ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    CONNECT (KRISBAEK | CHANBAEK)

    ลำดับตอนที่ #3 : ` 연결 ★ chanyeol ____( ตอบยังไง )

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 56


     

     

     

    ไม่มีใครลืมได้หรอก.... รักครั้งแรก

    ยิ่งเวลาผ่านเลยไป แล้วถ้าคุณยังคิดถึงเขาอยู่... 

     

    แน่ใจได้เลย ว่าคุณ ยังรัก เขาเหมือนเดิม... 

     

     

    C O N N E C T
    krisbaek  :  chanbaek

     

    3


     

     
    CHANYEOL




     

    ผมถอดหมวกกันน็อคสีดำออกทันทีที่ยันขาลงกับพื้น ยังไม่ทันดับเครื่องได้ถึงนาที ปรอยฝนก็หยดแหมะลงมาจากท้องฟ้า นั่นทำให้ผมต้องเร่งมือเอาผ้าร่มมาคลุมโปงให้ลูกชายสุดที่รักแทบจะในทันที เพราะบอดี้ของลูกชายผมนั้นช่างบอบบาง ถ้าเกิดปล่อยให้ไม่สบายขึ้นมา ผมอาจจะต้องเดินไป-กลับมหาลัยทั้งเดือนเลยก็เป็นได้ เพราะค่ารักษามันช่างแพงแสนแพงเหลือเกิน...

     

    แต่นับว่าพระเจ้ายังเห็นใจผมอยู่....

     

    เพราะทันทีที่ผมห่อลูกชายด้วยผ้าร่มสำเร็จ พายุห่าฝนก็กระหน่ำตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ผมต้องรีบวิ่งเข้าหอสมุดที่อยู่ตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้

     

    ติ๊ง !

     

    ผมเช็ดหน้า เช็ดมือกับแขนเสื้อ หยิบมือถืออกจากกระเป๋ากางเกง เสียงไลน์ยังคงดังแจ้งเตือนไม่หยุดแม้ผมจะกดข้อความตอบเพื่อนเจ้าปัญหาไปแล้วก็ตาม

     

    ตกลงเอาไงวะ ไปพร้อมกันรึเปล่า  

    ฝนตกหนักเหี้ยๆ กูไปสายหน่อยนะ

    ร้านเดิมแน่ป่ะวะเนี่ย ฝนตกเหมือนเทวดาเยี่ยวราด

     

    ผมถอนหายใจออกมา กดปิดเสียงแจ้งเตือนของกลุ่มในไลน์ ก่อนจะกดส่งข้อความไปอีกรอบ

     

    “สรุปเจอกัน 2 ทุ่มครึ่งที่หอสมุด กูจะรออยู่นี่แหละ” 

     

    .

    .

    .

     

     

    ผมเดินอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงาของหอสมุดชั้นห้า  ชั้นวิทยานิพนธ์น่ะครับ...  มอง ๆ ไปก็เห็นแต่หน้าเดิม ๆ ปีสี่ทั้งนั้นล่ะครับที่จะขึ้นมาชั้นนี้กัน  นี่ก็เทอมสองแล้ว ผ่านฝึกงานมาก็แล้ว ก็เหลือแต่ปั่นเล่มส่งอาจารย์เท่านั้นล่ะครับ อีกไม่นานก็จะได้เป็นไทกันแล้ว... 

     

    ผมโยนกระเป๋าใบเล็กที่สะพายอยู่ข้างตัวไว้บนเก้าอี้  แล้วเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไปที่คอมพิวเตอร์สำหรับค้นหาข้อมูล ไม่บ่อยนักหรอกครับที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้  ส่วนมากผมกับกลุ่มจะติวกันดึก ๆ เพราะต่างคนก็อยู่หอแถวมหาลัยครับ มันเงียบ แล้วก็เหมาะกับที่จะกวนตีนบรรณารักษ์เป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มเราน่ะเสียงดังสุด ๆ ไปเลย

     

    วิศวกรรมเครื่องกล

     

