ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) แค่กูรักมึง ยังซึ้งไม่พอ? | kaihun sekai

    ลำดับตอนที่ #2 : แ ค่ กู รั ก มึ ง | ยั ง ซึ้ ง ไ ม่ พ อ : 01

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 58


    M  



          -  ฟิคชั่นเรื่องนี้มีหลายคู่จัด ทั้ง ชานไค ไคเทา ไคหมิน ลู่หมิน ฮุนแบค แบคโด้ แต่หลัก ๆ คือ “ไคฮุน”  มันอาจจะมีจงอินเป็นเคะ แต่ก็แค่ส่วนประกอบนะคะ ;_ ;

     

     

    _________________________________________

     

     

     

    เหมือนเขียนไดอารี่เลยนะว่าไหม

    และที่ผมจะบ่นวันนี้คือ...

     

    “จงอิน...อยากดูหนังอะ เลี้ยงหน่อยดิ” 

     

    ใช่ครับ วันนี้ผมกับเทาเรามาเดทกัน... อันที่จริงจะเรียกว่าเดทเต็มปากก็ไม่ได้เพราะเราไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็นั่นล่ะ...เพราะว่าพวกเรามีอะไรกันแล้วผมจึงขอเรียกการออกมาเที่ยวกันสองต่อสองครั้งนี้ว่า เดท

     

    “อือ..อยากดูเรื่องไรล่ะ”

     

    ผมพยักหน้าส่ง ๆ ให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เทาที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะอุทานเบา ๆ ว่าจริงหรอ แล้วยื่นโทรศัพท์ที่เปิดโปรแกรมหนังของห้างที่เรามาเที่ยวให้ผมดู

     

    “หนังผีนี่หว่า” ผมอุทานเบา ๆ

     

    “ก็ใช่อะดิ  อยากดูอะ เลี้ยงหน่อยนะ ๆ”

     

    เลี้ยงหน่อยนะ? ผมมองเทาที่นั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ตรงข้าม ก็ไม่หน่อยนะ ได้ข่าวว่าข้าวที่กินอยู่ผมก็เพิ่งออกตังจ่ายไปให้ อย่าหาว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวคิดเล็กคิดน้อยเลยครับ แต่ลำพังจะออกมาจากบ้านก็ต้องขอเงินจากแม่แล้วก็โดนบ่นมันทุกที ไม่หนำใจเงินเก็บที่เอามาเลี้ยงมันตั้งแต่เริ่มกิ๊กกันนี่ก็หมดไปไม่ใช่น้อยแล้วนะ

     

    “โอเคก็ได้”

     

    แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้ตามใจไง ผมเลยตอบไปส่ง ๆ อย่างนั้น เห็นเทาทำสีหน้าดีใจแล้วมันก็พูดอะไรไม่ออก ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น ผมรู้ว่าคุณก็เป็น ไอ้อาการป๋ากับคนที่กิ๊กกั๊กอยู่ด้วยเนี่ย มันเป็นธรรมดาของมนุษย์โลกมากๆ

     

    เป็นอันว่าวันนี้ผมตกลงจะดูหนังผีกับเทาทั้ง ๆ ที่เราแค่จะออกมาหาอะไรกินกัน พอกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ดเสร็จเทาก็พาผมตรงดิ่งไปชั้นโรงหนังที่อยู่บนสุดทันที หมอนั่นเลือกที่นั่งสวีทเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันมาแบมือขอเงินจากผมที่กำลังจะควักกระเป๋าตังขึ้นมา...

     

    ห่าราก...จ่ายค่าตั๋วไปสองใบตอนนี้ก็เหลือเงินแค่พอดีค่ารถเมล์กลับบ้าน

     

    ตอนนั้นได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนหยิบเงินส่งไปให้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า สาธุ๊...วันนี้แม่งขออย่าหลับเลยป้ายรถเมล์เลยนะ ไม่งั้นกูต้องเดินกลับบ้านแน่ ๆ แต่พอเห็นเทาอมยิ้มส่งมาให้ก็ เฮ้อ....เอาไงก็เอากันวะ ไหน ๆ ก็ป๋าแล้วก็ป๋ามันไปให้สุด ๆ เลยนั่นล่ะ

     

