คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ` 연결 ★ wufan ____( ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน )
ผมมั่นใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไป
มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องดีแล้ว...
C O N N E C T
krisbaek : chanbaek
2
WUFAN
“ขอบคุณมากนะยุนอา...”
ผมยื่นแฟ้มเอกสารให้หญิงสาวตรงหน้า หล่อนรับมันไปกอดเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็ก ๆ เมื่อผมเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องข้าง ๆ โต๊ะทำงานมาปิดปากตอนที่จาม
“วันนี้จะไหวไหมคะบอส ?”
ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ เลขาคนสวยยังคงยืนอยู่ที่เดิม หล่อนแสดงสีหน้าเป็นกังวล ทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำได้แค่โบกมือไปมาในอากาศ
“ไม่เป็นไร ผมโอเค”
ผมบอกให้หล่อนสบายใจ จะได้กลับไปทำงานต่อเสีย ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเล็กน้อย เพราะยังไม่สร่างจากไข้เมื่อวานก็ตามที...
“โอเคค่ะ...ฉันจะได้สบายใจ”
หล่อนพยักเพยิดหน้า ก่อนจะปิดประตูออกไป ... ผมปล่อยปากกาหมึกซึมในมือออกทันที เอื้อมมือไปนวดขมับก่อนจะปรับเก้าอี้ทำงานให้เอนลงเพื่อพักผ่อน ตั้งแต่ปลายอาทิตย์ที่แล้วมา ที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดี นอนหลับไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่เพราะสภาพอากาศ อาการเป็นหวัด แพ้อากาศแบบนี้ผมเป็นมาตั้งแต่เด็ก แค่อากาศชื้นก็ดูเหมือนจะไม่สบายได้แล้ว เพราะงั้นผมถึงได้เกลียดที่จะให้ใครมารับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง...
ไม่อยากให้ใครมาเวทนา...
ผมไม่ชอบเวลาใครมาถามว่า ‘แล้วดีขึ้นรึยัง’ ‘ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม’ ด้วยสายตาสงสาร ทั้ง ๆ ที่ผมเคยชินกับการดูแลตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้มาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่เมื่อราว ๆ สองสามปีที่ผ่านมานี้ ก็ดันมีใครคนนึงเข้ามาและเริ่มทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะชินกับชีวิตที่ผ่านมาเอาเสียเลย...
บยอน แบคฮยอน...
‘อย่าลืมกินผลไม้ในตู้เย็น
อย่าลืมเอายาไปที่ทำงานด้วยนะครับ
BH’
นึกถึงโพสอิทที่แปะไว้หน้าประตูตู้เย็นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อคืนเด็กนั่นมาค้างด้วยทั้ง ๆ ที่วันนี้มีตารางเรียนตอนเช้าตรู่ คอนโดของผมกับมหา’ลัยของแบคฮยอนอยู่ห่างกันมาก ใช้เวลาเดินทางฝ่ารถติดในช่วงเร่งด่วนไปก็เกือบชั่วโมง นั่นทำให้ผมไม่ชอบขับรถไปส่งเขาเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะทำให้เราทั้งคู่สายแล้ว ยังมีเรื่องให้หงุดหงิดใจกันไปทุกทีที่เราอยู่ด้วยกันในรถ ท่ามกลางสภาพแออัด และอึดอัดใจ
เลยกลายเป็นว่า เราทั้งคู่ตกลงกัน ว่าวันไหนที่เขามีเรียนตอนเช้า ถ้าจะมาค้างที่คอนโดผม เขาก็ต้องนั่งรถไฟกลับเอง...
เราเข้าใจกันดี....
แบคฮยอนเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเรื่องมาก อาจเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย และยังมองโลกในแง่ดีอีกด้วย พวกเราอยู่ด้วยกันแบบผู้ชาย ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย ไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลา นั่นทำให้ผมไม่ต้องมานั่งปวดหัวเท่ากับการคบผู้หญิง เพราะแบคฮยอนไม่เคยเรียกร้องเอาอะไร.... ไม่เคยเรื่องมาก พูดอะไรก็พร้อมจะเข้าใจมันโดยง่าย
นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับการคบกับผู้ชาย ครั้งแรกที่ผมรู้สึกชอบผู้ชายคนหนึ่งจนสามารถคบเป็นแฟนด้วยได้... แบคฮยอนคือประสบการณ์ใหม่ที่ดีเยี่ยม ทั้งร่างกายของเราเวลาที่สัมผัสกันมันเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด ความเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งผ่านมาถึง ความอ่อนแอของผมที่ไม่เคยให้ใครได้มีโอกาสรับรู้ เวลานี้มีแค่เด็กคนนั้นเพียงคนเดียวที่เข้าใจตัวผมเป็นอย่างดี
Rrrrrr Rrrrrrr
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงอยู่บนโต๊ะทำงาน เห็นหน้าจอแล้วถึงกับต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ ....เพราะคนที่ผมเพิ่งจะนินทาในความคิดไปดันโทรเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี..
“ว่ายังไง”
ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เสียงจ่อกแจ่กจอแจดังขึ้นมาก่อนเสียงของเจ้าตัวเสียอีก ซ้ำร้าย ดูเหมือนมันจะกลืนเสียงของแบคฮยอนไปซะหมด นั่นทำให้ผมชักจะหงุดหงิด เพราะผ่านไปครึ่งนาทีแล้วแต่ผมยังฟังไม่ออกว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
“เดินออกมาห่างคนหน่อย...พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” ดูเหมือนจะมีปลายสายที่ฟังรู้เรื่องอยู่คนเดียว แบคฮยอนกระซิบอะไรซักอย่าง ก่อนสายจะตัดไป พักเดียวเท่านั้นก็โทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง
“ได้ยินรึยังครับฮยองนิม”
แบคฮยอนอยู่ในที่เงียบแล้วตอนนี้ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เวลาที่คู่สนทนาอยู่ในที่เสียงดัง ๆ หรือ เวลาที่คุยกันอยู่แล้วอีกฝ่ายหันไปคุยกับคนอื่น...
จะว่าเป็นเรื่องที่เอาแต่ใจก็ได้....แต่นั่นเป็นสิ่งที่มักจะทำให้ผมหงุดหงิดแบคฮยอนอยู่บ่อย ๆ
“ได้ยินแล้ว” ผมเอื้อมไปหยิบปากกามาหมุนเล่น “มีอะไรรึเปล่า...” ปลายสายเงียบไปซักพัก ถ้าฟังไม่ผิดดูเหมือนจะได้ยินอีกฝ่ายกำลังสูดน้ำมูกเบา ๆ
“วันนี้ฮยองนิมกลับบ้าน หรือ กลับคอนโดครับ ?”
“นั่นไม่สบายใช่รึเปล่า ?”
“โธ่ฮยองนิม....ช่างมันก่อนนะ....ตกลงกลับบ้านหรือคอนโด ?”
ผมชักเริ่มจะหงุดหงิดเล็ก ๆ เด็กนั่น....เมื่อวานไม่ยอมสระผมตามที่บอกแน่ ๆ ถึงได้คัดจมูกเสียงฟึดฟัดแบบนั้น...
“กลับคอนโด...ทำไม จะมาหรือไง?” ผมถามออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบกลับมาแค่เบา ๆ
“อือ...ไปไม่ได้หรอครับวันนี้ ?”
“นายเป็นหวัด....ไม่ต้องมาหรอกเดี๋ยวติดกันไปติดกันมา ไม่หายซักที” ผมกรอกเสียงลงไปดุ ๆ เด็กนั่นผิดเองที่ไม่ยอมทำตามที่ผมบอก ไม่ดูแลตัวเองจนไม่สบายแบบนี้ รู้ก็รู้อยู่ว่าเวลาผมไม่สบายแล้วมันหายยาก ถ้าได้เชื้อมาจากเด็กนั่นอีก อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงไม่หายแน่ ๆ
“...แต่.....วันนี้วันเกิดฮยองนิม....”
