ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) BAD DOG | sekai chankai

    ลำดับตอนที่ #1 : 1 | aftermath

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 58









     

    1 | aftermath

     

     

    เสียงทอดถอนใจดังขึ้นหลังจากมือเรียวสีแทนละจากฟูกนอนขนาด 3 ฟุต ดวงตาคมหรี่มองเจ้าถุงซิปล็อคขนาดเล็กที่บรรจุเกล็ดสีขาวใสอยู่ประมาณค่อนหนึ่งของจำนวนเต็ม มันเป็นแท่งผลึกคล้ายขัณฑสกรที่เป็นสารให้ความหวาน แต่เขารู้แก่ใจว่ามันอันตรายกว่านั้นมาก เห็นแล้วสมเพชตัวเองจนต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างแรงอีกรอบ

     

    คิมจงอิน รู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานมือสะอาด เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานที่คนปกติเขามักอยากทำกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเดือน ๆ หนึ่งเขามีค่าใช้จ่ายมากมายเกินกว่าปัญญาของนักศึกษาชั้นปีสามคนนึงจะจ่ายไหว? แค่ลดหน่วยกิตให้เรียนน้อยลง เพิ่มเวลาทำงานกะกลางคืนให้นานขึ้น ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่พอค่าใช้จ่ายจิปาถะของเขากับน้องชายเลยด้วยซ้ำ

     

    นี่ยังไม่นับก้อนใหญ่ใน 3- 4 เดือนที่เขาต้องหามาจ่ายเป็นค่าเทอมเจ้าตัวยุ่งนั่นอีกนะ เท่านี้ก็แทบไม่พอยาไส้กันอยู่แล้ว

     

    ถามถึงจุดเริ่มต้นคงต้องกล่าวถึง อีแทมิน เพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ในคลับเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าหมอนั่นเป็นเพื่อนชั้นเลวที่แนะนำแนวทางสู่ด้านมืดแบบนี้ให้เขาหรอกนะ มันเป็นเพราะเขาบังเอิญไปเห็นหมอนั่นรับส่ง ของ กับลูกค้าประจำของคลับคนนึงแล้วกลับมาพร้อมเงินเป็นฟ่อนต่างหาก 

     

    ตอนนั้นแหละที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าควรจะก้าวไปทางไหน ตัดสินใจที่จะลืมคำสั่งห้ามของแม่...  

     

    ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว ดูแลน้องให้เป็นคนดี อย่าทำเรื่องไม่ดี ใช้ชีวิตให้ดี เข้าใจไหม จงอิน

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว! ไม่ว่าจะด้วยเสียงเคาะประตู หรือ เสียงตะโกนจากน้องชายที่ดังอยู่ด้านนอกก็ล้วนทำให้จงอินใจเต้นไม่เป็นส่ำทั้งนั้น เขารีบกวาดเจ้าถุงซิปล็อคที่นอนแบอยู่บนเตียงมาไว้ในอก หันรีหันขวางหาเป้าหมายที่มิดชิดพอจะซ่อนสิ่งผิดกฎหมายในอ้อมกอดให้พ้นจากสายตาครอบครัวเพียงคนเดียว ก่อนจะตัดสินใจตรงไปยังกระเป๋าเป้สีดำที่พาดไว้บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ

     

    “จงอิน เป็นอะไรหรือเปล่า” 

     

    “เปล่า!” ยัดมันลงกระเป๋าอย่างรีบร้อนก่อนจะรูดซิปปิดแล้วตรวจเช็คความเรียบร้อยอย่างลน ๆ “รอแป๊บนึงจินกู”   

     

    เสียงที่ประตูเงียบไปแล้ว แต่ถ้าให้จงอินเดาจินกูมันก็ยังยืนอยู่ตรงที่เดิมนั่นล่ะ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากอิ่มของตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่เกี่ยวไว้บนต้นไม้แขวนเสื้อมาพาดบ่า ขยำขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง แล้วเอื้อมมือไปหมุนปลดล็อคลูกบิดประตู 

     

    “ทำอะไรอยู่ เรียกตั้งนานไม่ยอมเปิด”

     

    คิมจินกูถามพลางขมวดคิ้วมองพี่ชายของตนอย่างจับผิด  

     

    “กำลังจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวต้องออกไปทำงานแล้ว” จงอินยกปลายของผ้าขนหนูที่พาดบ่าตัวเองขึ้นมาโชว์ในระดับสายตา แวบหนึ่งในทีนั้นล่ะที่ทำให้เขาจับสังเกตแววตาสั่นแปลก ๆ ของเด็กตรงหน้าได้ “มีอะไรหรือเปล่าจินกู?”

     

    “อ๋อ” จินกูส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่มีอะไรหรอก เรียกเฉ--” 

     

    “เงินไม่พอหรอ? จินกู” 

     

    ถามสวนออกไปเพราะรู้แก่ใจว่าไม่มีทางที่เจ้าน้องชายตัวดีจะเป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน จงอินขมวดคิ้วกอดอกเอนพิงกรอบประตู ดูจากท่าทีอึกอักของอีกฝ่ายแล้วก็คงเป็นจริงอย่างที่เขาพูดนั่นล่ะ 

     

    “อืม...”