    ผมคลิกหาเล่มวิทยานิพนธ์ที่จะเอามาเป็นตัวอย่างในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ แล้วก็ต้องเกิดอาการเซ็งเพราะมันมากมายเกิดกว่าที่ผมจะอ่านหมดภายในสองชม. แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หอบมันออกมาจากชั้นหนังสือ อย่างน้อย ๆ ก็คงจะได้ผ่านสายตากันบ้าง เพราะผมคงไม่ยืมมันกลับไปไว้ที่หอแน่ ๆ ก็หอสมุดที่มอเราน่ะ ยืมวิทยานิพนธ์ทีเป็นเรื่องเล็กซะที่ไหน จะได้ยืมกันแต่ละที ต้องไปถ่ายเอกสารมาเซ็นรับรองมากมายจนนึกว่ากำลังซื้อที่ดินปลูกบ้าน....

     

    ผมเดินออกมาจากชั้นที่รวบรวมวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับภาคเครื่องกลเอาไว้ เดินลัดผ่านตรอกเล็กๆ ของชั้นศิลปกรรมที่อยู่ถัดออกมา เดินมาได้สองสามก้าวก็เพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบเจ้าเล่มแรกที่ผมหมายตาเอาไว้มาจากชั้นด้วย...

     

    ผมหันหลังกลับทันที เป้าหมายคือชั้นวิทยานิพนธ์ของภาคเครื่องกล แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของผมกลับไม่ได้มองไปที่จุดหมายนั้นเลย... 

     

    แค่แว๊บเดียวเท่านั้น ที่หางตา ผมเหมือนจะเห็นคนรู้จัก... 

    คนที่นานมาแล้วที่ไม่ได้เจอ...

     

    ผมถลาเข้าตรอกของศิลปะนิพนธ์ทันที แต่เมื่อผมมาถึง ซอยที่เขาเดินหายเข้ามากลับว่างเปล่าซะอย่างนั้น... 

     

    ตึก...ตึก...ตึก...

     

    ผมเอามือแนบที่หน้าอกด้านซ้าย  หัวใจของผมยังเต้นแรงไม่ตก ถึงแม้จะไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ เพราะว่าคิดไปเองว่าเห็นคน ๆ นั้นอยู่ที่นี่.... ก็แน่ล่ะสิ เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน... ถ้าไม่อย่างนั้น ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาก็คงจะได้พบกันไปแล้ว... 

     

    ผมอยากจะหัวเราะให้ดัง ๆ กับความโง่เขลาของตัวเองซะจริง... 

     

    ตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาผมได้แต่คิดถึงเขา คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ได้เขากลับมาอยู่ข้าง ๆ นึกโทษตัวเองที่ยอมให้เขาห่างไป ถ้าเพียงแต่ผมไม่ยอมห่างเขา ไม่ยอมที่จะปล่อยมือคู่นั้นไปล่ะก็....

     

    ผมมันงี่เง่า.....งี่เง่าเป็นบ้า.... 

    ต่อให้เป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ผมก็ยังคิดถึงเขา...ยังอยากมีเขาอยู่กับผม....

     

    ผมอุ้มวิทยานิพนธ์สามสี่เล่มมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้มีกะใจจะอ่านมันสักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดถึงมาตั้งนานแล้ว แต่คนที่เดินผ่านตาผมไปเมื่อครู่ช่างเหมือนเขามาก.... เหมือนมากจริง ๆ

     

    แฟนเก่าของผมเอง...

     

    นึกถึงหัวทุย ๆ ตารี ๆ กับรอยยิ้มสดใสนั่นแล้วอดยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้  แฟนเก่าของผมเขาเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่ทำอะไรก็ดูน่ารักไปซะหมด ผิดกับนิสัยของเขา ที่ถ้าได้รู้จักกันจริง ๆ แล้วล่ะก็ เขาทั้งเกรียน และพูดตรงน่าดู แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...คนที่สดใสขนาดนั้น....ผมกลับทำให้เขาร้องไห้...