อีกฝ่ายพูดเบา ๆ ฟังออกว่าหงอยลงไปถนัด.... ผมเงียบไปซักพัก ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน้อง ๆ ในออฟฟิศเอ่ยปากว่าจะเลี้ยงวันเกิดให้ ซึ่งผมก็ตบปากรับคำไปเรียบร้อยแล้ว... ไม่น่าล่ะเมื่อเช้ายุนอาถึงได้ถามว่าผมโอเครึเปล่า...
“ไว้พรุ่งนี้ไหม ?” ผมหันไปดูตารางนัด ยังไงวันพรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว “เป็นพรุ่งนี้แล้วกัน อีกอย่างวันนี้นายก็ไม่สบาย พี่ว่าไปนอนพักผ่อนให้หายก่อนดีกว่า”
แบคฮยอนทำแค่เงียบไป แล้วก็ตอบกลับมาว่า ‘อืม’ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอ หรือไม่สำคัญหรอกนะ แต่เด็กคนนั้นกำลังป่วย แล้วอีกอย่างน้อง ๆ ก็นัดไว้ตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แล้วถ้าเจ้าของงานวันเกิดไม่โผล่ไปซักหน่อย มันก็คงจะแปลกพิลึก...
เอาไว้แก้ตัวโดยการพาเด็กคนนั้นไปกินข้าวร้านที่เจ้าตัวร้องอยากไปก็แล้วกัน...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเงยหน้าขึ้นมองบานประตูทั้ง ๆ ที่โทรศัพท์ยังแนบอยู่ที่หู แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่ก้าวเข้ามาในห้อง ผมเลยขอเวลาเด็กคนนั้นซักครู่ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานโดยที่ยังไม่ได้วางสายจากกัน
“เอ่อ....บอสคะดิฉันมีเรื่องจะรบกวน” ยุนอาเดินเข้ามานั่งที่ฝั่งตรงข้าม หล่อนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนพอดู
“พูดมาสิ”
“ดิฉันอยากจะรบกวน...ขอเบิกเงินล่วงหน้าครึ่งเดือนน่ะค่ะ” เลขาสาวเม้มริมฝีปาก “พอดีเมื่อเช้าพี่สาวโทรมาว่าแม่ล้ม......”
“ได้สิ....” ผมสวนออกไป เลขาสาวตาโต หล่อนค้อมหัวขอบคุณทันที “เดี๋ยวผมจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”
“ขอบคุณนะคะบอส...งั้นไม่รบกวนแล้วค่ะ”
อิม ยุนอากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป จะว่าไปนี่ก็ครึ่งเดือนหลังแล้ว บางทีผมควรจะโอนให้เธอทั้งหมดรวมถึงโบนัสที่เธอล่วงเวลาด้วยเลย....
“แบคฮยอน....” ผมเอาโทรศัพท์แนบแก้มอีกครั้ง ส่งเสียงเรียกคนปลายสายให้รับรู้ว่าผมพูดธุระเสร็จแล้ว “เดี๋ยวพี่ต้องทำงานแล้ว...มีอะไรอีกรึเปล่า”
“เอ่อ......” คนปลายสายเงียบไปซักพัก
สำหรับพวกผม การคุยโทรศัพท์กันมักจะคุยแต่เรื่องจำเป็น หรือโทรนัดกันเท่านั้น น้อยครั้งที่เราจะคุยกันนอกเหนือประเด็นพวกนี้ เพราะผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ซักเท่าไหร่ เวลาที่ต้องแนบหูกับเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่นาน ๆ บางทีก็ทำให้ประสาทกินได้เหมือนกัน....
เรื่องนี้แบคฮยอนรู้ดีที่สุด....
ผมเอื้อมไปหยิบเอกสารที่พักยกไปนานขึ้นมาดูอีกครั้ง “ว่ายังไง”
“พี่.......เอ่อ.....ไม่มีอะไรครับ...” ปลายสายตอบตะกุกตะกัก.... ดูเหมือนจะมีเรื่องต้องพูดกันมากกว่านั้น แต่แบคฮยอนเลือกที่จะไม่พูด เพราะงั้นควรเป็นผมที่เอ่ยปากเองคงจะดีกว่า
“เงินน่ะ...เดี๋ยวโอนให้เย็นนี้...” ผมเอื้อมมือไปหยิบปากกามาขีดฆ่าข้อความบางอย่างในปฏิทินที่อยู่ด้านหน้าเอกสารทั้งหลาย “พรุ่งนี้ก็เอาไปจ่ายค่าหอซะ...”