     

    ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังจงอิน จินกูรู้ว่าเดือนนี้เขาใช้เงินเยอะกว่าทุกเดือน แล้วจงอินก็มันหามาอย่างยากลำบาก แต่สำหรับเด็กม.ปลายอย่างเขา มันไม่ใช่แค่ค่ารายงานเท่านั้นที่จะนับเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะเพียงอย่างเดียว ยังมีค่าเรียนกวดวิชาที่เขาไม่ค่อยเต็มใจอยากจะเรียนนั่นอีก  

     

    “งั้น...ต้องใช้อีกเท่าไหร่? พรุ่งนี้เช้าได้ไหมจินกู?”

     

    “...” 

     

    “จินกู?”

     

    “จงอิน...” 

     

    เสียงเรียกของจินกูแผ่วลงที่ตอนปลาย นั่นทำให้คนฟังรู้สึกไหววูบแปลก ๆ ครั้งสุดท้ายที่จินกูใช้น้ำเสียงอย่างนี้เรียกชื่อเขาก็ตอนที่เจ้าเด็กนั่นขออนุญาตไปทำงานพิเศษ...  

     

    “ผมไม่เรียนแล้วได้ไหม...กวดวิชาอะไรนั่น” 

     

    จงอินฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น 

     

    “ไม่ได้”  

     

    “แต่...” 

     

    “บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” ผ่อนลมหายใจออกมาเป็นรอบที่สามของวัน จงอินมองน้องชาย มองครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาเขม็ง จงใจให้ความรู้สึกและคำพูดในวินาทีสุดท้ายของแม่ตีขึ้นมากระทบคลื่นความคิดของคนตรงหน้า “จำไม่ได้เหรอว่าแม่พูดอะไรก่อนไป? แม่บอกให้เราสอบเข้ามหาลัยโซลให้ได้ใช่ไหม?”

     

    “แต่จงอินเหนื่อยมาก...เงินที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้จงอินก็หาอยู่คนเดียว” 

     

    “ไม่ต้องสนใจได้ไหม? แค่ตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอแล้วจินกู...”  

     

    “แต่...” 

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงิน ที่ผ่านมาเราก็อยู่กันมาได้ตลอดนี่? ขอร้องล่ะ อย่าทำให้พี่หนักใจกว่าที่เป็นได้ไหม? แค่ตั้งใจเรียนแล้วสอบให้ติดมหาลัยโซล ทำได้ไหมจินกู?...”  

     

    คิมจินกูก้มหน้าลงมองพื้นเบื้องล่าง เขาไม่อยากเป็นภาระให้จงอิน ไม่อยากให้พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาต้องมาใช้เวลาทั้งหมดเพื่อหาเงินส่งเสียเขาโดยที่เจ้าตัวแทบไม่ได้มีเวลาเป็นของตัวเอง เขาเคยขออีกฝ่ายไปทำงานพิเศษหลายครั้ง แต่จงอินก็ปฏิเสธทุกครั้ง จริงอยู่ว่ามหาลัยที่จงอินเรียนไม่ใช่ SKY แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ชายของเขาไม่ควรที่จะได้รับสิทธิ์ในการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นเหมือนกับคนอื่น ๆ

     

    ทุกวันนี้จงอินทำงานหนักมาก... หนักเกินไปจนเขาละอายที่จะต้องอยู่เฉย ๆ แล้วอ่านหนังสือเตรียมสอบไปวัน ๆ อย่างที่เป็นอยู่นี่

     

    “จินกู?”  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปร่างโปร่งก็เปล่งเสียงเรียกซ้ำ จงอินเข้าใจดีว่าในใจของน้องคิดอะไร แต่นี่มันไม่ใช่หน้าที่ที่จินกูจะต้องมาแบกรับภาระไว้บนบ่า จินกูเรียนเก่งกว่าเขามาก นั่นหมายความว่าเจ้าเด็กนี่จะมีอนาคตที่ไกลกว่าหากเขาสาวสายป่านได้ยาวกว่าที่เป็น

     

    คิมจินกูแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง และเมื่อเห็นท่าทีอย่างนั้น คนเป็นพี่จึงสำทับความคาดหวังที่มีต่อน้องชายคนดีของตนอีกรอบ 

     

    “จินกู...สัญญาสิว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก สัญญาสิว่าจะคิดแต่เรื่องเรียน”

     

    “...”

     

    “เราเป็นความหวังของพี่นะ จินกู” 

     

    มาอีหรอบนี้แล้วจะปฏิเสธได้อย่างไร? จงอินก็ยังเป็นจงอินอยู่วันยังค่ำ ไม่เคยมองว่าเขาโตพอที่จะรับรู้ปัญหาของครอบครัวเลยซักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าเป็นเพราะจงอินรักเขามาก ที่เสียงแข็งใส่กันอยู่อย่างนี้ เพราะพี่ชายคนนี้จะไม่ยอมให้เขาลำบากเหมือนกับที่ตัวเองต้องลำบาก 

     

    คิดได้อย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองครอบครัวเพียงคนเดียวของตนตาละห้อย

     

    “ครับ...ผมจะตั้งใจเรียน” 

     

     

     

    ________________________________________________

    ________________________________________________

     

     

     

    Mild Seven มวนยาวถูกบดลงบนที่เขี่ยเซรามิคสีไข่ไก่ทันทีที่เป้าหมายมีการเคลื่อนไหว นัยน์ตากลมดุจ้องมองร่างโปร่งที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หลังไมค์โครโฟนตั้งพื้นบนเวทีเตี้ย เขาค่อย ๆ ปล่อยกลุ่มควันจางออกทางจมูก ก่อนจะลุกขึ้นสาวเท้าเดินตามเจ้าของผิวสีแทนที่ยกขาตั้งไมค์เดินหายไปหลังเคาน์เตอร์บาร์ 

     

    “คุณปาร์ค!