     

     

     




     

    “อ้าว แล้วทำไมมึงไม่บอกมันไปว่าไม่มีตังวะ”

     

    น้ำเสียงติดจะรำคาญของคนปลายสายทำให้ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังแกะเงาะกระป๋องลง ก็อย่างที่เคยบอก เซฮุนแม่งเป็นคนที่รู้ดีเกี่ยวกับตัวผมยิ่งกว่าใคร พอเจอเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจเลยต้องโทรไปรายงานมันเสียหน่อย

     

    “มึงก็รู้ว่าเทามันเป็นคนยังไง กูไม่อยากขัดใจมันอะ”

     

    พูดพลางตักเงาะใส่ปาก จะว่าก็ว่าเหอะ ตั้งแต่ผมเริ่มกิ๊กกับเทามาก็ดูเหมือนจะใกล้กับเซฮุนมากยิ่งขึ้น จากเมื่อก่อนที่เราเคยโทรคุยกันแค่เวลาเดียวคือช่วงเย็นก่อนนอน ตอนนี้มันเพิ่มมาอีกสอง คือหลังกินข้าวและตอนเช้าด้วย

     

    “ป๋านักหรอมึงอะ...ตังจะจ่ายค่าตัดชุดยังไม่มีเลย”

     

    เซฮุนมันรู้ครับว่าบ้านผมขายน้ำเต้าหู้ แล้วตังทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการยอมทำงานเป็นลูกจ้างแม่เนี่ย ก็คือจะเอามาจ่ายค่าตัดชุดเต้นคัฟเวอร์กับพวกมันเนี่ยแหละ

     

    “ไม่ได้ป๋า แต่ถ้าไม่ให้มันก็งอแง...มึงก็รู้” 

     

    “ไม่รู้เว้ย ไม่เคยมีแฟน” เสียงของเซฮุนฟังดูกระฟัดกระเฟียดยิ่งขึ้น “คบกับมันแล้วอึดอัดใจกันอย่างนี้ จะคบทำไมวะถามจริง” 

     

    ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ยกช้อนขึ้นดูดน้ำเชื่อมพลางใช้ความคิด 

     

    “อันที่จริง...ก็ยังไม่ได้ตกลงจะคบกันนะ” 

     

    “อ้าว แล้วมีอะไรกันแล้วแต่ไม่ได้คบกันเนี่ยนะ?” เซฮุนแหว

     

    “ก็เออ...” พูดไปก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมกับเทาเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนี้ “ก็ชอบหน้าตากันเฉยๆนี่หว่า ไม่ได้ชอบนิสัยจริงจัง ตอนนี้ก็คือศึกษากันอยู่...”

     

     “กูแม่งไม่เข้าใจพวกมึงเลยว่ะ ทำไมมีอะไรกันได้ทั้งที่ยังไม่คบกันวะ” ปลายสายเงียบไปซักพัก ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วใครเป็นรุก ใครเป็นรับ”

     

    เออกูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมอยากจะตอบอย่างนี้ แต่ในสายตาเซฮุนคือผมแม่งกร้านโลกมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วจื่อเทาแม่งเป็นคนแรกของผมเลย เป็นคนสอนให้ผมรู้จักเรื่องอะไรอย่างนี้แท้ ๆ

     

    “กูเป็นรุกว่ะ” ผมขมวดคิ้ว “เทามันรับอะ” 

     

    “ห๊ะ”

     

    “แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสอดใส่อะไรนะ ก็แค่จูบ ๆ ลูบ ๆ อยู่ข้างนอกอะ”

     

    สาบานได้เลยว่าที่ตอบไปเป็นความสัตย์จริงทั้งมวล และแน่นอนเพราะเซฮุนเป็นเพื่อนผมจึงไม่ต้องมียางอายอะไรทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนปลายสายมันจะคิดหนักแล้ว ผมได้ยินเสียงเซฮุนหายใจฟึดฟัด ท่าทางมันจะคิดมากจริง ๆ นะนั่น

     

    “พวกมึงแม่ง....” มันพูดมาแค่นั้น

     

    “อะไร” 

     

    “มึงแม่งหื่นกามว่ะจงอิน มึงแม่งไม่ใสอะ” 

     

    ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ทันทีที่ฟังมันพูดจนจบ เดาได้เลยว่าตอนนี้มันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

     

    “ก็ผู้ชายด้วยกัน จะเสียหายอะไรล่ะ” ที่ตอบไปไม่ใช่ว่าจะเสือหรืออะไรนะครับ แต่คิดอย่างนั้นจริง ๆ เอ้า! ก็ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ จะกลัวเสียอะไรล่ะ ก็มีความสุขด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่หรอ อีกอย่างก็แค่สนองความอยากรู้อยากลอง ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนซะเมื่อไหร่

     

     

    “เสียดิ...กูเนี่ยเสีย” เซฮุนตอบกลับมา “เสียเพื่อนซิงไปแล้วคนนึง” 

     

    จากที่หัวเราะน้อย ๆ ตอนนี้กลายเป็นขำก๊ากเลยครับ ก็เข้าใจนะว่าทำไมคนที่ดูเถื่อน ๆ ห้วน ๆ ท่าทางจะมากประสบการณ์อย่างเซฮุนถึงพูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้...ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าใจว่ามันด่าแหละ แต่เพราะเป็นผม เลยมีคำตอบให้ตัวเองแบบง่าย ๆ แบบคิดง่าย ๆ โง่ ๆ เลยนะ...

     

    เพราะมันไม่เคยมีความรัก...

    เพราะมันไม่เคยมีแฟน ถึงไม่เคยรู้ว่า มนุษย์ ก็เป็นสัตว์ที่มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน

     

    พอได้ยินเสียงหัวเราะยาวของผมมันก็ด่าไม่หยุดเลยทีนี้ ยอมรับก็ได้ว่าชอบเซฮุนจริงๆเพราะหน้าตา แต่พอเวลาผ่านมาก็คิดนะว่าแค่หน้าตาหรือเปล่า ตอนนี้เลยไม่ได้ใส่ใจจะคิดอะไรจริงจัง ยังไงตัวผมตอนนี้ก็มีเทาอยู่แล้ว แถมยังมีชนักติดหลังอีกอัน...อันเบ้อเริ่มเลยล่ะคนนี้

     

    “แล้วแฟนนักเขียนของมึงล่ะ”

     

    เซฮุนถามขึ้นมาหลังจากเสียงหัวเราะของผมเงียบไปแล้ว แหม พอบทจะขยี้กันก็ถูกจุดเลยนะครับเพื่อน ถ้าให้พูดถึง แฟนนักเขียนมันคงหมายถึง ปาร์คชานยอล แฟนที่เพิ่งเลิกกันไปของผมนั่นล่ะครับ ไม่มีใครอื่นเลย

     

    “ไม่รู้แม่ง” 

     

    ผมตอบออกไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ ครับ ตอนนี้ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไรแม่งเท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าเจ็บมาพอแล้ว เหนื่อยด้วย แม่งอยากจะไปมีใครอีกกี่คนก็ตามใจมันเถอะ

     

    “ไม่รู้แม่งอะไร วันก่อนยังเห็นมึงคุยโทรศัพท์กับมันอยู่เลย” 

     

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก แม่งโทรมาให้ช่วยคิดพล็อตเฉย ๆ”

     

    ความสัมพันธ์ออกจะงง ๆ นะว่าไหม? แต่ก็เป็นงั้นจริง ๆ ครับ พวกเราเลิกกันแล้วแต่ก็ยังมีโทรหากันบ้างปะปราย คือเลิกกันด้วยดีไง เลยยังติดต่อกันอยู่เพราะแม่งชอบโทรมาเล่าพล็อตนิยายใหม่ให้ผมฟัง คือคุยกันแค่เรื่องนิยายจริง ๆ ไม่มีอัพเดตเรื่องคนใหม่ ไม่มีความหวานอะไรในบทสนทนานั้นเลยแม้แต่น้อย

     

    “อ๋อ...”