“พรุ่งนี้?......”
“พรุ่งนี้กำหนดจ่ายค่าหอ”
“อ๋อ......ขอบคุณนะครับ....” เด็กคนนั้นเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว “ฮยองนิม...เดี๋ยวผมจะต้องเข้าเรียนแล้ว”
“งั้นหรอ....งั้นเท่านี้แล้วกัน....”
“เดี๋ยวสิครับฮยอง....” แบคฮยอนพูดสวนขึ้นมาเสียงดังในขณะที่ผมกำลังจะกดวางสาย นั่นทำให้ผมต้องแนบโทรศัพท์ไว้กับหูอีกครั้ง
“ว่ายังไง...”
“.......คิดถึงนะครับ”
“อืม...." เด็กคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเพียงแค่พยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ถึงแม้แบคฮยอนจะไม่ได้เห็นมัน แต่ผมก็คิดว่าเขาคงจะรู้ว่าผมก็รู้สึกเหมือนกับเขา
สายตัดไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราเงียบกันอยู่พักหนึ่ง เป็นแบคฮยอนเองที่ทำลายกำแพงลงเด็กคนนั้นปรับน้ำเสียงเป็นร่าเริงและขอตัวไปรวมกับเพื่อนๆ ส่วนผมก็คงต้องรีบตรวจทานงานของตัวเองให้เสร็จเสียที...
_______________________________
23.20
ผมละสายตาออกจากนาฬิกาข้อมือทันทีที่น้องฝ่ายธุรการยื่นกับแกล้มมาให้ ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในสุดของผับ ซึ่งยุนอาที่ไม่ได้มาด้วยในวันนี้เป็นคนจองโต๊ะ ทีแรกผมว่าจะมากินพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่เด็ก ๆ ฝ่ายอาร์ตมันรวมหัวกันท่าไม่ให้ผมกลับบ้าน ก็เลยต้องนั่งกินกับพวกมันไปด้วยโดยปริยาย
“บอสเติมเหล้าอีกไหมคะ”
น้องฝ่ายธุรการถามอีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบเพราะผมส่ายหน้าปฏิเสธ หล่อนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปชงแก้วใหม่ให้แฟนของตัวเองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
น้อง ๆ ในออฟฟิศกับผมถือว่าเป็นกันเองในระดับหนึ่ง เพราะเราต้องออกอีเว้นท์ด้วยกันบ่อย ผ่านร้อนผ่านหนาว เหนื่อยกายหนักใจร่วมกันมาก็มาก นั่นทำให้ผมและน้อง ๆ พวกนี้วางตัวต่อกันเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง
“ผมไปห้องน้ำก่อนนะ”
เอ่ยบอกกับเจ้าฝ่ายอาร์ตที่นั่งถัดมา ก่อนที่จะหามุมสงบเพื่อเช็คโทรศัพท์ มิสคอลสองสายจากแบคฮยอนโทรมาเมื่อหัวค่ำ นั่นทำให้ผมไม่ลังเลที่จะโทรกลับไปหาอีกฝ่ายทันที...
เสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะดับไป เด็กคนนั้นกดตัดสายของผม ทันทีที่โทรไปอีกครั้ง ก่อนจะเป็นริงโทนเครื่องผมเองที่แผดเสียงดังขึ้นมา
“ขอโทษครับฮยองนิม” ผมได้ยินเสียงเพลงร็อคดังแผ่ว ๆ มาจากปลายสาย ท่าทางเบื้องหลังของแบคฮยอนจะอึกทึกพอควร
“อยู่ที่ไหน...”
“อยู่ร้าน NICZ ครับ....”
“ไปกับใคร....”
“สายรหัสครับฮยอง....”