     

    ชานยอลหันไปเลิกคิ้วมองสาวสวยในชุดวาบหวาม เจ้าหล่อนพุ่งมากอดเข้าที่แขนข้างขวาเขาเสียแน่น แน่นจนต้องละความพยายามในการก้าวไปถึงเคาน์เตอร์บาร์ก่อนที่ผู้ชายผมทองอีกคนจะเข้าไปเสียบแทนที่นั่งที่เขาเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อน 

     

    “ครับ?”   

     

    ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกทางจมูกอย่างเซ็ง ๆ เหลือบตามองหาเจ้าของผิวสีแทนสะดุดตานั่น แต่ก็ต้องกลอกตามองเพดานเบื่อ ๆ เมื่อเป้าหมายของเขาคลาดสายตาไปอีกแล้ว 

     

    “โธ่...ทำไมทำเสียงเข้มอย่างนั้นล่ะคะ?” เจ้าหล่อนเพิ่มแรงรัดให้แขนของเขาถูเบา ๆ กับหน้าอกอวบอิ่ม “จะหนีไปนั่งบาร์อย่างนี้ แล้วใครจะสั่งดริ๊งให้ฮวาซองล่ะคะ?”  

     

    “...” 

     

    “กลับไปนั่งโซฟากับฮวาซองต่อเถอะนะคะ...ถึงเพื่อนคุณปาร์คจะไม่มาก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฮวาซองนั่งเป็นเพื่อนเอง นะนะ” 

     

    “เอ่อ...” 

     

    ปาร์คชานยอลกลืนน้ำลายลงคอ รู้แก่ใจว่าเหตุผลที่มาที่ LION นี่ไม่ใช่เพราะติดสาวนั่งดริ๊ง หรือต้องมาคุยธุรกิจแต่อย่างใด เป็นเวลาเกือบเดือนกว่า ๆ ที่พอเลิกงานแล้วต้องตรงดิ่งมาที่นี่ หามุมที่จะสามารถมองเห็นคาน์เตอร์บาร์ได้อย่างชัดเจน สั่งออนเดอะร็อคหนึ่งแก้ว ทนจิบวิสกี้รสขื่นคอทั้งที่ไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่นัก

     

    เหตุผลมีอย่างเดียว

    คือเด็กคนนั้น...

     

     

    “คิมจงอิน!

     

     

    ใบหน้าคมหันไปตามเสียงเรียก ชานยอลมองเลยสันกรามจากรูปหน้าด้านข้างไปหยุดอยู่ที่ชายคนหนึ่ง หมอนั่นกำลังกวักมือไหว ๆ อยู่ตรงทางเข้าหน้าห้องน้ำ เจ้าของผิวสีแทนนั่นคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองโดดเด่นแค่ไหน ถึงจะทำค้อมตัวเหมือนจงใจไม่ให้ใครเห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ลอดสายตาเขาไปไม่ได้หรอก

     

    “ฮวาซอง ผมขอตัวก่อนนะ”

     

    ชานยอลพูดพลางหันไปแกะข้อมือเล็กของคนที่รัดต้นแขนตนแน่น สายตาก็มองตามหลังไว ๆ ของอีกฝ่ายที่หายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วให้ตายเถอะ! นี่เขาต้องออกแรงมากกว่าเดิมและเสียเวลาไปอีกเกือบครึ่งนาที เพราะดูท่าวันนี้เจ้าหล่อนคงไม่ยอมปล่อยให้เขาไปง่าย ๆ เหมือนเมื่อวานแน่

     

    “แต่...”

     

    “ฮวาซอง...อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ” 

     

    เมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็ต้องเล่นไม้แข็ง ชานยอลนิ่งดูปฏิกิริยาของสาวนั่งดริ๊งคนที่ตนใช้บริการบ่อยที่สุดหลังจากส่งเสียงดุ ๆ ออกไป หล่อนทำเพียงแค่เม้มริมฝีปากเคลือบลิปแวววาวก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเสียดาย 

     

    “ก็ได้ค่ะ”

     

     

     

    ________________________________________________

    ________________________________________________

     

     

     

     

    “กูว่าพี่เขาชอบมึงว่ะ”

     

    เสียงพูดปนหัวเราะดังขึ้นหลังจากที่อีแทมินละมือจากกลอนประตู จงอินพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ทันที ชายหนุ่มทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อได้ยินอะไรน่าขนลุกแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่ร้อยของเดือน

     

    “ตลกแล้ว กูเห็นเขานั่งกับฮวาซองตลอด จะมาชอบกูได้ไง” 

     

    “ก็เพราะมึงดูแมนไง ไม่รู้หรอว่าพวกเกย์ก่อนจะตะครุบเหยื่อที่เป็นชายแท้ต้องมีลองเชิงกันก่อน”  

     

    “ฟ้าผ่าเหอะ หล่อขนาดนั้นไปเดินแถวบาร์เกย์ให้คนมาเสนอตัวไม่ง่ายกว่าหรอวะ คนระดับนั้นจะมาสนคนอย่างกูได้ยังไง”   

     