     

    เซฮุนตอบมาแค่นั้นครับ จะว่าไปทำไมวันนี้เราถึงได้คุยกันแต่เรื่องของผมล่ะ

     

    แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เสียงสัญญาณเตือนสายซ้อนก็ดังขึ้น ผมวางช้อนพลาสติกลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ

     

    ชานยอล

     

    ไม่รู้ว่านี่เรียกว่า ตายยาก ได้ไหม ถ้าเรียกได้ก็ขอเรียกแล้วกันนะ... ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโทรมาเวลานี้ แต่พอพูดถึงหน่อยแม่งก็ต่อสายตรงมาหากูเลย

     

    “มึง...ชานยอลโทรมา กูไปรับสายมันแป๊บนะ” 

     

    “เออตามสบายเหอะ เดี๋ยวกูจะนอนแล้ว ฝันดี” 

     

    ผมพยักหน้าให้กับโทรศัพท์ เซฮุนตัดสายไปแล้ว น้ำเสียงของมันดูไม่พอใจนิดหน่อยที่รู้ว่าชานยอลโทรมาหา แต่อย่าได้คิดเข้าข้างผมนะครับว่ามันหึงหรืออะไร มันก็แค่ขัดใจเท่านั้นแหละที่มีคนโทรมารบกวนการคุยโทรศัพท์รอบดึกของพวกเรา 

     






     

    “ว่าไง” 

     

    “ก็ไม่ว่าไง ไม่มีธุระโทรหาไม่ได้หรอ?”

     

    พอวางสายจากเซฮุนเสร็จก็รีบกดรับสายมันเลยครับ แต่คำถามในใจคือ กูรีบมารับสายมึงแล้วต้องเจอคำถามไร้สาระแบบนี้หรอ? ผมได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ จนลมเป่าดังฟู่

     

    “ไม่พอใจอะไร โทรมาขัดขวางการคุยกับใครหรือไง” 

     

    คำถามนี่ก็กวนตีนเหลือเกิน แล้วจะให้กูปฏิเสธว่ายังไง “ใช่ โทรคุยกับเซฮุนอยู่ มึงมีอะไรก็รีบพูดมาเลยดีกว่าพี่ชานยอล อีกเดี๋ยวกูจะไปกินข้าวแล้ว”

     

    ใช่ครับ พี่ชานยอลมันอายุมากกว่าผม 2 ปี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เรียกมันว่า พี่ทุกครั้งหรอก อาจจะมี เหี้ยบ้าง ไอ้บ้าง ตามอารมณ์นั่นแหละ

     

    “อืม...มีดิ” ปลายสายตอบกลับมาเสียงเบา “เซฮุนอะไรนี่เป็นแฟนใหม่มึงหรอจงอิน?”

     

    อ้าว...วันนี้มาแปลกครับ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นพูดถึงแฟนใหม่ แล้วนี่นึกอะไรขึ้นมาถึงได้ถามอย่างนี้ ผมขมวดคิ้วเข้ากันแน่น แล้วเอื้อมมือไปกดเปิดปุ่มรีโมททีวี

     

    “เซฮุนอะไม่ใช่หรอก” 

     

    “ไม่ใช่หรอกนี่...แสดงว่ามีแฟนใหม่แล้วดิ?”

     

    อ้าวครั้งที่สองครับ ยอมรับว่าเซอร์ไพรส์มากที่คนอย่างปาร์คชานยอลนักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดังลุกขึ้นมาถามอะไรอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนคบกันมันก็เชียร์ให้ผมมีกิ๊กได้ (เพราะตัวมันก็มีไปทั่ว) ทั้ง ๆ ที่มึงเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนทิ้งกู แต่อยู่ ๆ ก็มาถามอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?

     

    “เออมี” ผมตอบออกไปก่อนจะแกล้งลองใจมันด้วยประโยคถัดมา “มีอะไรกันแล้วด้วย...ฟินสุด ๆ อย่างที่มึงเคยเล่าให้กูฟังเลย” 

     

    ใช่ครับ...ก่อนหน้าจะมากิ๊กกะจื่อเทาผมเคยเป็นแฟนปาร์คชานยอลมาก่อน ปาร์คชานยอลคนที่กร้านโลกแบบสุด ๆ ลองเอามาหมดแล้วทั้งผู้ชายผู้หญิง แต่กับผมมันไม่เคยแม้แต่จะจูบปากสอดลิ้น อย่างมากสุดแม่งก็แค่เอาปากชนปากเท่านั้น 

     

    “...จ...จริงหรอวะ” 

