลกให้เขาฟัง แต่แบคฮยอนกลับไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย.... ช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่แบคฮยอนอยากให้ผมรับรู้บ้างเลย...
ผมมองท้องฟ้าที่ยังคงเป็นสีแดงถึงแม้ฝนจะตกปรอย ๆ แล้วก็ตาม ส่วนแบคฮยอนเอาแต่มองหาแท็กซี่ที่แทบไม่มีวิ่งเลยบนท้องถนน แต่ถึงจะมีก็เป็นคันที่มีคนนั่งอยู่แล้ว.... และเมื่อผมเริ่มพูดคุยอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่าเราวนลูปกลับไปสู่จุดเดิม... แบคฮยอนมองหารถ ผมชวนคุย แบคฮยอนมองหารถ ผมชวนคุย...
“แบคฮยอน....” ผมเรียกเขาอีกครั้ง แบคฮยอนหันหน้ากลับมาหาผม สองมือนั้นกอดตัวเองเอาไว้เพราะอุณหภูมิที่เย็นขึ้นเมื่ออยู่ด้านนอก “....นี่มันไม่มีแท็กซี่ผ่านเลยนะ....”
“เดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง....”
“เชื่อฉันสิ...เดี๋ยวขับไปส่งให้ที่บ้าน”
“.....แต่มันไกล...” แบคฮยอนทำท่าจะปฏิเสธผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมหรอก เพราะอย่างนั้นผมเลยลุกขึ้นจากม้านั่งยาวทันที ทั้งที่เขายังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ผมตรงดิ่งไปหามอเตอร์ไซค์ลูกรักที่จอดอยู่ริมฟุตบาทไม่ห่างไปนัก สตาร์ทเครื่อง แล้วบิดมาจอดตรงหน้าเขา
แบคฮยอนขมวดคิ้ว....
“ขึ้นมาเถอะน่า....เดี๋ยวขับนิ่ม ๆ ให้เลย....”
“แต่...”
“เชื่อใจฉันสิแบคฮยอน....ฉันไม่ทำนายหล่นแน่ ๆ....”
ผมจ้องตาเขาที่นิ่งฟังผมอย่างน่ารัก และก่อนที่เขาจะปฏิเสธอะไรออกมาอีก ผมเลยรีบเอาหมวกกันน็อคสีดำใบโปรดของผมมาครอบหัวเขาไว้ แล้วออกแรงดึงแขนเขาให้เดินเข้ามาใกล้มอเตอร์ไซค์ของผมอีก...
.....ผมไม่รู้ว่าใบหน้าในหมวกกันน็อคสีดำกำลังคิดอะไรอยู่ เขานิ่งไปแค่ครู่เดียว ก่อนจะขึ้นซ้อนที่เบาะหลังของผม...
เขาขยับตัวให้นั่งได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะบอกทางไปบ้านเขาราวกับผมเป็นวินมอเตอร์ไซค์ แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมไม่ถือหรอก ถือว่าผมยินยอมเป็นสารถีให้เขาไปแล้ววันนี้ แบคฮยอนบอกทางจนผมวาดภาพในหัวได้ว่าจะไปทางไหนถึงจะดีที่สุด ก่อนเสียงนุ่ม ๆ นั่นจะดังขึ้นมาข้างหลัง...
“ขับดี ๆ ล่ะ....ฉันไว้ใจนายแล้วนะ...”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเร่งเครื่องบิดออกตัวอย่างแรง....ผมได้ยินเขาสบถด่าสองสามขำ มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้....
ราวกับวันคืนเก่า ๆ กำลังจะกลับมาอย่างนั้นแหละ...
_________________________________________
มาแล้วววววว ตอนชานยอล...
หึหึหึ ไม่รู้จะเลือกใครเลยล่ะสิ
อย่าลืมติดแท็ก #ฟิคคอนเนค ให้ด้วยเด้อ เค้าจะเข้าไปส่อง อิอิ
ขอบพระคุณค่า
ความคิดเห็น