     

    วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก...ผมจำได้ บรรยากาศขมุกขมัวตั้งแต่เช้า  ทั้งอับชื้น แล้วก็น่าหงุดหงิด.... แต่เขาก็ยังเดินตามผมมาที่ห้องเก็บของโรงยิม  เขาพูดคุยกับผมมาตลอดทาง ถือถุงขนมที่เต็มไปด้วยของที่ผมชอบ.....แต่ตอนนั้นผมแทบไม่ตอบอะไร เพราะผมพูดอะไรไม่ออก...

     

    ผมตัดสินใจสารภาพว่าผมยังคงชอบเด็กผู้หญิง แต่ที่รู้สึกดี ๆ กับเขาไม่ใช่เรื่องโกหก... วินาทีที่ผมบอกความคิดของผมออกไป เขาทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ เขาบอกผมว่าเขาเข้าใจดี และพร้อมที่จะให้ผมยุติความสัมพันธ์ของเราลง.... 

     

    พวกเรายุติทั้งหมด เลิกไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่มีการโทรหา ไม่มีการเล่นเกมด้วยกันเหมือนแต่ก่อน ไม่แม้กระทั่งจะกลับบ้านเวลาเดียวกัน... นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงกลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้แล้ว...

     

    เขาหลบหน้าผม....

    แต่ที่บีบคั้นหัวใจผมมากกว่านั้น.....  ผมบังเอิญเจอเขาร้องไห้.... 

     

    เขาไม่ได้ร้องต่อหน้าผม...แต่ที่มันแย่ เพราะเขาแอบร้องไห้อยู่คนเดียว....  และในขณะที่ผมกำลังมีความสุข เขากลับต้องเศร้า ร้องไห้เหมือนขาดใจ.....

     

    ผมมันแย่....

     

    และไม่ว่าบาปกรรมอะไรที่ผมเคยทำไว้กับเขา มันตามสนองผมอย่างหนักหน่วงที่สุด เมื่อวันที่ผมรู้ตัวว่ายังรักเขาอยู่ ผมก็ไม่สามารถตามหาเขา และดึงเขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดได้อีกแล้ว....

     

    เขาหนีผมไป... หลบเลี่ยง ปิดกั้นทุกทางที่จะทำให้ผมได้เจอเขา....  ราวกับจะบอกว่า เขาลืมคนที่ชื่อปาร์ค ชานยอล คนนี้ไปหมดหัวใจแล้ว....

     

    แต่ผมยังไม่ลืมเขา...ไม่ว่ายังไงก็ไม่ลืม

     

    จนถึงตอนนี้ สี่ปีมาแล้วที่ผมยังคงคิดถึงเขา สี่ปีมาแล้วที่ผมยังคงเว้นที่ว่างข้าง ๆ ตัวของผมให้กับเขา เผื่อว่าวันนึงเราอาจได้บังเอิญเจอกัน....เขาอาจจะเห็นใจผมบ้าง และผมอาจจะมีสิทธิ์กลับแก้ตัวใหม่ ถ้าหากว่าผมยังคงคิดถึ…….

     

    Rrrrrrr Rrrrrrrrrrr

     

    เสียงโทรศัพท์กรีดร้องมาจากโต๊ะด้านหลัง เยื้องไปทางขวาของผมเอง ผมหันขวับมองไปตามเสียงทันที  ไม่ใช่แต่ผมที่มองเขา ใคร ๆ ก็หันไปมองเพราะเสียงมันดังมาก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของโทรศัพท์ที่ฟุบอยู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับ จนโต๊ะข้าง ๆ เขาต้องลงทุนเอื้อมมือไปสะกิด.....

     

    “ขอโทษครับ ขอโทษ”

     

    ผมได้ยินแต่เสียงของเขาที่กล่าวขอโทษคนรอบ ๆ โต๊ะตัวเอง....ไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ทุกคนหันกลับไปอ่านหนังสือบนโต๊ะของตนกันหมด...มีก็แต่ผมที่ยังคงนั่งจ้องเขาอยู่อย่างนั้น....