    “หึ มึงไม่รู้อะไร คนผิวแทนก้นตอบ ๆ แน่น ๆ อย่างมึงน่ะเขาเรียกเซ็กซี่ ขยี้ใจเกย์”

     

    คนพูดยักไหล่ พลางหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่เท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้คนถูกล้อเลียนทำหน้าเซ็งโลกไปได้ทั้งคืน  มือเรียวล้วงบุหรี่มวนสุดท้ายในซองออกมาจากกระเป๋ากางเกง  พริบตาเดียวเท่านั้นกลิ่นเมนทอลก็ลอยอวลไปทั่วทั้งห้อง หอมซะจนคนที่อยู่ข้าง ๆ ต้องกลืนน้ำลายเสียงดัง

     

    “บ้างดิ” พูดไปก็คาบบุหรี่มาจ่อที่ปลายมวนของเพื่อน คนถูกล้อพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อเติมเชื้อให้

     

     “...”

     

    “เงินอะ ?”

     

    จุดบุหรี่เสร็จก็ยื่นมือมาหาจนแทบจะแทงตากันอยู่แล้ว ‘อีแทมิน’ เพื่อนที่สนิทที่สุดของเขาในตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนเจ้าหอขอทวงหนี้ เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้เลยควักแบงค์หมื่นวอนเป็นฟ่อนออกมาตีแรง ๆ ที่หัวเหม่งของมัน

     

    “เห้ย เอามาตีเล่นได้ไง เดี๋ยวเทพแห่งความมั่งคั่งก็บินหนีพอดี” แทมินรับเงินมานับลวก ๆ พอมั่นใจว่าครบแล้วก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนนึงหมอนั่นเก็บเข้ากระเป๋าด้านในสูทมิดชิด อีกส่วนนึงก็ยัดใส่มือเขาเรียบร้อย “อะ...ส่วนแบ่ง”

     

    จงอินมองแบงค์หมื่นวอนปึกใหญ่ในมืออย่างมึนงง น่าจะซัก 5 แสนได้...

     

    “ทำไมคราวนี้มันเยอะนักวะ ?” พูดไปนับเงินไป แทมินมองเพื่อนรักที่ทำหน้าเหมือนถูกหวยแล้วหัวเราะออกมา

     

    “งานมันเสี่ยงขึ้น...แต่ก็คุ้มไม่ใช่รึไง ?”

     

    ร่างโปร่งมองเงินในมือนิ่ง ใช่...งานนี้มันเสี่ยงพอสมควร แต่ถ้าแลกกับได้เงินในจำนวนที่มากขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะตัดสินใจทำ ‘มัน’ ต่อไปก็ได้

     

    “แล้วจะเอายังไงต่อ จะลักกินขโมยกินแบบนี้มันไม่ได้นะ...อย่างน้อยถ้ามึงจะทำก็ควรเข้าหาผู้ใหญ่ไหม?”

     

    แทมินพูดพลางขยี้ก้นบุหรี่ที่เผาตัวเองจนหมดกับพื้น ใบหน้าติดตลกนั่นอยู่ ๆ ก็จริงจังขึ้นมา ไม่คุ้นเอาซะเลย

     

    “ขอเวลากูไปคิดดูก่อน”

     

    จบคำพูดก็สูบกลุ่มควันเข้าปอดเฮือกใหญ่ เวลานี้หันไปทางไหนก็จนหนทางจริง ๆ ก็ต้องขอบคุณแทมินมันนั่นแหละที่ช่วยเอาสว่านเจาะกำแพงหนาทึบที่ปิดทางเขาอยู่ ถ้าไม่ได้มันตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

     

    เข้าใจนะว่าตอนนี้มันคงลำบากใจที่ต้องยื่นเท้าเข้ามาแส่เรื่องของเขาที่อาจจะพามันไปนรกตอนไหนก็ได้ เพราะอย่างนั้นใช่ไหมถึงได้พูดเรื่องที่ว่าควรทำให้มัน จริงจัง ขึ้นมาแบบนี้

     

    “จริง ๆ กูก็ไม่อยากให้มึงทำหรอกนะจงอิน...” แทมินยังคงสีหน้าแบบเดียวกับเมื่อครู่ และนั่นทำให้เขาอึดอัดหัวใจยิ่งกว่าเดิม “แต่ถ้าคิดจะจริงจัง ก็อย่าคิดนานนักล่ะ”

     

    “...”

     

    “กูกลัวว่ามึงจะซวยเอา...เพราะไม่ว่าเขตไหนก็มี ‘คน’ คอยดูแลอยู่ทั้งนั้นแหละ”

     

    “อืม”

     

    มันพูดพลางเอื้อมมือมาตบเบา ๆ ที่บ่า แต่นั่นไม่ได้ทำให้จงอินรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มทิ้งก้นบุหรี่มวนสุดท้ายที่เขามีแล้วขยี้มันจนกลายเป็นเถ้าติดพื้นก่อนจะก้มลงมองชะตากรรมของบุหรี่รสเมนทอลที่ตนชอบที่สุด

     

    ถึงจะชอบยังไง สุดท้ายพอมันสูบต่อไม่ได้ก็ต้องโดนทำลายก่อนที่จะกลายเป็นเชื้อเพลิงสินะ ?