ผมเองที่เป็นฝ่ายเงียบ... ยอมรับว่าหงุดหงิดเล็ก ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่สบายอยู่... แต่ก็เอาเถอะ แบคฮยอนก็ควรจะมีสังคมเป็นของตัวเองบ้าง อีกอย่างเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กผู้ชาย สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกันนักกับแบคฮยอนในตอนนี้
“ใกล้เสร็จรึยัง”
ผมเดินไปเข้าห้องน้ำในโซนของผับด้านนอกที่เสียงเบากว่าด้านใน แนบโทรศัพท์ไว้กับแก้มด้านซ้าย ก่อนจะเอื้อมมือไปกวักน้ำมาล้างมือ
“....พี่รหัสยังไม่ยอมให้กลับเลยครับ.....”
“แล้วอยากกลับรึยัง” ผมเดินออกมานั่งที่บาร์ในโซนด้านนอก เอ่ยสั่งมาร์ตินี่ไม่เอามะกอกมาแก้วนึง.... ปลายสายเงียบไปซักพักเพราะตอบรับเสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนรุ่นพี่ ขณะเดียวกับที่ใครบางคนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้สูงข้าง ๆ ผม
“.....อยากจะแย่”
ผมหันหน้าไปมองหญิงสาวที่เริ่มซบลงบนบ่าผม เจ้าหล่อนเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาช้อนตามองผม.... เท่านั้นก็เข้าใจได้แล้วว่าอะไรเป็นสิ่งที่เธอต้องการในคืนนี้...
“....งั้นก็กลับ....เดี๋ยวไปรับ” ผมยังคงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ขณะที่ก็เขยิบให้หญิงสาวข้างกายได้เอนซบไหล่ได้ง่ายขึ้น
“จริงหรอครับ ฮยองนิม!” ปลายสายน้ำเสียงร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อครู่
“อืม......” ผมยื่นเงินให้บาร์เทนเดอร์ตรงหน้า ก่อนจะสบตากับหญิงสาวผมบรอนซ์ข้างกายอีกครั้ง “เอาล่ะ...กลับกันเถอะ....”
“โอเคครับ !”
_______________________________
ผมเลี้ยวรถเข้าข้างฟุตบาทหน้าร้านที่แบคฮยอนบอก ซึ่งเด็กคนนั้นยืนรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ก่อนที่แบคฮยอนจะเดินเข้ามาถึงตัวรถ เด็กคนนั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะ ว่าการที่พาผู้หญิงมาด้วยจากผับแล้วยกที่ข้างหน้าให้เธอนั่งแทนที่จะเป็นเด็กคนนั้นนั่งเป็นเรื่องที่น่าน้อยใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่แบคฮยอนทำสีหน้าประหลาด เพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ เปิดประตูหลังแล้วขึ้นมานั่ง แถมเอื้อมมือมาปรับแอร์ไปด้านหลังหน้าตาเฉย
ท่าทางจะหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน....เด็กคนนั้น...แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องพูดอะไร ในเมื่อไม่ถามก็ไม่เห็นต้องตอบอะไร ก็รู้กันอยู่แล้วว่าผมก็เป็นแบบนี้ ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
พวกเราสามคนนั่งกันเงียบ ๆ อยู่ซักพัก พอผมมองผ่านกระจกไปอีกทีแบคฮยอนก็หันไปทางอื่นแล้ว แถมดูเหมือนจะกำลังหลับอีกด้วย
“น้องชายคุณหรอคะ”
หญิงสาวข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้นมา เธอใช้นิ้วชี้ไปที่คนบนเบาะด้านหลัง ผมกลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เปล่าหรอก”
_______________________________
02.59
ผมลุกขึ้นมาจากเตียงคิงไซส์ที่เพิ่งผ่านมรสุมมาหมาด ๆ เดินฝ่ากองเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ก่อนจะออกมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ยี่ห้อโปรดมาดื่ม ทันใดนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นกล่องทับเปอร์แวร์ที่แบคฮยอนปอกผลไม้ใส่เอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน
มันยังไม่พร่องไปซักนิด เพราะผมไม่ได้แตะต้องมันเลย เมื่อเช้าผมตื่นสายเกินกว่าที่จะมานั่งละเลียดมันลงท้องตามด้วยยาอย่างที่อีกคนเขียนแปะเอาไว้บนโพสอิท แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ....