     

    “ฮยองนิม...ขอโทษครับขอโทษ....”

     

    ใบหน้าของเขายิ้มแย้มขึ้นมาทันทีที่แนบโทรศัพท์กับหู  สองมือนั่นรีบรวบหนังสือตรงหน้าไว้ในอ้อมกอด เตรียมพร้อมที่จะลุกทันที.....

     

    ผมทะลึ่งตัวขึ้นทันทีที่เห็นว่าเขายืนขึ้นจากเก้าอี้...

     

    แต่แล้วใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นก็ต้องมีอันหมองลง  เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตัวเดิม  วางหนังสือวิทยานิพนธ์สามสี่เล่มนั้นกับโต๊ะ  ไหล่บางนั่นห่อน้อย ๆ แสดงสีหน้าออกมาว่าเศร้าซะชัดเจน....

     

    “ครับ....เข้าใจแล้วครับ...ไม่เป็นไร...ไว้คราวหน้าก็ได้”

     

    ผมยืนมองเขาอยู่ซักพัก ก่อนที่เขาจะวางโทรศัพท์แล้วทำท่าจะฟุบลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง ผมตัดสินใจถือโอกาสนี้รวบข้าวของบนโต๊ะตัวเองทั้งหมดไปวางไว้ตรงหน้าเขา ใบหน้าขาวที่แสนเศร้าสร้อยนั่นเงยหน้าขึ้นมองผมที่ลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามของเขาเรียบร้อย

     

    ใช่ครับ..... แบคฮยอนคือคน ๆ นั้น....

    แฟนเก่า ของผมเอง.... 

     

    “.......!!!

     

    “แบคฮยอน....” 

     

    ดวงตารีของเขาเบิกโพลงขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าผมเป็นใคร ริมฝีปากที่เคยเจื้อยแจ้วอยู่ข้างตัวผมเมื่อสมัยก่อนอ้าค้างอยู่สองสามวิ ก่อนจะกระซิบชื่อของผมออกมาบ้าง

     

    “ชานยอล....”

     

    แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่น คิ้วทั้งสองนั่นขมวดเป็นโบเขาคงจะตกใจ ผมก็ตกใจไม่แพ้กันหรอก แต่ความรู้สึกดีใจมันกลบทุกอย่างไปหมด  ผมแทบหุบยิ้มไม่ลงเมื่อคนตรงหน้าพิสูจน์ว่า คนที่ผมคิดถึงอยู่เมื่อครู่มีตัวตนอยู่จริง ๆ ในที่แห่งนี้.....นับว่าวันนี้พระเจ้าเข้าข้างผมอีกเป็นครั้งที่สอง

     

    “สบายดีนะ” ผมเป็นฝ่ายเปิดประโยคคำถามก่อน

     

    “สบายดี”  เขาตอบ

     

    “แล้วทำไมถึง/ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่....”  ผมกับแบคฮยอนแทบจะถามคำถามเดียวกัน แต่เป็นเขาที่ชะงักไปเสียก่อน

     

    “ฉันเรียนที่นี่....” 

     

    “ฉันก็เรียนที่นี่เหมือนกัน”  ดวงตารีคู่นั้นหลุบต่ำราวกับจะหลบผมอีกครั้ง...  “เรียนวิศวะน่ะ”

     

    “อ๋อ....”  แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก.... สถานการณ์ของเราตอนนี้เหมือนกับถูกสาปให้ใบ้กินไปซะเฉย ๆ เราเงียบกันอยู่เป็นสิบนาที เหมือนลองเชิงว่าใครจะเป็นคนพูดก่อนอีก....แต่ก็นั่นแหล่ะ...ผมยอมแพ้ก็ได้...

     

    “แล้วนายเรียนคณะอะไร ?” 

     

    “ศิลปะกรรมน่ะ....”