     

     

     ________________________________________________

    ________________________________________________

     

     

     

    “พี่เขายังไม่กลับไปอีกว่ะ”

     

    เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูพลางพยักเพยิดให้หันไปมองที่ร่างสูงหน้าบาร์ตัวยาว อนยูบาร์เทนเดอร์ที่เพิ่งจะเลิกกะยิ้มแซวเป็นนัย แต่จงอินไม่เห็นจะสนใจอะไร  ร่างโปร่งเพียงแค่ยักไหล่แล้วก้มลงผูกเชือกที่รองเท้าให้แน่นขึ้น 

     

    สงสัยพี่เขาจะรอกลับพร้อมมึงหรือเปล่าวะ จงอิน” 

     

    อีกเสียงเป็นของอีแทมิน และนั่นทำให้เจ้าของชื่อถึงกับทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาเป็นรอบที่สองของวันเมื่อลุกขึ้นจากพื้นแล้วหันไปเจอกับสายตาแวววับจากคนที่ถือแก้วออนเดอะร็อคไว้ในมือ ดวงตาคมกริบนั่นจ้องมองมาราวกับว่าเขาเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก มันตลกดีที่พอจินตนาการว่าหากดวงตาของหมอนั่นเป็นมือ ทั้งตัวเขาคงโดนล้วงควักจนไม่เหลืออะไรติดตัวแล้ว

     

    ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ

     

    “แล้วนี่ไม่ต่อกะสองหรอวะ”

     

    แทมินทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเอื้อมมือไปหยิบเป้มาสะพาย 

     

    “ไม่อะ มีนัด” 

     

    เอาเป็นว่ารู้กันตอนที่ได้ยินคำว่า มีนัด แทมินถอนหายใจแล้วยักไหล่เบา ๆ ในเป้ของจงอินคงเต็มไปด้วยไอซ์ราคาแพงที่มันเตรียมจะไปส่งให้เด็กมหาลัยโซล ลูกค้าวีไอพีชั้นเยี่ยมที่ยอมจ่ายให้หน้าใหม่ไร้เครดิตอย่างเพื่อนเขา เห็นจงอินมันเก็บของเตรียมจะกลับแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้มันต้องเจอกับพวก เจ้าถิ่น เลย

     

    สังหรณ์ใจไม่ดีมาตั้งแต่หัววันแล้ว...

     

     

    ________________________________________________

    ________________________________________________

     

     

     

    “คราวหน้าขอเพิ่มเป็นยี่สิบจีได้ป่ะวะ” 

     

    จงอินเงยจากแบงก์หมื่นวอนในมือขึ้นมองคนตรงหน้า ใบหน้าของคนพูดดูกวนตีนจนอยากจะจัดให้ซักหมัด แต่เพราะเด็กมหาลัยโซลทุนหนาสายป่านยาวคนนี้เป็นลูกค้าลำดับต้น ๆ ของเขา จึงทำให้จำเป็นต้องส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกันนิ่ม ๆ

     

    “พกมาเยอะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เสี่ยง” 

     

    นึกถึงคราวที่เกือบถูกจับเพราะเดินผ่านสุนัขตำรวจแล้วก็เสียวสันหลังวาบ ยังดีที่ก่อนจะถึงที่นัดเขาแวะเล่นกับลูกแมวและตั้งใจจะพามันกลับบ้านไปด้วย เลยพอเป็นข้ออ้างขึ้นมาได้บ้างว่าหมามันวิ่งไล่เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอด

     

    “ได้ไง? ถูกที่สุดก็ของมึงแล้วนะจงอิน...คราวหน้ากูให้ล้านห้าเลยก็ได้”

     

    “ไม่เอาว่ะ มันเสี่ยง...ถ้ามึงอยากได้เพิ่มก็ลองไปหาคนอื่นดูสิ กูให้มึงได้มากสุดแค่หกแสนเท่านั้นน่ะ จะเอาไหม?”    

     

    “โธ่...มึงก็รู้ว่าสายตรวจช่วงนี้มันเยอะ จะให้หาคนกลางปล่อยของถูก ๆ อย่างมึงมันก็ลำบาก อีกอย่างอาทิตย์หน้ากูจะมีปาร์ตี้ด้วย” 

     

    “...”

     

    “นะจงอิน กูจ่ายเพิ่มให้ก็ได้...เป็นล้านแปดมึงว่าไง?” 

     

    “ไม่ได้...กูมีให้แค่เท่าที่เอามาให้ทุกที มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

     

    จงอินยังยืนยันจะย้ำคำเดิม ชายหนุ่มถอนหายใจอกมาเบา ๆ แค่ออกมาส่งให้ถึงมือในที่ชุมชนอย่างนี้ก็เสี่ยงจะแย่ หมอนี่มันคิดได้ยังไงที่ให้เขาขนไอซ์ยี่สิบกรัมไปไหนมาไหนด้วยตลอดทั้งคืนจนกว่าจะมาเจอกัน? แล้วให้ตายเหอะ จำนวนที่มันสั่งมานั่นถึงจะเป็นเงินล้านกว่าวอนที่โคตรล่อตาล่อใจ แต่เพราะช่วงนี้พวกตำรวจอยู่ ๆ ก็เอาจริงขึ้นมายิ่งกว่าเดิมงานมันเลยเสี่ยงมากยิ่งขึ้น แล้วไม่ต้องคิดถึงตอนถูกจับเลยนะ ถ้าโดนขึ้นมาก็อาจจะโดนระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตพร้อมยึดแม่งทุกอย่างในชีวิต...