แอปเปิล เมล่อน แล้วก็ส้ม มีแค่สามอย่างนี้ที่ผมชอบ และจะไม่ยอมแตะอะไรเลยหากไม่สบาย ยกเว้นเจ้าสามอย่างที่ว่ามา
แบคฮยอนจำได้เป็นอย่างดี....
ผมหยิบมันออกมาจากตู้เย็น ค่อย ๆ จิ้มเจ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าปาก... ความหวานฉ่ำเย็นชื่นใจของผลไม้สามอย่างที่ผมมักจะกินมันบ่อย ๆ บอกผมว่าเด็กคนนั้นเอาใจใส่ผมมากแค่ไหน บางทีอาจจะมากกว่าใครทั้งหมดที่ผมเคยคบมาด้วยซ้ำ ทั้งรอยยิ้ม การแสดงออกนั่นทำให้ผมสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วย...
ทว่าวันนี้เจ้าตัวออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด....
ไม่บ่อยนักหรอกที่แบคฮยอนจะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา ก็อย่างที่ผมบอก....เด็กคนนั้นเข้าใจอะไรง่าย ๆ แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นที่สุด...
Rrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงริงโทนโทรศัพท์ในเวลานี้ทำให้ผมประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครกลับทำให้ยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมยังไม่นอน...” ผมกรอกเสียงลงไป ได้ยินเสียงลมแผ่ว ๆ จากปลายสาย “ออกไปอยู่ทำไมระเบียง...”
“ลมมันเย็นดี...”
“เดี๋ยวก็ไม่หายซักที...”
“........”
“......”
“ฮยองนิม.....ผมขอโทษ....”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ที่วันนี้งี่เง่าใส่....” แบคฮยอนส่งเสียงอ้อน ๆ
“อืม...” ผมยังคงเงียบ เพื่อฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาอีก แต่รอได้ไม่ถึงนาทีเด็กคนนั้นก็ปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงแล้วเอ่ยสิ่งที่ผมคิดอยู่ว่าจะเป็นคนชวนเอง
“งั้น....พรุ่งนี้ไปกินข้าวกันนะครับ...นะ”
“ได้สิ”
ผมตอบตกลงไป เด็กคนนั้นกับผมคุยกันเหมือนกับว่าลืมไปว่าเคยมีเรื่องให้อึดอัดใจเมื่อก่อนหน้า เขาเล่าเรื่องเพื่อนที่มหา’ลัย รุ่นพี่ในสายรหัส รวมไปถึงร้านเหล้าที่ไปเลี้ยงกันมาวันนี้ให้ฟัง น้ำเสียงร่าเริงซะจนผมนึกอยากจะให้เจื้อยแจ้วต่อไปถ้าไม่ติดว่าผมจะต้องตอบอีเมลล์ของลูกค้าต่อ
ผมบอกให้แบคฮยอนไปนอนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้เด็กคนนั้นมีเรียนแต่เช้า กว่าพวกเราจะวางสายจากกัน ตอนนี้เข็มนาฬิกาที่แขวนบนผนังก็ตีไปที่เลขสี่เสียแล้ว นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมยอมเอาหูแนบกับโทรศัพท์นาน ๆ ...
แบคฮยอนวางหูไปแล้วผมถึงเริ่มเปิดโน้ตบุ๊ค แต่ยังไม่ทันที่จะได้วางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นมา
‘แฮปปี้เบิร์ดเดย์ครับฮยองนิม......’
ข้อความอวยพรจากคนที่เพิ่งวางหูไปทำให้ผมถึงกับต้องอมยิ้มออกมา เป็นแบคฮยอนทุกทีที่ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวา...
บางทีดินเนอร์พรุ่งนี้คงจะทำให้ผมมีกำลังใจทำงานไปอีกหลายวัน
________________________________
TALK
อย่าลืมติดแท็กน้า #ฟิคคอนเนค
ถ้าชอบก็ช่วยบอกต่อด้วยนะคะ <3
ความคิดเห็น