     

    “สาขาล่ะ....” 

     

    “........นิเทศศิลป์....โฆษณาน่ะ ” อีกครั้งที่เขาหันหน้าไปทางอื่น  แต่ผมจะไม่ยอมหยุดพูดหรอก....  เขาคงไม่รู้ว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้เจอเขาอีกครั้ง...

     

    “งั้นหรอ...เจ๋งเป็นบ้า.....”  เขาหันหน้ากลับมามองผม  สีหน้าของเขาดูปกติขึ้น ราวกับว่าเมื่อครู่เขาขอเวลาทำใจ “......แต่ก็เหมาะกับนายดีนะ....ก็นายน่ะ...มีความคิดสร้างสรรค์มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นา..”

     

    “อืม....”  

     

    ไม่รู้ว่าเราไม่มีอะไรจะคุยกันจริง ๆ หรือว่าเขาไม่อยากจะคุยกับผมกันแน่....  เพราะแบคฮยอนเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองบ่อย ๆ สลับกับมองออกไปนอกหน้าต่างที่สายฝนซาลงบ้างแล้ว

     

    ผมได้แต่มองใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่อย่างนั้น....  มันทำให้คิดถึงเรื่องสมัยก่อน  คิดถึงมาก ทั้งเรื่องที่ผมทำผิดกับเขา ทั้งเรื่องที่เขาหายไป....  

     

    “....ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ....”  

     

    กลายเป็นผมที่เผลอพูดตามที่ใจคิดไป.... แล้วก็ต้องมานึกโทษตัวเองว่าไม่น่าเลย  แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรแต่ทำท่าจะรวบของเก็บทันที  สีหน้าของเขาดูปกติเกินไป....ปกติซะจนเป็นผมเองที่รู้สึกเหมือนกำลังวิ่งไล่เขาอยู่ 

     

    “จะกลับแล้วหรอ ?” 

     

    ผมถามเขา แบคฮยอนพยักหน้าเล็ก ๆ “ฝนซาแล้ว...” 

     

    “ให้ฉันไปส่งไหม ?”

     

    “ไม่เป็นไร...เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับอยู่แล้ว” 

     

    “เถอะน่า....” 

     

    “ไม่เป็นไรหรอกชานยอล.....” 

     

    แบคฮยอนลุกขึ้นจากเก้าอี้.... สีหน้าของเขายังคงปกติ... น้ำเสียงก็ปกติ...แต่เป็นใจของผมที่ผิดปกติ  ทั้ง ๆ ที่เขาก็ตอบผมทุกคำ แต่ใจผมกลับคิดว่าเขาไม่ได้อยากจะเจอผมเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้ดีใจอย่างที่ผมเป็น...

     

    “ให้ฉันไปส่งเถอะ....แค่หน้ามอก็ได้ ฝนยังปรอย ๆ อยู่เลยจะได้รีบกลับบ้านไง” ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มให้กับแบคฮยอน อีกฝ่ายดูอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับข้อเสนอใหม่ของผมแต่โดยดี

     

    “อืม...เอาอย่างนั้นก็ได้”

     

    .

    .

    .

     

    พวกเรายืนรอแท็กซี่อยู่นานมากแล้ว....

     

    แบคฮยอนกับผมนั่งอยู่ที่จุดรอรถประจำทางกันมาเกือบค่อนชั่วโมงได้แล้ว เราพูดคุยกันมากขึ้นกว่าเมื่อครู่นิดนึง และส่วนมากจะเป็นผมที่เป็นคนยิงมุกใส่รายนั้น.... แบคฮยอนนิ่งบ้าง บางทีก็ขำออกมาอย่างเผลอตัว เมื่อผมคุยเรื่องตลกให้เขาฟัง แต่แบคฮยอนกลับไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย.... ช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่แบคฮยอนอยากให้ผมรับรู้บ้างเลย...