     

    ทีนี้ล่ะ เอาแค่ให้จินกูมันเรียนพ้นม.ปลายไปอย่างคนปกติยังทำไม่ได้เลยมั้ง

    ไม่ต้องฝันถึงมหาลัยโซลเลยครับพี่น้อง

     

    เพราะเป็นหน้าใหม่จึงง่ายกับการขน แต่อยู่อย่างนี้ต่อไปอีกไม่นาน ถึงไม่เจอจัง ๆ เข้าให้กับตำรวจ ก็ต้องโดนคนคุมเขตซิวกลับบ้านเก่าก่อนวัยอันควรเป็นแน่ 

     

    เขายังมีน้องชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องดูแล เรื่องอะไรจะต้องมาเสี่ยงขนาดนี้? มีให้เท่าไหร่ก็ให้ได้แค่เท่านั้นแหละ แถมช่วงนี้ของยังขาดมืออีก จะขนทั้งหมดมาลดแลกแจกแถม เทหมดหน้าตักรักหมดใจให้คงไม่ได้หรอก

     

    “เฮ้ย อย่าทำตัวมีปัญหาน่า มึงก็เห็นอยู่ว่าเพื่อนกูมีตังจ่าย” 

     

    อย่างหนึ่งที่เสี่ยงพอ ๆ กับการโดนจับก็คือต้องต่อรองกับพวกขี้ยานี่แหละ จงอินมองผ่านคนตรงหน้าไปยังเพื่อนปากดีของมันที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลัง นอกจากแม่งจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วยังแสดงความกระสันอยากอย่างน่าสมเพชแบบนั้นออกมาอีก ดูสีหน้าหาเรื่องนั่นสิ พอเขาย้ำว่าไม่ มันก็ถลึงตาจนแทบถลน มองขู่มายังกับดูสารคดีสัตว์ป่าตอนตัวผู้แย่งตัวเมียกันในฤดูผสมพันธุ์อยู่ก็ไม่ปาน

     

    น่ากลัวตายห่าเลยมั้ง ไอ้เหี้ย

     

    “บอกว่าไม่ก็ไม่ กูมีแค่นี้ ถ้าไม่เอาก็จบ ไปหาคนอื่นเถอะนัมจุน” 

     

    “....”

     

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับล่ะ”

     

    จงอินยื่นคำขาดให้คนตรงหน้าพร้อมบอกลา เขาเริ่มไม่เห็นประโยชน์กับการที่เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธคู่ค้าชั้นดีอย่างนัมจุนแล้ว ในเมื่อเพื่อนของหมอนั่นยังไม่ยอมหุบปากแล้วยังทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามาทุกครั้งที่เขาพูดว่า ไม่ อยู่อย่างนี้ นึก ๆ ดูก็คงไม่คุ้มเท่าไหร่ถ้าจะยืนให้มันยกตีนขึ้นมาฟาดหน้าก่อนที่จะเอ่ยปากปฏิเสธอีกรอบ

     

    พื้นคอนกรีตตรงหน้าชื้นแฉะ มันเป็นทางเดินในตรอกเล็ก ๆ ระหว่างตึกแถวห้องเช่าของพวกคนทำงานกลางคืนในย่านนี้ ใบหน้าคมแหงนขึ้นมองท้องฟ้า ดูจากตรงนี้แล้วแทบมองไม่เห็นดาวซักดวง ไม่ใช่แค่เพราะแสงไฟที่สว่างจ้าจากเสาไฟต้นที่อยู่ใกล้ที่สุดหรอกนะ แต่เพราะกางเกงในกับเสื้อในที่ตากเรียง ๆ กันอย่างแออัดจากระเบียงห้องที่ยื่นออกมาต่างหาก 

     

    ล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงกะว่าจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เซ็ง แต่ก็ลืมว่ามวนสุดท้ายเพิ่งจะแบ่งให้แทมินเพื่อนรักไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน...

     

    เซ็ง...

     

    กึก!

     

    แต่ไม่ทันที่จะได้เอี้ยวตัวไปดึงกระเป๋าสะพายที่อยู่ด้านหลังมารูดซิปเปิดเอาอมยิ้มในกระเป๋าส่วนหน้าก็มีอันต้องตัวแข็งทื่อ คิมจงอินตาโตขึ้นมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นเยียบรูปร่างทรงกระบอกที่กำลังกดจ่ออยู่บนหลังคอตัวเอง

     

    “ค่อย ๆ หันมา” 

     

    จงอินไม่ได้อยากจะทำตามคำสั่งเลย แต่ขามันไปเอง! เขาค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปตามคำสั่ง และแม่งโคตรเซอร์ไพร์ส! เมื่อสายตามองไปเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าของกระบอกปืนไม่รู้ชื่อยี่ห้อ (เพราะตรงนี้มืดพอสมควร) ให้ตายเหอะ! พวกเหี้ยที่ยืนทำหน้าเหมือนกำชัยชนะไว้ในมือนั่นคือคนพลพรรคนักพี้ยาเพื่อนของลูกค้าชั้นดีเด็กมหาลัยโซลคิมนัมจุนคนนั้น!

     

    “มึงรับของมาจากไหน! รู้ไหมว่าเขตนี้ใครคุม!” 