     

    “เออ”

     

    “มึงโกหกกูทำไมจงอิน” 

     

    “กูไม่ได้โกหกเลยสัด”

     

    เออไม่ได้โกหกอะไรเลย แล้วทำไมมึงต้องทำเสียงสั่นอย่างนั้นด้วย 

     

    “...ได้ไงวะ” 

     

    มันพูดออกมาแค่นั้น ก่อนจะเงียบหายไปพักใหญ่ มันปล่อยให้ผมถือสายรอจนโฆษณาจบไปตัวนึงแล้วก็กลับมากรอกเสียงใส่ด้วยอารมณ์แบบคุกรุ่นสุด ๆ

     

    “มึงทำงี้ได้ไงวะจงอิน” 

     

    ชิบหาย...สาบานได้ว่าตอนนี้งงมากว่ากูผิดอะไร ทำไมมันถึงทำเสียงเหมือนกับจะตะคอกผมตลอดเวลา 

     

    “เดี๋ยว...กูงงไปหมดแล้วชานยอล มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย”

     

    ตอนนี้ถึงกับลุกขึ้นยืนเลยครับ ยืนแล้วเดิน เดินแล้วนั่ง เดินขึ้นเดินลงบันไดเพราะรอปลายสายตอบกลับมา คืองงกับท่าทีกับการกระทำมันมาก ทั้ง ๆ ที่จะได้คำตอบประมาณว่า ก็ดีแล้วนี่หรือ ฟินใช่ไหมล่ะ จากมัน แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าผิดคาดไปมาก

     

    “ทำไมมึงทำแบบนี้....”

     

    “...”

     

    “ทั้ง ๆ ที่กูทะนุถนอมมึงมาแท้ ๆ”

     

    อ้าว...

     

    อึ้งสิครับ รอบที่ร้อยของวัน... พอได้ยินชานยอลพูดอะไรแบบนี้ออกมาผมนี่ขมวดคิ้วเลย คือมึงจะบอกว่าที่มึงไม่แตะเนื้อต้องตัวกู ไม่ทำอะไรกูเพราะมึงทะนุถนอมกูเนี่ยนะ

     

    “มึงสมองกลับหรอชานยอล?...มึงบอกทะนุถนอมกูแต่ก็ทิ้งกูเนี่ยนะ...มึงบ้าหรือเปล่าวะ?”

     

    ผมถามออกไปอย่างนั้น จากเฉย ๆ นี่เริ่มจะรู้สึกโมโหแล้วครับ ทำไมคำพูดกับการกระทำแม่งขัดกันไปหมดเลย

     

    “ไม่ได้บ้า...แปบนึง ขอเวลากูทำใจก่อน...” ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ส่วนผมนี่ลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไปทิ้งตัวนอนบนห้องเลยครับ นอนกลั้นใจฟังเสียงลมหายใจของมันซักพักก็ตัดสินใจว่าจะกดวางสาย รู้สึกว่าแม่งเปล่าประโยชน์และสมองกำลังจะระเบิดถ้าต้องรอให้ความอึดอัดเข้าครอบงำทั้ง ๆที่ เราก็เลิกกันไปตั้งหลายเดือนแล้ว

     

    แต่ไม่ทันที่นิ้วจะได้กดไอ้ปุ่มสีแดง เสียงทุ้มนั่นก็เรียกชื่อผมขึ้นมาในความเงียบ

     

    “จงอิน...”

     

    “....”

     

    “กลับมาคบกัน...”

     

    “....”

     

    “ทั้งหมดนั่นน่ะ...กูจะทำให้มึงเอง”

     

     

      _______________________________________

    TBC – 2

     

    เออนั่นแหละ เหมือนเอาจงอินมาบ่นๆไรไม่รู้

    เขียนไปงานตามประสบการณ์ที่มี เหมือนเขียนไดอารี่เนอะ

     

    ขอให้สนุกจ้ะ

     

    เปลี่ยนแท็กนะ คนอื่นแม่งชอบมาติดแท็กเราเป็นแท็กเสี่ยวเฉยเลย

    จะสกรีมมาหาก็แท็กอันนี้แล้วกัน จะรออ่านนะ

     

    #แค่กูรักมึงKH

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×