     

    ผมมองท้องฟ้าที่ยังคงเป็นสีแดงถึงแม้ฝนจะตกปรอย ๆ แล้วก็ตาม ส่วนแบคฮยอนเอาแต่มองหาแท็กซี่ที่แทบไม่มีวิ่งเลยบนท้องถนน แต่ถึงจะมีก็เป็นคันที่มีคนนั่งอยู่แล้ว.... และเมื่อผมเริ่มพูดคุยอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่าเราวนลูปกลับไปสู่จุดเดิม...  แบคฮยอนมองหารถ ผมชวนคุย แบคฮยอนมองหารถ ผมชวนคุย...

     

    “แบคฮยอน....”  ผมเรียกเขาอีกครั้ง แบคฮยอนหันหน้ากลับมาหาผม สองมือนั้นกอดตัวเองเอาไว้เพราะอุณหภูมิที่เย็นขึ้นเมื่ออยู่ด้านนอก “....นี่มันไม่มีแท็กซี่ผ่านเลยนะ....” 

     

    “เดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง....” 

     

    “เชื่อฉันสิ...เดี๋ยวขับไปส่งให้ที่บ้าน” 

     

    “.....แต่มันไกล...”   แบคฮยอนทำท่าจะปฏิเสธผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมหรอก เพราะอย่างนั้นผมเลยลุกขึ้นจากม้านั่งยาวทันที ทั้งที่เขายังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ผมตรงดิ่งไปหามอเตอร์ไซค์ลูกรักที่จอดอยู่ริมฟุตบาทไม่ห่างไปนัก สตาร์ทเครื่อง แล้วบิดมาจอดตรงหน้าเขา

     

    แบคฮยอนขมวดคิ้ว....

     

    “ขึ้นมาเถอะน่า....เดี๋ยวขับนิ่ม ๆ ให้เลย....”  

     

    “แต่...”

     

    “เชื่อใจฉันสิแบคฮยอน....ฉันไม่ทำนายหล่นแน่ ๆ....”  

     

    ผมจ้องตาเขาที่นิ่งฟังผมอย่างน่ารัก  และก่อนที่เขาจะปฏิเสธอะไรออกมาอีก ผมเลยรีบเอาหมวกกันน็อคสีดำใบโปรดของผมมาครอบหัวเขาไว้  แล้วออกแรงดึงแขนเขาให้เดินเข้ามาใกล้มอเตอร์ไซค์ของผมอีก... 

     

    .....ผมไม่รู้ว่าใบหน้าในหมวกกันน็อคสีดำกำลังคิดอะไรอยู่ เขานิ่งไปแค่ครู่เดียว ก่อนจะขึ้นซ้อนที่เบาะหลังของผม... 

     

    เขาขยับตัวให้นั่งได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะบอกทางไปบ้านเขาราวกับผมเป็นวินมอเตอร์ไซค์ แต่ก็นั่นแหล่ะ  ผมไม่ถือหรอก ถือว่าผมยินยอมเป็นสารถีให้เขาไปแล้ววันนี้ แบคฮยอนบอกทางจนผมวาดภาพในหัวได้ว่าจะไปทางไหนถึงจะดีที่สุด ก่อนเสียงนุ่ม ๆ นั่นจะดังขึ้นมาข้างหลัง...

     

    “ขับดี ๆ ล่ะ....ฉันไว้ใจนายแล้วนะ...”   

     

    ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเร่งเครื่องบิดออกตัวอย่างแรง....ผมได้ยินเขาสบถด่าสองสามขำ มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้.... 

     

    ราวกับวันคืนเก่า ๆ กำลังจะกลับมาอย่างนั้นแหละ...

     

     

    _________________________________________

     

    มาแล้วววววว  ตอนชานยอล...

    หึหึหึ  ไม่รู้จะเลือกใครเลยล่ะสิ 

     

    อย่าลืมติดแท็ก #ฟิคคอนเนค ให้ด้วยเด้อ เค้าจะเข้าไปส่อง อิอิ

    ขอบพระคุณค่า 








                           

                            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×