     

    เสียงตะโกนดังเกิน 70 เดซิเบลทำให้จงอินถึงกับต้องผงะถอยไปหนึ่งก้าว ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเมื่อนึกคำพูดของเพื่อนรักที่มักจะเตือนเรื่องคนคุมเขต คำโป้ปดอะไรก็แล้วแต่มันไม่มีความหมายเลยเมื่อเหลือบตามองต่ำแล้วเห็นนิ้วของอีกฝ่ายเกี่ยวไกปืนไว้อย่างมั่นคง 

     

    เอาไงดี เอาไงดีวะ!

     

    ได้แต่ตะโกนกู่ร้องในใจ มองไปทางไหนตรงนี้ก็มีแต่ความชิบหาย ก็อย่างที่ว่า ตรอกนี้เป็นที่อาศัยของคนทำงานกลางคืน แล้วนี่มันก็กลางคืนใครจะอยู่ฟังเสียงปืนลั่นแล้วมาพบเขานอนบาดเจ็บเพราะถูกยิงเข้าที่ท้อง? ความวังเวงของตรอกนี้ทำให้จงอินจินตนาการไปถึงภาพตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โดนหนูบ้านตัวเท่าควายแทะจนหน้าเละก่อนจะมีคนมาเจอศพเมื่อเดินออกมาเก็บกางเกงในนอกระเบียงตอนเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้

     

    “อ...เอ่อ...”

     

    ไม่รู้เพราะปืนมันจ่อติดคอหอยเกินไปหรือเปล่าถึงทำให้ความสามารถในการเปล่งเสียงของชายหนุ่มลดลงจนถึงขีดสุด จงอินรู้สึกได้ถึงเหงื่อกาฬที่ซึมออกมาจาก มันทั้งแฉะแล้วก็เย็น แถมยังกระหน่ำผุดออกมาเป็นเม็ดจนเปียกไปหมดทั้งหลังเหมือนหยดน้ำข้างแก้วตอนระบายความร้อนก็ไม่ปาน

     

    เขาจะต้องดับอนาถเพื่อไปพาดหัวข่าวเหี้ย ๆ อย่างนี้จริงๆ หรอวะ

    จริง ๆ หรอวะ!!!!

     

    ปล่อยให้คุยกับตัวเองจนหอมปากหอมคอแล้วก็ออกแรงแนบกระบอกปืนกับลำคอสีแทนนั่นให้สนิทกันยิ่งกว่าเดิม จงอินกลืนน้ำลายคงคออย่างยากลำบากเมื่อปากของเขามันไม่ประสานกับประสาทส่วนไหนซักอย่าง และดูท่าคนที่ถามประโยคงี่เง่าตรงหน้าคงจะเริ่มหมดความอดทนกับการรอคอยแล้วมันถึงได้ปลดเซฟตี้แล้วทำท่าจะเหนี่ยวไกยิงทะลุคอหอยเขาอย่างนั้น!!

     

    ปัง!

     

    จงอินตาเหลือกยกมือขึ้นกุมคอหอยตัวเองทันที ในหนังเวลาโดนปาดคอจะต้องล้มลงพร้อมกับเลือดสาดทะลักแดงฉานไปทั่วทั้งตัวอย่างนั้นใช่ไหม? แต่เขาไม่! เขายังยืนตัวตรงตั้งฉากอยู่กับพื้นโลกเหมือนเมื่อครู่โดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

     

    ไม่ได้โดนยิงนี่หว่า!!

    แล้วเมื่อกี้....

     

     

    “วิ่ง!!! วิ่งเดี๋ยวนี้!!!!” 

     

    ไม่รอให้สอดส่ายสายตาหาคำตอบใดๆ อยู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับลั่นไกปล่อยกระสุนแหวกอากาศออกมาอีกนัด สำหรับชายหนุ่มที่ยืนทือมะลืออยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีใครบางคนที่หลบอยู่ในมุมมืดก็วิ่งเข้ามากระชากแขนเขาให้ถลาออกไปด้วยกันแล้ว!

     

    ปัง! ปัง! ปัง!

     

    เสียงกระสุนยังคงดังสวนมาพร้อมคำสบถด่าอย่างต่อเนื่อง และแน่ล่ะจงอินวิ่งอยู่ด้านหน้าผู้มีพระคุณที่ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเขาให้รอดพ้นจากปลายกระบอกปืนไม่ทราบยี่ห้อนั่น พวกเราใส่เกียร์หมาชนิดที่ว่าเหมือนเพิ่งสำเหนียกได้ว่าชาติที่แล้วคงเคยเป็นนักกีฬาวิ่งเร็วในโอลิมปิก! ลัดเลาะออกซอยนั้นเข้าตรอกนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และนาทีที่เห็นถนนหลักชัดเจนอยู่ตรงหน้า ร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกกระชากลงหลุมมหัศจรรย์อีกครั้ง....  

     

    ไม่ใช่เหมือนสิ...กระชากกันไม่ยั้งแรงเลยต่างหากล่ะ!

    ไม่งั้นคงไม่มายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในถนนคนเดินอย่างนี้หรอก 

     

    “ก้มต่ำเอาไว้” 

     

    น้ำเสียงทุ้มหูกับแรงกดเบา ๆ ที่ต้นคอทำให้จงอินต้องทำตามอย่างจำใจ ชายหนุ่มอยากจะหันไปมองใบหน้าของผู้มีพระคุณให้ชัด ๆ แต่มือหนานั่นก็กดหลังเขาให้ค้อมลงทำท่าเหมือนคนค่อมแห่งนอทเทอร์ดาม

     

    “เดี๋ยวก้าวเร็ว ๆ ถึงตรอกตรงหน้าที่ขายต่างหูก็เลี้ยวเข้านะ เข้าใจที่พูดไหม?” 

     

    ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับคำสั่งของอีกฝ่ายเท่านั้น ดวงตาคมหรี่มองตรอกที่ว่านั่น แม่ค้ากับลูกค้ากำลังยืนต่อรองราคากันหน้าดำคร่ำเครียด เขาถือโอกาสเอี้ยวตัวหันไปมองตอนที่ผู้มีพระคุณยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ นำเข้าไป ตายโหง! พวกมันยังไม่เลิกตามมาอีก!

     

    นั่นทำให้จงอินสาวเท้าเร็วขึ้น เร็วขึ้น! และทันทีที่กำลังจะก้าวเลยผ่านตัวตรอกไปเพราะมัวแต่ระแวงมองมองพวกด้านหลัง ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากอย่างแรงอีกครั้งโดยเจ้าของมือหนาคนเดิม คราวนี้ไม่ใช่นิ่มนวลแบบธรรมดา แขนเขาแทบจะหลุดออกมาเพราะอีกฝ่ายกำรอบมันเสียแน่น!

     

    “คุณ!!! คุณ!!! หยุดก่อน พวกมันไม่ตามมาแล้ว”  

     

    จงอินพูดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผู้มีพระคุณของเขาออกแรงลากให้เดินตามถนนลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนไร้ความจำเป็น และเมื่อถึงทางตันข้างร้านซุนแดที่เปิดเฉพาะกลางวัน ร่างสูงชะลูดก็ปลดพันธนาการพร้อมหมุนตัวหันมายิ้มมุมปากชวนสยองใส่...

     

    มันจะไม่น่าสะพรึงกลัวเลยถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่...

     

    ลูกค้าประจำที่บาร์ คนที่ชอบสั่งออนเดอะร็อคแล้วมองหน้าเขาเหมือนจะกลืนเข้าไปคนนั้น!!!!  

     

    “ค...คุณ!!!

     

    ตายห่า ตายห่า ตายห่า!! จงอินมีแต่คำนี้วนซ้ำไปมาในหัวเหมือนป้ายโฆษณาดิจิตอลตัวแดง ๆ ที่สี่แยกคังนัม  นี่จะเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ได้ไหม? ในเมื่อเขาเพิ่งจะหนีจากพวกคนคุมเขตพ้นแต่กับต้องมาเจอลูกค้าที่ทำท่าเหมือนจะอัดถั่วดำกันได้ตลอดเวลาเมื่อสบจังหวะอย่างนี้!

     

    “สวัสดีคิมจงอิน” แม่มึงเอ้ย! พูดชื่อถูกด้วย! 

     

    หมอนั่นเอ่ยด้วยสีหน้าที่เขาคาดเดาอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มหันรีหันขวาง มองหาลู่ทางในการวิ่งหนีอย่างหมดอารมณ์จะเนียน แต่พอจะส่ายหน้าทำท่าไม่อยากรู้จัก ตั้งใจจะวิ่งแล้วหนีไปซะให้พ้นจากตรงนี้ เสียงบางอย่างก็ดังกริ๊ก ขึ้นมาในความเงียบ...

     

    ความจงอินก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ถูกใส่กุญแจมือไว้เรียบร้อย...

     

    “ค...คุณ” 

     

     

    “ป...เป็นพวกซาดิสม์หรอ?” 

     

    คนตัวสูงตรงหน้าระเบิดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเรื่องหน้าขันจากปากเด็กตรงหน้า บางทีคิมจงอินคงอยากหนีความจริงมากซะจนมองไม่เห็นว่ากุญแจมือที่ใส่อยู่ ไม่ใช่แบบแฟชั่นมีขนฟรุ้งฟริ้งหรือประดับหนังคาดสีดำที่พวกซาดิสม์นิยมใช้กันเหมือนในหนัง 

     

    แต่เป็นกุญแจมือสีเงินใหม่เอี่ยมที่เขาเพิ่งเบิกมาได้ต่างหาก... 

     

    “ไม่ใช่...ผมเป็นตำรวจน่ะ”

     

    “...”

     

    “คุณถูกจับแล้ว...ข้อหามียาเสพติดในครอบครองเพื่อจำหน่าย”  

     

    “...”

     

    “คุณมีสิทธิ์จะไม่พูดอะไรตอนนี้ แต่พอถึงโรงพักผมก็ต้องถามคุณอยู่ดี”   

     

    ________________________________________________

    ________________________________________________

     

    TALK

     

    จริง ๆ ช่วงนี้หายหัวเพราะทำเล่มให้ #ficbetter อยู่

    แต่วันก่อนตอนนั่งทำงานอยู่ ๆ กิ๊งบอกว่าอยากอ่านเรื่อง NICOTINE ที่เคยเขียนไว้ ให้เขียนต่อพร้อมทำโปสเตอร์กับเปิดเรื่องให้เสร็จสรรพ

    เราก็เลยเอาที่เคยเขียนไว้มาแปลงแล้วเขียนเพิ่มนิดหน่อยตอนแอบอู้ -//- ฮิฮิ  

     

    จริงๆตอนแรกจะลงตอนเขียนครบสามตอน แต่กิ๊งก็อยากเห็นฟีดแบ็คเหมือนกัน

     

    ชอบก็ให้กำลังในแท็ก #ficbaddog ได้นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×